หนี้ครัวเรือนไทยยังน่าห่วง! ttb analytics เผย 38% คนไทยมีหนี้ในระบบเฉลี่ยเกินแสนบาท สัดส่วนคนเป็นหนี้เสียพุ่ง 22% 

<h2>กระทรวงการคลังเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยของ Non-Banks ภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ล่าสุดเปิดทาง Non-Banks เข้าร่วม เบื้องต้นได้แก่ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) และบริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)</h2>&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp;นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสถาบันการเงิน ได้มีการดำเนินโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” สำหรับลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ในการลดภาระค่างวดในการชำระหนี้และยกเว้นดอกเบี้ยซึ่งจะช่วยให้ลูกหนี้ที่เข้าร่วมมาตรการมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นและปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้นนั้น ทั้งนี้ เพื่อให้การช่วยเหลือครอบคลุมถึงลูกหนี้รายย่อยของผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Banks) และสอดคล้องกับการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยของธนาคารพาณิชย์ และ SFIs&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp;กระทรวงการคลังจึงได้ร่วมกับ ธปท.เสนอมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยของ Non-Banks ภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” และจัดทำหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และกระบวนการเบิกจ่ายโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) สำหรับผู้ประกอบธุรกิจ Non-Banks ของธนาคารออมสิน เพื่อเป็นการส่งผ่านความช่วยเหลือจากภาครัฐไปยังลูกหนี้รายย่อยของ Non-Banks ซึ่งคณะรัฐมนตรีในคราวการประชุม เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ได้มีมติเห็นชอบมาตรการดังกล่าวตามที่กระทรวงการคลังเสนอ&nbsp; &nbsp; &nbsp;โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวว่า ในเบื้องต้นได้รับทราบว่ามี Non-Banks เข้าร่วมมาตรการได้แก่บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) และบริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) โดยลูกหนี้รายย่อยของ Non-Banks ดังกล่าวจะได้รับการช่วยเหลือภายใต้โครงการ“คุณสู้ เราช่วย” ผ่าน 2 มาตรการ ดังนี้&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp;1) มาตการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” หรือมาตรการปรับโครงสร้างหนี้แบบลดภาระดอกเบี้ยโดยการเน้นตัดต้นเงิน เป็นการช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อรถยนต์วงเงินไม่เกิน 800,000 บาท ลูกหนี้สินเชื่อรถจักรยานยนต์วงเงินไม่เกิน 50,000 บาท ลูกหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่มีวงเงินรวมไม่เกิน 200,000 บาท สินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัลที่มีวงเงินรวมไม่เกิน 20,000 บาท และสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ที่มีวงเงินรวมไม่เกิน 50,000 บาท&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp;โดยมาตรการนี้จะช่วยเหลือลูกหนี้ Non-Banks ผ่านการลดภาระผ่อนชำระ 3 ปี เหลือเพียงร้อยละ 70 และลดดอกเบี้ยให้ร้อยละ 10 เช่น จากเดิมร้อยละ 25 ต่อปี เป็นร้อยละ 15 ต่อปี ตลอดระยะเวลา 3 ปี โดยดอกเบี้ยส่วนที่ลดให้ดังกล่าวจะพักชำระไว้ทั้งหมด และยกเว้นให้หากลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ตลอดระยะเวลาของมาตรการ&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp;2) มาตรการ “จ่าย ปิด จบ” หรือมาตรการลดภาระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ที่ถูกจัดชั้นเป็นหนี้เสีย (Non-performing Loan: NPLs) ที่มียอดคงค้างหนี้ไม่เกิน 5,000 บาท โดยจะช่วยเหลือโดยการปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรนให้ลูกหนี้ชำระหนี้เพียงบางส่วน เพื่อปิดหนี้ได้ทันที &nbsp; &nbsp; &nbsp;ทั้งนี้ เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการ Non-Banks ให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้รายย่อยตามมาตรการที่กำหนด กระทรวงการคลังได้จัดทำโครงการ Soft Loan สำหรับผู้ประกอบธุรกิจ Non-Banks ของธนาคารออมสิน วงเงินรวม 50,000 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 3 ปี และกำหนดให้วงเงินสินเชื่อของ Non-Banks ต่อรายสูงสุดไม่เกิน 5,000 ล้านบาท โดยวงเงินสินเชื่อแต่ละรายขึ้นอยู่กับปริมาณการสูญเสียรายได้ของ Non-Banks แต่ละแห่ง ที่เกิดจากการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้&nbsp; &nbsp; &nbsp;นอกจากนี้ รัฐบาลจะชดเชยต้นทุนเงินให้กับธนาคารออมสินในอัตราร้อยละ 2.00 ต่อปี เป็นระยะเวลา 3 ปี รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 3,000 ล้านบาท เพื่อส่งผ่านความช่วยเหลือจากภาครัฐไปยังลูกหนี้รายย่อยของ Non-Banks&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp;“มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยของ Non-Banks ภายใต้โครงการคุณสู้ เราช่วย คาดว่ามีลูกหนี้ของ Non-Banks เข้าข่ายได้รับความช่วยเหลือประมาณ 1.7 ล้านบัญชียอดคงค้างประมาณ 50,000 ล้านบาท ซึ่งการขยายความช่วยเหลือในครั้งนี้จะทำให้ลูกหนี้รายย่อยที่สามารถเข้าร่วมโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ครอบคลุมลูกหนี้ทุกกลุ่ม ทั้งลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ SFIs รวมถึงลูกหนี้ของ Non-Banks และโครงการนี้มุ่งเน้นให้เจ้าหนี้ปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับศักยภาพของลูกหนี้ เน้นการตัดเงินต้นเพื่อให้ลูกหนี้ปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น และเพิ่มโอกาสให้ลูกหนี้สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบและแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรม” นายพรชัยกล่าว ภาพ: กระทรวงการคลัง,&nbsp;<a href="https://unsplash.com/@joshrh19?