<h2>YLG เผยทองคำโลกมีโอกาสทะลุเป้าหมาย 3,000 เหรียญสหรัฐต่อทรอยออนซ์ มีเป้าหมายถัดไป 3,100 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ส่วนทองไทยมีลุ้น 48,000-50,000 บาทต่อบาททองคำ จาก 4 ปัจจัยหนุน ได้แก่ 1. ความกังวลในความไม่แน่นอนด้านนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ 2. ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงขึ้น 3. ความคาดหวังของนโยบายการเงินเฟดที่ผ่อนคลายลง และ 4. การซื้อทองคำของธนาคารกลาง แต่ยังต้องระวังแรงเทขายทำกำไร เพราะทองขึ้นมาราคาสูงแล้ว</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดล่วงหน้า (ฟิวเจอร์ส) เปิดเผยว่า ราคาทองคำล่าสุดเมื่อวันอังคารที่ 11 ก.พ. 2568 ได้ขึ้นไปทำราคาสูงสุดใหม่ตลอดกาลที่ 2,942.51 เหรียญสหรัฐต่อทรอยออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5% ในประเทศก็ขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลที่ 47,450 บาทต่อบาททองคำ จนเข้าใกล้เป้าหมายที่ YLG มองไว้ที่ 3,000 เหรียญสหรัฐ และทองไทย 48,000 บาทต่อบาททองคำ ไปจนถึง 50,000 บาทต่อบาททองคำ หากได้อานิสงส์เพิ่มเติมจากเงินบาทอ่อนค่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยสาเหตุหลักที่ทองคำปรับตัวขึ้นยังคงมาจาก 4 ปัจจัย ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. ความกังวลในความไม่แน่นอนด้านนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ล่าสุดได้ลงนามประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมทั้งหมดเข้าสู่สหรัฐ สู่ระดับ 25% โดยไม่มีข้อยกเว้น จากเดิมที่ระดับ 10% โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มี.ค. 2568 แม้ว่าก่อนหน้านี้จะยกเว้นภาษีจากแคนาดาและเม็กซิโกให้ 1 เดือน แต่ทั้งสองประเทศอาจได้รับผลกระทบอีกครั้ง เพราะต่างมีการส่งเหล็กและอลูมิเนียมให้สหรัฐในสัดส่วนที่สูง นอกจากนี้ “ทรัมป์” ยังได้ส่งสัญญาณวางแผนประกาศใช้ภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) เพิ่มเติมในสัปดาห์นี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ยังเพิ่มขึ้น เมื่อกลุ่มฮามาสระงับการปล่อยตัวตัวประกันชาวอิสราเอล โดยอ้างว่าอิสราเอลฝ่าฝืนการหยุดยิงในฉนวนกาซา ในขณะที่ “ทรัมป์” กล่าวว่าฮามาสต้องปล่อยตัวประกันทั้งหมดที่ถูกจับตัว ภายในเที่ยงวันเสาร์นี้ (15 ก.พ. 2568) มิฉะนั้นเขาจะเสนอให้ยกเลิกข้อตกลงหยุดยิง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. ความคาดหวังของนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลง กำลังสนับสนุนทองคำที่ไม่ให้ผลตอบแทนในรูปของอัตราดอกเบี้ย โดยตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) อาจจะลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ได้ตามแผนถึงสองครั้ง ในขณะที่ธนาคารกลางอังกฤษ และ ธนาคารกลางอินเดีย ได้ลดอัตราดอกเบี้ยแบบปผ่อนปรนเพื่อส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจเมื่อเร็วๆนี้ ตามการเคลื่อนไหวที่คล้ายกันของ ธนาคารกลางยุโรป, ธนาคารกลางสวีเดน และธนาคารแห่งประเทศจีน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4. การซื้อทองคำของธนาคารกลาง ยังเพิ่มดีมานด์ทองคำแท่งอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 เป็นปีที่ 3 ติดต่อกันที่มีระดับการเข้าซื้อสูงเกิน 1,000 ตัน โดยในเดือนม.ค. 2568 ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้เพิ่มปริมาณทองคำสำรองเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ทองคำยังได้ปัจจัยหนุนเพิ่มเติมมาจากการที่ สำนักงานกำกับดูแลการเงินแห่งชาติของจีน (NFRA) จัดตั้งโครงการ (pilot scheme) อนุญาตให้บริษัทประกันภัยในจีนสามารถลงทุนในทองคำแท่งได้มากถึง 1% ของสินทรัพย์ทั้งหมด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างการจัดสรรสินทรัพย์ประกันภัย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำนั้นเข้าใกล้ราคาเป้าหมายที่ให้ไว้เร็วกว่าที่คาด ทั้งนี้ YLG ยังคงเป้าหมายเดิม 3,000 เหรียญต่อทรอยออนซ์ ไว้เป็น Base Case แต่หากโมเมนตัมทองคำยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง มองว่าจะมีโอกาสขึ้นทดสอบเป้าหมายถัดไปที่ 3,100 เหรียญต่อทรอยออนซ์ และทองคำแท่ง 96.5% ในประเทศ หากผ่าน 48,000 บาทต่อบาททองคำ จะมีโอกาสขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 50,000 บาทต่อบาททองคำ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ดี ราคาทองคำถือว่าปรับตัวขึ้นมาแรงและเร็ว จึงแนะนำให้ระมัดระวังแรงเทขายทำกำไร โดยนักลงทุนที่มีทองอยู่ในมือสามารถแบ่งขายทำกำไรออกมาบางส่วนที่โซนแนวต้าน 2,975-3,000 เหรียญต่อทรอยออนซ์ ขณะที่นักลงทุนที่ต้องการเข้าซื้อทองคำนั้น แนะนำให้หาจังหวะราคาทองคำย่อตัว บริเวณแนวรับแรก 2,895 เหรียญต่อทรอยออนซ์ หากเอาไม่อยู่มองแนวรับสำคัญไว้ที่ระดับ 2,870 เหรียญต่อทรอยออนซ์ ภาพ: Forbes Thailand เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/ylg-gold-feb-2025" alt="YLG ชี้ทองโลก ลุ้นแตะ 3,000 เหรียญสหรัฐฯ ทองไทยมีโอกาสแตะ 50,000 บาท หากเงินบาทอ่อนค่า"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/gold-all-time-high-50000-feb-2025" alt="YLG ชี้ทองโลก ลุ้นแตะ 3,000 เหรียญสหรัฐฯ ทองไทยมีโอกาสแตะ 50,000 บาท หากเงินบาทอ่อนค่า">YLG ชี้ทองโลก ลุ้นแตะ 3,000 เหรียญสหรัฐฯ ทองไทยมีโอกาสแตะ 50,000 บาท หากเงินบาทอ่อนค่า</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

