<p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;<strong>ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) (“STGT”)</strong> <strong>คว้ารางวัลอันทรงเกียรติจากงาน อย. ควอลิตี้ อวอร์ด 2566 ในกลุ่มสถานประกอบการดีเด่นด้านเครื่องมือแพทย์ ตอกย้ำมาตรฐานและคุณภาพระดับสากลต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 </strong>พร้อมความทุ่มเทอันเปี่ยมล้นในการพัฒนาและขับเคลื่อนธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงส่งเสริมการดำเนินงานด้วยปณิธานองค์กรสู่การส่งมอบเป้าหมายอันยิ่งใหญ่เพื่อ “ปกป้องทุกสัมผัส ด้วยความห่วงใย” สู่ทุกชีวิตทั่วโลกได้อย่างยั่งยืน</p><p>​</p><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/zMtEErcc9p8EGCGD4tXc.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="zMtEErcc9p8EGCGD4tXc.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="1920,1279"></figure></div><p><br></p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2566 <strong>วิทย์นาถ สินเจริญกุล กรรมการบริหาร บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT</strong> ผู้นำด้านการผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและยางสังเคราะห์ทางการแพทย์และอเนกประสงค์ครบวงจรอันดับ 1 ของประเทศไทย และอันดับ 1 ใน 5 ของโลก เข้ารับรางวัลในโครงการส่งเสริมคุณภาพการประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์สุขภาพ หรือ อย. ควอลิตี้ อวอร์ด ประจำปี 2566 ในกลุ่มสถานประกอบการดีเด่นด้านเครื่องมือแพทย์ จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข ณ แกรนด์ ริชมอนด์ สไตลิช คอนเวนชั่น โฮเทล จังหวัดนนทบุรี โดยได้รับเกียรติจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้รับมอบรางวัลในครั้งนี้<br></p><p>​</p><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/Y9LXG1vEgMZYTWVCftsz.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="Y9LXG1vEgMZYTWVCftsz.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="1920,1279"></figure></div><p><br></p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;<strong>&nbsp;วิทย์นาถ สินเจริญกุล กรรมการบริหารแห่ง STGT กล่าวว่า</strong> “รางวัลดังกล่าวเปรียบเสมือนสิ่งที่สร้างความภาคภูมิใจให้แก่บริษัทฯ รวมถึงพนักงานทุกๆ คนเป็นอย่างมาก เนื่องจากศรีตรังโกลฟส์ได้ผ่านเกณฑ์พิจารณาคัดเลือกเข้ารับรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด ให้เป็นองค์กรที่ดำเนินงานอย่างมีคุณภาพ จริยธรรม และมีการนำระบบควบคุมคุณภาพมาใช้ เพื่อผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและความปลอดภัยตรงตามมาตรฐานระดับสากลสูงสุดออกสู่ตลาด จากทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 ซึ่งสามารถใช้รับรองและบ่งบอกได้ถึงเครื่องหมายในการการันตีประสิทธิภาพ&nbsp;</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและการรักษาระดับมาตรฐานที่ดีของบริษัทเสมอมา เพื่อตอกย้ำความเป็นมืออาชีพและการเป็นผู้นำด้านการผลิตถุงมือยางทางการแพทย์และอเนกประสงค์อันดับ 1 ของประเทศไทย ที่มุ่งพัฒนาการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเน้นขับเคลื่อนเป้าหมายสำคัญสู่การเป็นผู้นำทางการผลิต “ถุงมือยางรักษ์โลก” ที่สะอาดปราศจากสารเคมีอันตรายทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ไปจนถึงกระบวนการผลิตและการส่งมอบไปยังผู้บริโภค เพื่อให้สอดรับกับแนวทางด้านสิ่งแวดล้อมที่บริษัทฯเล็งเห็นและใส่ใจมาโดยตลอด พร้อมกันนี้เรายังมุ่งมั่นผลักดันองค์กรด้วยปณิธานอันแรงกล้าที่ต้องการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่สามารถ “ปกป้องทุกสัมผัส ด้วยความห่วงใย” ออกสู่ทุกชีวิตทั่วโลกได้อย่างยั่งยืนตลอดไป<br></p><p><br></p><div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/NBXbYuzEReGhqubCJaeb.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="NBXbYuzEReGhqubCJaeb.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2" origin-size="1920,1280"></figure></div><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;<br></p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;</p><p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​<br></p>