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">Joshua Rawson-Harris</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/people-eating-on-street-kIXLT7HmAak?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">Unsplash</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/eastspring-investment-feb-2025" alt="อีสท์สปริง คาดตลาดหุ้นไทยปี 68 เข้ากรอบ 1,270-1,350 จุด หากกระทบสงครามการค้าหนักอาจเห็น 1,219 จุด">อีสท์สปริง คาดตลาดหุ้นไทยปี 68 เข้ากรอบ 1,270-1,350 จุด หากกระทบสงครามการค้าหนักอาจเห็น 1,219 จุด</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

คลังหวังแก้หนี้ทั่วถึง! เร่งเครื่อง ‘คุณสู้ เราช่วย’ เชื่อม Non-Banks ประเดิมอิออน-MTC

<h2>ธนาคารกสิกรไทยผนึกกำลังบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (BAM) ร่วมลงทุน 1,000 ล้านบาท จัดตั้งบริษัท บริหารสินทรัพย์ อรุณ จำกัด (ARUN AMC) เพื่อช่วยพลิกฟื้นสถานะลูกหนี้ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นทั้งการดำรงชีพและการดำเนินธุรกิจ และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของธนาคาร ซึ่งสอดรับกับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ส่งเสริมการจัดตั้งกิจการร่วมทุนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้เสีย ช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับระบบนิเวศการจัดการด้านสินเชื่อ ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายจงรัก รัตนเพียร ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBank&nbsp;เปิดเผยว่า ด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจไทยที่ยังฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังคงมีแนวโน้มสูงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับนโยบายธนาคารแห่งประเทศไทยที่ส่งเสริมการจัดตั้งกิจการร่วมทุนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้เสีย จึงเป็นที่มาของการร่วมลงทุนระหว่างธนาคารกสิกรไทย และบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (BAM) จัดตั้งบริษัท บริหารสินทรัพย์ อรุณ จำกัด (ARUN AMC) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับธนาคาร นอกจากนี้ ธนาคารจะได้รับส่วนแบ่งจากผลกำไรของการบริหารหนี้จาก ARUN AMC ในฐานะผู้ถือหุ้นสัดส่วนร้อยละ 50 ซึ่งธนาคารลงทุนผ่านบริษัท กสิกร วิชั่น จำกัด (KVISION) อีกด้วย โดยมุ่งหวังว่า ARUN AMC จะช่วยแก้ไขปัญหาสภาพคล่องทางการเงินให้ลูกหนี้มีโอกาสแก้ไขหนี้ และสามารถดำเนินชีวิตและธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศเช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายบรรยง วิเศษมงคลชัย รองประธานกรรมการ และรักษาการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM&nbsp;เปิดเผยว่า ARUN AMC มีเงินทุนเริ่มต้นในการจัดตั้งบริษัทจำนวน 1,000 ล้านบาท โดยธนาคารกสิกรไทย และ BAM ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 50เท่ากัน ซึ่งที่ผ่านมาBAM เป็นผู้นำในธุรกิจบริหารสินทรัพย์ที่มีศักยภาพ และมีความเชี่ยวชาญในการแก้ไขปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพในระบบสถาบันการเงินและบริหารสินทรัพย์ รวมทั้งเป็นพันธมิตรที่ดีกับธนาคารกสิกรไทยมาอย่างยาวนาน การร่วมลงทุนจัดตั้ง ARUN AMC ในครั้งนี้ นอกจากจะสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และ พันธกิจของ BAM ในการพลิกฟื้นสินทรัพย์ ช่วยเหลือลูกหนี้ให้กลับคืนสู่ระบบเศรษฐกิจ และฟื้นฟูธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มือสองให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นแล้ว ยังช่วยส่งเสริมศักยภาพให้ทั้งธนาคารกสิกรไทยและ BAM มีความแข็งแกร่งมากขึ้น ถือเป็นการต่อยอดความสำเร็จ และเป็นการร่วมมือกันเพื่อผลักดันให้เกิดมูลค่าเพิ่มของธุรกิจบริหารสินทรัพย์ได้อย่างแท้จริง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายสมชาย ธนุรักษ์ไพโรจน์ กรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริหารสินทรัพย์ อรุณ จำกัด หรือ&nbsp;ARUN AMC&nbsp;กล่าวเพิ่มเติมว่า ARUN AMC ตั้งเป้าในการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพจากธนาคารกสิกรไทย มูลค่าหนี้รวมประมาณ 50,000 – 60,000 ล้านบาท มาบริหารจัดการภายใต้ทีมงานที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ เพื่อพลิกฟื้นสถานะลูกหนี้ รวมถึงให้โอกาสลูกหนี้ฟื้นตัว และสามารถรักษาทรัพย์สินเพื่อใช้ในการดำรงชีพและดำเนินธุรกิจต่อไปได้ อีกทั้งยังมีแนวทางการบริหารที่ตอบรับมาตรการแก้ไขหนี้ของภาครัฐที่ออกมาในปัจจุบัน เช่น โครงการคุณสู้ เราช่วย