<h2>WAVE ผู้ถือลิขสิทธิ์สถาบันสอนภาษาอังกฤษ Wall Street English ในไทย สปป.ลาว และกัมพูชา คาดปี 68 มีรายได้ 590 ล้านบาท เติบโต 10% จากปีก่อน พร้อมรุกขยายธุรกิจใหม่ ‘Let’s Mandarin’ เจาะกลุ่มลูกค้าภาษาจีน ตั้งเป้าใน 5 ปี ขยาย 3 สาขา สร้างรายได้ 70-80 ล้านบาท/ปี ประเดิมสาขาแรกศูนย์การค้าเมกา บางนา</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายกิจชาญพิชญ์ สุกังวานวิทย์ กรรมการบริหาร Wave Education Group ในเครือ บมจ.เวฟ เอกซ์โพเนนเชียล หรือ WAVE เปิดเผยว่า ปี 2568 นี้ทางบริษัทฯ ได้จัดตั้งบริษัท เล็ทส์ แมนดาริน จำกัด ผ่านความร่วมทุนกับ International FLS Corp Pte, Ltd. สถาบันการศึกษาในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งจะดำเนินธุรกิจสถาบันสอนภาษาจีนแมนดารินในไทยภายใต้ชื่อ Let’s Mandarin โดยมีหลักสูตรมาตรฐานระดับนานาชาติ ที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการของประเทศไทยและสิงคโปร์ (แบ่งเป็น 20 ระดับ) ซึ่งมีทั้งหลักสูตรเริ่มต้นระยะเวลาแบบ 6 เดือน 12 เดือน 18 เดือน และ 24 เดือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ในปี 2568 Let’s Mandarin&nbsp;จะเปิดให้บริการสาขาแรกที่ศูนย์การค้าเมกา บางนา และภายใน 5 ปี เมื่อเปิดครบทั้ง 3 สาขาคาดว่าจะสร้างรายได้ราว 70-80 ล้านบาท ต่อปี โดยมาจากการขยายฐานลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียน นักศึกษาที่อายุ 15 ปีขึ้นไป วัยทำงาน นักธุรกิจ รวมถึงการขยายฐานลูกค้าองค์กร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“Let's Mandarin” เป็นก้าวสำคัญต่อยอดธุรกิจมีภาพลักษณ์เป็นสถาบันสอนภาษาครบวงจร ช่วยขยายฐานลูกค้าใหม่ และโดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าองค์กรในรูปแบบการเสนอแพ็กเกจเรียนหลายภาษา” นายกิจชาญพิชญ์ กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ ส่วนของธุรกิจหลักอย่าง Wall Street English ที่ปัจจุบันมีอยู่ 14 สาขา ในไทย และสปป.ลาว โดยมีแผนที่จะเปิดที่กัมพูชาในเร็วๆ นี้ ในภาพรวมมีฐานผู้เข้าเรียนราว 150,000 ราย คาดว่าปีนี้ธุรกิจยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยทางบริษัทฯ คาดการณ์ว่าปี 2568 นี้จะมีรายได้ราว 590 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) พบว่า ผลการดำเนินงานของ WAVE งวด 9 เดือนแรกของ ปี 2567 พบว่ามี รายได้รวม 360.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.82% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจโรงเรียนสอนภาษา Wall Street English และรายได้ในส่วนของการให้บริการให้คำปรึกษาด้านการจัดการคาร์บอนฟุตปริ้นท์องค์กร รวมถึงวางแผนธุรกิจให้กับองค์กรเพื่อบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 8.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิราว 13.23 ล้าบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 1,620.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 372.58 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปี 66 มาจากการที่บริษัทออกหุ้นเพิ่มทุนใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน (Rights Offering) ในไตรมาสที่ 2/67 โดยนำเงินไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และนำเงินไปชำระหนี้สินตามสัญญาซื้อขายใบรับรองพลังงานหมุนเวียน ภาพ:&nbsp;WAVE เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/marketing/or-new-ceo-peekthong-thongyai-first-vision-presentation" alt="ฟื้นความมั่นใจ นลท. หลังหุ้นราคาร่วงตั้งแต่ IPO ภารกิจ ‘ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่’ ซีอีโอคนใหม่ OR"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/hr/british-council-ndea-2024-english-assessment-in-thailand" alt="‘บริติช เคานซิล’ มองการศึกษาไม่เท่าเทียมกระทบทักษะภาษาอังกฤษคนไทย แนะแก้ทั้งการสอนและการวัดระดับ">‘บริติช เคานซิล’ มองการศึกษาไม่เท่าเทียมกระทบทักษะภาษาอังกฤษคนไทย แนะแก้ทั้งการสอนและการวัดระดับ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