“ศรีตรังโกลฟส์” คว้ารางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด 2566 ตอกย้ำมาตรฐานและคุณภาพระดับสากลต่อเนื่องเป็นปีที่ 12

<h2>STGT ดีเดย์วันที่ 5 มกราคมนี้ เริ่มเทรดหุ้นที่พาร์ใหม่ พร้อมปรับนโยบายจ่ายเงินปันผลเป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการ</h2>
บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT ดีเดย์วันที่ 5 มกราคมนี้ เริ่มเทรดหุ้นที่พาร์ใหม่ หนุนเพิ่มสภาพคล่องการซื้อขายบนกระดานและขยายฐานนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมปรับนโยบายจ่ายเงินปันผลเป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการ จากเดิมไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการ ส่วนปี 2564 เตรียมจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลทุกไตรมาสในเดือนมิถุนายน กันยายนและธันวาคม

<strong>จริญญา จิโรจน์กุล</strong> กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือSTGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2564 เป็นต้นไป บริษัทฯ จะเริ่มซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ราคาพาร์ใหม่ หลังจากได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นอย่างเป็นเอกฉันท์ในที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา ให้เปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) จากเดิมหุ้นละ 1 บาท เป็นมูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ซึ่งจะส่งผลให้หุ้นSTGT เพิ่มขึ้นเป็น 2,869.56 ล้านหุ้น จากเดิมอยู่ที่ 1,434.78 ล้านหุ้น และเป็นประโยชน์กับบริษัทฯ และผู้ถือหุ้น

จากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ คาดว่าจะส่งผลดีต่อการเพิ่มสภาพคล่องการซื้อขายหุ้นของบริษัทฯ เนื่องจากนักลงทุนจะใช้เงินลงทุนขั้นต่ำต่อการซื้อหุ้นในแต่ละครั้งลดลง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจลงทุนหุ้นSTGT และส่งผลดีต่อการเพิ่มจำนวนผู้ถือหุ้น รวมถึงสร้างความสนใจให้แก่นักลงทุนสถาบันต่างประเทศที่พิจารณาสภาพคล่องการซื้อขายหุ้นของแต่ละบริษัทเป็นหนึ่งในเกณฑ์การตัดสินใจเพื่อเข้าลงทุน

นอกจากนี้ ยังจะทำให้ราคาหุ้นของบริษัทฯ เทียบเคียงได้กับราคาหุ้นของผู้ประกอบการถุงมือยางชั้นนำในประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศมาเลเซีย (KLSE) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศสิงคโปร์ (SGX) อันจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในหุ้นSTGT ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังได้เปลี่ยนแปลงนโยบายการจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นเป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการ จากเดิมไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการ และในปี 2564 มีนโยบายจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลทุกไตรมาสในเดือนมิถุนายน กันยายนและธันวาคม อย่างไรก็ตามคณะกรรมการบริษัทฯ อาจทบทวนนโยบายจ่ายเงินปันผลได้ตามที่เห็นสมควร

ขณะที่ความคืบหน้าการนำหุ้นSTGT เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศสิงคโปร์ (Secondary Listing by way of Introduction) บนกระดานหลัก (Main Board) นั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการยื่นเอกสารเพื่อพิจารณา คาดว่าจะทำการซื้อขายหุ้นได้ในช่วงไตรมาส 2/2564 โดยไม่มีการออกและเสนอขายหุ้นใหม่ แต่เป็นการนำหุ้นเดิมบางส่วนเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศสิงคโปร์ ซึ่งจะอำนวยให้เกิดการขยายฐานผู้ถือหุ้นที่หลากหลาย สร้างชื่อเสียงบริษัทฯ ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น รวมถึงใช้เป็นช่องทางระดมทุนเพิ่มเติมในอนาคตได้

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E0%B8%9B%E0%B8%B5-2564-%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B9%82%E0%B8%95.html">สตางค์ชี้ ปี 2564 “ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่” คึกคัก</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

