Joe Kiani มหาเศรษฐีเมดเทค ผู้เปิดศึกสิทธิบัตรกับ Apple

<h2>ทีพีซี ผู้ดำเนินโครงการบัตรสมาชิก “ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด” ตั้งเป้าเพิ่มสมาชิกเป็น 50,000 ราย ภายในปี 2568 มั่นใจตรวจสอบเข้มงวดไม่มีสมาชิกเป็นกลุ่ม “ทุนจีนสีเทา” โดย 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2566 สร้างรายได้แล้วกว่า 3,000 ล้านบาท</h2><h2> </h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มนาเทศ อันนวัฒน์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด หรือ ทีพีซี ผู้ดำเนินโครงการบัตรสมาชิก “ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด” ภายใต้การกำกับดูแลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า บริษัทมีการตั้งเป้าหมายเพิ่มสมาชิกบัตรจากปัจจุบัน ณ เดือน มี.ค. 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 24,000 ราย ให้เป็น 50,000 ราย ภายในปีงบประมาณ 2568&nbsp; &nbsp; โดยภายใต้ปีงบประมาณ 2566 ในปีนี้ บริษัทมีแผนเพิ่มยอดสมาชิกให้ได้ถึง 30,000 ราย ซึ่งคาดว่าตลอดทั้งปีจะมีชาวต่างชาติผู้ถือบัตร “ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด” เดินทางมาพำนักในไทยมากถึง 15,000-20,000 ราย โดยนิยมพำนักในกรุงเทพฯ มากที่สุด รองลงมาคือ ภูเก็ต และเชียงใหม่​&nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ เมื่อดูรายละเอียดของโครงสร้างสมาชิกผู้ถือบัตร พบว่าจากจำนวนสมาชิกที่มีอยู่ราว 24,000 ราย มีชาวจีนมากเป็นอันดับ 1 ในสัดส่วนสูงถึง 38% รองลงมา คือ ญี่ปุ่น 8% สหรัฐฯ 6% สหราชอาณาจักร 6% และเกาหลีใต้ 5%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับสถานการณ์เรื่อง “ทุนจีนเทา” หรือคนจีนที่แอบแฝงเข้ามาทำธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย บริษัทได้รับข้อมูลจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาตรวจสอบแล้ว โดยเบื้องต้นพบว่าไม่มีกลุ่มคนจีนที่ทำธุรกิจผิดกฎหมายดังกล่าวถือบัตรไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด&nbsp; &nbsp; นอกจากนี้ แนวทางการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครเป็นสมาชิกบัตรรายใหม่จะมีความเข้มงวดมากขึ้น เช่น จะไม่รับคนที่มาด้วยวีซ่ามูลนิธิ และวีซ่าศึกษาพระธรรม ตามที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ร้องขอมา อีกทั้งจะมีการส่งข้อมูลของผู้สมัครบัตรไปยังสำนักข่าวกรองเพื่อการตรวจสอบอย่างละเอียดมากกว่าเดิม โดยจะใช้เวลาตั้งแต่ 45-90 วัน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 569px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/03/PcR8N8kvd5yNU7KYc8fD.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="569px,381px" data-align="center" data-index="1" data-file-name="PcR8N8kvd5yNU7KYc8fD.jpg" data-file-size="0" origin-size="650,435" data-origin="569px,381px" style="width: 569px; height: 381px;"></figure></div> &nbsp; &nbsp; อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารของทีพีซี กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ในไตรมาส 4 ปีนี้ (ต.ค.-ธ.