<h2>'เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้' ยิ้มหวาน! โกยงานใหญ่รับต้นปี 68 เตรียมก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ให้ 'วัตสัน ประเทศไทย' ในทำเลย่านบางพลี เพื่อความสะดวกในการขนส่งสินค้ากระจายไปยังแหล่งต่างๆ 750 สาขาทั่วประเทศ คาดก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดใช้งานได้ในเดือนเมษายน ปี 2569</h2>&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พีระพัฒน์ ศรีสุคนธ์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT กล่าวว่า บริษัทได้เดินหน้างานก่อสร้างโครงการศูนย์กระจายสินค้าให้กับวัตสัน ร้านเพื่อสุขภาพและความงามของประเทศไทย โดยตั้งอยู่ในเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ (บางพลี 4) จังหวัดสมุทรปราการ มีพื้นที่ใช้สอยกว่า 25,000 ตร.ม. ซึ่งถือเป็นศูนย์กระจายสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของวัตสัน ประเทศไทย รองรับการส่งสินค้าไปยังร้านค้าในเครือกว่า 750 สาขาทั่วประเทศ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดใช้งานได้ในเดือนเมษายน 2569​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/a31Fsazjy5d29aQgSrM3.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="a31Fsazjy5d29aQgSrM3.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การจับมือกับวัตสันครั้งนี้เป็นการสานต่อความร่วมมือที่แข็งแกร่ง หลังจากเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ได้รับความไว้วางใจและประสบความสำเร็จในการพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าให้วัตสันมาแล้ว 3 โครงการบนถนนบางนา-ตราด จังหวัดสมุทรปราการ, อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น และอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา รวมพื้นที่กว่า 30,000 ตร.ม. พิสูจน์ถึงประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการพัฒนาอาคารด้านโลจิสติกส์ของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยที่สามารถออกแบบพื้นที่และปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับธุรกิจแต่ละประเภท สร้างมาตรฐานและยกระดับการจัดการด้านซัพพลายเชนให้กับตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพและความงามของไทย” ผู้บริหารของ&nbsp;เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ กล่าว <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/s9AyfZaz9KKKZmoVcw9D.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="s9AyfZaz9KKKZmoVcw9D.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ศูนย์กระจายสินค้าดังกล่าว มีความโดดเด่นด้วยทำเลศูนย์กลางโลจิสติกส์ เชื่อมต่อถนนบางนา-ตราด ศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) และแต่ละภูมิภาค เพื่อการจัดส่งถึงสาขาที่รวดเร็ว อาคารถูกออกแบบแบบ Built-to-Suit รองรับการจัดเก็บแนวตั้งด้วยความสูง 15 ม. พื้นรองรับน้ำหนัก 5 ตันต่อตร.ม. พร้อมพื้นที่จัดเก็บหลากหลาย ทั้งพื้นที่จัดเก็บสินค้าบน Racking System&nbsp; ชั้นลอย และห้องควบคุมอุณหภูมิสำหรับยาและเวชภัณฑ์ อีกทั้งยังพร้อมรองรับระบบอัตโนมัติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย จึงได้นำโซลูชันด้านความยั่งยืนมาใช้กับการออกแบบอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ซึ่งสอดรับกับความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของวัตสัน โดยใช้วัสดุรีไซเคิลและวัสดุที่ยั่งยืนสำหรับการก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเพื่อผลิตพลังงานหมุนเวียน รวมถึงมีระบบมิเตอร์อัจฉริยะที่ตรวจสอบและปรับการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ ตลอดจนติดตั้งไฟ LED สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ และระบบการจัดการของเสียอย่างยั่งยืน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม อลงกรณ์ ศุกระศร ผู้อำนวยการฝ่ายซัพพลายเชน บริษัท เซ็นทรัล วัตสัน จำกัด ยังกล่าวด้วยว่า ศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ถูกพัฒนาเพื่อรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม โดยเป็นศูนย์กลางหลักในการจัดเก็บและกระจายสินค้า ด้วยอาคารที่ออกแบบมาพร้อมโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย และการพัฒนาอาคารตามแนวทางด้านความยั่งยืน บวกกับที่ตั้งในสุดยอดทำเลยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของไทย เรามั่นใจว่าการทำงานร่วมกับ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยจะช่วยยกระดับการดำเนินธุรกิจและเสริมศักยภาพด้านโลจิสติกส์ของวัตสันให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/yywS3m8mvzAoTmDMWq1V.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="yywS3m8mvzAoTmDMWq1V.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> ภาพ : เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/property/frasers-property-reveals-2025-strategy-targeting-revenue-of-16000-million-baht-grow-11-percent-from-2024" alt="เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ เผยกลยุทธ์ปี 68 ตั้งเป้ารายได้ 1.6 หมื่นล้าน โตจากปีก่อน 11%">เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ เผยกลยุทธ์ปี 68 ตั้งเป้ารายได้ 1.6 หมื่นล้าน โตจากปีก่อน 11%</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

'เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้' เตรียมสร้างศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ให้ 'วัตสัน ประเทศไทย' คาดแล้วเสร็จ เม.ย. ปี 69

<h2>สยามโกลบอลเฮ้าส์ คาดปี 2560 รายได้เติบโต 10% ตามเป้าแม้ตลาดวัสดุก่อสร้างหดตัวแรง 8-10% ตั้งเป้าเปิด 100 สาขาในไทยภายในปี 2565 ใส่เกียร์บุกกัมพูชาประเดิมปีหน้าสาขาแรกที่ Phnom Penh เตรียมพร้อมศูนย์กระจายสินค้าระบบหุ่นยนต์อัตโนมัติ 3 หมื่นตร.ม. จังหวัดอยุธยา</h2>
อภิสิทธิ์ รุจิเกียรติกำจร ประธานกรรมการ บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL เปิดเผยเป้าหมายรายได้ปี 2560 ของบริษัทตั้งเป้าเติบโตจากปีก่อน 10% หรือคิดเป็นมูลค่าราว 2.14 หมื่นล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมีรายได้แล้ว 1.09 หมื่นล้านบาท จึงคาดว่ายอดขายปีนี้จะเป็นไปได้ตามเป้า

อย่างไรก็ตาม อภิสิทธิ์มองว่าสภาวะตลาดโดยรวมของกลุ่มวัสดุก่อสร้างมูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท ปีนี้ซบเซาลงมาก คาดจะติดลบประมาณ 8-10% จากปกติตลาดวัสดุก่อสร้างหากหดตัวมักจะไม่มากไปกว่า 3-4% แต่สยามโกลบอลเฮ้าส์ยังเติบโตได้เนื่องจากมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น

<figure><img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/ca49e4fb27f601a4dbe7d81360925521.png" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> อภิสิทธิ์ รุจิเกียรติกำจร ประธานกรรมการ บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) </figcaption></figure>

โดยปี 2560 บริษัทมีการลงทุนเพื่อเปิดสาขาใหม่ราว 2 พันล้านบาท เปิดตัวรวม 8-9 สาขา ยังเหลืออีก 3 สาขาที่จะเปิดช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ได้แก่ จ.พัทลุง, อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา และ ถ.เทพารักษ์ จ.สมุทรปราการ

“สำหรับปี 2561 เราก็ยังตั้งใจจะเปิดสาขาเฉลี่ย 8-10 สาขาเช่นเดิม เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้บริษัทเติบโต ตอนนี้มีที่ดินและมีการก่อสร้างรออยู่แล้วสำหรับเตรียมเปิดปีหน้า และยังมีที่ดินอีกหลายสิบแปลงทั่วประเทศรองรับแผนในอนาคต เพราะฉะนั้นภายในปี 2565 เราจะมีสาขาในไทยใกล้เคียง 100 สาขาแน่นอน จากสิ้นปีนี้ที่บริษัทจะมีครบ 55 สาขา” อภิสิทธิ์กล่าว

<img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/c443ae2267e2ed344da361481fe90966.png" alt="" />

