<h2>นักวิชาการผู้คลุกคลีกับกิจการสมุนไพรของครอบครัวตั้งแต่วัยเยาว์ และนำความรู้จากภูมิปัญญาดั้งเดิมมาศึกษาวิจัยอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ด้วยเป้าหมายที่จะสร้างสารสกัดจากสมุนไพรไทยเทียบชั้นมาตรฐานสากล ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ สร้างความมั่นคงให้กับเกษตรกร</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความคิดที่จะทำสารสกัดจากสมุนไพรไทยเกิดขึ้นระหว่างทำงานเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัย เพื่อขอตำแหน่งทางวิชาการทำให้ต้องทำงานวิจัยอยู่เป็นระยะ รวมทั้งมีโอกาสไปศึกษาดูงานบริษัทเอกชนที่ต่างประเทศและเห็นว่ามีความก้าวหน้ามาก ทั้งยังสามารถสร้างรายได้จากงานนี้ได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“คิดว่าทำไมประเทศไทยซื้อสารสกัดจากต่างประเทศ ไม่ทำเอง จนถึงทุกวันนี้ไม่มีใครอยากทำเอง เราก็ร้อนวิชา ตั้งโรงงานเอง...บริษัทเราไม่ใหญ่ ลึกๆ เป็นนักวิจัย starter มีใจอยากทำ เชื่อมั่น เรามีความรู้สึกว่าเราเป็นนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ ทำไมประเทศไทยต้องพึ่งคนอื่นตลอดเวลา ทำไมต้องนำเข้า” รศ.ภญ.ดร.พรรณวิภา กฤษฎาพงษ์ ประธานกรรมการบริหาร และผู้ก่อตั้ง บริษัท สเปเชี่ยลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SNPS เล่าถึงแรงบันดาลใจในการตั้งบริษัท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พรรณวิภาเป็นคนเชียงใหม่ ครอบครัวทำธุรกิจการเกษตรปลูกพืชสมุนไพรและใบชา ซึ่งเธอบอกว่า น่าจะเป็นแหล่งปลูกชาที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือและนำมาขายส่งที่เยาวราช&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คนงานเรียกบิดามารดาของเธอว่า “พ่อเลี้ยง-แม่เลี้ยง” เมื่อทั้งคู่ขับรถลงพื้นที่พบเกษตรกรหรือเก็บสมุนไพรมาแปรรูปก็ติดตามไปด้วย และคิดว่าจะไม่สานต่อธุรกิจนี้เพราะต้องดูแลลูกทีมจำนวนไม่น้อย ผลตอบแทนก็ไม่มากนัก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราได้เห็นการเก็บเกี่ยวมาตั้งแต่เด็กๆ พอโตมาเลือกเรียนเภสัชฯ เรียนทั้งยาสมุนไพร และแผนปัจจุบัน ก็คิดว่าทำไมคนต้องกินสมุนไพรตัวนั้นตัวนี้ ทำไมตำรับโบราณใช้แบบนี้ ความที่เรียนคู่กันทำให้เราพิสูจน์ได้ว่าสูตรโบราณใช้ตัวนี้ปริมาณเท่านี้จึงรักษาโรคได้ พอเรียนจบได้เป็นอาจารย์ทำงานวิจัยยิ่งสนใจมากขึ้น และคิดว่าน่าจะนำมาพัฒนาใช้งานให้เหมาะสมจึงมีความคิดว่า ภูมิปัญญาไทย สมุนไพรไทย ต้องพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ สมุนไพรตัวนี้ให้สรรพคุณแบบนี้ มีสารอะไร ทำอย่างไรจะดึงออกมาให้เกิดประโยชน์สูงสุด สามารถใช้ต่อเนื่องกัน” <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/qUJjs7M2W3TsjwmZ9DCM.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="qUJjs7M2W3TsjwmZ9DCM.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การเป็นนักวิจัยมีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้กับนักวิจัยทั่วโลก เห็นว่าเขาทำงานคล้ายกันกับเราเพียงแต่ต่างสถานที่กัน ประเทศไทยอยู่เส้นศูนย์สูตร มีความหลาก-หลายทางสมุนไพรมากกว่าประเทศเขตหนาว ช่วงที่เป็นอาจารย์ 15 ปีและเป็นผู้บริหาร 8 ปีก็ศึกษาด้านวิชาการจนมีความเชื่อมั่นว่าสมุนไพรตัวนี้ดี ทำไมไม่มีใครนำมาศึกษาจริงจังใช้ให้เกิดประโยชน์...ถามว่าทำไมใจกล้า เราอาจเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เราทำงานวิจัย มีโอกาสเลือกสรรวิทยาศาสตร์ ทดสอบ ดึง สร้างผลิตภัณฑ์ขึ้นมา เรามีงานวิจัยตลอดเวลาทำให้มั่นใจมากขึ้นจึงตั้งบริษัท”ขยายธุรกิจตอบโจทย์ลูกค้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กว่าจะนำพาบริษัทมาถึงวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ช่วงแรกก่อตั้งบริษัทเมื่อ 25 ปีก่อนคนไทยไม่ยอมรับ ไม่นิยมใช้ของไทย สารสกัดที่ใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ต่างๆ นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป สหรัฐฯ เพราะเห็นข้อจำกัดนี้พรรณวิภาจึงเริ่มจากการทำตลาดต่างประเทศ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ญี่ปุ่นเริ่มใช้ก่อน ซื้อ (สารสกัด) ของเราในราคา 2,000 บาทและตบแต่งเพิ่มเติมกลับมาขายเป็นหมื่น...