WAVE ต่อยอด Wall Street English รุกธุรกิจใหม่ ‘Let’s Mandarin’ เจาะกลุ่มเรียนจีน ตั้งเป้าใน 5 ปี มี 3 สาขาสร้างรายได้ 70-80 ล้าน/ปี

<h2>เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 สถาบันบริหารธุรกิจระดับโลก เอ็มไอที สโลน (MIT Sloan School of Management) เชื่อมั่นศักยภาพประเทศไทย เปิดสำนักงานเอ็มไอที สโลน ประจำภูมิภาคอาเซียน (MSAO) และจัดการประชุมอย่างเป็นทางการครั้งแรก พร้อมเผยเป้าหมายและวิสัยทัศน์เพื่อสร้างสรรค์เศรษฐกิจในภูมิภาคผ่านความร่วมมือระหว่างเครือข่ายศิษย์เก่าและพันธมิตรองค์กรต่างๆ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) มุ่งมั่นเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อผลักดันสู่การแข่งขันระดับโลก ทว่าปัจจัยด้านเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างกลุ่มประเทศสมาชิก ยังคงเป็นประเด็นที่สร้างความท้าทายในการเสริมสร้างเครือข่ายการทำงานที่ยั่งยืน ในโอกาสนี้ สถาบันบริหารธุรกิจ เอ็มไอที สโลน (MIT Sloan School of Management) จึงก้าวเข้ามามีส่วนร่วมในฐานะพันธมิตร โดยได้เลือกกรุงเทพฯ ประเทศไทย เป็นที่ตั้งสำนักงานนอกสหรัฐอเมริกาแห่งที่ 2 ต่อจากประเทศชิลี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;David Capodilupo ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายโปรแกรมระดับโลกของสถาบันบริหารธุรกิจ เอ็มไอที สโลน เผยว่า เหตุผลที่เลือกประเทศไทยเป็นที่ตั้งสำนักงานประจำภูมิภาคอาเซียน เนื่องด้วยมีศิษย์เก่าของสถาบันเป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดเครือข่ายความร่วมมืออันแข็งแกร่ง สามารถขับเคลื่อนเป้าหมายของเอ็มไอที สโลนในการเป็นศูนย์กลางการศึกษาและดำเนินงานแก้ไขปัญหาต่างๆ ในภูมิภาค โดยมุ่งเน้นด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (Climate Change), พลังงาน (Energy), การดูแลสุขภาพ (Healthcare) และปัญญาประดิษฐ์ (AI)​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/feEhRgURWdPraH7L1FbZ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="feEhRgURWdPraH7L1FbZ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"><figcaption><div>David Capodilupo</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เอ็มไอที สโลน ขยายความร่วมมือไปทั่วภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการ MIT Sloan Action Learning ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างพันธมิตรในภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการ และองค์กรต่างๆ โดยนับตั้งแต่ปี 2545 โครงการดังกล่าวได้ส่งเสริมการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ในหลากหลายหัวข้อมากกว่า 600 โครงการ ครอบคลุม 5 ระดับหลักสูตรการศึกษา และได้ร่วมมือกับบริษัทมากมาย ทั้ง ในกัมพูชา จีน อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับหลักสูตรที่น่าสนใจของเอ็มไอที สโลน ได้แก่ ASEAN Lab &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลักสูตรทางด้านเศรษฐศาสตร์และธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ ASEAN Lab ถือเป็นหลักสูตรแรกของเอ็มไอที สโลน ที่มุ่งเน้นทางด้านเศรษฐกิจและธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เรียนรู้เกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์การเมืองและการตลาดเชิงพลวัตในภูมิภาคที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว อีกทั้งนักศึกษายังจะได้ทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับองค์กรภายในประเทศในการรับมือกับความท้าทายด้านการบริหาร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลักสูตรนี้เกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างเอ็มไอที และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาจากสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สามารถเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งได้ Thailand Summer Lab&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลักสูตร Thailand Summer Lab เป็นโครงการที่ได้รับทุนสนับสนุนจากศิษย์เก่า เพื่อมุ่งส่งเสริมให้นักศึกษาเอ็มไอที สโลน ได้รับประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงใช้เพื่อสนับสนุนโครงการในอุตสาหกรรมที่สร้างผลกระทบในวงกว้าง อาทิ ธุรกิจเทคโนโลยีทางด้านการเงิน ธุรกิจบริการอาหาร ธุรกิจผู้ประกอบการ และธุรกิจอีคอมเมิร์ซ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลักสูตรนี้จะประกอบไปด้วยนักศึกษาจากหลากหลายหลักสูตรปริญญาของเอ็มไอที สโลน และนักศึกษาระดับปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจจากสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/dLjeFFG9uLdTe1JdDv4U.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="dLjeFFG9uLdTe1JdDv4U.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="1"><figcaption><div>งานประชุมวิชาการ Beyond Years: The Future of Longevity</div></figcaption></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Capodilupo อธิบายว่าหลักสูตรของเอ็มไอที สโลน มุ่งเน้นให้นักศึกษาได้รับความรู้ที่สามารถนำไปลงมือปฏิบัติได้จริง และยังได้แนะนำระบบไฮบริด (Hybrid) เพื่อเอื้อให้นักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์มีโอกาสเข้าถึงการเรียนการสอนได้ และจะมีการร่วมมือกับผู้บริจาคเพื่อสนับสนุนทุนการศึกษาตลอดจนผนึกกำลังองค์กรภายนอกในการดำเนินกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เชิงประสบการณ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับระยะเริ่มต้น เอ็มไอที สโลนตั้งใจผลักดันงานวิจัยก่อน ตามด้วยการตั้งสภาที่ปรึกษา (Advisory Council) อันประกอบด้วยศิษย์เก่า ผู้บริจาค และพันธมิตรทั้งบริษัทชั้นนำ ผู้ประกอบการ ผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญ และอื่นๆ ตลอดจนจะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ อาทิ งานประชุมวิชาการ Beyond Years: The Future of Longevity ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งได้เชิญบุคลากรทางการแพทย์และผู้เชี่ยวชาญมาร่วมแบ่งปันมุมมองความคิดเห็นว่าด้วย ‘การมีชีวิตยืนยาว’ ที่เกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจ ปัญหาสุขภาพ และระบบสาธารณสุขอันเป็นประเด็นสำคัญในอาเซียน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในอนาคต เอ็มไอที สโลน ตั้งใจขยับขยายสำนักงานไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค โดยมีสำนักงานที่กรุงเทพฯ แห่งนี้เป็นศูนย์กลาง (Hub) เพื่อให้เข้าถึงปัญหาและความท้าทายของแต่ละประเทศของอาเซียนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตามพันธกิจของเอ็มไอที สโลนที่ต้องการสร้างโลกที่น่าอยู่ยิ่งขึ้น ผ่านความร่วมมือและการลงมือปฏิบัติจริง เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/gogolook-oct-2024" alt="Gogolook เจ้าของแอป Whoscall ปักธงไทยเป็นสำนักงานใหญ่แห่งที่ 2 ขยายโซลูชันสำหรับธุรกิจ">Gogolook เจ้าของแอป Whoscall ปักธงไทยเป็นสำนักงานใหญ่แห่งที่ 2 ขยายโซลูชันสำหรับธุรกิจ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