STGT เริ่มเทรดพาร์ใหม่ 5 ม.ค.นี้ หนุนเพิ่มสภาพคล่องและขยายฐานผู้ลงทุน

<h2>ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) ประกาศความพร้อมเติบโตรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 และเทรนด์สุขอนามัยทั่วโลกในยุค New Normal เดินหน้าขยายกำลังการผลิตตามแผนควบคู่การพัฒนานวัตกรรมถุงมือยางธรรมชาติที่ไม่ก่อให้เกิดการแพ้โปรตีน</h2>
<strong>จริญญา จิโรจน์กุล</strong> กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์รายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า แม้อนาคตจะมีการผลิตวัคซีนป้องกัน COVID-19 ได้เป็นผลสำเร็จ แต่บริษัทยังมั่นใจในการเติบโตและความต้องการใช้ถุงมือยางที่น่าจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงระยะเวลาของการฉีดวัคซีน รวมถึงความต้องการใช้ถุงมือในอุตสาหกรรมต่างๆอย่างแพร่หลายในระยะยาว ไม่เฉพาะทางการแพทย์เท่านั้น แต่ยังถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้นเพื่อสุขอนามัยที่ดีในยุค New Normal ที่คนทั่วโลกใส่ใจการรักษาความสะอาดยิ่งขึ้น

<span style="color: #993300;">“เรามั่นใจว่าถุงมือยางยังเป็นที่ต้องการจากทั่วโลก ซึ่งปัจจุบัน STGT ยังเดินเครื่องจักรเต็มกำลังการผลิต และเดินหน้าขยายการลงทุนตามแผนงานเดิม ดังนั้น จากดีมานด์ที่มีอย่างต่อเนื่องจึงมั่นใจว่าราคาขายเฉลี่ยยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นได้อีกในปีหน้า ซึ่งจะส่งผลดีต่อเป้าหมายการเติบโตของบริษัท”</span> <strong>จริญญา</strong>กล่าวถึงการเดินหน้าลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตตามแผนงานที่วางไว้ ซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีการแจ้งยกเลิกหรือชะลอการรับสินค้า รวมถึงยังได้รับคำสั่งซื้อใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะมีความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ส่งผลให้ระยะเวลาการส่งมอบสินค้ายังคงอยู่ที่ 16 – 30 เดือน

<figure><img class="wp-image-38653 size-large" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/12/คุณจริญญา-จิโรจน์กุล-1024x651.jpg" alt="" width="640" height="407" /><figcaption> จริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT</figcaption></figure>

ขณะเดียวกัน STGT ยังไม่หยุดนิ่งในการหาโอกาสขยายตลาดและเพิ่มยอดขายสินค้า โดยล่าสุดบริษัทได้ทุ่มงบเร่งวิจัยและพัฒนา (R&amp;D) ถุงมือยางธรรมชาติที่ไม่ก่อให้เกิดการแพ้โปรตีน ซึ่งผลิตจากสูตรน้ำยางธรรมชาติและกระบวนการผลิตที่ผ่านการคิดค้นและทดลองจนสามารถป้องกันไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ทางผิวหนังได้ โดยเป็นสินค้านวัตกรรมใหม่ที่สามารถสร้างความแตกต่างและสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้าเพื่อเจาะตลาดเซกเมนต์ใหม่ พร้อมวางเป้าหมายเดินเครื่องผลิตเพื่อจำหน่ายได้ในช่วงกลางปี 2564

นอกจากนั้น จริญญายังคาดการณ์ว่า สินค้าดังกล่าวจะเป็นจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจของอุตสาหกรรมถุงมือยาง โดยเฉพาะด้านความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ถุงมือยางธรรมชาติเพิ่มขึ้นทดแทนการใช้ถุงมือยางไนไตรล์จากปัจจุบันที่ภาพรวมทั่วโลกมีความต้องการการใช้ถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์ (ถุงมือยางสังเคราะห์) ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน เนื่องจากสามารถตอบโจทย์การใช้งานสำหรับผู้ที่แพ้สารโปรตีนในน้ำยางธรรมชาติและยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะใช้วัตถุดิบจากน้ำยางธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีราคาถูกกว่าถุงมือยางไนไตรล์