รวมถึงมาตรการที่อาจออกมาในอนาคต ซึ่งแม้ว่าลูกหนี้ธนาคารกสิกรไทยจะถูกโอนขายหนี้มาที่ ARUN AMC แล้วตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2567 ก็จะยังคงได้รับการช่วยเหลือตามมาตรการแก้ไขหนี้อย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ARUN AMC จะดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ "เป็นแสงสว่างให้ลูกหนี้พ้นจากวิกฤตทางการเงิน" โดยช่วยเหลือลูกหนี้อย่างเต็มที่ ด้วยการผสานจุดแข็งของธนาคารกสิกรไทยและ BAM เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ มีต้นทุนการดำเนินงานที่เหมาะสม และสร้างรายได้และกำไรที่ตอบโจทย์ผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ ARUN AMC ได้รับใบทะเบียนบริษัทบริหารสินทรัพย์เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา ภาพ: ธนาคารกสิกรไทย เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/oic-tgia-new-standard-motor-insurance-jan-2025" alt="ทำไมประเทศไทยต้องบังคับใช้ประกันภัยรถยนต์แบบ ‘ระบุคนขับ’ เริ่มรถสันดาปป้ายแดงปีนี้ ใช้ทั้งระบบปี 69!"></a><a href="https://forbesthailand.com/people/strategies/tgia-wasit-lamsam-jan-2025" alt="‘วาสิต ล่ำซำ’ เปิดมุมมอง TGIA ส่องเทรนด์เบี้ยประกันรถไฟฟ้าปี 68 ผ่าวิกฤตหั่นราคารถ EV - เคลมสูงเกิน 80%"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/property/awc-invests-16-billion-baht-build-mixed-use-project-woeng-nakorn-kasem-yaowaraj" alt="AWC ทุ่ม 1.6 หมื่นล้าน สร้างโปรเจกต์ยักษ์ 'เวิ้งนครเกษม เยาวราช' เตรียมเปิดเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ปี 2572"></a><a href="https://forbesthailand.com/forbes-life/the-eye/dermond-thai-fine-jewelry-brand-with-timeless-luxurious-design" alt="Timeless Luxury Reimagined 'เดอมอนด์' ไฟน์จิวเวลรี่แบรนด์ไทยสุดหรู ดีไซน์สวยล้ำค่าเหนือกาลเวลา"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/uob-thailand-outlook-2025-trump-policy-and-economy" alt="ยูโอบี มองภาพรวมการลงทุนปี 68 เผชิญความผันผวนและความเสี่ยง แนะเตรียมรับมือนโยบายภาษี Trump 2.0"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/mof-gdp-thailand-2024-new-economic-forecast-jan-2025" alt="คลังคงเป้า GDP ไทยปี 68 โต 3.0% จับตา ‘หนี้ครัวเรือน-นโยบายการค้า-ปมต่างชาติกังวลเที่ยวไทย’"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/bot-scam-jan-2025" alt="ธปท. เร่งเครื่องคุมเข้ม ‘บัญชีม้านิติบุคคล’ ขยายผลสู่ ‘ม้าคริปโต’ พร้อมผลักดันแนวทางร่วมรับผิด"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/mof-gdp-thailand-2024-new-economic-forecast-jan-2025" alt="คลังคงเป้า GDP ไทยปี 68 โต 3.0% จับตา ‘หนี้ครัวเรือน-นโยบายการค้า-ปมต่างชาติกังวลเที่ยวไทย’">คลังคงเป้า GDP ไทยปี 68 โต 3.0% จับตา ‘หนี้ครัวเรือน-นโยบายการค้า-ปมต่างชาติกังวลเที่ยวไทย’</a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/travel/emirates-world-first-autism-certified-airline" alt="Emirates มุ่งสู่สายการบินแรกของโลกที่ได้การรับรองจาก IBCCES ในการให้บริการผู้โดยสารออทิสติก"></a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

KBank ผนึก BAM ร่วมลงทุน 1,000 ล้านบาท จัดตั้ง ARUN AMC หวังพลิกฟื้นลูกหนี้รายย่อย-ธุรกิจ 

<h2>ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารนานาชาติ สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน (Non-Banks) บางแห่ง ออกมาตรการชั่วคราวเพิ่มเติม เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ SMEs เฉพาะกลุ่ม&nbsp;</h2>&nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp;ภายใต้ชื่อโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่งในช่วงเริ่มต้น การช่วยเหลือจะครอบคลุมลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และผู้ประกอบธุรกิจ&nbsp;Non-bank ที่เป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งประกอบด้วย 2 มาตรการ ดังนี้&nbsp; &nbsp; &nbsp;มาตรการที่ 1 “จ่ายตรง คงทรัพย์” เป็นการช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อบ้าน รถ และ SMEs ขนาดเล็กที่มีวงเงินหนี้ไม่สูงมาก ให้สามารถรักษาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันทั้งบ้าน รถ และสถานประกอบการไว้ได้ โดยเป็นการปรับโครงสร้างหนี้แบบลดค่างวดและลดภาระดอกเบี้ย โดยค่างวดที่จ่ายจะนำไปตัดเงินต้น&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp;1.1 รูปแบบการให้ความช่วยเหลือ&nbsp; &nbsp; &nbsp;(1) ลดค่างวดเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยลูกหนี้ชำระค่างวดขั้นต่ำที่ 50% 70% และ 90% ของค่างวดเดิม ในปีที่ 1 ปีที่ 2 และปีที่ 3 ตามลำดับ ซึ่งค่างวดทั้งหมดจะนำไปตัดเงินต้น&nbsp; &nbsp; &nbsp;(2) พักดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยดอกเบี้ยที่พักไว้จะได้รับยกเว้นทั้งหมด หากลูกหนี้ปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขได้ตลอดช่วงระยะเวลา 3 ปีที่อยู่ภายใต้มาตรการ&nbsp; &nbsp; &nbsp;ทั้งนี้ ลูกหนี้สามารถชำระมากกว่าค่างวดขั้นต่ำที่กำหนดไว้ได้ เพื่อตัดเงินต้นเพิ่มและปิดจบหนี้ได้ไวขึ้น&nbsp; &nbsp; &nbsp;1.2 คุณสมบัติลูกหนี้ที่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp;(1) มีวงเงินสินเชื่อรวมต่อสถาบันการเงินไม่เกินที่กำหนด