ตอนนั้นมี 2 ตัวที่ดังๆ คือ คอลลาเจนกับกวาวเครือขาวๆ เป็นพืชอยู่เชียงใหม่ คนโบราณขุดหัวขึ้นมาคล้ายๆ มันแกว นำไปต้มกับน้ำแล้วดื่ม ผู้หญิงทางเหนือผิวสวยมาก มีพงศาวดาร มีงานวิจัย สุดท้ายพบว่า กวาวเครือมีเอสโตรเจนจากพืช ไม่อันตราย ตัวนี้ทำให้เราขายดี”​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“พอทำถึงจุดหนึ่งบางทีส่งสารสกัดให้ลูกค้าๆ บอกไม่มีเวลาทดลอง ขายไม่ได้ เราต้องทำห้องแล็บ พัฒนาสูตรพร้อมใช้เขาก็เริ่มซื้อ สารตัวนี้ใส่เท่านี้เปอร์เซ็นต์จะเป็นแบบนี้ พอเขาทดสอบชอบก็ซื้อเลย ขอสูตรเราก็ให้ บางรายบอกไม่มี channel ผลิตๆ ให้หน่อยได้ไหม เราเลยตั้งบริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น คิดสูตร ผลิตให้...พอแบบนี้ทำให้ขายดีขึ้น” <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/1ctApdVtXxVJUwoBQFsZ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="1ctApdVtXxVJUwoBQFsZ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากในประเทศและต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วน 90/10 และผู้บริหารตั้งเป้าหมายว่า ในอนาคตจะทำให้สัดส่วนนี้สลับกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยปี 2564 มีรายได้จากการขายที่เกี่ยวข้องกับโควิด 310.52 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 43.37% จากรายได้รวม 715.97 ล้านบาท กำไรสุทธิ 166.99 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้าซึ่งมีรายได้รวม 487.60 ล้านบาท กำไรสุทธิ 109.86 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีสารสกัดสำหรับเครื่อง-สำอางและเวชสำอาง 162 รายการ สำหรับอาหารและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 108 รายการและสารสกัดสำหรับยา 104 รายการ โดยปี 2566 มีรายได้ 368.09 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปลายปี 2567 เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเมื่อผู้ก่อตั้งนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้นำไปใช้เพื่อ&nbsp;1. ลงทุนในเครื่องจักรใหม่ เพิ่มเทคโนโลยีในการสกัดให้ได้สารสกัดสมุนไพรที่มีความบริสุทธิ์มากขึ้น และ 2. วิจัย พัฒนา และผลิตวัตถุดิบสมุนไพรสำหรับยาพัฒนาจากสมุนไพร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“สิ่งที่เราทำได้และอยากทำให้ดีกว่าคนรุ่นก่อนคือ เอาวิทยาศาสตร์มาตอบโจทย์ value added สินค้าเกษตร...อยากให้ประเทศไทยมีองค์ความรู้ด้านสมุนไพรในแง่การนำมาต่อยอด” พรรณวิภากล่าวในตอนท้าย ภาพ: วรัชญ์ แพทยานันท์ และ SNPS ​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/asia/sukhinder-singh-cassidy-ceo-who-revives-xero" alt="Sukhinder Singh Cassidy ซีอีโอผู้ฟื้นยักษ์ซอฟต์แวร์แดนกีวี"></a><a href="https://forbesthailand.com/people/the-trend/krit-kosanantachai-evt-nov-2024" alt="กฤศ โกษานันตชัย รุ่น 2 “EVT” ขยายธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าคนไทย"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/thriving-30s/people/%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%84%e0%b8%b8%e0%b8%93-%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%9e%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%97%e0%b8%b4%e0%b8%99-%e0%b8%95%e0%b8%b3%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%82" alt="มหาคุณ เทพสุทิน ตำรับยาขนานใหม่วงการสมุนไพรไทย"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/people/small-giants/sajika-thongsuk-combines-beauty-business-with-bff" alt="'ศจิกา ทองสุข' ผสานความงามและธุรกิจด้วย BFF">'ศจิกา ทองสุข' ผสานความงามและธุรกิจด้วย BFF</a>​ ​<a href="https://www.mebmarket.com/ebook-338717-Forbes-Thailand-December-2024" alt="อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนธันวาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine">อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนธันวาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure><a href="https://www.mebmarket.com/ebook-338717-Forbes-Thailand-December-2024" alt="https://www.mebmarket.com/ebook-338717-Forbes-Thailand-December-2024" data-image-link="image"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/N7XJzBErAUPSeEjXJA7H.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="N7XJzBErAUPSeEjXJA7H.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="300px,auto" data-rotate="" origin-size="549,720" data-image-link="https://www.mebmarket.com/ebook-338717-Forbes-Thailand-December-2024" style="width: 300px; height: auto;" data-index="2"></a></figure></div>

