<h2>มูจิ ประเทศญี่ปุ่น สั่งลุยเปิดสาขาในไทยอีกเกือบเท่าตัว ตั้งเป้าทะลุ 70 แห่งภายใน 3 ปีหน้า ชี้มูจิไทยอนาคตสดใสหลังปรับแผนตลาดเชิงรุกมา 3 ปีเต็ม ดันยอดขายสูงสุดในอาเซียน ล่าสุดใช้ไทยเป็นฐานพัฒนาสินค้ามูจิขายเฉพาะอาเซียน พร้อมเปิดคอนเซ็ปต์สโตร์แห่งใหม่ที่ One Bangkok ใหญ่ที่ 2 ในอาเซียน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มูจิเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย 18 ปีด้วยการร่วมทุนกับกลุ่มเซ็นทรัล ด้วยภาพลักษณ์สินค้าราคาพรีเมียม จึงเข้าถึงลูกค้าได้เฉพาะกลุ่มในช่วงแรกๆ ก่อนที่จะมีการปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา มีการปรับราคาสินค้าลงจากเดิม ตั้งทีมพัฒนาสินค้าสำหรับจำหน่ายให้ลูกค้าคนไทยมากขึ้น และล่าสุดในปีนี้ได้ใช้ไทยเป็นฐานพัฒนาสินค้าใช้ในครัวเรือน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่นๆ เพื่อส่งขายให้กับมูจิในอาเซียนด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในขณะเดียวกันก็มีการขยายสาขาทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดถึง 14 แห่งในปี 2565-2567 โดยในปี 2565 มูจิเปิดสาขาใหม่ 4 สาขา และ 3 สาขาในปี 2566 ส่วนในปีนี้มีการเปิดตัวสาขาใหม่ไปแล้วถึง 7 สาขา​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/cvJVNPFG2xfRXNS9t74Q.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="3" data-file-name="cvJVNPFG2xfRXNS9t74Q.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การปรับกลยุทธ์ของมูจิใน 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ ‘มูจิ’ แบรนด์สินค้าที่มีภาพลักษณ์พรีเมียม ราคาสูง กลายมาเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงได้ทุกกลุ่มลูกค้า และเหนือความคาดหมายคือ ลูกค้าหลักของมูจิในปีนี้เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีอายุ 25-34 ปี จากปีที่แล้วซึ่งฐานลูกค้าหลักเป็นกลุ่มอายุ 35-44 ปี นอกจากนี้ ยอดขายของมูจิที่มาจากกลุ่มลูกค้าอายุ 18 ปีมีการเติบโตกว่า 100 เปอร์เซ็นต์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญของมูจิในไทย และการที่มูจิในไทยเป็นตลาดกลยุทธ์ของมูจิในภาคพื้นนี้ ด้วยจำนวนสาขาและยอดขายที่สูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราจะเดินหน้าลงทุนเชิงรุกต่อเนื่อง ด้วยการเปิดมูจิในไทยให้ครบ 70 สาขาในอีก 3 ปีข้างหน้า การมีร้านมูจิสโตร์ครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย เป็นไปตามเป้าหมายในการเป็นแบรนด์สินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันของคนไทยทุกคน” อริญา พันธุมโกมล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ธุรกิจของมูจิจะเติบโตอย่างมาก หรือเพิ่มขึ้นกว่า 20% ใน 3 ปีที่ผ่านมา แต่บริษัทพบว่ายังมี pain point และความท้าทายที่ต้องเชิญต่อไป คือ การขายสินค้าที่เบสิก ทำให้ลูกค้าสามารถหาซื้อสินค้าพวกนี้จากที่ไหนก็ได้ และจะต้องทำอย่างไรให้ลูกค้าเชื่อใจและมั่นใจในสินค้าที่เป็นมาตรฐานญี่ปุ่นได้​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/1sGZVrnutEPsRksaYNVt.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="4" data-file-name="1sGZVrnutEPsRksaYNVt.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราเริ่มตั้งทีมการตลาด ขยายทีมการจัดการหน้าร้าน และทีม merchandise ทุกหมวดสินค้า และเริ่มผลิตสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและของใช้ในครัวเรือนที่เหมาะสำหรับคนไทยมากขึ้น ปัจจุบันสินค้าหมวดของใช้บ้านมีสินค้าที่พัฒนาเอง 10% และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 30% ในอนาคต” อริญาบอก​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/jeiujpvN8iBMjZwCBhbR.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="jeiujpvN8iBMjZwCBhbR.