<h2>Mercer เผย ผลสำรวจค่าตอบแทนรวมประจำปี 2567 พร้อมคาดการณ์ในปี 2568 เงินเดือนเฉลี่ยในไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 5% </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท Mercer ผู้นำระดับโลกด้านการปรับเปลี่ยนแนวคิดการทำงาน การปรับรูปแบบผลลัพธ์การเกษียณและการลงทุน รวมถึงการส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี และเป็นธุรกิจในเครือของ Marsh McLennan (NYSE: MMC) เผยว่าอัตราเงินเดือนเฉลี่ยของพนักงานในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 5.0% ใน พ.ศ. 2568 ซึ่งเทียบเท่า กับปี พ.ศ. 2567&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การสำรวจค่าตอบแทนรวมประจำปี 2567 ของ Mercer ได้วิเคราะห์แนวโน้มและนโยบายค่าตอบแทนจากตำแหน่งงานกว่า 5,000 ตำแหน่งในบริษัทมากกว่า 700 แห่งในประเทศไทย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้อัตราการเพิ่มขึ้นของเงินเดือนจะยังคงอยู่ในอัตราเดียวกันกับกับ พ.ศ. 2567 แต่ทุกบริษัทที่เข้าร่วมการสำรวจ (100%) มีแผนที่จะปรับเพิ่มเงินเดือนในปี พ.ศ. 2568 เมื่อเทียบกับจำนวนบริษัท 99.8% ในปี 2567&nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ ปัจจัยหลักที่มีผลต่อการปรับขึ้นเงินเดือนใน พ.ศ. 2568 ได้แก่ ผลการปฏิบัติงานของพนักงาน กระบอกเงินเดือน&nbsp; ผลการดำเนินงานขององค์กร และความสามารถในการแข่งขันขององค์กรในตลาดแรงงาน โดยปัจจุบัน เกือบ 91.0% ขององค์กรที่ทำการสำรวจมีการใช้แผนจูงใจระยะสั้น อย่าง โบนัส และมีบริษัทที่เสนอแผนจูงใจระยะยาว เช่น สิทธิซื้อหุ้นล่วงหน้า (stock options) เพิ่มขึ้น 1.8% จาก 78.9% ในปี 2566 เป็น 80.7% ในปี 2567- อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคให้ความสำคัญกับฐานเงินเดือน ซึ่งคิดเป็น 75% ของแพ็คเกจค่าตอบแทนทั้งหมดในอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมยานยนต์มีสัดส่วนแผนจูงใจระยะสั้นสูงที่สุด คิดเป็น 23% ของแพ็คเกจค่าตอบแทนทั้งหมดในอุตสาหกรรมนี้&nbsp; - อุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Life Sciences) ยังคงเป็นอุตสาหกรรมที่ให้ค่าตอบแทนสูงที่สุดในประเทศไทย โดยสูงกว่าตลาดโดยเฉลี่ย 20% ด้านมุมมองของเงินเดือนรายปี (annual base salaries)&nbsp;- แม้การใช้โครงการสวัสดิการแบบยืดหยุ่น (Flexible Benefit)จะพบมากในระดับสากล แต่ในประเทศไทยยังคงมีการนำมาใช้ไม่มากนัก โดยมีเพียงไม่ถึงหนึ่งในสี่จากบริษัทที่สำรวจที่เสนอสิทธิประโยชน์เหล่านี้ให้กับพนักงาน&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธีระ เหล่าลัทธพล ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลของ Mercer ประเทศไทย กล่าวว่า “การเพิ่มขึ้นของเงินเดือนเฉลี่ย 5.0% ในปี 2568 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องขององค์กรในประเทศไทยในการลงทุนกับบุคลากร และด้วยจำนวนของบริษัททั้งหมดที่เข้าร่วมการสำรวจมีแผนการปรับเพิ่มเงินเดือน แสดงให้เห็นถึงตลาดแรงงานที่มีการแข่งขันสูงในประเทศไทย” <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/HHfXBfkQahqp13JeUU57.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="HHfXBfkQahqp13JeUU57.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ การนำแนวทางแบบองค์รวมในการจัดการค่าตอบแทนทั้งหมดมาใช้สำคัญสำหรับผู้บริหารฝ่ายทรัพยากรบุคคลเป็นอย่างมาก ซึ่งรวมถึงการปรับเงินเดือน การเสนอแผนจูงใจระยะสั้นและระยะยาว พร้อมทั้งตอบสนองต่อความต้องการที่มีการเปลี่ยนแปลงของพนักงาน องค์กรที่สามารถปรับตัวต่อความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถดึงดูดและรักษาบุคลากรชั้นนำได้ในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนมากขึ้นได้” ผู้บริหารของ&nbsp;Mercer กล่าวทิ้งท้าย​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/hr/robert-walters-reveals-85-percent-of-employees-view-high-salary-good-benefits-are-necessary-before-looking-for-a-new-job" alt="'โรเบิร์ต วอลเทอร์ส' เผย พนักงาน 85% มองเรื่อง 'เงินเดือนสูง-สวัสดิการดี' คือ สิ่งจำเป็น ก่อนเล็งหางานใหม่">'โรเบิร์ต วอลเทอร์ส' เผย พนักงาน 85% มองเรื่อง 'เงินเดือนสูง-สวัสดิการดี' คือ สิ่งจำเป็น ก่อนเล็งหางานใหม่</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Mercer คาด ปี 68 เงินเดือนเฉลี่ยในไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 5% 