ด้าน <strong>ธนวรรณ เสงี่ยมศักดิ์</strong> ผู้อำนวยการสายงานบัญชีและการเงิน STGT กล่าวถึงภาพรวมคำสั่งซื้อสินค้าที่แข็งแกร่งและราคาขายที่ปรับขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้มั่นใจว่าผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาสสุดท้ายจะสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดตามแผนที่วางไว้ และมีโอกาสทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า หลังจากผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปีนี้มีรายได้รวม 1.68 หมื่นล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 89.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วนในปี 2564 บริษัทวางเป้าหมายเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ภาพรวมความต้องการใช้ถุงมือยางทั่วโลกยังมีอัตราเติบโตอย่างน้อย 12% ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อการดำเนินงานของบริษัท ประกอบกับ STGT อยู่ระหว่างการลงทุนขยายกำลังการผลิต โดยในปีหน้าจะมีโรงงานก่อสร้างแล้วเสร็จอีก 4 แห่ง จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 3.59 หมื่นล้านชิ้นต่อปี จากปัจจุบันอยู่ที่กว่า 3.26 หมื่นล้านชิ้นต่อปี

“ในปีหน้าบริษัทจะเริ่มเดินเครื่องจักรโรงงานใหม่เพิ่มขึ้นอีก 4 แห่ง ใช้งบลงทุนรวมกว่า 9.9 พันล้านบาท  โดยในปี 2567 วางเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งเป็นกว่า 8.26 หมื่นล้านชิ้น และในปี 2569 จะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1 แสนล้านชิ้นต่อปี ซึ่งจะทำให้บริษัทมีศักยภาพเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 5-6 ปีข้างหน้า” ธนวรรณ กล่าว

ทั้งนี้ แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจถุงมือยางไทย โดย<strong> วีรสิทธิ์ สินเจริญกุล</strong> ในฐานะนายกสมาคมผู้ผลิตถุงมือยางไทย หรือ The Thai Rubber Glove Manufacturers Association (TRGMA) ได้เปิดเผยแผนเพิ่มศักยภาพและความแข็งแกร่งสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมถุงมือยางไทย ได้แก่การประสานงานกับภาครัฐเพื่อให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ประกอบการ รองรับการลงทุนขยายกำลังการผลิต และการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เช่น สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) เพื่อเพิ่มองค์ความรู้ด้านการผลิตและส่งเสริมผู้ประกอบการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ถุงมือยางที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงการประสานงานกับหน่วยงานรัฐบาล เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการไทยขยายกำลังการผลิตและตลาดส่งออกในทุกภูมิภาคทั่วโลก

ขณะเดียวกันสมาคมยังกำหนดนโยบายผลักดันผู้ประกอบการอุตสาหกรรมถุงมือยางของไทยให้ขยายการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทุกด้าน เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดโลกรองรับความต้องการใช้สินค้าที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ด้วยเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งเป็น 20% จากปัจจุบัน 15% พร้อมยกระดับประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตถุงมือยางธรรมชาติของโลก หลังจากประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก เช่น มาเลเซียและจีนได้ขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะจีนสามารถเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดโลกในระดับใกล้เคียงกับประเทศไทยจากปัจจุบันที่ไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกถุงมือยางมีส่วนแบ่งตลาด (จากปริมาณการขาย) เป็นอันดับ 2 ของโลก

<span style="color: #993300;">“สมาคมฯ พร้อมเป็นหน่วยงานเพื่อประสานกับภาครัฐในการแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมถุงมือยางไทยในตลาดโลก โดยเฉพาะการเพิ่มศักยภาพเพื่อขยายกำลังการผลิตให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งยังมีข้อจำกัด เช่น การเข้าถึงแหล่งเงินทุน กฎระเบียบผังเมือง การขออนุญาตจัดตั้งโรงงาน”</span> วีรสิทธิ์ กล่าว

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/%e0%b9%84%e0%b8%97%e0%b8%a2%e0%b9%80%e0%b8%9a%e0%b8%9f%e0%b8%af-%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b8%8a%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad-%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%a1%e0%b8%a2.html">ไทยเบฟฯ สร้างชื่อ “ความยั่งยืน” ระดับโลก</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