ค.2566) บริษัทมีแผนจะเปิดตัวการปรับเปลี่ยนโฉมบัตรในรูปแบบใหม่&nbsp;โดยบริษัทจะปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านไลฟ์สไตล์มากขึ้น ด้วยการสรรหาพันธมิตรคู่ค้า ไม่ว่าจะเป็นไดน์นิ่ง ช็อปปิ้ง เอ็นเตอร์เทนเมนต์ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มีอิสระทางการเงิน ครอบคลุมกลุ่มคนทำงาน ผู้เกษียณอายุ ดิจิทัลนอแมด กลุ่มนักลงทุน กลุ่มผู้ที่ต้องการทำงานในประเทศไทย รวมไปถึงกลุ่มองค์กร (Corporate) เพื่อมอบประสบการณ์สุดพิเศษเหนือระดับ ตลอดระยะเวลาการพำนักระยะยาวในไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2566 (ต.ค.2565-มี.ค.2566) บริษัทสามารถจำหน่ายบัตรสมาชิกได้ 5,041 ใบ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้ามีอัตรการเติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 254% รวมทั้งมีรายได้จากการจำหน่ายบัตรสมาชิกเป็นมูลค่า 3,147 ล้านบาท เติบโตสูงกว่าปีก่อนหน้า 262%&nbsp;&nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ จึงทำให้คาดการณ์ได้ว่าตลอดทั้งปีของรายได้จากยอดขายบัตรสมาชิกดังกล่าวจะมีมูลค่าราว 6,000-7,000 ล้านบาท และเมื่อรวมกับการใช้จ่ายของผู้ถือบัตรภายในประเทศไทยปีนี้อีกประมาณ 3,000 ล้านบาท ก็น่าจะสร้างเม็ดเงินเข้าประเทศไทยได้ไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาทเช่นกัน อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://www.forbesthailand.com/news/travel/%E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%97-%E0%B8%94%E0%B8%B6%E0%B8%87-%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%94%E0%B8%98%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%8A%E0%B8%A2-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-8-8-%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99" alt="ททท. ดึง “เบิร์ด ธงไชย” เป็นพรีเซนเตอร์เที่ยวไทยหวังรายได้ 8.8 แสนล้านบาท">ททท. ดึง “เบิร์ด ธงไชย” เป็นพรีเซนเตอร์เที่ยวไทยหวังรายได้ 8.8 แสนล้านบาท</a>​<hr class="__se__solid"><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

“ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด” ตั้งเป้าบัตร 50,000 ราย ในปี 2568 มั่นใจตรวจเข้มไม่มีสมาชิก “จีนสีเทา”

<h2 class="p1">ศาลในประเทศจีน มีคำตัดสินห้ามจำหน่ายโทรศัพท์มือถือยี่ห้อไอโฟน (iPhone) หลายรุ่น จากข้อพิพาทฟ้องร้องเรื่องสิทธิบัตรระหว่าง Qualcomm ผู้ผลิตชิปของสหรัฐฯ เเละ Apple บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่</h2>
โดยคำแถลงของศาลประชาชนชั้นกลาง (Intermediate People's Court) เมืองฝูโจว ประเทศจีนเมื่อวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา ได้ตัดสินยืนตามคำร้องของ Qualcomm ที่มีต่อบริษัทสาขา 4 แห่งของ Apple ให้บริษัทเหล่านั้นยุติการขายโทรศัพท์ไอโฟนรุ่น iPhone 6S, iPhone 6S Plus, iPhone 7, iPhone 7 Plus, iPhone 8, iPhone 8 Plus เเละ iPhone X ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS รุ่นเก่า
สำหรับความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นความคืบหน้าล่าสุดในข้อพิพาทอันยืดเยื้อเกี่ยวกับปัญหาสิทธิบัตรและค่าลิขสิทธิ์ระหว่างสองเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ซึ่งสู้คดีกันในศาลหลายแห่ง รวมถึงในองค์กรบริหารต่างๆ ทั่วโลก
โดยศาลระบุว่า Apple มีการละเมิดสิทธิบัตร 2 ฉบับของ Qualcomm ที่เกี่ยวกับซอฟท์แวร์สำหรับการย่อเเละขยายรูปภาพ รวมถึงการจัดเก็บแอปพลิเคชั่นต่างๆ บนหน้าจอโทรศัพท์
"Apple ยังเดินหน้าหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาของเรา ไปพร้อมๆกับการปฏิเสธการชดเชยให้แก่เรา คำสั่งของศาลนี้จึงเป็นการยืนยันถึงความเเข็งเเกร่งด้านงานสิทธิบัตรของ Qualcomm" Don Rosenberg รองประธานบริหารของ Qualcomm ระบุในถ้อยแถลงของบริษัท