<h2>โรเบิร์ต วอลเทอร์ส เผยผลสำรวจทิศทางความเป็นไปได้ เหล่าบริษัทหรือนายจ้างในประเทศไทยจะพร้อมหรือไม่ ให้พนักงานลูกจ้างทำงานเหลือเพียงสัปดาห์ละ 4 วัน โดย 95% ของกลุ่มพนักงานอยากให้องค์กรของตัวเองทดลองใช้แนวคิดนี้ ขณะที่กลุ่มนายจ้างมีแผนที่จะปรับใช้นโยบายนี้ในอีก 1-2 ปีข้างหน้าเพียง 26% </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลุ่มธุรกิจเกิดใหม่ในประเทศไทยพยายามค้นหาแนวทางใหม่ๆ เพื่อดึงดูดคนเก่ง และหนึ่งในแนวทางการทำงานรูปแบบใหม่คือ “การทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์” ที่กำลังเป็นที่พูดถึงทั้งในเกาหลีและอินโดนีเซียเพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีและประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน บริษัท โรเบิร์ต วอลเทอร์ส ที่ปรึกษาด้านการจัดหางานระดับโลก ได้สำรวจความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการทำงานที่ยืดหยุ่น เช่น การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในเอเชีย&nbsp; &nbsp; โดยข้อมูลเชิงลึกดังกล่าวนี้อ้างอิงจากรายงานล่าสุดของ โรเบิร์ต วอลเทอร์ส ที่ชื่อว่า “ทำงาน 4 วัน/สัปดาห์ : พร้อมเปลี่ยนหรือไม่ในเอเซีย” (“The 4-day work week: Is Asia ready for it?”) ได้ทำการสำรวจบุคลากรและองค์กรกว่า 5,000 แห่งใน 11 ประเทศทั่วเอเชีย จากรายงานพบว่า 95% ของพนักงานในประเทศไทยต้องการทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ และมากกว่าครึ่งของผู้ที่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ (58%) เชื่อว่าการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพวกเขา&nbsp;และแม้ว่าองค์กรในประเทศไทยถึง 77% มองว่าการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์มีความเป็นไปได้ แต่ยังมีความลังเลหากต้องนำมาใช้จริง โดยมีเพียง 26% เท่านั้นที่เผยว่ามีแผนที่จะปรับใช้นโยบายนี้ ภายใน 1-2 ปีข้างหน้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปุณยนุช ศิริสวัสดิ์วัฒนา ผู้จัดการประจำประเทศไทยของโรเบิร์ต วอลเทอร์ส กล่าวว่า&nbsp;“ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ใดๆ ก็ตาม สิ่งสำคัญคือการพิจารณาทางเลือกที่หลากหลายที่จะได้รับประโยชน์ทั้งในมุมองค์กรและในมุมพนักงาน ซึ่งการปรับใช้รูปแบบการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงบวก โดยให้ผลลัพธ์ในด้านการพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานและการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน อย่างไรก็ตาม องค์กรเองก็ต้องระมัดระวังในเรื่องของความท้าทายและผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้นด้วย” <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"> <figure style="margin: auto;"> <img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/wLAjUeCB5M4Wi788hYAS.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="wLAjUeCB5M4Wi788hYAS.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"> </figure></div>&nbsp;องค์กรยังกังวลต่อรูปแบบการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การใช้นโยบายการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะปรับแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย&nbsp;แม้ว่าในภาพรวมจะเปิดกว้างก็ตาม ทั้งนี้ แนวทางที่ได้รับความนิยมสำหรับองค์กรไทยในการดึงดูดและรักษาบุคลากร ได้แก่ โครงการเพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน (41%) และโปรแกรมการเรียนรู้และพัฒนาทักษะ (27%)&nbsp; &nbsp; สำหรับองค์กรที่มองว่ารูปแบบการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ไม่สามารถทำได้จริง และยังมีความกังวลอย่างมาก ได้แก่ ผลกระทบเชิงลบต่อการให้บริการลูกค้า เนื่องจากพนักงานไม่เพียงพอในการให้บริการ (67%) ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เป็นผลจากการดำเนินโครงการล่าช้า (50%) และความยุ่งยากในการนำนโยบายมาปรับใช้ทั้งองค์กร ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่พอใจในหมู่พนักงาน (42%)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ยังมีองค์กรถึง 90% ที่มองว่านโยบายนี้เป็นไปได้ เชื่อว่าการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์จะช่วยส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับภูมิภาคที่ 66% นอกจากนี้ องค์กร 77% คิดว่านโยบายนี้จะช่วยดึงดูดและรักษาพนักงานไว้ในบริษัท และ 46% เชื่อว่ารูปบบนี้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานได้​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"> <figure style="margin: auto; width: 550px;"> <img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/TYTcfJNaecFhMoqhdwrP.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="550px,745px" data-align="center" data-file-name="TYTcfJNaecFhMoqhdwrP.jpg" data-file-size="0" origin-size="550,745" data-origin="550px,745px" style="width: 550px; height: 745px;" data-index="1"> </figure></div> ​ ทำงานดี ไม่ได้แปลว่าต้องทำงานหนัก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;58% ของพนักงานที่ต้องการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์เชื่อว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพวกเขาได้ อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ จำนวน 36% มีความกังวลในเรื่องความเครียดที่เพิ่มขึ้นจากการทำงานในจำนวนวันน้อยลงแต่ยังคงมีปริมาณงานเท่าเดิม และ 27% กังวลว่าอาจจะมีการลดค่าจ้างตามมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ 18% ของกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย มีความกังวลในด้านค่าใช้จ่ายที่อาจเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีเวลาว่างเพิ่มมากขึ้น โดยพวกเขาต้องการใช้เวลานั้นเพื่อพัฒนาศักยภาพและความก้าวหน้าทางอาชีพมากกว่า อีกทั้ง&nbsp;พนักงานในไทย (59%) ยินดีที่จะทำงานเพิ่มขึ้นอีก 2 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้สามารถทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ได้โดยยังคงได้รับค่าจ้างเท่าเดิม นอกจากนี้ 45% ของพนักงานยังยินดีที่หยุดการทำงานแบบไฮบริดหรือกิจกรรมงานสังคมต่างๆ ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ช่วยเพิ่มประสิทธิผลการทำงานและช่วยรักษาบุคลากรของบริษัทในเอเชียหรือไม่?&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประเทศมาเลเซีย มีกลุ่มที่สนับสนุนนโยบายนี้ 74% โดยเชื่อว่าการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ขณะที่ 50% อยากให้ลองปรับใช้นโยบายนี้ เพราะเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิผลในการทำงานได้ ส่วนในฮ่องกง 94% ขององค์กรที่เชื่อว่าการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์สามารถทำได้จริง และช่วยรักษาพนักงานไว้ได้ โดยมีพนักงานถึง 91% ที่คิดว่าตนเองมีแนวโน้มที่จะสมัครงานในบริษัทที่เสนอสัปดาห์การทำงาน 4 วัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม องค์กรหลายแห่งในอินโดนีเซียและเกาหลีมีแนวโน้มที่จะพิจารณาหรือนำเสนอนโยบายอื่นๆแทนที่นโยบายการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ เช่น โครงการสนับสนุนด้านสุขภาพจิต รวมถึงโปรแกรมการเรียนรู้และพัฒนาทักษะ เป็นต้น เครดิตภาพ :&nbsp;โรเบิร์ต วอลเทอร์ส และ&nbsp;<a href="https://www.freepik.com/free-photo/talented-designers-focused-work_5404256.htm#fromView=search&amp;page=1&amp;position=32&amp;uuid=505c30f4-3d4b-4a64-bac1-3eb33fbda6cf" style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">Image by pressfoto on Freepik</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/hr/slingshot-group-says-48-percentage-of-new-gen-like-weekly-feedback" alt="หน่วยวิจัยของ ‘สลิงชอท กรุ๊ป’ ชี้คนเจนใหม่ 48% ชอบการฟีดแบครายสัปดาห์ ให้ความสำคัญกับ ‘ทำไมจึงต้องทำ’ (why)">หน่วยวิจัยของ ‘สลิงชอท กรุ๊ป’ ชี้คนเจนใหม่ 48% ชอบการฟีดแบครายสัปดาห์ ให้ความสำคัญกับ ‘ทำไมจึงต้องทำ’ (why)</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