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="480,720"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทยังคงจะขยายตลาดเชิงรุกต่อไปในเมืองไทย โดย อกิฮิโร่ คาโมการิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทฯ กล่าวว่า บริษัทได้จัดงานเปิดตัวมูจิ คอนเซ็ปต์สโตร์สาขาล่าสุดที่ วัน แบงค็อก บนพื้นที่ 3,040 ตารางเมตร มีสินค้าและบริการที่ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ของการใช้ชีวิตทั้งสินค้าใหม่และไอเทมยอดนิยมกว่า 5,000 รายการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มูจิ วัน แบงค็อก เป็นสาขาที่ 38 มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่สองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากสิงคโปร์เพียงประเทศเดียว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“Muji One Bangkok เป็นไลฟ์สไตล์สโตร์ที่จะเติมเต็มประสบการณ์ช็อปปิ้งของคนเมืองมากกว่าการจับจ่ายใช้สอย แต่เป็นสถานที่ในการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างครบครันในทุกมิติ ไม่ต่างจากสาขาหลักในประเทศญี่ปุ่น” อกิฮิโร่กล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/esYDjEcSoK7XnjNsv4GD.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="5" data-file-name="esYDjEcSoK7XnjNsv4GD.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับ มูจิ วัน แบงค็อก แบ่งพื้นที่เป็นโซนๆ ได้แก่ โซนเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายซึ่งมีสัดส่วนการขายรวมกว่า 50% ของบริษัท โซนเครื่องใช้ในบ้านและเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน ที่มียอดขายรวมกว่า 47% โซน Health &amp; Beauty โซนขนมและอาหารสำเร็จรูป ซึ่งมีการเปิดตัวครั้งแรกของอาหารท้องถิ่นที่ผลิตในประเทศไทย อาทิ ขนมกุ้งกรอบ 6 รสชาติ รวมถึงผลไม้และขนมขบเคี้ยวกว่าหลายร้อยรายการ เป็นต้น​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/gqsZyjHy1c9QvKv7XNJ3.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="gqsZyjHy1c9QvKv7XNJ3.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังมีโซน PET Products และโซน Grab &amp; Go เปิดบริการตั้งแต่ 07.00 น. นำเสนอสินค้าประเภทอาหาร เครื่องดื่ม กาแฟ เบเกอรี่ ทั้งแบบกึ่งสำเร็จรูป และแบบทำสดใหม่พร้อมรับประทาน อาทิ ข้าวเหนียวหมูปิ้ง, ข้าวปั้นโอนิกิริ (Onigiri) ชุดเบ็นโตะ เมนูขนมปัง และไอศกรีม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทได้เปิดตัวสเปซ “Open MUJI” เป็นครั้งแรกในประเทศไทยเพื่อใช้เป็นพื้นที่เปิดตัวและจำหน่ายสินค้าคอลเลกชั่นใหม่ คอลเลกชั่นพิเศษ รวมถึงใช้จัดแสดงนิทรรศการ กิจกรรมเวิร์กช็อป และกิจกรรมทางการตลาดหลากหลายรูปแบบ โดยมีวัตถุประสงค์ให้พื้นที่นี้สะท้อนแนวคิดของมูจิในการเชื่อมต่อกับลูกค้า สังคม และชุมชน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/jLbkJBUTKWQBYj8VdYDc.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="jLbkJBUTKWQBYj8VdYDc.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“มูจิ ประเทศไทย มุ่งการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการเปิดตัวคอนเซ็ปต์สโตร์ มูจิ วัน แบงค็อก และมูจิโดยรวม สู่กลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง โดยใช้ช่องทางและวิธีการสื่อสารหลากหลายรูปแบบทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ สื่อนอกบ้าน และเป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปีที่มูจิใช้อินฟลูเอนเซอร์และเซเลบริตี้ชื่อดังอย่าง อาเล็ก-ธีรเดช เมธาวรายุทธ และโบว์-เมลดา สุศรี มาร่วมงานเปิดตัวสาขาอย่างเป็นทางการเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์การช็อปปิ้งรูปแบบใหม่ของสาขามูจิ วัน แบงค็อก” อริญา กล่าวทิ้งท้าย เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/starbucks-reserve-one-bangkok" alt="ไทยยังมีศักยภาพอีกมาก! ‘สตาร์บัคส์’ เดินหน้าขยายสาขาต่อ เปิดตัวสาขาที่ 517 กรีนเนอร์สโตร์ใหญ่สุดในไทย">ไทยยังมีศักยภาพอีกมาก! ‘สตาร์บัคส์’ เดินหน้าขยายสาขาต่อ เปิดตัวสาขาที่ 517 กรีนเนอร์สโตร์ใหญ่สุดในไทย</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘มูจิ’ ในไทยอนาคตสดใส! ญี่ปุ่นสั่งลุยเปิดสาขาในไทยอีกเกือบเท่าตัว พร้อมเปิดสาขาใหม่ที่ One Bangkok ใหญ่ที่ 2 ในอาเซียน