MIT Sloan เปิดสำนักงานกรุงเทพฯ ตั้งเป้าเป็น Hub ประจำอาเซียน มุ่งดำเนินงานยกระดับเศรษฐกิจของภูมิภาค

'โชรส์เบอรี กรุงเทพ ซิตี้แคมปัส' ขยายอาณาจักรรองรับเด็กอนุบาลผ่านหลักสูตรบริติชแท้จากอังกฤษ

มหาเศรษฐีอเมริกันเรียนจบจากสถาบันไหนกันบ้าง?

<h2>Peter Lim มหาเศรษฐีพันล้านชาวสิงคโปร์ ผนึกกำลัง Wellington College จัดตั้งโรงเรียนนานาชาติในอินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ตอบสนองความต้องการด้านการศึกษาที่เพิ่มขึ้นในหมู่ชนชั้นกลางชาวเอเชีย และชาวต่างชาติที่ย้ายถิ่นฐานมาพำนักในภูมิภาคนี้</h2>
<img class="alignnone wp-image-59433" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/03/230222_wellingtonschool_wellingtonschool.jpg" alt="Peter Lim Wellington College" width="720" height="480" />

ด้าน <a href="https://www.wellingtoncollege.org.uk">Wellington College</a> เป็นโรงเรียนในสหราชอาณาจักรซึ่งก่อตั้งโดยสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียในปี 1859 และได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในโรงเรียนชั้นนำ 10 แห่งของโลกที่จัดการเรียนการสอนภายใต้หลักสูตร International Baccalaureate Programme หรือ IB ที่ถูกออกแบบเพื่อการเรียนรู้ข้ามประเทศ และใช้กันอย่างแพร่หลายมากกว่า 156 ประเทศทั่วโลก

ปัจจุบัน Wellington College มีการขยายธุรกิจไปทั่วเอเชีย อาทิ แคมปัสในประเทศจีนและในไทย และกำลังจะเปิดอีกแห่งหนึ่งในอินเดียภายในปี 2023 ที่จะถึงนี้

“ภูมิภาคนี้มีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และมีความต้องการสถาบันการศึกษาในรูปแบบของโรงเรียนนานาชาติอย่าง Wellington ที่พร้อมมอบประสบการณ์ทางวิชาการรอบด้านและโอกาสที่ไม่มีใครเทียบเทียม” Scott Bryan ผู้อำนวยการระดับนานาชาติจาก Wellington College International กล่าวในแถลงการณ์

ล่าสุด เมื่อวันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ 2022 WCI Regional Management ของ Peter Lim ได้ลงนามในข้อตกลงใบอนุญาตเพื่อจัดตั้งโรงเรียนนานาชาติสำหรับเด็กอายุ 3 ถึง 18 ปีใน 3 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

โดยที่โรงเรียนแต่ละแห่งจะสามารถรองรับนักเรียน ตั้งแต่ระดับเตรียมอนุบาลไปจนถึงมัธยมศึกษาได้มากถึง 2,000 คน

“เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นพันธมิตรกับ Wellington College ในการมอบโอกาสให้ชาวต่างชาติและผู้ปกครองในเอเชียให้ได้รับการศึกษาภายใต้หลักสูตรที่ดีที่สุดแก่บุตรหลานของตนที่แคมปัสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” Lim กล่าว 

“Wellington College นับเป็นตัวเลือกในอุดมคติของใครหลายๆ คน โดยเราเชื่อว่าคุณค่าของความกล้าหาญ ความเคารพ ความซื่อสัตย์ ความมีน้ำใจ และความรับผิดชอบของผู้คนในสถาบันแห่งนี้สอดคล้องอย่างยิ่งกับอุดมการณ์ของคนเอเชีย”

ทั้งนี้ Forbes ประมาณการว่า Lim มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ครองอันดับที่ 15 ในทำเนียบมหาเศรษฐีสิงคโปร์  ซึ่งหลังจากถอนเงินจาก Wilmar บริษัทน้ำมันปาล์มรายใหญ่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว อดีตนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์รายนี้ก็เดินหน้าลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การดูแลสุขภาพ และการกีฬา กระทั่งเข้าซื้อสโมสรฟุตบอล Valencia ของสเปนและเชนโรงพยาบาล <a style="color: #008000;" href="https://www.thomsonmedical.com/about-thomson-medical-group/">Thomson Medical Group</a> ในสิงคโปร์

แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ Billionaire Peter Lim, Wellington College To Set Up International Schools In Southeast Asia เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/sponsored-content/kings-college-bkk.html">King’s College International School Bangkok มุ่งปลูกฝังความรู้และคุณค่า บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ใหม่ให้มีหัวใจที่ยิ่งใหญ่</a>

Peter Lim จับมือ Wellington College จัดตั้งโรงเรียนนานาชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

<h2>มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน 400 อันดับแรกของสหรัฐฯ จบการศึกษาจากที่ไหนกันบ้าง? นี่คือโผการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ปั้นเศรษฐีจำนวนมากที่สุดของสหรัฐอเมริกา โดยนับเฉพาะการศึกษาระดับปริญญาตรีเท่านั้น</h2>
อันดับ 1 University of Pennsylvania (18 คน)
<img style="width: 680px; height: 400px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4a93d8014d10a474fed2240ec86581fa.png" alt="" />