นายจ้างพร้อมไหม? เมื่อพนักงาน/ลูกจ้างไทย 95% อยากให้ลดเวลาทำงานเหลือแค่ 4 วันต่อสัปดาห์

<h2>เมอร์เซอร์ ประเทศไทยได้เปิดเผยผลการสำรวจค่าตอบแทนประจำปี (Total Remuneration Survey - TRS) สำหรับภาพรวมมีการคาดการณ์ว่าค่ามัธยฐานของการขึ้นเงินเดือนประจำปี (Median merit salary increments) ของปี 2567 จะเพิ่มขึ้นเป็น 5% จาก 4.8% ในปี 2566</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“จักรชัย บุญยะวัตร” ประธาน บริษัท เมอร์เซอร์ (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่า “ด้วยการฟื้นตัวที่รวดเร็วของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ภายในประเทศ และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ บวกกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลใหม่ เราคาดว่า economic landscape ในประเทศไทยในปี 2567 จะเป็นไปในเชิงบวก โดยจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมีเสถียรภาพ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับค่ามัธยฐานของการขึ้นเงินเดือนโดยรวม (Median salary increments) ของปี 2567 ในประเทศไทยถูกคาดการณ์ไว้ที่ 5% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคเอเชียที่ 5.2% ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของค่าตอบแทนที่แตกต่างกันระหว่างเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้วและเศรษฐกิจที่กำลังพัฒนาอยู่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยตามรายงานประจำปี 2567 พบว่ากลุ่มประเทศที่มีค่ามัธยฐานของการขึ้นเงินเดือนโดยรวม (Median salary increments) ที่สูงที่สุดในภูมิภาค ได้แก่ อินเดีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ที่ 9.3%, 7.0% และ 6.5% ตามลำดับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในขณะที่ญี่ปุ่น ไต้หวัน และฮ่องกง มีการรายงานค่ามัธยฐานของการขึ้นเงินเดือนโดยรวม (Median salary increments) ที่ต่ำที่สุดในภูมิภาค ที่ 2.6%, 3.8% และ 3.9% ตามลำดับ โดยผลสำรวจของประเทศอื่นๆ ที่รวมอยู่ในการสำรวจมีดังนี้ ฟิลิปปินส์ ที่ 5.7% จีนที่ 5.2% มาเลเซียที่ 5.% เกาหลีใต้ที่ 4.4% และสิงคโปร์ที่ 4.2%อุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์สุขภาพ เทคโนโลยีขั้นสูง และยานยนต์ เป็นกลุ่มที่มีการขึ้นเงินเดือนประจำปี (merit salary increment) สูงที่สุดในประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากผลสำรวจคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะมีการเพิ่มขึ้นของการขึ้นเงินเดือนประจำปี (merit salary increment) โดยอุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์สุขภาพ เทคโนโลยีขั้นสูง และยานยนต์ จะเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นของการขึ้นเงินเดือนประจำปี (merit salary increment) สูงที่สุดในปี 2567 ที่ 5%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งสาเหตุของการเพิ่มขึ้นที่สูงกว่าอุตสาหกรรมอื่นของ 3 อุตสาหกรรมข้างต้นนั้น มีหลายปัจจัยสนับสนุน เช่น การขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์นั้น เป็นผลจากการขยายตัวของนวัตกรรมใหม่อย่างรถยนต์ไฟฟ้าที่มากขึ้นในตลาด และส่งผลให้การแข่งขันขยับตัวสูงขึ้น ทำให้มีความต้องการที่มากขึ้นในการจ้างงานบุคลากรที่มีศักยภาพสูง (talent)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจาก 3 อุตสาหกรรมข้างต้น อุตสาหกรรมส่วนใหญ่ก็ได้รับการคาดการณ์ว่าจะมีการเพิ่มขึ้นของการขึ้นเงินเดือนประจำปี (merit salary increment) สูงกว่าปี 2566 อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมประกันชีวิตเป็นเพียงอุตสาหกรรมเดียวที่มีได้รับการคาดการณ์ว่าการขึ้นเงินเดือนประจำปี (merit salary increment) จะมีการปรับตัวลดลงจาก 