YLG เปิด 4 สาเหตุหนุนราคาทองขาขึ้นต่อเนื่อง ลุ้นแตะ 50,000 บาท แต่ระวังแรงเทขายทำกำไร

<h2>วายแอลจีเปิดสถิติทองคำ จากปี 2559 หากถือยาว Buy and Hold ได้ผลตอบแทนสูงถึง 124% และสายออมทองทุกๆ เดือน ที่เริ่มเป็นที่แพร่หลายจนถึงปัจจุบัน ยังสร้างผลตอบแทนสูงถึง 63% พร้อมมองเทรนด์ทองคำยังเติบโตได้อีกอย่างน้อย 2 ปี หลังเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยอีก 2% ภายใน 2 ปี ส่งผลดอลลาร์สหรัฐให้ผลตอบแทนน้อยลง นักลงทุนหันซบทองคำ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า บริการออมทองได้รับความสนใจอย่างมากในปีนี้ ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาดทองคำที่คึกคักราคาทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องตลาดทั้งปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้การออมทองเริ่มได้รับความสนใจในวงกว้างเมื่อปี 2559 ที่เริ่มแพร่หลายพร้อมๆ กับการพัฒนาของโลกดิจิทัล ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถลงทุนทองคำได้ในหน่วยย่อย ที่เริ่มตั้งแต่การใช้เงินลงทุนเพียง 100 บาท ซึ่งมีรูปแบบการลงทุนทั้งแบบลงทุนด้วยตัวเองและแบบตัดระบบอัตโนมัติรายเดือนซึ่งจะเป็นการถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA) จึงเป็นทางเลือกให้คนหันมาออมเงินผ่านทองคำแทนการฝากเงิน ที่ทำได้ทั้งซื้อราคาทองไทย และทองคำโลก และยังสามารถถอนออกมาเป็นทองคำหรือขายเป็นเงินสดได้ จึงเป็นการลงทุนที่สะดวก รวดเร็ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับการลงทุนแบบการออมทองนั้น หากนักลงทุนที่เริ่มลงทุนตั้งแต่ปี 2559 ที่ราคาทองคำในตลาดโลกอยู่ที่ต่ำกว่า 1,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หากทำการออมทองทุกเดือนจนถึงปัจจุบันจะได้รับผลตอบแทนรวม 63% หรือหากถือยาว Buy and Hold ก็จะได้ผลตอบแทนสูงถึง 124% โดยคำนวนจากราคาปัจจุบันที่ทองคำอยู่ที่ประมาณ 2,650 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ผลตอบแทนดังกล่าวถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับผลตอบแทนจากการฝากเงิน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยปัจจัยสนับสนุนหลักที่ทำให้ราคาทองคำปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องมาจากนโยบายการเงินของสหรัฐ โดยเฉพาะการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ที่ล่าสุดเดือน ก.ย. ปรับลดไปแล้ว 0.50% และมีแนวโน้มว่าอีกภายใน 2 ปี อาจจะลดอีก 2%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การลดดอกเบี้ยจึงเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาถือครองทองคำโดยการละทิ้งดอลลาร์สหรัฐที่มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การออมทองไม่ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยที่ปรับลดลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าปัจจุบันราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นไปสูงมากเข้าใกล้ราคาเป้าหมายที่ วายแอลจีให้ไว้ที่ 2,700 – 2,750 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ แต่นักลงทุนที่อยากเข้าไปลงทุนเพื่อทำกำไรยังมีโอกาสเข้าไปได้ เนื่องจากปกติทองคำอาจจะย่อแรงก่อนที่จะเข้าถึงเป้าหมายอย่างน้อยหนึ่งครั้ง รวมถึงทองคำจะปรับขึ้นแบบสลับย่อตัว จึงมีจุดที่น่าทยอยเข้าหากทองคำปรับลดลงมาที่ 2,600, 2,610 และ 2,620 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และถ้าทองคำขึ้นไปทำราคาสูงสุดที่ 2,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หรือมากกว่านั้น แถวๆ 2,750 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หลังจากนั้น มีโอกาสที่อาจได้เห็นปรับฐานในรอบใหญ่ลมางถึง 2,350 -2,380 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ส่วนทองในประเทศอาจจะหลุด 40,000 บาทต่อบาททองคำ ไปที่ระดับ 38,000 - 39,000 บาทอต่อบาททองคำ จุดนั้นเป็นจุดที่เหมาะกับการเข้าซื้ออีกครั้ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับลงทุนสะสมแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน DCA (Dollar-Cost-Average) เป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจ เพราะจะทำให้นักลงทุนสามารถสร้างวินัยการออม และเข้าถึงราคาทองได้หลากหลาย อีกทั้งปัจจุบันยังสามารถตั้งเวลาซื้อล่วงหน้าได้อีกด้วย &nbsp; &nbsp;&nbsp; <a href="https://www.freepik.com/free-photo/high-angle-aesthetic-wallpaper-with-gold-bars_33754582.htm#fromView=search&amp;page=1&amp;position=9&amp;uuid=794fbcea-5d85-4f3f-a0c0-2b62c6ba0d52">Image by freepik</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/tfpa-supports-thai-people-to-save-money" alt="คนไทย 30% ไม่มีเงินเก็บเพื่อเกษียณ! สมาคม TFPA จัดเวิร์กช็อป 3 กลุ่มอาชีพ หนุนคนไทยออมก่อนใช้เพื่อเกษียณ">คนไทย 30% ไม่มีเงินเก็บเพื่อเกษียณ! สมาคม TFPA จัดเวิร์กช็อป 3 กลุ่มอาชีพ หนุนคนไทยออมก่อนใช้เพื่อเกษียณ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