ศิษย์เก่าที่จบจากที่นี่ เช่น ประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump (รวมถึงลูกๆ ของเขา คือ Donald Trump Jr., Ivanka และ Tiffany ล้วนจบจาก UPenn เช่นกัน) และยังมี Steve Cohen มหาเศรษฐีเจ้าพ่อเฮดจ์ฟันด์, Elon Musk ซีอีโอแห่ง Tesla และ SpaceX, Steve Wynn เจ้าพ่อวงการคาสิโน ส่วน Warren Buffett ตำนานนักลงทุนเคยเรียนที่ UPenn 2 ปี ก่อนจะย้ายไปเรียนต่อที่ University of Nebraska ที่รัฐ Omaha บ้านเกิดของเขา

&nbsp;
อันดับ 2 Stanford University (13 คน)
<img style="width: 680px; height: 400px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/2f4ed15f61ccd7323945c5bd75b80039.png" alt="" />

Stanford พุ่งขึ้นมาบนโผนี้จากสถานที่ที่ใกล้ชิดกับ Silicon Valley มหาวิทยาลัยแห่งนี้ผลิตมหาเศรษฐีจากธุรกิจเทคโนโลยีจำนวนมาก เช่น Brian Acton ผู้ถูกปฏิเสธจาก Facebook และไปร่วมก่อตั้ง Whatsapp, Bobby Murphy ผู้ร่วมก่อตั้ง Snapchat เมื่อปี 2011 พวกเขาทั้งคู่เคยเดินอยู่ในโถงมหาวิทยาลัยในฐานะนักศึกษาด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์

&nbsp;
อันดับ 3 Yale University (13 คน)
<img style="width: 680px; height: 400px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/682a314f7350aea35939d345b180b132.png" alt="" />

อีกหนึ่งมหาวิทยาลัยจาก Ivy League มีมหาเศรษฐีที่จบจากที่นี่ เช่น Stephen Schwarzman ซีอีโอของ Blackstone, Fred Smith ผู้ก่อตั้ง FedEx ซึ่ง Smith เริ่มออกแบบธุรกิจชิปปิ้งสไตล์ FedEx ตั้งแต่เรียนปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัย แต่ศาสตราจารย์ที่ปรึกษาของเขากลับไม่เห็นด้วยและไม่ให้เกรดเอกับเขา อย่างไรก็ตาม ช่วงสิ้นปีงบประมาณ 2017 FedEx ทำรายได้พุ่งเกินกว่า 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐเป็นครั้งแรกไปเรียบร้อยแล้ว

&nbsp;
อันดับ 4 University of Southern California หรือ USC (11 คน)
<img style="width: 680px; height: 400px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/efccc0f50195f5487bc14cba079885a7.png" alt="" />

USC มีบัณฑิตที่กลายเป็นเศรษฐีที่แตกต่างหลากหลายมากที่สุด ย้อนไปในปี 1966 George Lucas ผู้สร้าง Star Wars จบการศึกษาจากที่นี่ในสาขาศิลปะภาพยนตร์ 20 ปีต่อมา Mark Benioff ผู้ก่อตั้ง Salesforce จบการศึกษาด้านบริหารธุรกิจ และไม่กี่ปีต่อมา Mark Stevens ซึ่งปัจจุบันเป็นนักลงทุนเวนเจอร์แคปิตอลแห่ง Silicon Valley ก็จบปริญญาตรีควบ 2 ใบในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าและเศรษฐศาสตร์

&nbsp;
อันดับ 5 Harvard University (11 คน)
<img style="width: 680px; height: 400px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/c97d3e634e30e5b0ba814c9fe8d6f60d.png" alt="" />

เศรษฐีที่ติดอันดับส่วนใหญ่จบปริญญาโทจาก Harvard แต่ในมุมของการศึกษาระดับปริญญาตรีนั้นอาจจะมีไม่มากเท่า 4 อันดับด้านบน โดยมีเศรษฐีอเมริกันที่จบปริญญาตรีจาก Harvard เช่น Nathan Blecharczyk ผู้ร่วมก่อตั้ง Airbnb, Steve Ballmer อดีตซีอีโอของ Microsoft รวมถึงมหาเศรษฐีที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอย่าง Bill Gates และ Mark Zuckerberg (ที่ขอลาออกไปกลางทาง)

&nbsp;
อันดับ 6 Columbia University (8 คน)
<img style="width: 680px; height: 400px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/a2167b9b516a8e6d33c40961d51efbe1.png" alt="" />