4.2 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2566 เป็น 4 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2567&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับการจ่ายโบนัสประจำปี อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง วิทยาศาสตร์การแพทย์ และสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญการทำผลงานของพนักงาน ซึ่งได้ถูกสะท้อนออกมาในการสำรวจ โดยผลสำรวจชี้ให้เห็นถึงความต่างของยอดการจ่ายที่สูงที่สุดระหว่างการจ่ายโบนัสประจำปีสำหรับพนักงานที่ทำผลงานได้ตามเป้าหมายและพนักงานที่ทำผลงานได้โดดเด่นที่ 68%, 61% และ 52% ตามลำดับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อัตราการลาออกจากงานแบบสมัครใจที่สูงขึ้นแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการผ่อนคลายของตลาดแรงงานในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา อัตราการลาออกจากงานแบบสมัครใจในประเทศไทยมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเติบโตเป็น 10% ในปี 2566&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จักรชัยเสริมว่า “เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในประเทศไทย บริษัทต่างๆ ได้เล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ และกำลังลงทุนเพื่อขยายกิจการ ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้มีความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดแรงงาน โดยเฉพาะการแย่งตัวกันของบุคลากรที่มีศักยภาพสูง (talent)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้สังคมที่กำลังดำเนินไปในทิศทางของสังคมผู้สูงอายุได้ทำให้เกิดการขาดแคลนผู้นำในองค์กรต่างๆ ดังนั้นบริษัทต่างๆ ได้เห็นความจำเป็นที่จะต้องเริ่มต้นดำเนินกลยุทธ์ในการจัดจ้างบุคลากรที่มีศักยภาพสูง (talent) เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เดเรก เฮง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท มาร์ช แอน แมคเลนแนน ประเทศไทย กล่าวว่า “ถึงแม้จะมีสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการผ่อนคลายในตลาดแรงงาน อัตราการว่างงานในประเทศไทยยังคงอยู่ที่ 1.2% ในครึ่งแรกของปี 2566 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในอัตราการว่างงานที่ต่ำที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทั่วโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“สิ่งนี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าพนักงานในประเทศไทยยังคงมองหาโอกาสในการทำงานที่จะช่วยให้พวกเขาเติบโตอย่างประสบความสำเร็จในอนาคตและมีโอกาสที่ดีกว่าในเรื่องของค่าตอบแทน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ดังนั้นความสามารถในการนำเสนอแพคเกจค่าตอบแทนที่คิดออกมาอย่างถี่ถ้วนจะเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับนายจ้างและผู้นำด้านทรัพยากรบุคคลในการดูแลและดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพสูง (talent) โดยเฉพาะในสายงานที่ต้องการทักษะเฉพาะตัว เช่น เทคโนโลยีขั้นสูงและวิทยาศาสตร์สุขภาพ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หมายเหตุ: สำหรับการสำรวจในปีนี้มีองค์กรเข้าร่วมการสำรวจค่าตอบแทนประจำปี (TRS) ในประเทศไทยทั้งหมด 617 องค์กร จาก 7 อุตสาหกรรม โดยการสำรวจจัดทำขึ้นระหว่างเดือนเมษายนและมิถุนายนที่ผ่านมา เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/it/news/generative-ai-help-productivity" alt="พนักงานไทย 99% บอกว่า Generative AI ช่วยให้งานมีประสิทธิภาพ มีผลต่อการเลื่อนตำแหน่ง">พนักงานไทย 99% บอกว่า Generative AI ช่วยให้งานมีประสิทธิภาพ มีผลต่อการเลื่อนตำแหน่ง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