โดยพิจารณาแยกวงเงินตามประเภทสินเชื่อต่อสถาบันการเงิน ดังนี้&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp;- สินเชื่อบ้าน / บ้านแลกเงิน			วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท&nbsp; &nbsp; &nbsp;- สินเชื่อเช่าซื้อ / จำนำทะเบียนรถยนต์		วงเงินไม่เกิน 8 แสนบาท&nbsp; &nbsp; &nbsp;- สินเชื่อเช่าซื้อ / จำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์	วงเงินไม่เกิน 5 หมื่นบาท&nbsp; &nbsp; &nbsp;- สินเชื่อธุรกิจ SMEs				วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท&nbsp; &nbsp; &nbsp;กรณีสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต หากมีหนี้บ้านหรือรถที่เข้าเงื่อนไขข้างต้น สามารถพิจารณาเข้ามาตรการรวมหนี้ได้ ภายใต้ระดับความเสี่ยงที่สถาบันการเงินรับได้ โดยวงเงินเมื่อรวมแล้วไม่เกินเงื่อนไขที่กำหนด<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/N5m51GkJhADsJtv4w48f.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="N5m51GkJhADsJtv4w48f.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,410" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp; &nbsp; &nbsp;(2) เป็นสินเชื่อที่ทำสัญญาก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp;(3) มีสถานะหนี้ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp;(3.1) เป็นหนี้ที่ค้างชำระเกินกว่า 30 วัน แต่ไม่เกิน 365 วัน&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp;(3.2) เป็นหนี้ที่ไม่ค้างชำระหรือค้างชำระไม่เกิน 30 วัน แต่เคยมีประวัติการค้างชำระเกิน 30 วัน และได้รับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp;1.3 เงื่อนไขของการเข้าร่วมมาตรการ&nbsp; &nbsp; &nbsp;(1) ลูกหนี้ไม่ทำสัญญาสินเชื่อเพิ่มเติมในช่วง 12 เดือนแรกที่เข้าร่วมมาตรการ ยกเว้นกรณีสินเชื่อธุรกิจ SMEs ที่จำเป็นต้องกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่อง เจ้าหนี้สามารถให้สินเชื่อเพิ่มเติมได้โดยจะพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ตามความเหมาะสม&nbsp; &nbsp; &nbsp;(2) ลูกหนี้รับทราบว่า จะมีการรายงานข้อมูลต่อเครดิตบูโร (NCB) ถึงการเข้าร่วมมาตรการ&nbsp; &nbsp; &nbsp;(3) หากลูกหนี้ไม่สามารถจ่ายชำระค่างวดขั้นต่ำได้ตามที่มาตรการกำหนด หรือไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขอื่น ๆ ได้ เช่น ลูกหนี้ก่อหนี้ใหม่ก่อนระยะเวลา 12 เดือน ลูกหนี้จะต้องออกจากมาตรการและชำระดอกเบี้ยที่ได้รับการพักไว้ในระหว่างที่เข้ามาตรการ&nbsp; &nbsp; &nbsp;(4) หากสัญญาสินเชื่อมีผู้ค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันต้องให้ความยินยอมในการเข้าร่วมมาตรการและลงนามในสัญญาค้ำประกันใหม่&nbsp; &nbsp; &nbsp;มาตรการที่ 2 “จ่าย ปิด จบ” เป็นการช่วยลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้เสียและยอดหนี้ไม่สูง ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรน เพื่อเปลี่ยนสถานะจากหนี้เสียเป็นปิดจบหนี้ และให้ลูกหนี้สามารถเริ่มต้นใหม่ได้&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp;1.1 รูปแบบการให้ความช่วยเหลือ ลูกหนี้จะได้รับการปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรน โดยลูกหนี้จะชำระหนี้บางส่วน เพื่อให้สามารถจ่ายและปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น&nbsp; &nbsp; &nbsp;1.2 คุณสมบัติลูกหนี้ที่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp;(1) ลูกหนี้บุคคลธรรมดา ที่มีสถานะค้างชำระเกินกว่า 90 วัน (NPL) ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567&nbsp;&nbsp; &nbsp; &nbsp;(2) มีภาระหนี้ต่อบัญชี ไม่เกิน 5,000 บาท โดยไม่จำกัดประเภทสินเชื่อ (สามารถเข้าร่วมมาตรการได้มากกว่า 1 บัญชี)&nbsp; &nbsp; &nbsp;ในระยะต่อไป ผู้ประกอบธุรกิจกลุ่ม Non-Bank อื่น ๆ จะมีความช่วยเหลือออกมาเพิ่มเติม ซึ่งอาจมีรายละเอียดที่แตกต่างไป เพื่อร่วมกันผลักดันให้การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเดินหน้าได้อย่างเป็นรูปธรรมในวงกว้างและครอบคลุมลูกหนี้ได้มากขึ้น<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/wfNDfkbUHzRnC2YPd7go.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="wfNDfkbUHzRnC2YPd7go.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,410" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp; &nbsp; &nbsp;ทั้งนี้ ลูกหนี้ที่สนใจเข้าร่วมมาตรการ ภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” สามารถศึกษารายละเอียดของมาตรการและสมัครเข้าร่วมได้ที่เว็บไซต์ของ ธปท.&nbsp; ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2567 เวลา 8.30 น. ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 23.59 น.&nbsp; &nbsp; &nbsp;ทั้งนี้ ลูกหนี้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ BOT contact center ของ ธปท. โทร 1213 หรือ call center ของสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการและกดเบอร์ต่อ 99 ภาพ: ชุตินันท์ สงวนประสิทธิ์ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/bar-b-q-plaza-partnered-vitaday-vitamin-water-cabbage-taste" alt="จึ้งมาก! น้ำดื่มผสมวิตามิน กลิ่นกะหล่ำปลี ผลงานบาร์บีคิวพลาซ่า x วิตอะเดย์ สร้างปรากฏการณ์ใหม่วงการอาหาร"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/inter-express-second-half-2024-support-chilled-frozen-business-logistic-transportation-system" alt="Inter Express เผยแผนครึ่งหลังปี 67 พร้อมหนุนธุรกิจสินค้าแช่เย็น-แช่แข็ง ผ่านระบบโลจิสติกส์ขนส่งครบวงจร"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/sec-etf-nov-2024" alt="ก.