YLG เปิดสถิติทองย้อนหลัง 8 ปี ถ้าถือยาวได้ผลตอบแทน 124%

<h2>วายแอลจีเผยทองคำทำราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,144 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หลังตลาดคลายความกังวลมาตรการดอกเบี้ยของเฟดที่ล่าสุดคงดอกเบี้ย 2 ครั้งติด คาดอาจได้เห็นเฟดลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น เป็นในไตรมาส 1/2567 หลังขึ้นดอกเบี้ยมาแล้ว 11 ครั้ง แนะจับตาไตรมาส 1/2567 ทองคำจะปรับขึ้นอย่างโดดเด่นอีกครั้ง</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า ล่าสุดราคาทองคำได้ไต่ขึ้นสู่ระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 2,144 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หลังจากที่สามารถยืนเหนือ 2,070 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยเป็นการปรับขึ้นจากปัจจัยการผ่อนคลายความกังวลเรื่องนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ได้ผ่านจุดสูงสุดของวงจรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว หลังจากการประชุมเมื่อปลายเดือน พ.ย. เฟดมีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.25-5.50% ตามที่ตลาดคาดการณ์ และเป็นการคงอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 11 ครั้ง นับตั้งแต่ที่เริ่มเข้าสู่นโยบายการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน มี.ค. 2565 ด้วยเหตุนี้ทองคำจึงปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่อง จากการคาดการณ์ของตลาดที่คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงต้นเดือนมีนาคม ทั้งนี้ จากข้อมูลของ CME FedWatch Tool รายงานว่า ล่าสุดพบการสำรวจของตลาดให้น้ำหนักมากกว่า 50% ไปในทิศทางว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้นกว่าคาดการณ์ช่วงก่อนหน้า เป็นช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 และในช่วงนั้นราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นอีกครั้ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ แม้หลังการพุ่งขึ้นไปทำราคาสูงเป็นประวัติการณ์แล้ว ราคาทองคำจะปรับตัวลดลงมาบ้างจากแรงขายทำกำไร แต่ความต้องการซื้อทองคำยังแข็งแกร่ง ทำให้ทองคำยืนเหนือ 2,070 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ซึ่งแสดงถึงสัญญาณที่ดี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำช่วงนี้ วายแอลจีแนะนำ ไม่ควรไล่ราคา ให้รอจังหวะซื้อที่ 2,070-2,050 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ โดยมีแนวต้านอยู่ที่ 2,120-2,144 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ซึ่งเป็นแนวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ต้องรอการทดสอบอีกครั้ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนราคาทองคำในประเทศ ความบริสุทธิ์ 96.50% แนะนำเข้าซื้อที่โซนแนวรับ 34,200-33,850 บาทต่อบาททองคำ สำหรับแนวต้านมองที่โซน 35,000-35,400 บาทต่อบาททองคำ (คำนวณด้วยค่าเงินบาท 34.85 บาทต่อดอลลาร์ ณ วันที่ 4 ธ.ค. 2566 เวลา 10.00น.) เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://www.forbesthailand.com/finance-and-investment/news/hua-seng-heng-new-branch" alt="“ฮั่วเซ่งเฮง” เผย 3 ปัจจัยหนุนทองคำขาขึ้น เปิดสาขาเจาะคนรุ่นใหม่">“ฮั่วเซ่งเฮง” เผย 3 ปัจจัยหนุนทองคำขาขึ้น เปิดสาขาเจาะคนรุ่นใหม่</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ทองคำพุ่งแตะ 2,144 ดอลลาร์ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ YLG แนะรอจังหวะซื้อเก็งกำไร 2,070-2,050 ดอลลาร์