คาดปี 67 บริษัทไทยขึ้นเงินเดือน 5% เพิ่มขึ้นจากปี 66 แต่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในเอเชีย

<h2>จ๊อบส์ ดีบี (JobsDB) แพลตฟอร์มหางานชั้นนำของเอเชีย เผยรายงานอัตรา "เงินเดือนพนักงานไทย" ประจำปี 2564 (Salary Report 2021) ข้อมูลฐานเงินเดือนต่ำสุด-สูงสุดแบ่งตามประเภทงาน ครอบคลุมตั้งแต่ระดับเจ้าหน้าที่ถึงระดับผู้บริหาร</h2>
จากรายงานอัตราเงินเดือนของพนักงานไทยประจำปี 2564 (Salary Report 2021) พบว่า ในปีที่ผ่านมา จากสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น ผนวกกับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของเทคโนโลยีและนวัตกรรมในทุกภาคส่วน ส่งผลเป็นวงกว้างทำให้ภาคธุรกิจและองค์กรต่างๆ ต้องหันมาประยุกต์และปรับตัวให้สามารถอยู่รอดได้ในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน อีกทั้งเติบโตไปพร้อมกับแพลตฟอร์มใหม่ๆ ที่กำลังได้รับความนิยม เพื่อขับเคลื่อน ผลักดันให้ธุรกิจก้าวทันโลกที่กำลังเปลี่ยนไป จึงเป็นเหตุให้ความต้องการในตลาดแรงงานส่วนใหญ่เกิดการเปลี่ยนแปลงและมีการจ่ายผลตอบแทนเพื่อดึงดูดคนทำงานเพิ่มมากขึ้นในสายเฉพาะทาง

โดยรายงานอัตราเงินเดือน พบว่า ระดับเจ้าหน้าที่ (Officer Level) สายงานที่มีฐานเงินเดือนสูงสุดได้แก่ 1) สายงานไอที 2) สายงานบริการเฉพาะทาง 3) สายงานโทรคมนาคม ในขณะที่ ระดับหัวหน้างาน (Supervisor Level) สายงานที่มีฐานเงินเดือนสูงสุดได้แก่ 1) สายงานอีคอมเมิร์ซ 2) สายงานโทรคมนาคม 3) สายงานไอที

นอกจากนี้ยังมีรายงาน ระดับผู้จัดการ (Manager Level) ที่ 3 อันดับแรก คือ 1) สายงานประกันภัย 2) สายงานไอที 3) สายงานธนาคาร และ ระดับผู้บริหาร (Top Level)  ที่ 3 อันดับแรก ประกอบด้วย 1) สายงานบริการเฉพาะทาง  2) สายงานอีคอมเมิร์ซ 3) สายงานธนาคาร นอกจากนี้ จ๊อบส์ ดีบี (JobsDB) ยังได้เปิดเผยความต้องการแรงงานปี 63 ที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนแนวโน้มการกลับมาของหลายภาคธุรกิจในปีนี้ โดยพบว่าสายงานไอที ที่มียอดตำแหน่งงานเปิดรับสูงสุดอันดับหนึ่

<figure><img class="wp-image-41339" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/พรลัดดา-เดชรัตน์วิบูลย์-001.jpg" alt="" width="600" height="320" /><figcaption> พรลัดดา เดชรัตน์วิบูลย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด</figcaption></figure>