ทำเนียบศิษย์เก่าผู้ร่ำรวยของที่นี่ เช่น Robert Kraft เจ้าของทีม New England Patriots และ Jerry Speyer เศรษฐีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท Tishman Speyer ของเขาคือเจ้าของตึกอันโด่งดังอย่าง Rockefeller Center และตึก Chrysler ใน Manhattan โดยเขาจบจาก Columbia เมื่อปี 1962 ในสาขาภาษาเยอรมัน

&nbsp;
อันดับ 7 University of Michigan (7 คน)
<img style="width: 680px; height: 400px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/5f8c08eb991f71067252506555032ecb.png" alt="" />

เป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในทำเลชายฝั่งแห่งเดียวที่ไต่อันดับมาขนาดนี้ ศิษย์เก่าที่รวยที่สุดของ Michigan คือ Larry Page ผู้ร่วมก่อตั้ง Google เขาจบปริญญาตรีในสาขาวิศวกรรมศาสตร์เมื่อปี 1995 ก่อนจะเรียนต่อจนจบปริญญาเอกด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่ Stanford อีกหนึ่งเศรษฐีชื่อดังคือ Stephen Ross เจ้าของทีมอเมริกันฟุตบอลอย่าง Miami Dolphins โดยเขาจบสาขาบริหารธุรกิจ

&nbsp;
อันดับ 8 Dartmouth College (7 คน)
<img style="width: 680px; height: 400px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/05ebd9306a4f4c1438103272a401bf4f.png" alt="" />

Leon Black ผู้ร่วมก่อตั้ง Apollo Global Management จบจากที่นี่ในสาขาปรัชญาเมื่อปี 1973 และในปีเดียวกันนั้นเอง Trevor Rees-Jones ผู้ทรงอิทธิพลในธุรกิจน้ำมันและก๊าซก็เรียนจบในสาขาประวัติศาสตร์

&nbsp;
อันดับ 9 Duke University (6 คน)
<img style="width: 680px; height: 400px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8993096ec1bf000ba0ba6ff8a193545b.png" alt="" />

เศรษฐีคนดัง เช่น J.B.Pritzker จบจาก Duke ในปี 1987 ในสาขารัฐศาสตร์ และเขายังคงใช้ความรู้ที่เรียนมาอย่างเต็มที่เพราะเขากำลังทำแคมเปญหาเสียงลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐ Illinois หวังว่าการเลือกตั้งเดือนมีนาคม 2018 จะทำให้ตัวเขาจากพรรคเดโมแครตเอาชนะผู้ว่าฯ คนก่อนคือ Bruce Rauner จากพรรครีพับลิกันได้ เศรษฐีคนอื่นๆ ที่เป็นศิษย์เก่ายังมี Marijke Mars ทายาทของอาณาจักรขนมหวาน Mars และ David Rubenstein ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทไพรเวทอิควิตี้ Carlyle Group

&nbsp;
อันดับ 10 Cornell University (6 คน)
<img style="width: 680px; height: 400px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/ec37a46f04077a5ec019afc394604bfc.png" alt="" />

Cornell ต้องขอบคุณ SC Johnson ยักษ์ใหญ่วงการอุปกรณ์ทำความสะอาดที่เข้ามาเรียนที่นี่ เพราะหลังจากนั้นครอบครัวของเขาก็มาเรียน Cornell กันหมด ได้แก่ลูกของเขาทั้งสามคน และน้องชายคนเล็ก Winifred Johnson-Marquart ก็ด้วย แม้ว่าจะขอพักการเรียนไปก็ตาม

&nbsp;

และมีเศรษฐีอเมริกันที่เรียนในมหาวิทยาลัยอื่นๆ อีก 218 คน เก็บสถิติจากฐานข้อมูลจากจำนวนสมาชิก 318 คนของ Forbes 400

&nbsp;

<hr />

<a href="http://goo.gl/2JcAAK">คลิกอ่านบทความทางธุรกิจอื่นๆ </a><a href="https://goo.gl/2JcAAK">เพิ่มเติมได้ใน นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ มกราคม 2561 ในรูปแบบ E-Magazine</a>

<a href="https://goo.gl/2JcAAK"><img style="width: 250px; height: 328px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/45f4e2f83d6739461ddb245b45757a27.png" alt="" /></a>