<h2>ฮั่วเซ่งเฮง เผยแนวโน้มคนรุ่นใหม่ลงทุนทองต่อเนื่อง หลังปีนี้ทองพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 34,250 บาท ระบุปี 2567 มี 3 ปัจจัยหนุนทองคำขาขึ้นต่อเนื่อง หลังเฟดส่งสัญญาณคงดอกเบี้ยนโยบายระดับสูง สงครามอิสราเอล-ฮามาส รวมถึงพฤติกรรมคนรุ่นใหม่หันมาลงทุนทองเพื่อกระจายความเสี่ยง</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ราคาทองคำโลกปรับขึ้นทำจุดสูงสุดอีกครั้งในรอบ 6 เดือน เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 อยู่ที่ 2,009 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งปีนี้ถือเป็นปีทองของตลาดทองคำที่ราคาปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อ ฮั่วเซ่งเฮง ผู้ดำเนินธุรกิจทองคำที่อยู่ในตลาดมากว่า 70 ปี พร้อมปรับโฉมร้านทองเพื่อเจาะคนรุ่นใหม่ โดยเปิดสาขาใจกลางย่านธุรกิจ ที่สีลม คอมเพล็กซ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ฮั่วเซ่งเฮง เปิดเผยว่า ปี 2566 ถือเป็นปีทองของธุรกิจทองคำ โดยราคาในประเทศปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่บาทละ 34,250 บาท และเป็นการปรับขึ้นถึง 3 ครั้งในช่วงที่เกิดสงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาส ทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้น เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย และเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนรูปแบบอื่นๆ ที่อาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ช่วงครึ่งปีแรก ตลาดทองคำยังทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน ประกอบกับเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง แต่พอเฟดส่งสัญญาณยุติการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย รวมทั้งจากสงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาสที่เกิดขึ้น ทำให้คนหันมาลงทุนทองคำเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง โดยราคาทองคำต่างประเทศปีนี้เพิ่มขึ้น 10% ส่วนในประเทศราคาปรับขึ้น 12% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว” ธนรัชต์ กล่าว 3 ปัจจัยหนุนตลาดทองคำปี 67&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับแนวโน้มลงทุนทองคำในปี 2567 ธนรัชต์ มองว่า ยังเป็นขาขึ้น จาก 3 ปัจจัยสำคัญ คือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1.ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายระดับสูงต่อเนื่อง และคาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปี 2567 เป็นต้นไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2.ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงมีความขัดแย้งของสงคราม และมีแนวโน้มขยายวงกว้าง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3.พฤติกรรมคนรุ่นใหม่ ที่หันมาลงทุนทองคำมากขึ้น โดยเฉพาะปีนี้ที่ราคาทองได้ปรับขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งจากเงินบาทที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้คนหันมาซื้อทองคำด้วยเช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ปัจจุบัน คนรุ่นใหม่กระจายพอร์ตการลงทุนไปยังสินทรัพย์ต่างๆ ซึ่งทองคำเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากเงินบาทที่อ่อนค่า และราคาทองคำที่ปรับสูงขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยปกติคนจะลงทุนทองประมาณ 10% ของพอร์ตการลงทุน แต่ปีนี้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพราะคนรุ่นใหม่หันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์มั่นคงที่มีมูลค่ามากขึ้นตามกาลเวลา” ธนรัชต์ กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม การลงทุนทองคำยังเป็นที่ชื่นชอบของคนทุกเจเนอเรชั่น แต่ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ จะตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มากขึ้น ทำให้มีสัดส่วนของผู้ลงทุนที่มีอายุ 30 - 40 ปีมากขึ้น ซึ่งฮั่วเซ่งเฮง ได้พัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เช่น การลงทุนซื้อ-ขายทองคำผ่านระบบออนไลน์ และแอปพลิเคชั่น เช่น GOLD ONLINE 96.5% และ 99.99% บริการออมทองผ่านแอปพลิเคชั่น GOLD NOW โดยเฉพาะแอปพลิเคชั่น GOLD NOW มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นวันละ 1,000 คน และให้บริการแบบเรียลไทม์ เปิดสาขาใจกลางเมืองเจาะคนรุ่นใหม่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธนรัชต์ กล่าวว่า ในช่วงที่คนรุ่นใหม่หันมาซื้อ-ขายทองคำมากขึ้น โดยเฉพาะปีนี้ ฮั่วเซ่งเฮงจึงเปิดร้านทองฮั่วเซ่งเฮงในศูนย์การค้าสีลม คอมเพล็กซ์ ซึ่งอยู่ใจกลางธุรกิจใจ เพื่อขยายฐานเข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้น รวมทั้งอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าสามารถเดินทางได้สะดวก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เนื่องจากสีลมเป็นจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าทั้งสองสาย ตอบรับไลฟ์สไตล์ของคนเมือง และรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่มาซื้อทอง ซึ่งมีจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน ฮั่วเซ่งเฮง มีทั้งหมด 6 สาขา ได้แก่ สาขาเยาวราช 4 แห่ง สาขาซีคอนฯ ศรีนครินทร์ และสาขาสีลม คอมเพล็กซ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับร้านทองฮั่วเซ่งเฮง สาขาสีลมคอมเพล็กซ์ ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นร้านทองตู้แดงแบบดั้งเดิม แต่ปรับโฉมให้ทันสมัยตอบรับกับคนรุ่นใหม่ ด้วยการเปิดให้บริการพื้นที่ 2 ส่วนหลัก ได้แก่ โซนบริการซื้อ-ขายทองรูปพรรณ ทองคำแท่ง รวมถึงผลิตภัณฑ์ในโอกาสพิเศษต่างๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และโซนสำหรับลูกค้านักลงทุนทองคำ รวมทั้งบริการเปิดบัญชีซื้อ-ขายทองคำแท่ง บริการซื้อ-ขายทองออนไลน์ ผ่าน GOLD ONLINE 96.5% และ 99.99% บริการออมทองผ่านแอปพลิเคชั่น GOLD NOW ให้บริการติดตั้งแอปพลิเคชั่นบนมือถือ การทำธุรกรรมผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันลูกค้ากว่า 80% ใช้บริการผ่านระบบออนไลน์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“สำหรับปีหน้า ยังมองโอกาสที่จะขยายสาขาเพิ่มขึ้น เพราะขยายฐานลูกค้า รวมถึงรองรับไลฟ์สไตล์การลงทุนของคนรุ่นใหม่ที่หันมาสนใจทองคำมากขึ้น เพราะเป็นสินทรัพย์มั่นคงไม่เสื่อมไปตามกาลเวลา และช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากความผันผวนที่เกิดขึ้น” ธนรัชต์ กล่าว เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/people/dine-with-the-boss/krirk-leekasem-new-gen-ceo-se" alt="เกริก ลีเกษม ซีอีโอเจนใหม่สปีด SE ด้วยเทคโนโลยี">เกริก ลีเกษม ซีอีโอเจนใหม่สปีด SE ด้วยเทคโนโลยี</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