<h2>กลยุทธ์การพัฒนาที่ดินยุคใหม่ในกรุงเทพฯ เริ่มมีกระแสการพัฒนาในรูปแบบโครงการมิกซ์ยูส-ผสมผสานอสังหาริมทรัพย์หลายประเภทในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งมักจะเกิดขึ้นบนที่ดินขนาดใหญ่นับหลักสิบไร่ ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นแลนด์มาร์กใหม่ของทำเลซึ่งสร้างความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่</h2>
Forbes Thailand ได้รวบรวมตัวอย่างโครงการมิกซ์ยูสบนที่ดินขนาด 10 ไร่ขึ้นไปในกรุงเทพฯ 4 แห่ง ที่มีการผสมผสานการใช้ประโยชน์ที่ดิน 3 รูปแบบขึ้นไป มีทั้งโครงการที่เริ่มก่อสร้างเสร็จเป็นบางส่วนและอยู่ระหว่างก่อสร้าง ซึ่งน่าจับตามองในฐานะโครงการผู้พลิกโฉมทำเลในอนาคต

&nbsp;

เดอะ แกรนด์ พระราม 9

<figure><img style="width: 680px; height: 340px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/6bda268d21ac2e7be0f9cba03fa815c6.png" alt="" width="680" height="340" /><figcaption> (ขอบคุณภาพจาก: grandcanalland.com)</figcaption></figure>

หัวมุมแยกถนนรัชดาภิเษกตัดถนนพระราม 9 คือที่ตั้งของที่ดินขนาด 73 ไร่ในมือ บริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLAND มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือตระกูล บุญดีเจริญ ที่ถือที่ดินนี้มาตั้งแต่ก่อนปี 2550 ก่อนจะเริ่มเปิดตัวเมกะโปรเจ็กต์ที่จะพัฒนาที่ดินทั้งผืนราวปี 2552 โดยมีมูลค่าโครงการรวม 6 หมื่นล้านบาท พื้นที่ใช้สอยรวม 1.2 ล้านตารางเมตร ตามแผนงานโครงการที่ใช้ชื่อว่า “เดอะ แกรนด์ พระราม 9” นี้จะประกอบไปด้วยอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภท ได้แก่
<ul>
 	<li>พื้นที่รีเทล: เซ็นทรัล พลาซ่า พระราม 9 และ เดอะ ช้อปเปส แอท เบล แกรนด์ พระราม 9</li>
 	<li>สำนักงานให้เช่า: เดอะ ไนน์ ทาวเวอร์ส, ยูนิลีเวอร์ เฮ้าส์, จี ทาวเวอร์ และ เดอะ ซุปเปอร์ ทาวเวอร์ ซึ่งจะมีพื้นที่เช่ารวมกันกว่า 5 แสนตารางเมตร</li>
 	<li>ที่พักอาศัย:  เบล แกรนด์ อเวนิว คอนโดมิเนียม 8 อาคาร จำนวน 2,000 ยูนิต</li>
 	<li>โรงแรม: นิวเวิลด์ แกรนด์ พระราม 9 กรุงเทพฯ</li>
</ul>
ซึ่ง GLAND ได้ทยอยพัฒนาก่อสร้างทีละส่วน ปัจจุบันเปิดบริการไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ โดยจี ทาวเวอร์ เป็นอาคารล่าสุดที่เปิดใช้เมื่อต้นปี 2560 ที่ผ่านมา

ส่วนที่ยังรอการพัฒนาต่อไปคือโรงแรม นิวเวิลด์ แกรนด์ พระราม 9 กรุงเทพฯ ที่จะเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว และโครงการไฮไลต์ที่น่าจับตามองคือ “เดอะ ซุปเปอร์ ทาวเวอร์” ซึ่งเฉพาะส่วนนี้ใช้เม็ดเงินลงทุน 1.8 หมื่นล้านบาท วางแผนให้เป็นตึกที่สูงที่สุดในไทยและอาเซียน ด้วยความสูง 615 เมตร 125 ชั้น เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 2558 ด้วยความสูงนี้ทำให้ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 4-5 ปี กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมใช้บริการปี 2563

<figure><img style="width: 680px; height: 408px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/c316d690f935f37d541a7a16de812139.png" alt="" width="680" height="408" /><figcaption> เดอะ ซุปเปอร์ ทาวเวอร์ หากก่อสร้างเสร็จจะเป็นตึกสูงที่สุดในไทยและอาเซียน ด้วยความสูง 615 เมตร</figcaption></figure>