ด้านธุรกิจของสยามโกลบอลเฮ้าส์ในต่างประเทศ มีการดำเนินการแล้วใน 3 ประเทศคือ บริษัท โปรวัน โกลบอล จำกัด ในเมียนมา เปิดแล้ว 5 สาขาใน Yangon Mandalay และ Mawlamyine, บริษัท สุวันนี โฮมเซ็นเตอร์ จำกัด ในสปป.ลาว มี 5 สาขาใน Vientiane และ Pakxan และที่ประเทศกัมพูชา โดยในเมียนมาและลาวเป็นลักษณะร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่น ให้บริษัทท้องถิ่นเป็นหลักในการบริหารจัดการ

ขณะที่โมเดลธุรกิจในกัมพูชาเป็นการร่วมทุนกับท้องถิ่นเช่นกันแต่สยามโกลบอลเฮ้าส์เข้าไปดำเนินการเองโดยตรงและใช้แบรนด์ Global House เหมือนในประเทศไทย ซึ่งทำให้วางแผนงานได้ดีกว่า และจะเป็นโมเดลสำหรับใช้บุกประเทศอื่นในอาเซียนต่อไป

อภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า ปี 2561 สาขาของสยามโกลบอลเฮ้าส์ในต่างประเทศจะมีเพิ่มอีก 3 สาขา คือในประเทศลาว 2 สาขาที่เมือง Pakse และ Savannakhet และจะเปิดสาขาแรกที่ Phnom Penh ประเทศกัมพูชา ซึ่งกัมพูชาถือเป็นตลาดสำคัญของบริษัท มองว่ามีโอกาสเติบโตได้ถึง 20 สาขาทั่วประเทศ แต่ตั้งเป้าระยะ 5 ปี 10 สาขาไว้ก่อนเป็นเบื้องต้น

<figure><img style="width: 680px; height: 456px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/dc8fda252eb506a3821ac0ae39a80263.png" alt="" width="680" height="456" /><figcaption> (ซ้าย) เกรียงไกร สุริยวนากุล และ (ขวา) วิทูร สุริยวนากุล</figcaption></figure>

ด้าน วิทูร สุริยวนากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สภาพเศรษฐกิจไทยมีผลกระทบกับตลาดวัสดุก่อสร้างโดยรวมในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บริษัทเองได้รับผลกระทบกับสาขาเดิมทำให้ยอดขายไม่เติบโตต้องอาศัยการเปิดสาขาใหม่ช่วยเร่งรายได้ โดยเฉพาะปีนี้ธนาคารเข้มงวดการอนุมัติสินเชื่อบ้านทำให้ผู้บริโภคซื้อบ้านใหม่น้อยลง อย่างไรก็ตาม บ้านเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่จึงเชื่อว่าวัสดุก่อสร้างที่เป็นธุรกิจเกี่ยวเนื่องจะยังเติบโตได้

วิทูรกล่าวต่อว่า เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตบริษัทจึงลงทุนมูลค่า 600 ล้านบาท ก่อสร้าง ศูนย์กระจายสินค้าอัตโนมัติ (DC) ที่ อ.วังน้อย จ.อยุธยา มีเนื้อที่ 20 ไร่ พื้นที่เฟสแรก 3.8 หมื่นตารางเมตร แบ่งเป็น 2 รูปแบบคือ โกดังสินค้าระบบบริหารคลังสินค้าอัตโนมัติ (ASRS: Automated Storage Retrieved System) พื้นที่ 3 หมื่นตารางเมตร จัดเก็บได้ 4.3 หมื่นพาเลท พาเลทเก็บสินค้าได้ยาวที่สุด 2.40 เมตร และมีโกดังระบบปกติพื้นที่ 8 พันตารางเมตร สำหรับเก็บสินค้าหนักขนาดใหญ่ เช่น เหล็กเก็บได้สูงสุด 5 พันตัน กระเบื้องอีก 5 พันพาเลท

<img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1fe0c5d8e55fe5f62b42943f9388bc00.png" alt="" />

เฟสแรกของ DC วังน้อยสามารถกระจายสินค้าครอบคลุมได้ 80-100 สาขา นอกจากนี้ ยังนำระบบ ASRS ไปใช้กับร้านสาขาแล้ว 16 แห่ง ซึ่งทำให้ประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บมากขึ้น ลดขนาดร้านจากปกติ 2 หมื่นตารางเมตร เหลือ 1.4 หมื่นตารางเมตรต่อสาขา