“ฮั่วเซ่งเฮง” เผย 3 ปัจจัยหนุนทองคำขาขึ้น เปิดสาขาเจาะคนรุ่นใหม่

&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“รวินทร์ บุญญานุสาสน์” ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมการลงทุนในปี 2566 ยังมีความผันผวน โดยผู้ลงทุนคาดการณ์ว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐมีโอกาสปรับลดลงในอนาคตอันใกล้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่งผลให้สินทรัพย์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ดอลลาร์สหรัฐ มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะสินทรัพย์ประเภททองคำ ที่ถูกจัดเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและให้ผลตอบแทนที่เหมาะสม ในช่วงที่ตลาดผันผวนจากความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจขาลง ปัญหาฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน รวมถึงความยืดเยื้อของสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน และความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธนาคารกรุงไทย ในฐานะผู้นำการลงทุนบนช่องทางดิจิทัล พัฒนาบริการ Gold Wallet บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง เพื่อตอบโจทย์การลงทุนทองออนไลน์แบบครบวงจร ซื้อขายทองออนไลน์ 99.99% ได้ง่าย แบบเรียลไทม์ ด้วยสกุลเงินบาทและดอลลาร์สหรัฐ อ้างอิงราคาตลาดโลก ลงทุนขั้นต่ำเพียง 0.1 ออนซ์ หรือ 6,000 บาท (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันซื้อขาย)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จุดเด่นยังรวมถึงการเปิดบัญชีออนไลน์ได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยเปิดบัญชี Gold Wallet เพียงบัญชีเดียว สามารถซื้อขายกับพันธมิตรร้านค้าทองชั้นนำ 3 แห่งได้ทันที ได้แก่ MTS Gold, YLG Corporation และ Aurora Gold Trading ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการมากกว่า 200,000 บัญชี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับผู้ลงทุนที่สนใจสามารถสมัครใช้บริการและลงทุนทองออนไลน์ผ่าน Gold Wallet บนแอปพลิเคชัน เป๋าตัง ได้ง่ายๆ เพียง 4 ขั้นตอน1) ดาวน์โหลดและติดตั้งแอพลิเคชันเป๋าตัง รองรับทั้งระบบ iOS และ Android 2) ทำการสมัครบริการ Gold Wallet และยืนยันตัวตน 3) ผูกบัญชีหรือเปิดบัญชีกรุงไทยเพื่อใช้แลกสกุลเงิน USD 4) เปิดบัญชีซื้อขายกับร้านทองซึ่งสามารถเลือกเปิดได้ถึง 3 แห่ง คือ MTS Gold, YLG Corporation และ Aurora จากนั้นสามารถส่งคำสั่งซื้อ-ขายทองออนไลน์กับร้านทองได้ทันที เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/4-reasons-support-thai-stock-market-increase" alt="จับตา 4 ปัจจัยหนุนหุ้นไทยเริ่มฟื้นตัว">จับตา 4 ปัจจัยหนุนหุ้นไทยเริ่มฟื้นตัว</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

“กรุงไทย” ตอกย้ำผู้นำลงทุนดิจิทัล ชู “เทรดทอง” บนเป๋าตัง ซื้อง่าย ขายเร็ว

การลงทุนทองคำ ปี ’64 Safe Haven บางส่วน ตอนที่ 2

<h2>เป็นเรื่องยากกับการจัดพอร์ตลงทุนเพื่อรับมือเศรษฐกิจชะลอตัว ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ลองกลับมามองโอกาสจากอสังหาริมทรัพย์ไทยและทองคำ ในขณะที่ไตรมาส 4 เรากำลังจะได้เห็นเศรษฐกิจภาพใหญ่ที่บรรดากระทรวงการคลัง ธนาคารกลางต่างๆ จากทั่วโลกระดมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรับสภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน</h2>
&nbsp;

สภาวะการลงทุนไตรมาส 3 อสังหาริมทรัพย์ไทย และทองคำ ให้ผลตอบแทนดีที่สุด

ภาพรวมการลงทุนทั่วโลกในช่วงไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมายังคงเป็นไตรมาสแห่งความผันผวน ซึ่งสาเหตุหลักที่เป็นตัวขับเคลื่อนความผันผวนของตลาดจะมาจากความขัดแย้งด้านข้อตกลงทางการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศจีน ประกอบกับการเข้าใกล้เส้นตายของอังกฤษจากประเด็นการออกจากยูโรโซน (BREXIT) และตัวเลขเศรษฐกิจทั่วทั้งโลกที่เกิดการชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการหมุนเวียนสลับสับเปลี่ยน (Asset Reallocation)

<img class="alignnone wp-image-22788" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/10/จัดพอร์ตการลงทุน-01.jpg" alt="" width="800" height="510" />