พรลัดดา เดชรัตน์วิบูลย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จ๊อบส์ ดีบี ได้จัดทำรายงานอัตราเงินเดือนของพนักงานไทยประจำปี 2564 (Salary Report 2021) ใน 4 ระดับตำแหน่งงาน ประกอบด้วย ระดับเจ้าหน้าที่ (Officer Level) ระดับหัวหน้างาน (Supervisor Level) ระดับผู้จัดการ (Manager Level) ระดับผู้บริหาร (Top Level) โดยพบข้อมูลฐานเงินเดือนต่ำที่สุด-สูงที่สุดแบ่งตามประเภทงาน 3 ลำดับแรก มีดังต่อไปนี้
<ol>
 	<li>ระดับเจ้าหน้าที่ (Officer Level) มียอดเงินเดือนเริ่มต้นสูงสุด</li>
</ol>
1) สายงานไอที ระหว่าง 23,225 ถึง 41,122 บาท
2) สายงานบริการเฉพาะทาง ระหว่าง 22,872 ถึง 39,331 บาท
3) สายงานโทรคมนาคม ระหว่าง 22,785 ถึง 38,612 บาท
<ol start="2">
 	<li>ระดับหัวหน้างาน (Supervisor Level) มียอดเงินเดือนเริ่มต้นสูงสุด</li>
</ol>
1) สายงานอีคอมเมิร์ซ ระหว่าง 36,857 ถึง 64,787 บาท
2) สายงานโทรคมนาคม ระหว่าง 36,541 ถึง 67,134 บาท
3) สายงานไอที ระหว่าง 36,522 ถึง 66,920 บาท
<ol start="3">
 	<li>ระดับผู้จัดการ (Manager Level) มียอดเงินเดือนเริ่มต้นสูงสุด</li>
</ol>
1) สายงานประกันภัย ระหว่าง 55,762 ถึง 90,716 บาท
2) สายงานไอที ระหว่าง 54,435 ถึง 93,324 บาท
3) สายงานธนาคาร ระหว่าง 52,993 ถึง 94,481 บาท
<ol start="4">
 	<li>ระดับผู้บริหาร (Top Level) มียอดเงินเดือนเริ่มต้นสูงสุด</li>
</ol>
1) สายงานบริการเฉพาะทาง ระหว่าง 113,563 ถึง 164,071 บาท
2) สายงานอีคอมเมิร์ซ ระหว่าง 113,271 ถึง 161,588 บาท
3) สายงานธนาคาร ระหว่าง 112,917 ถึง 165,114 บาท

จากรายงานอัตราเงินเดือนข้างต้น พบว่า กลุ่มงานสายงานไอที-ดิจิทัล ทุกระดับงานไต่อันดับขึ้นเมื่อเทียบกับผลการสำรวจประจำปี 62 โดยเฉพาะในระดับเจ้าหน้าที่ (Officer Level) ที่ขึ้นแท่นอันดับ 1 จากอันดับ 3 อีกทั้งระดับหัวหน้างาน (Supervisor Level) และ ระดับผู้บริหาร (Top Level) ที่ติดโผสายงานหน้าใหม่ที่มีเงินเดือนสูง จากที่เคยอยู่ในอันดับ 13 และ 12 ตามลำดับ

ในเวลาเพียงสองปี ตอกย้ำให้เห็นถึงความต้องการในการปฏิรูปที่เกิดจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Disruption) นอกจากนี้ยังมีอีกสองสายงานที่น่าจับตามอง ได้แก่ สายงานโทรคมนาคม ที่ขึ้นมาติดอันดับ 1 ใน 5 ในระดับเจ้าหน้าที่ (Officer Level) ระดับหัวหน้างาน (Supervisor Level) และ ระดับผู้จัดการ (Manager Level) สายงานธนาคาร ที่ปรับขึ้นมาติดอันดับ 1 ใน 10 ของรายงานในทุกระดับตำแหน่งงาน สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสการเติบโตของทั้งสองสายงาน หลังการปฏิรูปที่เกิดจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Disruption)

<img class="alignnone wp-image-41334 size-large" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/2-Salary-Report-20-Salary-EntryLevel-1024x640.png" alt="&quot;เงินเดือนพนักงานไทย&quot;" width="640" height="400" />