เกรียงไกร สุริยวนากุล ซัพพลายเชน ไดเรกเตอร์ บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ระบบ ASRS ดังกล่าวเป็นการพัฒนาระบบร่วมกันระหว่างสยามโกลบอลเฮ้าส์กับผู้ผลิต เป็นระบบที่ควบคุมผ่านคอมพิวเตอร์ โดยหุ่นยนต์คอมพิวเตอร์จะใช้การชั่งน้ำหนัก วัดปริมาตรสิ่งของ และ barcode ที่ติดบนกล่องคำนวณจำนวนสิ่งของในแต่ละพาเลท และคำนวณการจัดการเพื่อนำสินค้าเข้า-ออกในแต่ละเที่ยวของหุ่นยนต์หยิบสิ่งของให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

<figure><img style="width: 340px; height: 510px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/84e540cd493cce9c158c834372f22db2.png" alt="" width="340" height="510" /><figcaption> ชั้นวางสินค้าสูง 11 ชั้นใน DC วังน้อย ใช้ระบบหุ่นยนต์หยิบและเก็บของได้อัตโนมัติ</figcaption></figure>

ระบบ ASRS มีข้อดีคือ ทำให้ประหยัดแรงงานคนไปกว่า 60% และยังใช้พื้นที่แนวดิ่งได้มากขึ้นเพราะชั้นสินค้า (rack) สามารถสูงได้ถึง 11 ชั้น ทั้งยังทำให้แต่ละสาขาของ GLOBAL บริหารจัดการสินค้าได้ง่ายขึ้น สามารถสั่งผ่านระบบมายัง DC วังน้อยได้ทันทีจึงไม่ต้องสั่งสินค้าไปจัดเก็บที่สาขาไว้เป็นจำนวนมาก และบริษัทจะเสนอสินค้าได้หลากหลายขึ้นเพราะสินค้าบางชนิดที่มีความต้องการต่อสาขาไม่มากก็สามารถสั่งบิ๊กล็อตมารวมกันที่ DC ได้

ทั้งนี้ อภิสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ระบบ ASRS อาจไม่ได้ลดต้นทุนของซัพพลายเออร์ที่จะส่งสินค้ามาจำหน่ายกับสยามโกลบอลเฮ้าส์ เพราะการส่งของเข้ามาจัดเก็บใน DC จะมีค่าใช้จ่าย แต่สิ่งที่ซัพพลายเออร์จะได้รับคือสินค้าของบริษัทนั้นๆ จะถูกเติมสู่โกดังของแต่ละสาขาได้ตลอดเวลา จึงไม่เสียโอกาสในการขาย เปรียบเทียบจากแต่เดิมที่ซัพพลายเออร์อาจจะต้องรอความคุ้มค่าในการขนส่งของไปในพื้นที่สาขานั้นก่อนทำให้เสียโอกาส

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/5fa0ac6246b4d255412ee750b6ddb34d.png" alt="" />
<img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/3facda69125f25242a0107ddccd1b4ab.png" alt="" />

"สยามโกลบอลเฮ้าส์" ประกาศแตะ 100 สาขาภายใน 5 ปี เปิด DC ระบบหุ่นยนต์อัตโนมัติ 3 หมื่นตร.ม.

<h2>แอมเวย์ เผยทุ่มงบ 40 ล้านบาท เปิดศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ที่โครงการ TPARK บางพลี 1 ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท ไทคอน โลจิสติคส์ พาร์ค จำกัด บนพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร พร้อมใช้เทคโนโลยีดิจิทัลทันสมัย สู่ศูนย์กระจายสินค้าส่งสาขาย่อยทั่วประเทศ</h2>
กิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงแผนการปรับระบบการจัดเก็บสินค้าโดยแอมเวย์ได้ย้ายศูนย์กระจายสินค้าจากเดิมในย่านศรีนครินทร์ พื้นที่ 7,000 ตางรางเมตร มายังแห่งใหม่ที่โครงการ TPARK บางพลี 1 ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท ไทคอน โลจิสติคส์ พาร์ค จำกัด บนพื้นที่ขนาด 10,280 ตารางเมตร ด้วยงบลงทุนเฟสแรกที่ 40 ล้านบาทในการนำกระบวนการและเทคโนโลยีการจัดการระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัยมาใช้ภายในศูนย์กระจายสินค้าเพื่อเพิ่มความรวดเร็ว ลดต้นทุน และรองรับการทำงานที่ซับซ้อนที่มากขึ้น