STGT มั่นใจวัคซีนหนุนดีมานด์ "ถุงมือยาง" เติบโตแกร่ง

จริญญา จิโรจน์กุล พา "ศรีตรังโกลฟส์" ไต่ระดับความยั่งยืน

<h2>บมจ. ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) เตรียมเสริมความแข็งแกร่งด้านเงินทุนด้วยการเดินหน้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) โดยการเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 444,780,000 หุ้น มุ่งสู่การเป็นผู้ผลิตถุงมือยางท็อป 3 ของโลก พร้อมเร่งดำเนินการเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งเป็นกว่า 3 หมื่นล้านชิ้นต่อปีภายในปี 2563 เพื่อตอบสนองความต้องการจากทั่วโลก</h2>
<strong>จริญญา จิโรจน์กุล</strong> กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT หนึ่งในผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์รายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า ปัจจุบัน STGT เป็นผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ที่สุดในไทยและรายใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 บริษัทฯ มีกำลังการผลิตติดตั้งรวมทั้งสิ้น 2.715 หมื่นล้านชิ้นต่อปี จากโรงงาน 3 แห่ง ได้แก่ จังหวัดสงขลา สุราษฎร์ธานีและตรัง รวม 132 สายการผลิต และอยู่ระหว่างขยายกำลังการผลิตติดตั้งเป็นประมาณ 32,000 ล้านชิ้นต่อปีภายในปี 2563 รวมทั้งยังมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความเป็นผู้นำของการผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางในตลาดโลกอย่างยั่งยืน

ปัจจุบัน บริษัทฯ แบ่งการดำเนินธุรกิจเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1. ธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติ (Latex Glove) ประกอบด้วยถุงมือยางธรรมชาติชนิดมีแป้ง (Latex Powdered Glove) และถุงมือยางธรรมชาติชนิดไม่มีแป้ง (Latex Powder Free Glove) และ 2. ธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางไนไตรล์ (Nitrile Glove) ที่ผลิตจากน้ำยางสังเคราะห์ เพื่อใช้ทางการแพทย์และอุตสาหกรรมต่างๆ

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีกลุ่ม บมจ.ศรีตรัง แอโกรอินดัสทรี ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในโลกเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จึงเพิ่มความมั่นคงด้านการจัดหาวัตถุดิบและการควบคุมคุณภาพ ประกอบกับทำเลที่ตั้งของโรงงานที่อยู่ในแหล่งเพาะปลูกยางพารา จึงสามารถจัดหาน้ำยางต้นทุนต่ำ รวมทั้งได้นำเทคโนโลยีการผลิตแบบอัตโนมัติ (Automation) มาใช้ในบางสายการผลิต เพื่อแก้ไขปัญหาแรงงานขาดแคลนในอนาคตและเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต

จริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมถุงมือยางทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมาขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยมาจากการเติบโตของอุตสาหกรรมการแพทย์และการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขอนามัยของผู้บริโภคทั่วโลกที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่มีโอกาสเติบโตสูง อาทิ ทวีปเอเชียตะวันออก ทวีปเอเชียใต้ ทวีปแอฟริกา ทวีปอเมริกาใต้ ฯลฯ

ทั้งนี้ สมาคมผู้ผลิตถุงมือยางแห่งมาเลเซีย หรือ Malaysian Rubber Glove Manufacturers Association (MARGMA) คาดการณ์ความต้องการถุงมือยางทั่วโลกในปี 2562 เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 3 แสนล้านชิ้น เติบโตเฉลี่ย 12% ต่อปี จากปี 2559 ที่มีความต้องการใช้ 2.12 แสนล้านชิ้นต่อปี

<span style="color: #993300;">“นอกจากปัจจัยการเติบโตจากอุตสาหกรรมทางการแพทย์แล้ว คาดว่าสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ในปัจจุบันที่มีผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องใส่ใจสุขภาพและความปลอดภัยมากขึ้น จะส่งผลต่อความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอนามัยเพิ่มขึ้น รวมถึงความต้องการการใช้ถุงมือยางอีกด้วย”</span> จริญญา กล่าว

ด้าน <strong>วราห์ สุจริตกุล</strong> กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวเบื้องต้นว่า บริษัทฯ จะนำเงินจากการระดมทุนครั้งนี้ไปขยายกำลังการผลิตและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตถุงมือยาง ลงทุนติดตั้งระบบ SAP ชำระเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินหมุนเวียนในกิจการ คาดว่าจะนำ บมจ. ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในปีนี้