รศ.พรรณวิภา กฤษฎาพงษ์ นำ SNPS สกัดสมุนไพรไทย เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจ

<h2>ปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยที่หลายฝ่ายต่างพูดถึงคือ การลงทุนต่างชาติยังไม่กลับมาเท่าในอดีต ขาดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาผลิตภัณฑ์โลกใหม่ ดังนั้น หนึ่งในตัวเลขที่หลายฝ่ายจับตามองคือ นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนเท่าไร ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยตัวเลขต่างชาติลงทุนในไทยเดือน ก.ค. 67 และ 7 เดือนแรก ปี 2567 ที่ยังเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เดือน ก.ค. 2567 มีการอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 75 ราย แบ่งเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวจำนวน 18 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 57 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 9,499 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ มีนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 3 อันดับแรก ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1) ญี่ปุ่น 14 ราย เงินลงทุน 3,861 ล้านบาท &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2) สหรัฐอเมริกา 9 ราย เงินลงทุน 2,230 ล้านบาท &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3) จีน 10 ราย เงินลงทุน 1,122 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ ช่วง 7 เดือนแรก (ม.ค. - ก.ค. 2567) อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยตามพระราชบัญญัติฯ จำนวน 460 ราย เพิ่มขึ้น 84 ราย (คิดเป็น 22%) เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 (YoY) และเกิดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 90,987 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54%YoY&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก (เรียงตามจำนวนผู้เข้ามาลงทุน) ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1) ญี่ปุ่น 117 ราย เงินลงทุน 47,879 ล้านบาท &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2) สิงคโปร์ 71 ราย เงินลงทุน 7,486 ล้านบาท &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3) สหรัฐอเมริกา 70 ราย เงินลงทุน 3,470 ล้านบาท &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4) จีน 51 ราย เงินลงทุน 7,120 ล้านบาท &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;5) ฮ่องกง 35 ราย เงินลงทุน 12,131 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ทางกระทรวงพาณิชย์ยังมีรายงานเจาะลึกใน ‘ธุรกิจสมุนไพรไทย’ ที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีโดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ เนื่องจากสินค้าของไทยได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ จากข้อมูลพบว่า มีนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนธุรกิจสมุนไพรในประเทศไทยมีมูลค่าการลงทุน 38,707.25 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในกลุ่มขายปลีก/ขายส่งมากที่สุด มูลค่าการลงทุน 34,042.05 ล้านบาท ทั้งนี้ ประเทศที่เข้ามาลงทุนในธุรกิจสมุนไพรสูงสุด 3 อันดับคือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สหรัฐอเมริกา เงินลงทุน 11,809.12 ล้านบาท&nbsp; &nbsp; - ญี่ปุ่น 5,082.04 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สิงคโปร์ 3,274.73 ล้านบาท&nbsp; เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/electrolux-opened-head-office-in-bangkok" alt="เพราะไทยคือตลาดหลัก! อีเลคโทรลักซ์ ประกาศเปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ประจำภูมิภาค ที่กรุงเทพฯ">เพราะไทยคือตลาดหลัก! อีเลคโทรลักซ์ ประกาศเปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ประจำภูมิภาค ที่กรุงเทพฯ</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ต่างชาติลงทุนไทย 7 เดือนแรกปีนี้แตะ 90,987 ล้านบาท เพิ่ม 54% ‘อันดับ 1 ญี่ปุ่น’ ส่วนจีน-ฮ่องกงเข้าลงทุน 19,251 ล้านบาท