ล.ต. เปิดรับฟังความเห็นฯ เตรียมปรับเกณฑ์รองรับ leveraged และ inverse ETFs เพิ่มผลิตภัณฑ์ลงทุนที่หลากหลาย"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/jsccib-th-gdp-dec-2024" alt="ภาคเอกชนมองบวก! กกร. มั่นใจ GDP ปี 67 โต 2.8% แต่ต้องติดตามผลกระทบน้ำท่วมภาคเหนือ-ใต้"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/bot-gsb-dec-2024" alt="ธปท. ส่งหนังสือกำชับ ‘ธนาคาร-Non bank’ เร่งพิจารณาความช่วยเหลือลูกหนี้ที่เจอนำ้ท่วมในภาคใต้">ธปท. ส่งหนังสือกำชับ ‘ธนาคาร-Non bank’ เร่งพิจารณาความช่วยเหลือลูกหนี้ที่เจอนำ้ท่วมในภาคใต้</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

สรุป! มาตรการแก้หนี้ 'คุณสู้ เราช่วย' เมื่อคลัง-ธปท. เร่งช่วยกลุ่มค้างจ่าย มีหนี้เสียได้ลดค่างวด-พักดอก นาน 3 ปี

<h2>ธปท. เผยต้องปรับเกณฑ์ช่วยลูกหนี้เรื้อรัง บัตรเครดิต เร่งสถาบันการเงินเอื้อปรับโครงสร้างหนี้ เพราะเศรษฐกิจไม่ดี ย้ำไม่ปรับลดผ่อนขั้นต่ำเหลือ 5% แต่เพิ่มมาตรการจูงใจให้เครดิตเงินคืนให้ลูกหนี้ที่จ่ายเกินขั้นต่ำ 8% ซึ่งใน 1 ปีจะคิดเป็นมูลค่าที่สถาบันการเงินจะให้กับลูกหนี้กว่าพันล้านบาท</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สมชาย เลิศลาภวศิน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ไทยเริ่มใช้อัตราผ่อนชำระขั้นต่ำบัตรเครดิต (Minpay) ที่ 10% มาตั้งแต่ปี 2547 แต่มีการปรับลดเหลือ 5% ในช่วงที่เกิดการระบาดของ COVID-19 ซึ่งทาง ธปท. ได้ผ่อนปรนมาตลอด โดยล่าสุดจะคง Minpay ไว้ที่ 8% ถึงสิ้นปี 2568&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ สาเหตุที่ ธปท. เลือกจะคง Minpay ไว้ที่ 8% แต่ไม่ปรับลดเหลือ 5% เพราะมองว่า หากลดขั้นต่ำลง แม้ลูกหนี้จะมีความสามารถในการจ่ายชำระหนี้เกินขั้นต่ำ แต่อาจกลายเป็นการฉุดรั้งให้มีหนี้ไว้นานกว่าเดิมซึ่งจะเป็นภาระด้านดอกเบี้ยด้วย ขณะเดียวกันจากข้อมูลที่ ธปท. มีอยู่ ยังพบว่าลูกหนี้ส่วนใหญ่มีการปรับตัว และสามารถจ่ายชำระหนี้ในขั้นต่ำระดับ 8% ได้แล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ธปท. มองว่าการจูงใจด้วยการให้เครดิตเงินคืนให้ลูกหนี้ที่จ่ายเกินขั้นต่ำ 8% ในปี 2568 เชื่อว่าจะช่วยลูกหนี้ปิดยอดหนี้ได้มากขึ้น โดยในช่วง 1 ปีนี้คาดว่าเครดิตเงินคืนที่สถาบันการเงินช่วยลูกหนี้จะคิดเป็นมูลค่าราวพันล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อรมนต์ จันทพันธ์ (กระปุก) ผู้อำนวยการ ฝ่ายคุ้มครองและตรวจสอบบริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท. ยังมีเป้าหมายการลดหนี้ครัวเรือนไทยที่อยู่ระดับสูง (ไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 90.8%) โดยมีการออกมาตรการให้สินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบ และมาตรการผ่อนปรนเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ ล่าสุดต้นเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งผ่อนปรนให้สถาบันการเงินพิจารณาให้สภาพคล่องส่วนที่เหลือในวงเงินบัตรเครดิตแก่ลูกหนี้ได้ (กลุ่มที่มีการจ่ายขั้นต่ำมากกว่า 5% แต่ไม่เกิน 8%) จากเดิมที่หากมีการปรับโครงสร้างหนี้ แล้วจะต้องปิดวงเงินเครดิตส่วนที่เหลืออยู่ไปด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ในส่วนลูกหนี้ที่เป็นหนี้เรื้อรัง ปัจจุบันมีอยู่ 5 แสนบัญชี หรือมูลค่าหนี้ราว 14,400 ล้านบาท ปัจจุบันมีลูกหนี้เข้าสู่มาตรการราว 1-2% ถือว่าน้อยมาก ธปท. จึงมีการผ่อนปรนมาตรการเพิ่มเติม เช่น การขยายระยะเวลาปิดจบหนี้เป็น 7 ปี จากเดิมที่ 5 ปี นอกจากนี้จากอินไซด์ของลูกหนี้ที่ต้องการสภาพคล่อง จึงผ่อนปรนด้านสภาพคล่องเช่นกัน โดยเชื่อว่าหลังการปรับมาตรการฯ และการสื่อสารกับสถาบันการเงินรวมถึงลูกหนี้ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมมาตรการราว 20% ของยอดบัญชีหนี้เรื้อรังทั้งหมด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ถ้าเศรษฐกิจดี เราตั้งใจให้ปิดวงเงินส่วนที่เหลือ&nbsp; แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันเลยมีการขยับให้คงวงเงินส่วนที่เหลือไว้ ให้กลุ่มลูกหนี้ที่มีวินัยเพื่อให้มีสภาพคล่องเพิ่ม” อรมนต์กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงโครงการแก้หนี้อย่าง การรวมหนี้ ที่เปิดให้นำหนี้ไม่มีหลักประกัน เช่น บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล มารวมกับสินเชื่อบ้าน เพื่อลดภาระดอกเบี้ยลง โดยธปท. ดำเนินการมาระยะหนึ่ง แต่กลับมีการตอบรับไม่ดีนัก เขมวันต์ ศรีสวัสดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการกำกับสถาบันการเงิน ธปท. เล่าว่า ทางแบงก์ชาติมีการปรับเงื่อนไขเรื่อง มาตรการรวมหนี้ โดยจะผ่อนปรน ให้แม้รวมหนี้แล้วจะ LTV เกิน 100% ได้ แต่อยู่ที่สถาบันการเงินเป็นผู้พิจารณาว่า หากรวมกับหนี้สินเชื่อไม่มีหลักประกันแล้วจะให้ LTV ที่เท่าใด เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/it/true-revenue-q-2-2024" alt="‘ทรู’ ตั้งเป้าปี 2568 จะเป็น ‘ปีแห่งการทำกำไร’ อย่างยั่งยืน หลัง EBITDA เติบโตติดกัน 6 ไตรมาส"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/warren-buffett-berkshire-hathaway-sold-apple-shares-49-percent" alt="บริษัท Berkshire ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ทุบสถิติใหม่ถือเงินสด 2.77 แสนล้านเหรียญ หลังเทขายหุ้น Apple 49%"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/executive-interview/finance-and-investment/bot-debt-management-2024" alt="แบงก์ชาติปรับเกณฑ์ช่วยลูกหนี้ ขยายผ่อนขั้นต่ำบัตรเครดิต 8% ถึงสิ้นปี 68 ผ่อนเกินขั้นต่ำได้เงินคืนฯ">แบงก์ชาติปรับเกณฑ์ช่วยลูกหนี้ ขยายผ่อนขั้นต่ำบัตรเครดิต 8% ถึงสิ้นปี 68 ผ่อนเกินขั้นต่ำได้เงินคืนฯ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เผยสาเหตุแบงก์ชาติปรับเกณฑ์รอบใหม่ช่วยลูกหนี้ ‘บัตรเครดิต-หนี้เรื้อรัง’ เพราะเศรษฐกิจไม่ดี

<h2>ธปท. การปรับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ 3 ส่วน 1) บัตรเครดิต ‘เลื่อน’ ผ่อนขั้นต่ำบัตรเครดิต 8% ไปถึงสิ้นปี 68 และเพิ่ม Cashback ให้คนผ่อนเกินขั้นต่ำในปี 68 2) กรณีการรวมหนี้ ผลักดันให้แบงก์พาณิชย์และแบงก์รัฐ เสนอเงื่อนไขที่ดีกว่าให้ลูกหนี้ และ 3) กลุ่มลูกหนี้เรื้อรัง ให้ขยายเวลาการปิดจบหนี้เป็น 7 ปี จากเดิมที่ 5 ปี แต่ยังคงดอกเบี้ยฯ ไม่เกิน 15% ต่อปี</h2> &nbsp; &nbsp; นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่าธปท. ออกมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนมาอย่างต่อเนื่อง ในการประชุมวันนี้ คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) เห็นว่า ปัจจุบันยังคงมีลูกหนี้กลุ่มเปราะบางที่ต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม เนื่องจากรายได้ที่ยังฟื้นตัวกลับมาไม่เต็มที่ จึงเห็นควรปรับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ในปัจจุบัน ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ยิ่งขึ้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. การผ่อนชำระขั้นต่ำของบัตรเครดิต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1.1 ผ่อนปรนอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำของบัตรเครดิต โดยกำหนดให้ยังคงอยู่ที่ 8% ออกไปอีก 1 ปี จนถึงสิ้นปี 2568 จากเดิมที่กำหนดให้อัตราดังกล่าวกลับสู่เกณฑ์ปกติที่ 10% ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2568 เพื่อช่วยลดภาระการจ่ายชำระหนี้และรักษาสภาพคล่องให้ครัวเรือนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ทั้งนี้ ธปท. จะติดตามและประเมินผลของมาตรการอย่างใกล้ชิด เพื่อพิจารณาอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำที่เหมาะสมต่อไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1.2 ให้เครดิตเงินคืนฯ จูงใจลูกหนี้ให้ปิดจบหนี้เร็วขึ้น โดยครึ่งปีแรก 2568 ลูกหนี้ที่ผ่อนชำระหนี้ขั้นต่ำมากกว่าหรือเท่ากับ 8% จะได้รับเครดิตเงินคืนเทียบเท่าดอกเบี้ย 0.5% ของยอดค้างชำระ และครึ่งปีหลังของปี 2568 จะได้รับที่ 0.25% โดยได้รับคืนทุก 3 เดือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1.3 ลูกหนี้ที่เดิมจ่ายขั้นต่ำที่ 5% แต่ไม่สามารถจ่ายได้ถึง 8% สามารถใช้สิทธิปรับโครงสร้างหนี้ก่อนเป็นหนี้เสีย โดยเปลี่ยนประเภทหนี้ของบัตรเครดิตไปเป็นสินเชื่อระยะยาว (term loan) เพื่อจ่ายชำระเป็นงวด โดยลูกหนี้จะยังมีโอกาสได้สภาพคล่องจากวงเงินบัตรเครดิตส่วนที่เหลือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ธปท. กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตต้องเสนอเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้เพิ่มเติมด้วย เช่น ลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่ง ธปท. จะดำเนินการเพื่อให้มีผลบังคับใช้ภายในเดือน ก.ย. 2567&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2) การรวมหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อรายย่อย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธปท. ส่งเสริมให้สถาบันการเงิน (สง.) และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ด้วยการรวมหนี้บ้านและสินเชื่อรายย่อยได้มากขึ้น โดยผ่อนปรนเงื่อนไขอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยต่อมูลค่าหลักประกัน (loan-to-value ratio) ในทุกลำดับสัญญาสำหรับกรณีรวมหนี้ ให้สามารถเกินกว่าเพดานที่กำหนด โดยผู้ให้บริการที่เป็นผู้รวมหนี้ต้องดูแลให้ภาระของลูกหนี้ภายหลังการรวมหนี้บรรเทาลงกว่าก่อนรวมหนี้ เช่น อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าเดิม และค่างวดที่ต้องชำระต่ำกว่าค่างวดรวมที่เคยจ่าย โดยมาตรการดังกล่าวจะสิ้นสุดในปี 2568&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3) การให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาหนี้เรื้อรัง ภายใต้หลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธปท. ขยายระยะเวลาการปิดจบหนี้จากภายใน 5 ปี เป็น 7 ปี (อัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 15% ต่อปีเท่าเดิม) เพื่อให้ค่างวดที่ลูกหนี้ต้องชำระปรับลดลง และลูกหนี้จะยังมีโอกาสได้สภาพคล่องจากวงเงินสินเชื่อส่วนที่เหลือ รวมถึงกำหนดให้ผู้ให้บริการต้องให้ข้อมูลเพื่อกระตุกพฤติกรรม (nudge) ลูกหนี้เพิ่มเติม เช่น สื่อสารข้อดีข้อเสียของการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ แสดงตารางข้อมูลระยะเวลา การผ่อนชำระพร้อมภาระดอกเบี้ย โดยมาตรการจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ สำหรับลูกหนี้ในกลุ่มเปราะบางที่ยังมีภาระหนี้สูงและมีปัญหาสภาพคล่อง ธปท. ยังมีมาตรการที่กำหนดให้ผู้ให้บริการทางการเงินเข้าช่วยเหลือเพื่อช่วยลดภาระลูกหนี้ให้มีสภาพคล่องเพียงพอต่อการดำรงชีพ เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ก่อนเป็นหนี้เสียอย่างน้อย 1 ครั้งและหลังเป็นหนี้เสียอย่างน้อย 1 ครั้ง ภายใต้หลักเกณฑ์ Responsible Lending รวมถึงการปรึกษาปัญหาหนี้กับหมอหนี้ และโครงการคลินิกแก้หนี้ โดย ธปท. จะติดตามประสิทธิผลและผลข้างเคียงของมาตรการอย่างใกล้ชิด และจะพิจารณาปรับมาตรการให้เหมาะสมกับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/travel/global/dusit-thani-kyoto-first-michelin-key" alt="ดุสิตธานี เกียวโต ตอกย้ำความสำเร็จระดับโลก โรงแรมไทยแห่งแรกในญี่ปุ่นที่ได้รับ ‘กุญแจมิชลิน’"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/ttb-analytics-baht-2024" alt="ttb analytics มองครึ่งหลังปี 67 บาทยังผันผวนสูง อาจแข็งค่าแตะ 35 บาท/เหรียญสหรัฐ">ttb analytics มองครึ่งหลังปี 67 บาทยังผันผวนสูง อาจแข็งค่าแตะ 35 บาท/เหรียญสหรัฐ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

แบงก์ชาติปรับเกณฑ์ช่วยลูกหนี้ ขยายผ่อนขั้นต่ำบัตรเครดิต 8% ถึงสิ้นปี 68 ผ่อนเกินขั้นต่ำได้เงินคืนฯ

<h2>สถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทยอยู่ในระดับสูงมาเนิ่นนาน แม้ส่วนหนึ่งจะเกิดจากผลกระทบ COVID-19 แต่แท้จริงแล้วยังเกิดจาก ปัจจัยพื้นฐาน ทั้งรายได้ที่ไม่เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจชะลอการเติบโตมานานหลายปี จนทำให้ ข้อมูลล่าสุดพบว่า อยู่สูงถึง 91.3% แต่ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนอะไร และสถานการณ์หนี้สินภาคครัวเรือนไทยเป็นอย่างไร?</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ อัตราหนี้ครัวเรือนไทยต่อ GDP ที่อยู่ระดับสูงกว่า 91.3% นั้นมาจากฐานยอดหนี้ครัวเรือนไทยที่ 16.3 ล้านล้านบาท ยิ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงก็ทำให้อัตราหนี้ครัวเรือนไทยฯ เพิ่มสูงขึ้นไปด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกันหากต้องการดูว่าคนไทยมีหนี้ หรือมีสินเชื่อมากแค่ไหน เราอาจดูจาก ‘หนี้สินในระบบ’ ที่ส่วนใหญ่จะมีการรายงานไปที่เครดิตบูโร โดยจะเรียกว่าหนี้ภาคครัวเรือนซึ่งมีอยู่ราว 13.64 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ยังมี หนี้สินที่อยู่ภายใต้สหกรณ์ออมทรัพย์อีกราว 2.3 ล้านล้านบาท (ส่วนสหกรณ์ฯ และ หนี้กยศ. ไม่อยู่ในระบบเครดิตบูโร)คนไทยมีหนี้ประเภทไหนมากที่สุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ้างอิงข้อมูลจาก บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) พบว่า ยอดสินเชื่อคงค้าง ไตรมาส 1 ปี 2567 (ที่รายงานเครดิตบูโร) รวมอยู่ที่ 13.64 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นที่ 2.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยสัดส่วนใหญ่ยังคงเป็นสินเชื่อบ้านที่ 36.7% หรือยอดคงค้างที่ 5 ล้านล้านบาท 	&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ประเภทสินเชื่อที่ยังมีการเพิ่มขึ้น ได้แก่ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สินเชื่อบ้าน&nbsp;มียอดคงค้าง 5 ล้านล้านบาท 	เพิ่มขึ้น 3.8%YoY &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สินเชื่อส่วนบุคคล&nbsp;มียอดคงค้าง 2.59 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.8%YoY &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สินเชื่ออื่นๆ&nbsp;มียอดคงค้าง 1.11 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.2%YoY		 &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สินเชื่อบัตรเครดิต&nbsp;มียอดคงค้าง 5.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2%YoY 	&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ ประเภทสินเชื่อที่มีการปรับตัวลดลงเพิ่มขึ้น ได้แก่ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สินเชื่อรถยนต์&nbsp;มียอดคงค้าง 2.56 ล้านล้านบาท ลดลง 1.5 %YoY &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สินเชื่อเพื่อการเกษตร&nbsp;มียอดคงค้าง 8.2 แสนล้านบาท ลดลง 8.3%YoY &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สินเชื่อธุรกิจ&nbsp;มียอดคงค้าง 6.6 แสนล้านบาท ลดลง 5.7%YoY &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สินเชื่อ OD&nbsp;มียอดคงค้าง 3.2 แสนล้านบาท ลดลง 5.0%YoY &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านนายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร&nbsp;เปิดเผยมุมมองว่า ส่วนที่น่ากังวลคือ หนี้สำหรับธุรกิจกับหนี้ OD ที่ติดลบ 5.7% และ 5%YoY ขณะที่ สินเชื่ออื่นๆ ยังเติบโตมาจากการส่งข้อมูลบัญชีดอกเบี้ยที่แขวนไว้จากการปรับโครงสร้างหนี้เป็นหลัก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ “28% ของหนี้ครัวเรือนไทยที่ 16.3 ล้านล้านบาท เป็นการกู้ไปกินไปใช้ที่เรียกว่า บริโภค ซึ่งมันต้องเอารายได้ในอนาคตมาผ่อนจ่าย คำถามคือถ้ารายได้ไม่มาตามนัด เพราะมีโรคระบาดคั่น ไอ้สิ่งที่คิดว่าจะจ่ายได้แน่ มันก็ไม่แน่ แถมดอกเบี้ยก็ทับถม และแพงพอควร มันจึงเป็นปัญหามีหนี้สะสมเกินศักยภาพในวันนี้ เพราะวันนั้นคิดว่ามันอยู่ในศักยภาพ ตรงนี้เรียกว่าติดกับดักการเป็นหนี้ชัดเจน” นายสุรพล กล่าว<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 699px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/5xR1vkKz1aAkvDRsVmfi.