ที่มา : KTBST Research center , Bloomberg

โดยพบว่าสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนดีที่สุดในช่วงไตรมาสที่ 3 จะยังคงเป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ของไทยรองลงมาจะเป็นทองคำ ในขณะที่สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ต่ำที่สุดจะเป็นกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบด้านสงครามการค้าทางอ้อมอย่างตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นเกาหลีใต้ โดยปัจจัยสำคัญในการลงทุนต่อจากนี้ในในไตรมาส 4 ก็คือ ปัญหาความยืดเยื้อของสงครามการค้าและ ปัญหาในเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk) จะทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอลงขนาดไหน ..?
<h2>“มุมมองการลงทุนในไตรมาสที่ 4 กระทรวงการคลังธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรับมือหากเกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว”</h2>
KTBST ได้ทำการศึกษาถึงแบบจำลองความน่าจะเป็น (Logit model) ถึงการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยของเศรษฐกิขสหรัฐฯ ในช่วงอีก 12 เดือนข้างหน้า โดยพบว่าหากสงครามการค้ายังคงดำเนินต่อไป จะส่งผลให้โอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ มีโอกาสเกิดได้สูงขึ้น (รูปที่ 2) ซึ่งจากแบบจำลองดังกล่าว คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะถดถอยมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม 2020 เป็นต้นไป มีโอกาสสูงขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยมาจากสงครามการค้าที่ยังคงยืดเยื้อและเริ่มส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตทั่วโลก ซึ่งสะท้อนผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI : Purchasing Manager’s Index)

<img class="alignnone wp-image-22789 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/10/จัดพอร์ตการลงทุน-02.jpg" alt="จัดพอร์ตลงทุน" width="800" height="460" />

ที่มา : KTBST Research center , Bloomberg

จากการรายงานดัชนี PMI ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา (รูปที่ 3) พบว่าดัชนีดังกล่าวมีการรายงานออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด และส่งผลกระทบต่อจิตวิทยานักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา เนื่องมาจากผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนภายใต้ดัชนี S&amp;P500 นั้นมีสัดส่วนของภาคการผลิตสูงถึง 68% ของผลกำไรตลาดทั้งหมด ส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนมีการไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงเข้าไปยังสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นพันธบัตรรัฐบาลจนส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 10 มีการปรับตัวลดลงสู่ระดับ 1.64% สอดคล้องกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา

<img class="alignnone wp-image-22790 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/10/จัดพอร์ตการลงทุน-03.jpg" alt="จัดพอร์ตลงทุน" width="800" height="446" />

<img class="alignnone wp-image-22791 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/10/จัดพอร์ตการลงทุน-04.jpg" alt="จัดพอร์ตลงทุน" width="800" height="417" />

ที่มา : KTBST Research center , Trading Economics , Investing.com

ประกอบกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ก่อให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “VUCA” : Volatility, Uncertainty, Complexity, Ambiguity ที่จะค่อยๆ ทยอยเกิดในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2019 เช่นการออกจากสหภาพยุโรปของประเทศอังกฤษ, การเจรจาข้อตกลงทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาที่ยังมีความไม่แน่ไม่นอนสูง ตลอดจนข้อพิพาททางการค้าครั้งใหม่ระหว่างสหรัฐอเมริกาและยุโรปจากกรณีปมจ่ายเงินอุดหนุนเครื่องบิน Airbus จะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะฉุดการเติบโตของเศรษฐกิจโลกได้ต่อจากนี้

KTBST คาดว่าจากปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวจะเป็นตัวแปรสำคัญที่อาจก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากทางฝั่งอุปทาน (Supply side recession) ซึ่งจะเป็นภาวะที่อัตราการว่างงานสูงขึ้นเนื่องมาจากต้นทุนการผลิตมีการปรับตัวสูงขึ้นอันเนื่องมาจากภาษีนำเข้าและการจัดสรรทรัพยากรอย่างไม่เหมาะสม จากความเสี่ยงดังกล่าวทำให้ภาครัฐของประเทศต่างๆ อันประกอบไปด้วยธนาคารกลางและรัฐบาลประเทศต่างๆ จะเริ่มออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากยิ่งยิ่งขึ้น โดยในปัจจุบันธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาได้มีการปรับลดดอกเบี้ยไปแล้วทั้งหมด 0.5% ในขณะที่ธนาคารกลางยุโรปได้มีการประกาศมาตรการซื้อสินทรัพย์ (QE) ใหม่อีกราวเดือนละ 2 หมื่นล้านยูโรโดยจะเริ่มใช้ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2019