<h2>สมุนไพรไทยมีศักยภาพสูงในตลาดโลกเพราะมีความหลากหลายของสายพันธุ์และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เข้มแข็ง จากข้อมูลตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรทั่วโลกมีมูลค่า 6.02 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยอยู่ในภูมิภาคเอเชียถึง 57.6% อเมริกา 22.1% ยุโรป 22.1% ยุโรป 18% ตะวันออกกลาง 1.5% ออสเตรเลีย 0.9% ซึ่งประเทศไทยมีการบริโภคผลิตภัณฑ์สมุนไพรติดอันดับ 7 ของของโลก ส่วนภูมิภาคเอเชียประเทศไทยมีขนาดตลาดสมุนไพรเป็นอันดับ 4 รองจากประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)&nbsp;เล่าว่า ประเทศไทยยังเป็นผู้นำการส่งออกสมุนไพรอันดับ 1 ของอาเซียน แต่ยังไม่ติด 1 ใน 10 ตลาดโลก เนื่องจากข้อจำกัดด้านมาตรฐานการผลิต อย่างไรก็ตามมูลค่าการส่งออกสมุนไพรในปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งสวนทางกับมูลค่าการนำเข้าสมุนไพรที่มีแนวโน้มลดลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับประเภทของสมุนไพรที่มีมูลค่าการส่งออกสูงที่สุด ได้แก่ พรรณไม้และส่วนของพรรณไม้ ประเภทของสมุนไพรที่มีมูลค่าการนำเข้าสูงที่สุด ได้แก่ สารสกัด จากคาดการณ์ตลาดสมุนไพรในประเทศปี 2570 มีมูลค่า 1 แสนล้านบาท รวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ยา อาหารเสริมสุขภาพ เครื่องสำอาง เครื่องดื่ม สมุนไพรที่ได้รับความนิยม ขมิ้นชัน กระชาย-ขาว ตะไคร้หอม บัวบก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนั้น ตลาดสมุนไพรโลกยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยมูลค่าคาดการณ์ในปี 2573 ทะลุ 2.7 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริม สุขภาพ ยา เครื่องสำอาง สมุนไพรที่นิยมคือ ขิง กระเทียม โสม และคาโมมายล์<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/3YQg29z8oKegyqHiCNcf.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="3YQg29z8oKegyqHiCNcf.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> ขับเคลื่อน Economy Sharing&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากแนวโน้มการเติบโตนี้เองเป็นโอกาสสำคัญในการผลักดันสมุนไพรไทยเป็นซอฟต์พาวเวอร์ ที่จะสร้างโอกาสให้กับทุกภาคส่วนสมุนไพร เช่น เกษตรกรผู้ปลูกร้างรายได้เพิ่ม เศรษฐกิจฐานรากที่เข้มแข็ง และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยโดยรวมได้อย่างยั่งยืน ภายใต้กลยุทธ์สำคัญที่วางไว้ ได้แก่ การเพิ่มการบริโภคสมุนไพรภายในประเทศ และการส่งออกผลิตภัณฑ์สมุนไพรมูลค่าสูง อาทิ สารสกัด สมุนไพรแปรรูป ยาและอาหารเสริม รวมถึงการส่งออกไปยังต่างประเทศโดยเฉพาะภูมิภาคที่มีความต้องการสูงในการบริโภคสมุนไพร เช่น ตลาดอาเซียนและ CLMV ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าสูง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รวมถึงให้ความสำคัญกับการสื่อสารเรื่องราวและคุณค่าเพื่อดึงดูดผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการโปรโมต เพื่อเข้าถึงผู้บริโภค และใช้ฐานข้อมูลไว้ต่อยอดวางกลยุทธ์ได้แม่นยำมากขึ้น ผ่านความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ตลอดห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมสมุนไพร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านกลยุทธ์การยกระดับสมุนไพรไทยที่จะนำมาขับเคลื่อนคือ “Economy Sharing” ผนึกความร่วมมือรัฐ-เอกชน มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง เช่น การสนับสนุนผู้ประกอบการรายเล็กเข้าถึงการวิจัยร่วมกับสถาบันการศึกษา และสร้างพันธมิตรเพื่อรวมกลุ่มเข้าถึงโรงงานการผลิตขนาดใหญ่ได้มาตรฐานสากล เนื่องจากขณะนี้การส่งออกสมุนไพรไทยยังมีข้อจำกัดจากบางประเทศที่ไม่สามารถส่งออกไปได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันภาครัฐและเอกชนไทยได้เกิดความร่วมมือระหว่างกัน เช่น ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS ร่วมกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ศูนย์สัตว์ทดลองแห่งชาติ และเครือข่าย TOPT เพื่อพัฒนายาแผนปัจจุบันและยาสมุนไพรไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้เกิดการเข้าถึงการผลิตในโรงงานที่ได้มาตรฐานด้วยการใช้ทรัพยากรร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนั้น กลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพรยังดำเนินการต่อยอดแผนปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติ ฉบับที่ 2 ซึ่งมุ่งเน้นการยกระดับความสามารถในการแข่งขันสมุนไพรและผลิตภัณฑ์สมุนไพรอย่างต่อเนื่องในระยะยาว สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และกรอบการพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีของประเทศไทย เพื่อเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ส่งผลให้สามารถรองรับพลวัตของสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีดิจิทัล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกันยังกำหนดเป้าหมายการเป็นผู้นำในภูมิภาค ด้านผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อสุขภาพที่ได้มาตรฐานและมีการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานและต่อยอดด้วยนวัตกรรมให้เป็นที่ยอมรับระดับสากล ได้แก่ การส่งเสริมสมุนไพรผ่านอาหารไทยจากครัวไทยสู่ครัวโลก และการพัฒนาศักยภาพการแข่งขันของ SMEs ด้วยงานวิจัยควบคู่กับนวัตกรรม พร้อมให้ความสำคัญกับตลาดในประเทศและ CLMV รวมถึงยกระดับการผลิตด้วยเทคโนโลยี (SMART) พร้อมส่งเสริมให้ส่วนภูมิภาคใช้สมุนไพรเป็นกลไกการพัฒนา และส่งเสริมอุตสาหกรรมสารสกัด เพิ่มมูลค่าและความสามารถในการแข่งขัน โดยมุ่งผลักดันให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้แผนปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติ ฉบับที่ 2 ได้รับการวิเคราะห์สถานการณ์ด้านสมุนไพรไทยที่เป็นช่องว่างการพัฒนาที่เกิดขึ้นหลังจากการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฉบับที่ 1 ได้แก่ วัตถุดิบสมุนไพรมีคุณภาพและมาตรฐานไม่ตอบโจทย์ความต้องการทางการตลาด ประเทศไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้าสารสกัดจากต่างประเทศสูงในการผลิต ผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพรของไทยยังต้องการการสนับสนุนด้านปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาและมาตรการภาครัฐเพื่อยกระดับการผลิตและการเติบโต รวมถึงการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยยังมีจำนวนไม่มาก และยังต้องมีการพัฒนากระบวนการตลอดจนกฎระเบียบที่สนับสนุนการประกอบการอีกมาก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้รัฐบาลจะมีการกำหนดเรื่อง Herbal Champions เพื่อการพัฒนาแบบมุ่งเป้า แต่การทำงานของภาครัฐยังรวดเร็วไม่เพียงพอและยังขาดรูปธรรมในการปฏิบัติทำให้ผู้ผลิตขาดแรงจูงใจ รวมถึงการใช้งานวิจัยนวัตกรรมเพื่อต่อยอดและยกระดับศักยภาพการผลิตและอุตสาหกรรมยังมีค่อนข้างน้อย การขาดข้อมูลที่เพียงพอในการสนับสนุนการกำหนดนโยบายและการดำเนินการพัฒนา การขาดความต่อเนื่องทั้งด้านนโยบายและงบประมาณในการขับเคลื่อนการพัฒนาเชิงพื้นที่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาอัตราการขยายตัวเฉลี่ย (CAGR) ของประเทศไทยในช่วงที่มีการประกาศใช้แผนปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติ ฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 (ช่วงปี 2560-2566) สูงกว่าอัตราการขยายตัวเฉลี่ยของประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ในช่วงเวลาเดียวกันแล้ว ​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/world/technology/he-xiaopeng-destination-for-the-sky" alt="He Xiaopeng จุดหมายสู่ฟากฟ้า"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/wangpromherb-open-new-factory-150-million-baht" alt="สมุนไพรไทยต้องไประดับโลก! &quot;วังพรม&quot; ทุ่มงบ 150 ล้าน เปิดโรงงานใหม่ รับเทรนด์รักสุขภาพ">สมุนไพรไทยต้องไประดับโลก! "วังพรม" ทุ่มงบ 150 ล้าน เปิดโรงงานใหม่ รับเทรนด์รักสุขภาพ</a>​ ​<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/5a9d7700-b8a3-44da-8f71-dc089d9916d2" alt="คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤษภาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine"></a><a target="_blank" href="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/04488869-cf4a-4c6b-8dc5-5ad0491eb3cd/forbes-thailand-june-2024" alt="คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2567 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2567 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/FNq9er2wj8uP69ZChe52.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="FNq9er2wj8uP69ZChe52.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" data-rotatex="" data-rotatey="" style="" data-index="1" origin-size="320,420"></figure></div>