ความสำคัญ: ย่านรัชดา-พระราม 9 ถือเป็นพื้นที่ นิวซีบีดี หรือ ย่านศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ ขยายจากย่านซีบีดีเก่าอย่างสีลม สาทร สุขุมวิท ซึ่งการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่มีครบทั้งสำนักงานขนาดใหญ่ ศูนย์การค้า และที่อยู่อาศัย ที่สำคัญแลนด์มาร์กใหม่คือ เดอะ ซุปเปอร์ ทาวเวอร์ หากก่อสร้างเสร็จจะทำให้เพิ่มความคึกคัก ดันทำเลรัชดา-พระราม 9 สู่การเป็นย่านนิวซีบีดีมากขึ้น

&nbsp;

ไอคอนสยาม ถ.เจริญนคร

<img style="width: 680px; height: 309px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/315d0934bca0fa6e328cb2354a4431d1.png" alt="" />

3 ประสาน สยามพิวรรธน์-MQDC-เครือซีพี ลงขันปลุกย่านธนบุรีด้วยโครงการ “ไอคอนสยาม” บนที่ดินขนาด 50 ไร่ ฝั่งหนึ่งติดถนนเจริญนคร อีกฝั่งติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา อยู่ระหว่างโรงแรมเพนนินซูล่าและโรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน โครงการนี้มีมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 5.5 หมื่นล้านบาทเนรมิตเป็นโครงการสุดหรูซึ่งประกอบไปด้วย
<ul>
 	<li>พื้นที่รีเทลรวม 5.25 แสนตร.ม. บริหารโดยสยามพิวรรธน์และห้างฯ Takashimaya พันธมิตรจากญี่ปุ่น และจะมีศูนย์ประชุม โรงมหรสพ โรงภาพยนตร์ พิพิธภัณฑ์ ฯลฯ</li>
 	<li>ที่พักอาศัย: แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนท์ เรสซิเดนเซส และ <a href="http://forbesthailand.com/news-detail.php?did=1611">เดอะ เรสซิเดนเซส แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ</a></li>
 	<li>ทางเดินเลียบแม่น้ำยาว 500 เมตร พร้อมจัดกิจกรรมแสงสีเสียง</li>
 	<li>รถไฟฟ้าสายสีทอง กรุงธนบุรี-คลองสาน</li>
</ul>
โครงการนี้ผู้บริหารต่างมีความตั้งใจปั้นให้เป็นแลนด์มาร์กใหม่ของกรุงเทพฯ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก หลังแถลงการจับมือร่วมทุนเมื่อปี 2555 และดำเนินการออกแบบและก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง คาดว่าส่วนรีเทลจะสร้างเสร็จภายในปี 2560 ส่วนที่พักอาศัยจะเริ่มโอนได้ในปี 2561

<img style="width: 340px; height: 337px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/1b03fa7fc1555963bd777bd9bf3f4faf.png" alt="" />

ความสำคัญ: แม้ก่อนหน้านี้จะมีโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ที่ปลุกความคึกคักริมแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ไอคอนสยามมีทำเลที่ต่างออกไปคือเลือกตั้งบนฝั่งธนบุรีต่างจากโครงการพาณิชย์อื่นที่เลือกทำเลบนฝั่งรัตนโกสินทร์ อีกทั้งเป็นโครงการระดับเมกะโปรเจ็กต์ หลังจากโครงการเปิดตัว ทำให้ที่ดินในบริเวณขยับราคาสูงขึ้น จากข้อมูลของคอลลิเออร์สรายงานโดยนสพ.โพสต์ทูเดย์ พบว่าเมื่อปี’57 ราคาที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ที่ 4.5 แสนบาท/ตร.ว. ปรับขึ้น 70% จากปี’54 หรือเฉลี่ยสูงขึ้นปีละ 23%

&nbsp;

Whizdom 101 ปุณณวิถี

<img style="width: 680px; height: 378px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/6a01976550f776ff0d75c714a23be62c.png" alt="" />