“เทคโนโลยีที่แอมเวย์นำมาใช้เพื่อยกระดับการจัดการสินค้ารูปแบบใหม่คือ การจัดเก็บและกระจายสินค้าให้นักธุรกิจแอมเวย์และสมาชิกเพื่อจัดส่งสินค้าถึงบ้าน (Home Delivery) รวมทั้งแอมเวย์ ช็อป 83 สาขาทั่วประเทศ  ด้วย  Digital Picking System หรือการจัดสินค้าที่ใช้ระบบดิจิทัลเป็นตัวกำหนดและควบคุมการทำงาน ซึ่งช่วยเพิ่มความรวดเร็วแม่นยำในการจัดสินค้าและลดต้นทุนการจัดการได้ในเวลาเดียวกัน ทั้งยังมีการจัดสินค้าขึ้นรถด้วย Digital Loading System ที่สามารถตรวจสอบข้อมูลผ่านระบบดิจิทัลโดยไม่ต้องใช้ข้อมูลจากรายงานบนกระดาษ ซึ่งการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นสิ่งที่แอมเวย์ให้ความสำคัญและเตรียมพร้อมเพื่อรองรับแผนในอนาคต”

ทั้งนี้แอมเวย์เลือกโครงการ TPARK บางพลี 1 ให้เป็นศูนย์กระจายสินค้าที่ครบวงจรสู่สาขาย่อยทั่วประเทศ และด้วยคุณสมบัติ TPARK ที่เข้าเกณฑ์มาตรฐานและยังมีศูนย์กระจายสินค้าที่สอดคล้องตามมาตรฐานสากลบนทำเลยุทธศาสตร์ที่เหมาะกับการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ของแอมเวย์และสามารถรองรับการขยายพื้นที่ศูนย์กระจายสินค้าเพิ่มเติมได้ในอนาคต

<figure><img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/854fd1db84a06641853771811a7f6873.jpg" alt="" width="680" height="453" /><figcaption> กิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด (ซ้าย), วีรพันธ์ พูลเกษ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทไทคอน</figcaption></figure>

ด้าน วีรพันธ์ พูลเกษ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทไทคอน ในฐานะบริษัทแม่ของ บริษัท ไทคอน โลจิสติคส์ พาร์ค จำกัด หรือ TPARK หนึ่งผู้นำด้านการพัฒนาคลังสินค้าคุณภาพสูงรายใหญ่ของประเทศไทย กล่าวเสริมถึงการบริการของแอมเวย์ในครั้งนี้เป็นการออกแบบตามโจทย์ที่ทีพาร์คได้รับ เพื่ออำนวยความสะดวกในการปฎิบัติงานภายในอาคารและอาคารที่มีความสูงถึง 10 เมตร ทำให้สามารถติดตั้งชั้นวางสินค้าได้หลายชั้นจึงช่วยลดต้นทุนให้แก่ลูกค้า ประหยัดพลังงาน และมีระบบระบายอากาศที่มีมากเพียงพอที่จะสร้างความรู้สึกสบายให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในอาคาร

ทั้งนี้ วีรพันธ์กล่าวเพิ่มเติมถึงที่ดินในย่านบางพลีของ TICON ที่พัฒนาแล้วและกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนารวมทั้งสิ้นมากกว่า 600 ไร่ คิดเป็นพื้นที่คลังสินค้าให้เช่ารวมกว่า 500,000 ตารางเมตร ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อลูกค้าเดิมที่ต้องการขยายพื้นที่คลังสินค้าเพิ่มเติมเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจได้อย่างทันท่วงที รวมถึงลูกค้ารายใหม่ที่มีความต้องการใช้พื้นที่คลังสินค้าแบบเร่งด่วน จึงสามารถใช้บริการได้ทันที

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events