10 สถาบันการศึกษายอดนิยมของมหาเศรษฐีอเมริกันจาก Forbes 400

<h2>มหาวิทยาลัยแห่งไหนให้ความคุ้มค่ากับค่าเล่าเรียนที่จ่ายไปมากที่สุด? ในการจัดอันดับสถาบันการศึกษาที่คุ้มค่าที่สุดของประเทศ เราประเมินโดยเปรียบเทียบค่าเทอมกับ 5 ประเด็นพิจารณา ซึ่งรวมถึงรายได้หลังจบการศึกษาและอัตราการลาออกกลางคัน ผลการจัดอันดับมีทั้งที่สร้างความประหลาดใจ (University of Florida และ Georgia Tech ติดอันดับหัวตาราง) และเป็นไปตามความคาดหมาย (Harvard, MIT และ Princeton) ติดตามผลการจัดอันดับมหาวิทยา-ลัยทั้งอันดับ 300 แห่งจากทั่วสหรัฐอเมริกาได้ที่ forbes.com/value-colleges</h2>
<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/0969edb0415b0ecd6936f5320f096c9a.png" alt="" />
อันดับ1   University of California, Berkeley (มหาวิทยาลัยรัฐ)

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/6d983f1aa362c7ab7446ce4ac107af59.png" alt="" />
อันดับ2   Brigham Young University (มหาวิทยาลัยเอกชน)

&nbsp;

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/15b9b2f769b78d48557ddf433362b00f.png" alt="" />
อันดับ3   University of Florida (มหาวิทยาลัยรัฐ)

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d6adf9807f0a1db956cabf70acfae6c5.png" alt="" />
อันดับ4   University of California, Los Angeles (มหาวิทยาลัยรัฐ)

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/a44ddc42806a8bc3254c92154bd5d436.png" alt="" />
อันดับ5   University of California, San Diego (มหาวิทยาลัยรัฐ)

&nbsp;

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/bbed77fca987e5aab2d0db8f0d35c24e.png" alt="" />
อันดับ6   Massachusetts Institute of Technology (มหาวิทยาลัยเอกชน)

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1a52fc09f9e653c2ec720f3d4e4e17a7.png" alt="" />
อันดับ7   University of Illinois, Urbana-Champaign (มหาวิทยาลัยรัฐ)

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/778da0628ad2dd3f3f849631f861289d.png" alt="" />
อันดับ8   Georgia Institute of Technology (มหาวิทยาลัยรัฐ)

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/849d97452cb8feaa13a6d6fe80c3afff.png" alt="" />
อันดับ9   Harvard University (มหาวิทยาลัยเอกชน)

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/90e6703e20461510f56d7ac4a12ce91f.png" alt="" />
อันดับ10 University of California, Irvine (มหาวิทยาลัยรัฐ)

อันดับ11
California Institute of Technology (มหาวิทยาลัยรัฐ)

อันดับ12
Stanford University (มหาวิทยาลัยเอกชน)

อันดับ13
Harvey Mudd College (มหาวิทยาลัยเอกชน)

อันดับ14
Princeton University (มหาวิทยาลัยเอกชน)

อันดับ15
SUNY Binghamton (Binghamton University) (มหาวิทยาลัยรัฐ)

อันดับ16
University of North Carolina, Chapel Hill (มหาวิทยาลัยรัฐ)

อันดับ17
University of Texas, Austin (มหาวิทยาลัยรัฐ)

อันดับ18
Texas A&amp;M University, College Station (มหาวิทยาลัยรัฐ)

อันดับ19
University of Virginia (มหาวิทยาลัยรัฐ)

อันดับ20
Rice University  (มหาวิทยาลัยเอกชน)

อันดับ21
University of Pennsylvania (มหาวิทยาลัยเอกชน)

อันดับ22
College of William and Mary (มหาวิทยาลัยรัฐ)

อันดับ23
University of Washington (มหาวิทยาลัยรัฐ)

อันดับ24
University of Maryland, College Park (มหาวิทยาลัยรัฐ)

อันดับ25
University of California, Santa Barbara (มหาวิทยาลัยรัฐ)

ภาพประกอบสถานที่จาก wikipedia

<hr />

<a href="http://goo.gl/fFO1hE">คลิ๊ก Forbes Thailand ฉบับ June 2016 ในรูปแบบ E-Magazine</a>
<a href="http://goo.gl/fFO1hE"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/45c118021313fc065b87a4f7e8e1b670.png" alt="" width="240" height="318" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events