ไทยมีโอกาสแค่ไหนในตลาดสมุนไพรโลกที่ปี 2573 อาจสูงถึง 2.7 ล้านล้านบาท

<h2>บมจ.โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) (JP) พร้อมเดินหน้าจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์หลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ภายในไตรมาส 4 ปีนี้ เสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจให้ก้าวสู่บริษัทชั้นนำด้านการวิจัย ผลิตและจัดจำหน่ายยา และอาหารเสริมครบวงจร เพื่อผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืน</h2>
สิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JP เปิดเผยว่า บริษัทมีความมั่นใจในศักยภาพการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งในการพัฒนา ผลิตและจำหน่าย ยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบบครบวงจร ด้วยประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในธุรกิจยาและสมุนไพรกว่า 70 ปี รวมถึงบริษัทยังมีทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีองค์ความรู้ตามหลักวิทยาศาสตร์ที่ช่วยเสริมทัพ และสนับสนุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีคุณภาพ ได้แก่ ยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับบำรุงสุขภาพและความงาม

นอกจากนั้น บริษัทยังมีฐานการผลิตของโรงงาน 2 แห่ง ทั้งในกรุงเทพฯและจังหวัดลำพูน ภายใต้หลักปฏิบัติที่ดีในการผลิตสำหรับการผลิตยาและยาแผนโบราณ (GMP PIC/s) จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุขทัดเทียมกับมาตรฐานของสหภาพยุโรปและหลักปฏิบัติที่ดีในการผลิต (GMP) สำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้บริโภคเข้าสู่สังคมแห่งการดูแลสุขภาพ

“เรามีเป้าหมายในการก้าวสู่บริษัทชั้นนำด้านการวิจัย ผลิตและจัดจำหน่ายทั้งรูปแบบยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันที่ JP ดำเนินธุรกิจแบบครบวงจร มีคณะผู้บริหารที่มีองค์ความรู้และประสบการณ์ในธุรกิจมานาน ตลอดจนมีทีมวิจัยพัฒนาและโรงงานที่ได้มาตรฐานสากล ทำให้ JP มีความโดดเด่นในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสำหรับทุกกลุ่มทั้งแบรนด์ของตนเองหรือภายใต้แบรนด์ของลูกค้า และสามารถตอบสนองความต้องการผู้บริโภคทั้งในเชิงดูแล ป้องกันและรักษาได้เป็นอย่างดี” สิทธิชัย แดงประเสริฐ กล่าว

<img class="alignnone size-full wp-image-51705" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/สิทธิชัย-แดงประเสริฐ.jpg" alt="" width="600" height="385" />

ดังนั้น บริษัทจึงวางแผนเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้านการทำตลาด โดยมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าของตัวเอง (OWN Brand) ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ยาแผนปัจจุบันที่ใช้รักษาผู้ป่วย ภายใต้ตราสินค้า COXTM กลุ่มผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่สกัดจากธรรมชาติที่ใช้ทั้งภายในและภายนอกร่างกาย ภายใต้ตราสินค้า สุภาพโอสถTM กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับบำรุงสุขภาพและความงาม ภายใต้ตราสินค้า EVITONTM  และ กลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ภายใต้ตราสินค้า JSPTM ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์ภายใต้ตราสินค้าของตัวเองให้สูงขึ้นในอนาคต

ขณะเดียวกัน JP ยังผลักดันการเติบโตและขยายฐานลูกค้าในกลุ่มธุรกิจรับจ้างผลิตภายใต้ตราสินค้าของลูกค้า (OEM) ที่เป็นฐานลูกค้าหลักของ JP โดยเน้นการบริการที่ครอบคลุมแบบครบวงจร (One Stop Services) ตั้งแต่การให้คำปรึกษาด้านการพัฒนาสินค้า การคิดค้นและพัฒนาสูตร การขอทะเบียนตำรับยาหรือการจดแจ้งเลขสารบบอาหาร (เลข อย.) การออกแบบบรรจุภัณฑ์และควบคุมการผลิตให้มีคุณภาพ เพื่อให้มีการเติบโตแบบยั่งยืน

<img class="alignnone size-full wp-image-51709" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/วรชาติ-ทวยเจริญ.jpg" alt="" width="450" height="300" />

ด้าน วรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัทฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด กล่าวว่า หลังจาก บมจ.โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) หรือ JP ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ล่าสุด สำนักงาน ก.ล.ต. ได้อนุญาตให้เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา  โดย JP จะนำเงินที่ระดมทุนได้ไปเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในทุกมิติ ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การขยายตลาด การสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ การปรับปรุงและขยายโรงงานทั้ง 2 แห่ง ส่วนที่เหลือนำไปชำระเงินกู้สถาบันการเงินและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานต่อไป

<img class="alignnone size-full wp-image-51708" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/โชษิต-เดชวนิชยนุมัติ.jpg" alt="" width="350" height="525" />