ซึ่งหากภาวะเศรษฐกิจถดถอยเกิดขึ้นจริงในครั้งนี้ นโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจากธนาคารกลางแต่เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ และจำเป็นจะต้องใช้นโยบายการคลังควบคู่ไปด้วย ซึ่งนโยบายการคลังที่รัฐบาลต่าง ๆทั่วโลกจะใช้ก็คือการประกาศลดภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยนโยบายดังกล่าวได้มีการบังคับใช้ในประเทศอินเดียไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และทาง KTBST คาดว่า ชาติมหาอำนาจอื่นๆ เช่น จีนและสหรัฐอเมริกาจะเริ่มมีการประกาศลดภาษีให้กับภาคธุรกิจในประเทศของตนต่อจากนี้
<h2>การจัดสรรสัดส่วนการลงทุนควรจะมีการกระจายตัวในหลายสินทรัพย์มากขึ้น</h2>
จากสถานการณ์ดังกล่าว KTBST คาดว่าจะมีสภาพคล่องส่วนเกิน (Excess liquidity) ในระบบ ทั้งจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ การอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติมของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกในช่วงไตรมาส 4 ตลอดจนการลดภาษีนิติบุคคลของภาครัฐจะส่งผลให้ ราคาสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลกมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 3 ทาง KTBST ยังคงยึดหลักการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงในหลายสินทรัพย์ โดยมองว่า ตราสารหนี้และหุ้นกู้เอกชนที่มิสินทรัพย์ค้ำประกันเต็มจำนวนยังน่าสนใจ

ขณะที่การปรับลดลงของอสังหาริมทรัพย์หากให้ผลตอบแทนจากการจ่ายปันผล ต่ำหรือใกล้เคียงกับกับพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ยังแนะนำให้ถือ “ทองคำ” ต่อเนื่องและหลีกเลี่ยง “น้ำมัน" กับ “สินค้าโภคภัณฑ์” หลังมีความกังวลว่าระดับ ความต้องการ (Demand) ที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ

ในขณะที่การลงทุนในหุ้น KTBST ยังคงให้ความสำคัญกับตลาดหุ้นที่มีมูลค่าเหมาะสม (Valuation) ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าตลาดอื่นๆ โดยเปรียบเทียบ ประกอบกับต้องมีอัตราการเจริญเติบทั้งทางด้านเศรษฐกิจ (GDP) และผลกำไรที่สูงเหนือกว่าประเทศอื่นๆ (EPS growth) ตลอดจนความมีเสถียรภาพด้านการเมืองที่อยู่ในระดับสูง โดย KTBST ยังคงมุ่งเน้นลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging market) เช่น ตลาดหุ้นในประเทศจีน และ อินเดีย ซึ่งทั้ง 2 ประเทศมีความพร้อมในการใช้นโยบายการเงินและนโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจหากมีความจำเป็น ประกอบกับอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP Growth rate) อยู่ในระดับที่สูงถึง 5-6% ต่อปี

สำหรับนักลงทุนที่ไม่มีเวลาการติดตามภาวะการลงทุนอย่างใกล้ชิด KTBST แนะนำให้มีการกระจายการลงทุนให้เหมาะสมกับความสามารถในการรองรับความเสี่ยง โดยไม่เน้นการลงทุนที่กระจุกตัวในตราสารหนี้หรือตราสารทุนจนเกินไป สำหรับนักลงทุนที่ต้องการความปลอดภัยและเน้นรักษาเงินต้น (Conservative) แนะนำกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ 80% หุ้นในตลาดเกิดใหม่ 2% หุ้นในตลาดพัฒนาแล้ว 8% และหุ้นไทย 10% หากนักลงทุนสามารถรองรับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลาง (Moderate) แนะนำกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ 50% หุ้นในตลาดเกิดใหม่ 7% หุ้นในตลาดพัฒนาแล้ว 18% และหุ้นไทย 25% และนักลงทุนกลุ่มสุดท้ายที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง (Aggressive) แนะนำกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ 20% หุ้นในตลาดเกิดใหม่ 10% หุ้นในตลาดพัฒนาแล้ว 30% และหุ้นไทย 40%

การ จัดพอร์ตลงทุน แบบกระจายตัวช่วยลดความเสี่ยงในช่วงภาวะที่ตลาดมีการแกว่งตัวและช่วยสร้างความมั่งคั่งให้กับนักลงทุนได้ในระยะยาว

<img class="alignnone wp-image-22787 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/10/จัดพอร์ตการลงทุน-05.jpg" alt="จัดพอร์ตลงทุน" width="800" height="445" />

โดย
วิน อุดมรัชตวนิชย์
ประธานกรรมการบริหาร
บล. เคทีบี ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) KTBST

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความธุรกิจและการติดตามกดตามได้ที่ Facebook facepage : forbesThilandMagazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events