ด้าน Apple ยืนยันว่าจะมีการจำหน่ายไอโฟนในตลาดจีนต่อไป เนื่องจากปัจจุบันมีการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ iOS 12 ซึ่งไม่ได้มีการละเมิดสิทธิบัตรของ Qualcomm ตามคำสั่งศาลที่มีผลบังคับใช้ต่อไอโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการแบบเก่า
“ผู้บริโภคในจีนยังสามารถหาซื้อไอโฟนได้ทุกรุ่น เราจะแสวงหาทุกทางเลือกทางกฎหมายผ่านกระบวนการศาล” โดย Apple เเถลงตอบโต้ Qualcomm ว่ากำลังอ้างสิทธิในสิทธิบัตรฉบับที่พวกเขาไม่เคยหยิบยกขึ้นมาก่อน และหนึ่งในนั้นก็เป็นโมฆะไปแล้ว
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนกลายเป็นตลาดสำคัญของ Apple ภายหลัง China Mobile  ตกลงสัญญาเป็นผู้แทนจำหน่ายสมาร์ทโฟนให้ Apple เเละเปิดร้านขายสินค้าทั่วประเทศ จากรายงานผลประกอบการรายไตรมาสของ Apple เมื่อเร็วๆ นี้ พบว่าตลาดจีน ที่รวมถึงไต้หวันและฮ่องกง นำรายได้สู่บริษัทราว 1.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็น 18% ในรายได้รวมของบริษัท
ทั้งนี้ คำสั่งห้ามจำหน่ายไอโฟนในจีน เมื่อวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมาดังกล่าว เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างรัฐบาลสหรัฐเเละจีน รวมถึงเหตุการณ์การจับกุมผู้บริหารระดับสูงซึ่งเป็นทายาทของผู้ก่อตั้ง “Huawei” บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีนในแคนาดา ตามคำร้องขอของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ
ที่ผ่านมา Qualcomm ได้ยื่นคำร้องต่อหน่วยงานในสหรัฐฯ ให้สั่งห้ามขายโทรศัพท์ไอโฟน จากปัญหาการละเมิดสิทธิบัตรลักษณะเดียวกัน แต่ขณะนี้ยังคงไม่มีมาตรการใดๆ เกิดขึ้น
ความขัดเเย้งทางกฏหมายของ Qualcomm ผู้ผลิตชิปสำหรับอุปกรณ์มือถือชั้นนำกับ Apple ยืดเยื้อมานานหลายปี โดย Apple อ้างว่า Qualcomm  ละเมิดอำนาจการตลาดของพวกเขาเกี่ยวกับชิ้นส่วนมือถือ เพื่อเรียกร้องค่าลิขสิทธิ์ที่ไม่เป็นธรรม ซึ่ง Qualcomm ได้ฟ้องกลับพร้อมกล่าวหาว่า Apple ขโมยความลับทางการค้าเเละเเบ่งปันเทคโนโลยีเหล่านั้นให้กับ Intel คู่เเข่งเจ้าสำคัญของ Qualcomm
โดยในคำฟ้องศาลในสหรัฐฯ Qualcomm ระบุว่า “เป้าหมายของ Apple คือการซื้อชิปจาก Intel เเทนการพึ่งพา Qualcomm” 
&nbsp;
ที่มา

<ul>
 	<li class="p4"><a href="https://www.scmp.com/news/world/united-states-canada/article/2177333/chinese-court-bans-iphone-sales-patent-dispute">https://www.scmp.com/news/world/united-states-canada/article/2177333/chinese-court-bans-iphone-sales-patent-dispute</a></li>
 	<li class="p4"><a href="https://www.voanews.com/a/qualcomm-wins-chinese-ban-on-most-iphone-sales-in-patent-war/4694725.html">https://www.voanews.com/a/qualcomm-wins-chinese-ban-on-most-iphone-sales-in-patent-war/4694725.html</a></li>
 	<li class="p4"><a href="https://www.reuters.com/article/us-qualcomm-apple/china-court-bans-sales-of-older-iphone-models-in-apple-qualcomm-global-battle-idUSKBN1O91LD?il=0">https://www.reuters.com/article/us-qualcomm-apple/china-court-bans-sales-of-older-iphone-models-in-apple-qualcomm-global-battle-idUSKBN1O91LD?il=0</a></li>
</ul>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events