ส่วน โชษิต เดชวนิชยนุมัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม อัลฟา แคปปิตอล จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วม กล่าวว่า ภายหลังจากที่ JP ได้รับการอนุมัติให้เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการรออนุมัติแบบไฟลิ่งจากสำนักงาน ก.ล.ต. และเตรียมความพร้อมเพื่อเสนอขายหุ้น IPO โดยจะดำเนินการแต่งตั้งผู้จัดการการจัดจำหน่ายและผู้ร่วมจัดจำหน่าย รวมถึงประกาศราคาเสนอขาย IPO และกำหนดวันเปิดจองซื้อหุ้นให้แก่นักลงทุนได้รับทราบ เพื่อให้นักลงทุนที่สนใจได้จองซื้อหุ้น IPO และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตของ JP ในครั้งนี้ ซึ่งคาดว่า JP จะสามารถเสนอขายหุ้น IPO จนเป็นที่เรียบร้อยและนำหุ้นทั้งหมดของบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ได้ภายในไตรมาส 4 ปีนี้

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/it/emma-by-axa-%e0%b9%82%e0%b8%94%e0%b8%a2%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%b8%e0%b8%87%e0%b9%84%e0%b8%97%e0%b8%a2-%e0%b9%81%e0%b8%ad%e0%b8%81%e0%b8%8b%e0%b9%88%e0%b8%b2-%e0%b8%9c%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b8%8a.html">บมจ.กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต เปิดตัวแอปพลิเคชัน “EMMA by AXA”</a>

&nbsp;

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

&nbsp;

JP จ่อคิวดันธุรกิจยา COXTM และ “สุภาพโอสถ” เข้าตลาดฯ

<h2 class="p1">Industri Jamu dan Farmasi Sido Muncul บริษัทยาสมุนไพรรายใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า ผลประกอบการในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีผลกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 3 ปรับตัวขึ้นจากช่วงเดียวกันในปี 2019 ถึงร้อยละ 11 คิดเป็นมูลค่า 6.41 แสนล้านรูเปียร์ (41 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ด้วยยอดขายที่เติบโตกว่าร้อยละ 6 หรือ 2.3 ล้านล้านรูเปียร์</h2>
<figure><img class="wp-image-38860" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/12/img-rantai-pasok-sidomuncul.png" alt="Sido Muncul" width="720" height="503" /><figcaption> แผนภาพ Supply Chain ของ Industri Jamu dan Farmasi Sido Muncul</figcaption></figure>

ในช่วงที่ผ่านมา ยาสมุนไพรเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ผู้คนในประเทศต่างๆ หันมาบริโภค เพื่อช่วยเสริมสร้างความคุ้มกัน เพื่อรับมือกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงระบาดในประเทศต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน อินโดนีเซียมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายวันพุ่งสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ โดยมีตัวเลขผู้ติดเชื้อรวมทั้งหมดมากกว่า 5 แสนราย ซึ่งสูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกัน <a style="color: #333333;" href="https://asia.nikkei.com/Business/Health-Care/Indonesia-s-herbal-remedies-boom-amid-COVID-fears">ส่งผลให้กระแส</a><a style="color: #333333;" href="https://asia.nikkei.com/Business/Health-Care/Indonesia-s-herbal-remedies-boom-amid-COVID-fears">ความนิยมสมุนไพรในประเทศเพิ่มสูงขึ้น</a> จนช่วยให้บริษัทผู้ผลิตยาสมุนไพรสามารถเติบโตสวนทางกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศ ที่กำลังเข้าสู่ภาวะชะลอตัวครั้งแรกหลังวิกฤตการเงินเอเชียเมื่อปี 1997
“เราพยายามอย่างหนักที่จะบริหารสินค้าคงคลังให้พร้อม”<a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/profile/irwan-hidayat/?sh=51f66c462eb4"> Irwan Hidayat</a> ประธาน<a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/companies/sido-muncul/?sh=55606931941e"> Sido Muncul</a> ทายาทรุ่น 3 ที่เข้ามาสืบทอดธุรกิจครอบครัวที่ก่อตั้งโดยย่าของเขา
ล่าสุด Irwan Hidayat ได้รับการจัดอันดับโดย Forbes ให้เป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 17 ของอินโดนีเซีย ประจำปี 2020 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 1.55 พันล้านเหรียญ
ในที่นี้ Natalia Sutanto นักวิเคราะห์จากบริษัท Danareksa Sekuritas ใน Jakarta คาดการณ์ว่า ผลประกอบการประจำปี 2020 ของ Sino Muncul มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้นราวร้อยละ 9 ด้วยมูลค่ากิจการที่เพิ่มมากขึ้นถึง 1 ใน 3 จากปีที่แล้ว และล่าสุดในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทางบริษัทได้เพิ่มสภาพคล่องด้วยการแบ่งขายหุ้นเป็นสองส่วน
ไม่เพียงเท่านั้น ตั้งแต่เดือนมกราคม 2020 Sino Muncul ได้เพิ่ม 14 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในไลน์สินค้า พร้อมกับจัดตั้งร้านค้าออนไลน์บนเว็บไซต์ Tokopedia และ Shopee ตลอดจนการจำหน่ายสินค้าโดยตรงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย
และในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทางบริษัทได้เปิดให้บริการโครงการ 2 ล้านล้านรูเปียร์ ภายใต้ชื่อ Tentrem Complex อย่างเป็นทางการ ในย่าน Semarang ของจังหวัดชวา อินโดนีเซีย โดยตัวอาคารประกอบไปด้วยโรงแรม 211 ห้อง อะพาร์ตเมนต์ และห้างสรรพสินค้า
แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ Sales Of Sido Muncul’s Herbal Remedies Soared As The Pandemic Hit Indonesia Hard เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/asia/%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%88%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b8%ad%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%94%e0%b8%b1%e0%b8%9a-50-%e0%b8%a1%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%b5-4.html">การจัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีอินโดนีเซีย ประจำปี 2020</a>