ข้ามโซนมาที่ถนนสุขุมวิทช่วงสถานี BTS ปุณณวิถี พื้นที่ 43 ไร่ซึ่งเดิมเคยเป็น ปิยรมย์ สปอร์ตคลับ ศูนย์กีฬาเก่าแก่ที่ดึงดูดชนชั้นกลางถึงสูงในย่านเข้ามาใช้บริการ ซึ่ง บมจ.แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC) บริษัทอสังหาฯในมือตระกูล เจียรวนนท์ เข้าซื้อที่ดินทั้งหมดและวางผังพื้นที่ใหม่เป็นโครงการ <a href="http://forbesthailand.com/news-detail.php?did=1547">“Whizdom 101 (วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน)”</a> มูลค่าโครงการ 3 หมื่นล้านบาท ภายในประกอบด้วย
<ul>
 	<li>คอนโดมิเนียม 3 อาคาร รวม 3,000 ยูนิต: วิสซ์ดอม คอนเนค, วิสซ์ดอม เอสเซ้นส์ และอีก 1 โครงการที่รอการเปิดตัว</li>
 	<li>สำนักงานให้เช่า 2 เฟส รวมพื้นที่ 7 หมื่นตร.ม.</li>
 	<li>พื้นที่รีเทล 2 หมื่นตร.ม. : Hillside Town และ 24 Hours Street</li>
 	<li>สปอร์ตคลับ 1 หมื่นตร.ม.</li>
</ul>
MQDC เริ่มออกแบบโครงการเมื่อปี 2558 และคาดว่าจะเปิดบริการได้เต็มรูปแบบในเดือนตุลาคม 2561

<img style="width: 680px; height: 359px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/7bd7be5e06cf8ba52ca34f8aca40609d.png" alt="" />

ความสำคัญ: ทำเลถนนสุขุมวิทช่วงอ่อนนุช-อุดมสุข ที่ผ่านมาเป็นเขตที่พักอาศัยผสมกับบริษัทขนาดกลางถึงเล็กซึ่งมีที่ดินหรืออาคารพาณิชย์ของตนเอง และยังไม่มีโครงการอสังหาฯขนาดใหญ่ในแบบมิกซ์ยูส ดังนั้น Whizdom 101 จึงเป็นโครงการที่เข้ามาบุกเบิก ซึ่งเปลี่ยนให้พื้นที่มีการใช้งานเชิงพาณิชยกรรมสูงขึ้นอีกระดับ

&nbsp;

One Bangkok ถ.พระราม 4-วิทยุ

<img style="width: 680px; height: 486px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/723c383b61d700d4a557172a9b6dd67b.png" alt="" />

โครงการมิกซ์ยูสที่ใหญ่ที่สุดเพิ่งประกาศเปิดตัวไปเมื่อเดือนเมษายน’60 <a href="http://forbesthailand.com/news-detail.php?did=1551">“One Bangkok”</a> โครงการอสังหาริมทรัพย์บนที่ดินขนาด 104 ไร่ หัวมุมถนนพระราม 4-วิทยุ ตรงข้ามสวนลุมพินี มูลค่าโครงการรวม 1.2 แสนล้านบาท พื้นที่ก่อสร้าง 1.83 ล้านตร.ม. ซึ่ง ทีซีซี กรุ๊ป ของ เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี เป็นผู้เช่าที่ดินผืนงามนี้จากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นเวลา 30+30 ปี

<img style="width: 680px; height: 377px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/c67581a427339d74b907fd1588d4b0a8.png" alt="" />

ที่ดินเดิมเคยเป็นที่ตั้งสวนลุมไนท์บาซาร์ ขณะที่โครงการใหม่ One Bangkok มีคอนเซปท์การพัฒนาเป็น City within the city เสมือนเป็นเมืองใหม่เมืองหนึ่ง ประกอบด้วย
<ul>
 	<li>สำนักงานให้เช่า 5 อาคาร พื้นที่รวม 5 แสนตร.ม. : อาคารไฮไลต์คือ อาคารดอกพิกุลสูง 380 เมตร 90 ชั้น</li>
 	<li>โรงแรมระดับ 5 ดาว 5 แห่ง รวมจำนวน 1,000 ห้อง</li>
 	<li>คอนโดมิเนียมระดับอัลตร้า ลักเซอรี่ 3 อาคาร</li>
 	<li>พื้นที่รีเทล 4 แห่ง</li>
</ul>
ซึ่งแผนงานที่วางไว้จะเริ่มเปิดบริการพื้นที่ส่วนใหญ่ได้ในปี 2564 ก่อนจะเปิดเต็มรูปแบบในปี 2568 รองรับผู้ใช้บริการและพักอาศัยในโครงการได้ 6 หมื่นคน

ความสำคัญ: นอกจากจะเป็นมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่สุดแล้ว ทำเลสวนลุมพินียังถือเป็นย่านซีบีดีดั้งเดิม การพัฒนาโครงการผืนใหญ่นับร้อยไร่กลางเมืองในลักษณะเมืองใหม่จึงน่าจับตามองอย่างยิ่ง

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events