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

บมจ. ศรีตรังโกลฟส์ เตรียมขายหุ้น IPO ระดมเสริมแกร่ง มุ่งเป้าผู้ผลิตถุงมือยางท็อป 3 ของโลก

<h2><span style="font-size: 20px;">บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ STGT คว้ารางวัล Prime Minister’s Export Award 2018 ด้านผู้ประกอบธุรกิจส่งออกยอดเยี่ยม (Best Exporter)</span></h2>
<strong>พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี </strong>เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ประจำปี 2561 <strong>(Prime Minister’s Export Award 2018 : PM Award 2018) ประเภทรางวัลผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกยอดเยี่ยม (Best Exporter)</strong> บริษัทขนาดใหญ่ ให้แก่ <strong>วิทย์นาถ  สินเจริญกุล</strong> กรรมการ <strong>บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด</strong> เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2561 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล จัดขึ้นโดย กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อสนับสนุนและให้ความสำคัญแก่ผู้ส่งออกสินค้าและบริการที่มีผลงานดีเด่น ทำให้ผู้นำเข้าและผู้ซื้อจากต่างประเทศเพิ่มความเชื่อมั่นต่อผู้ส่งออกของไทยที่ได้รับรางวัล ซึ่งรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น หรือ Prime Minister’s Export Award ถือเป็นรางวัลแห่งความสำเร็จสูงสุดสำหรับผู้ประกอบการทั้งสินค้า และบริการประเภทต่างๆ ที่รัฐบาลมอบให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจดีเด่น เพื่อแสดงถึงภาพลักษณ์ของคุณภาพและมาตรฐานของสินค้าไทยในตลาดโลก

<figure><img style="width: 638px; height: 407px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/e17a36b2eb000550277821c9aaa10025.jpg" alt="" width="638" height="407" /><figcaption> วิทย์นาถ  สินเจริญกุล (กลาง-ขวา), วีรสิทธิ์ สินเจริญกุล (กลาง-ซ้าย) และทีมงาน บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ STGT</figcaption></figure>

<strong>วิทย์นาถ  สินเจริญกุล</strong> เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ STGT ได้รับรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ประจำปี 2561 ประเภทรางวัลผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกยอดเยี่ยม (บริษัทขนาดใหญ่) ถือเป็นบริษัทแรกและบริษัทเดียวที่เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางที่ได้รับรางวัลนี้ ด้วยจุดแข็งอันโดนเด่นอันได้แก่ การเป็นองค์กรที่มีธรรมาภิบาล ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและองค์กรเอกชนของไทยในการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ดำเนินธุรกิจและการลงทุนในประเทศไทยอย่างยั่งยืน มีการใช้วัตถุดิบในการผลิตเพื่อก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่ม ได้รับการรับรองคุณภาพสินค้าหรือระบบด้านการจัดการทั้งในและต่างประเทศ โดยสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดในต่างประเทศที่ชัดเจน จนมียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งในและต่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ STGT ที่เป็นที่ยอมรับและเชื่อมั่นจากตลาดโลก

“บริษัทศรีตรังโกลฟส์ฯ เรามีเป้าหมายหลักที่จะส่งมอบการ “ปกป้องทุกสัมผัส ด้วยความห่วงใย” สู่ทุกชีวิตบนโลก ดังนั้นเราจึงมุ่งมั่นและทุ่มเทในการผลิตถุงมือยางที่มีมาตรฐานจนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยมีส่วนแบ่งการตลาดแล้วกว่า 8% ของการบริโภคถุงมือยางทั่วโลก ส่งออกมากกว่า 85 ประเทศทั่วโลก ถือเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางสังเคราะห์ รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก <span style="color: #ff0000;">โดยรางวัล PM Award 2018 ที่เราได้รับในครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จและความภาคภูมิใจ ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำถึงความพร้อมในความมุ่งมั่นของ STGT ที่จะส่งมอบการปกป้องทุกสัมผัส ด้วยความห่วงใย ไปทั่วโลก ควบคู่ไปกับการผลักดันเศรษฐกิจไทย สร้างมูลค่าและพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราให้เติบโตอย่างยั่งยืน”</span>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events