Sido Muncul บริษัทยาสมุนไพรรายใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย เติบโตอย่างก้าวกระโดดช่วงโควิด-19

<h2>ในตลาดยาสมุนไพรที่มีผู้ผลิตผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด  ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากกระแสนิยม “ธรรมชาติ” แสวงหายารักษาโรคที่ปลอดจากผลข้างเคียงทางเคมี แต่จะมีสักกี่แห่งที่ได้รับการยอมรับในมาตรฐาน และผู้บริโภคเชื่อมั่นว่าเป็นของแท้ มิเช่นเกิดขึ้นตามกระแส  ด้วยประวัติอันยาวนานเกือบ 70 ปี “อ้วยอันโอสถ” คือหนึ่งในนั้น และในวันนี้ได้ส่งผ่านถึงมือคนรุ่นหลานแล้ว</h2>
<div>จากร้านขายยา 2 คูหา เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า ฝั่งธนบุรี “อ้วยอันโอสถ”  เริ่มเปิดดำเนินการตั้งแต่ปี 2490 โดยเสถียร สมบูรณ์เวชชการ แพทย์แผนโบราณและแผนจีนที่มีชื่อเสียงในเวลานั้น ทั้งยังคิดค้นสูตรตำรับยา และได้รับการขึ้นทะเบียนจาก อ.ย.เป็นยาแผนโบราณ ที่บางตำรับยังคงวางจำหน่ายในทุกวันนี้ ได้เติบโตขยายกิจการโดยทายาท เปิดเป็นกิจการผลิตยาแผนโบราณที่ได้มาตรฐาน บริษัทอ้วยอันโอสถ จำกัด ในปี 2529</div>
<div></div>
<div>ท่ามกลางผู้ประกอบการยาสมุนไพรไทยมากมายเป็นพันราย แต่กลับเป็นผู้ผลิตที่ผ่านมาตรฐาน ASEAN GMP ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตยาแผนโบราณที่สูงสุดในเวลานี้เพียง 23 รายเท่านั้น  และใน 23 รายนี้ เป็นของ “อ้วยอันโอสถ” ถึง 2 แห่ง ภายใต้ชื่อ “อ้วยอันโอสถ” และผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรและอาหารเสริมในชื่อ HerbalOne</div>
<div></div>
<div>ข้อมูลจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กลุ่มสมุนไพร) ระบุมูลค่าการตลาดยาจากสมุนไพรในประเทศรวม 8,000 ล้านบาท แต่หากเป็นอาหารเสริมจากสมุนไพร ข้อมูลสมาพันธ์สุขภาพและความงามปี 2554 ประเมินว่าสูงถึง 80,000 ล้านบาท โดยต้องนำเข้าวัตถุดิบสารสกัดจากสมุนไพรคิดเป็นมูลค่า 20,000 ล้านบาท</div>
<div></div>
<div>ด้วยมูลค่าตลาดมหาศาลเช่นนี้ ไม่แปลกที่ผู้บริหารรุ่นใหม่ของ “อ้วยอันโอสถ” จะเล็งเห็นการเพิ่มมูลค่าด้วยการสร้างแบรนด์ ต่อยอดจากผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสินค้าคุณภาพมาเนิ่นนาน</div>
<div></div>
<div>“ยอดขายของเราเติบโตตลอด หลายคนใช้ผลิตภัณฑ์เรา แต่แบรนด์เรากลับไม่เป็นที่รู้จักของผู้บริโภค และไม่ทันสมัย เราตั้งเป้าไว้ว่า ถ้านึกถึงสมุนไพร อ้วยอันโอสถจะต้องเป็นแบรนด์แรกที่ผู้บริโภคนึกถึง”ทายาทรุ่นที่ 3 นิชา และ ชนรรค์ สมบูรณ์เวชชการ บอกเล่าภารกิจหลักของการเข้ารับช่วงกิจการของครอบครัว ที่ดำเนินงานมายาวนาน 70 ปี</div>
<div></div>
<div>นิชา สมบูรณ์เวชชการ กรรมการบริหารและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท อ้วยอันโอสถ จำกัด รับผิดชอบงานการตลาดและฝ่ายบุคคล เปิดเผยว่า ความเปลี่ยนแปลงของอ้วยอันโอสถเกิดครั้งแรกในสมัย สิทธิชัย สมบูรณ์เวชชการ ผู้เป็นพ่อ ที่เข้ามาขยายกิจการจากร้านขายยาเดิม ซึ่งเป็นช่วงผู้บริโภคเริ่มเสื่อมความนิยมยาแผนโบราณในลักษณะยาลูกกลอนกันแล้ว โดยได้คิดค้นยาสมุนไพรแคปซูล ยาน้ำต่างๆ ยาอมสมุนไพรเพิ่มขึ้น และยังคงเป็นที่นิยมจนปัจจุบัน แต่แบรนด์อ้วยอันโอสถยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย หลายคนใช้ผลิตภัณฑ์ของเราเป็นประจำ แต่กลับไม่รู้จักแบรนด์ของเรา</div>
<div></div>
<div>"ภาพลักษณ์ของอ้วยอันโอสถเมื่อเข้าสู่รุ่นที่ 3 คือการกลับมาทบทวน Brand Positioning, Brand personality และทิศทางของแบรนด์กันใหม่ เพื่อทำการตลาดที่เข้าถึงใจของผู้บริโภค เพิ่มเติมจากกลยุทธ์ทางการตลาดที่ผ่านมา"</div>
<div></div>
<div>โดยบริษัทยังจะต้องมุ่งเน้นคุณภาพการผลิต ไม่ว่าจะเป็นการคัดสรรวัตถุดิบ กระบวนการผลิตที่รักษาคุณค่าของสมุนไพรไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะทำให้สินค้าของอ้วยอันโอสถแตกต่างจากคู่แข่งคือความน่าเชื่อถือ พิสูจน์ได้จากประวัติที่มีมายาวนาน</div>
<div></div>
<div>นิชากล่าวอีกว่า ภาระหน้าอีกอย่างคือการทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักแพร่หลายกว่าเดิม โดยการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มที่ยังไม่เคยใช้ยาจากสมุนไพร ด้วยการทุ่มงบโฆษณา 10 ล้านบาท เพื่อโปรโมทสินค้า รวมทั้งพัฒนารูปแบบบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัยเหมาะกับคนรุ่นใหม่ รวมถึงการใช้โซเชียลมีเดียในการเจาะตลาดและสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก</div>
<div></div>
<div>“ในปีหน้า เป้าหมายเราอยู่ที่การเพิ่มยอดขายในโมเดิร์นเทรด เพิ่มจากปัจจุบันที่ 35% ไปเป็น 45%  ขณะที่ช่องทางหลักของเราตั้งแต่สมัยคุณปู่ คือร้านขายยาที่มีกว่า 6,000 แห่ง ก็จะทำกิจกรรมการค้าส่งเสริมการขายให้มากขึ้น”</div>
<div></div>
<div>