<img class="alignnone wp-image-41335 size-large" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/3-Salary-Report-20-Salary-Supervisor-2-1024x640.png" alt="&quot;เงินเดือนพนักงานไทย&quot;" width="640" height="400" />

<img class="alignnone wp-image-41337 size-large" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/5-Salary-Report-20-Salary-TopLevel-1024x640.png" alt="&quot;เงินเดือนพนักงานไทย&quot;" width="640" height="400" />

<img class="alignnone wp-image-41337 size-large" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/5-Salary-Report-20-Salary-TopLevel-1024x640.png" alt="&quot;เงินเดือนพนักงานไทย&quot;" width="640" height="400" />

เห็นได้จาก ธนาคารต่างๆ ที่หันมาให้ความสำคัญกับ Digital Banking จนมียอดธุรกรรมออนไลน์เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว และปรับรูปแบบการให้บริการของธนาคารสู่ดิจิทัลเต็มตัว เป็นเหตุให้สายงานธนาคาร มีความต้องการใช้บุคคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านไอที การวิเคราะห์ข้อมูล การสร้างบริการใหม่ๆ มาช่วยพัฒนาระบบ Digital Banking และ สายงานโทรคมนาคม ที่พบว่า ไม่ได้มีเพียงแค่องค์กรยักษ์ใหญ่ในสายงานเท่านั้นที่มีสถิติฐานเงินเดือนที่สูงขึ้น

แต่ยังรวมถึง องค์กรขนาดกลางและเล็กที่มีการแข่งขันที่สูงขึ้น และมองหาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้านไอทีมาช่วยพัฒนารากฐานระบบต่างๆ ขององค์กรเพื่อให้พร้อมต่อการประยุกต์ใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีในภาคเศรษฐกิจ ประกอบกับ สถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน ที่สร้างปรากฏการณ์นิวนอร์มอล (New Normal) ทำให้หลายองค์กรต้องหันมาปรับตัวพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ มากขึ้นอีกด้วย

นอกจากนี้ จ๊อบส์ ดีบี (JobsDB) ยังได้เผยถึงความต้องการแรงงานประจำปี 2563 ซึ่งสะท้อนแนวโน้มการกลับมาของหลายภาคธุรกิจในปีนี้ พบ 10 อันดับสายงานที่กำลังเป็นที่ต้องการในตลาด โดยพบว่า สายงานที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดอันดับหนึ่ง ได้แก่

1) สายงานไอที คิดเป็น 19%
2) สายงานการขาย งานบริการลูกค้า และพัฒนาธุรกิจ คิดเป็น 17%
3) สายงานวิศวกรรม คิดเป็น 10%
4) สายงานการตลาดและประชาสัมพันธ์ คิดเป็น 8%
5) สายงานบัญชี คิดเป็น 7%
6) สายงานธุรการและงานทรัพยากรบุคคล คิดเป็น 7%
7) สายงานธนาคาร คิดเป็น 5%
8) สายงานการผลิต คิดเป็น 3%
9) สายงานขนส่ง คิดเป็น 3%
10) สายงานบริการเฉพาะทาง คิดเป็น 2%

"เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานในยุคดิจิทัลที่สายงานไอที-ดิจิทัล กำลังได้รับความนิยม จ๊อบส์ ดีบี ยังได้มีการแนะถึง 3 ทักษะใหม่ที่คนทำงานต้องมีในยุคนิวนอร์มอล ได้แก่ ทักษะความรู้ด้านไอที ความสามารถในการสื่อสาร และความสามารถในการรู้จักและเข้าใจตัวเอง" พรลัดดา กล่าวทิ้งท้าย

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/%e0%b8%a7%e0%b8%ad%e0%b8%a5%e0%b8%a5%e0%b9%8c%e0%b8%aa%e0%b8%95%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%97-%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%87%e0%b8%a5%e0%b8%b4%e0%b8%8a-%e0%b8%9e%e0%b8%a5%e0%b8%b4%e0%b8%81%e0%b8%a7%e0%b8%b4.html">วอลล์สตรีท อิงลิช พลิกวิฤกตโควิด19 ปรับหมวดธุรกิจ สู่ 3 แพลตฟอร์มใหม่</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events