ทั้งนี้ กลุ่มลูกค้าของอ้วยอันโอสถแบ่งเป็นกรุงเทพฯ 60%  และต่างจังหวัด 40%  โดยยอดขายของบริษัทในปี 2557 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 280 ล้านบาท เติบโตคิดเป็น 15% จากปีที่แล้ว  และในปี 2558  บริษัทฯ ตั้งเป้าเติบโต 20-25%”

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/Enterpreneurs/mix%20all.jpg" alt="" />

</div>
<div></div>
<div>ด้าน ชนรรค์ สมบูรณ์เวชชการ กรรมการผู้จัดการบริษัท อ้วยอันโอสถ จำกัด ดูแลฝ่ายผลิต การควบคุมคุณภาพ R&amp;D รวมถึงส่งสินค้าไปยังต่างประเทศ เสริมว่า ในปี 2558 ทางบริษัทมีแผนขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต เพราะว่าได้ใช้โรงงานที่มีเต็มกำลังการผลิตแล้ว เนื่องจากความนิยมในผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรเพิ่มมากขึ้น และเพื่อเตรียมพร้อมขยายตลาดรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอีกด้วย</div>
<div></div>
<div>"เรามั่นใจในการขยายตลาดในประเทศ AEC ในอีก 2 ปีข้างหน้านี้ ปัจจุบันบริษัทได้ส่งผลิตภัณฑ์จำหน่ายในประเทศลาวและกัมพูชาแล้ว ได้แก่ ยาอมสมุนไพร ยาน้ำเขากุย และยาน้ำแก้ไอมะแว้ง เป็นต้น  นอกจากนี้ได้ส่งไปยังประเทศโรมาเนีย ออสเตรีย และอิสราเอล โดยมีการขึ้นทะเบียนยาในประเทศเหล่านี้อย่างถูกต้อง”</div>
<div></div>
<div>ผู้บริหารรุ่นหลานกล่าวอีกว่า นอกเหนือจากคุณภาพสินค้าแล้ว ธุรกิจยาสมุนไพรต้องสร้าง "นวัตกรรม" เพื่อให้เป็นจุดขายในการแข่งขันด้วย เราจึงนำนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและงานวิจัยสมุนไพรมาผสมผสานกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของตัวยา เช่นยาขมิ้นชันพลัส เรานำขมิ้นชันมาสกัดด้วยวิธี solvent extraction, oil separation, evaporation, และ spray drying เพื่อเพิ่มความเข้มข้น อีกทั้งยังคิดสูตรทำให้สาร curcuminoid ในขมิ้นชันนั้นได้ถูกซึมซับเข้าสู่ร่างกายเพิ่มมากขึ้นถึงเท่าตัว ที่ผ่านมาเรากินแคปซูลสมุนไพรต้องกินครั้งละ 2-3 เม็ด  แต่สำหรับขมิ้นชันพลัสแล้ว แค่เพียงเม็ดเดียวก็พอ</div>
<div></div>
<div>ในด้านมาตรฐานการผลิต  นอกมาตรฐานการผลิต ASEAN GMP แล้ว  อ้วยอันโอสถยังมีระบบการตรวจสารสำคัญ ด้วยเครื่อง spectophotometer และ high performance liquid chromatography (HPLC) เพื่อทำให้ลูกค้าเชื่อมั่นว่าทุกครั้งที่ใช้สมุนไพรของเรา จะได้ตัวยาที่มีมาตรฐานเหมือนกันทุก</div>
<div></div>
<div>เขาบอกด้วยว่า คำว่า “อ้วยอัน” ในภาษาจีนนั้นแปลว่า “สะอาดและปลอดภัย”  ทางเราต้องยึดถือปรัชญาธุรกิจที่มีมาตั้งแต่รุ่นปู่เอาไว้ ไม่ว่ารูปลักษณ์ของอ้วยอันโอสถจะเปลี่ยนแปลงไปสู่ความทันสมัย หรือใช้เทคโนโลยีในการผลิตที่ก้าวหน้าเทียบเท่ายาแผนปัจจุบันก็ตาม แต่เป็นหน้าที่ที่จะต้องรักษาคุณค่าที่มีมาแต่อดีต ให้ครองใจผู้บริโภคทุกยุคสมัยต่อไป</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events