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="699px,874px" data-align="center" data-file-name="5xR1vkKz1aAkvDRsVmfi.jpg" data-file-size="0" origin-size="2000,2500" data-origin="699px,874px" style="width: 699px; height: 874px;" data-index="0"></figure></div> ไตรมาส 1 ปี 67 หนี้เสียไทยยังพุ่ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากข้อมูลยังพบว่า หนี้เสียของไทยในไตรมาส 1 ปี 2567 นี้อยู่ที่ 1.09 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.9%YoY โดย 3 ประเภทสินเชื่อที่มีหนี้เสียเพิ่มสูง ได้แก่ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- หนี้รถยนต์&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; เติบโต 32%yoy &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- หนี้บ้าน&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;เติบโต 18%yoy &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล&nbsp;เติบโต 12%yoy &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- หนี้บัตรเครดิต&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;เติบโต 14.6%YoY&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ นายสุรพล ยังชี้ถึงข้อมูลที่น่าติดตามว่า หนี้ที่ค้างชำระ 30-90 วัน (SM) หรือที่เรียกว่า หนี้เสี่ยงจะเสียในระยะใกล้ในภาพรวมเติบโต 7.3%YoY โดยมีข้อสังเกตว่า สำหรับ SM หนี้บัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้น 32.4%YoY นี้ มาพร้อมกับช่วงที่มีการปรับเพิ่มขั้นต่ำในการชำระหนี้บัตรเครดิตจากเดิมที่ 5% เป็น 8%(ข้อมูลเพิ่มเติม ธนาคารแห่งประเทศไทยได้สั่งให้ปรับ ขั้นต่ำในการชำระหนี้ลงช่วง COVID-19 การทยอยปรับขึ้นนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งในการปรับกลับสู่ภาวะปกติ)&nbsp; &nbsp; ข้อมูลทั้งหมดนี้ยังสะท้อนว่า สถานการณ์หนี้ของไทยยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะช่วงการเปลี่ยนผ่านจาก การมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ต่างๆ ในช่วง COVID-19 กำลังทยอยสิ้นสุดลง และปรับเข้าสู่ช่วงปกติ แต่ขณะเดียวกันเศรษฐกิจไทยที่ยังชะลอตัวต่อเนื่องมามากกว่า 8 ปี ยังคงเป็นโจทย์หลักที่ทุกภาคส่วนต้องให้ความสนใจ และติดตามว่ามาตรการของภาครัฐ และเม็ดเงินงบประมาณที่อั้นอยู่หากเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแล้วจะส่งผลต่อ กระเป๋าเงินของคนไทยในระยะยาวได้มากแค่ไหน <a href="https://www.freepik.com/free-photo/back-view-portrait-young-asian-man-walking-khaosan-road-bangkok_21850132.htm#fromView=search&amp;page=1&amp;position=4&amp;uuid=db6ae6e8-7bab-4cc7-9213-6755aa752c7f">Image by benzoix on Freepik</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/credit-bureau-home-loan-q-1-2024-thailand" alt="กู้บ้านยากแค่ไหน? เครดิตบูโร เผยสถิติ ‘บัญชีใหม่สินเชื่อบ้าน’ แผ่วลง ย้ำ Gen Y ยังมีสินเชื่อ-หนี้เสียบ้านสูงสุด">กู้บ้านยากแค่ไหน? เครดิตบูโร เผยสถิติ ‘บัญชีใหม่สินเชื่อบ้าน’ แผ่วลง ย้ำ Gen Y ยังมีสินเชื่อ-หนี้เสียบ้านสูงสุด</a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/travel/aot-31-mar-2024" alt="AOT กำไรล้น! ไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 5,972.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 209.22%YoY รับผลดีมาตรการรัฐ-ฟรีวีซ่าฟื้นตัว"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/snservicesolution-snss-24-may-2024" alt="ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ! อาจกระทบธุรกิจบริการ Outsource ‘เอส เอ็น เซอร์วิส โซลูชั่นฯ’ รับต้นทุนอาจสูงขึ้น แต่คาดว่ารายได้ปี 67 ยังโต 30%"></a>​​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand</a>

คนไทยมีหนี้มากแค่ไหน? ไตรมาส 1/67 หนี้เสียกลุ่มไหนเพิ่มขึ้นสูงสุด

<h2>ปัจจุบันเกิดคำถามในวงกว้างว่า ยอดปฎิเสธสินเชื่อบ้านสูงมาก ทำให้คนขอสินเชื่อยากไปด้วย ส่งผลให้ล่าสุดทางเครดิตบูโร เปิดเผยแนวโน้มบัญชีใหม่สินเชื่อบ้านที่แผ่วลง โดยปี 66 อยู่ที่ 3.3 แสนบัญชี ชะลอต่อเนื่องจากจุดพีคที่ปี 61 ที่มีกว่า 4 แสนล้านบัญชี แต่ยังย้ำว่า Gen Y ยังมีสัดส่วนสินเชื่อบ้าน และหนี้เสียบ้านสูงสุดในแต่ละช่วงอายุ </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เปิดเผยผ่าน Facebook ส่วนตัว โดยระบุว่า บรรยากาศที่พบเจอกันในการยื่นขอสินเชื่อบ้านจะพบว่ามีเสียงอื้ออึงว่าถูกปฎิเสธสูงมาก เรียกได้ว่า 100 ใบสมัครผ่านการพิจารณาเบื้องต้น 50 ใบ เหตุเพราะมีการตรวจประเมินรายได้เข้มข้น เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ขอกู้มีศักยภาพ (มีรายได้แน่นอน มั่นคง เพียงพอ สม่ำเสมอ)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ยังเปิดสถิติตัวเลขการเปิดบัญชีใหม่ของสินเชื่อบ้านซึ่งมีแนวโน้มแผ่วลงนับจากจุดสูงสุดในปี 2561 ที่มีอยู่ 4.3 แสนบัญชี แม้ปี 2562 ที่เกิด COVID-19 ยังอยู่ที่ราว 3.7 แสนบัญชี หลังจากนั้นยังทยอยปรับลดลงโดยปี 2566 อยู่ที่เกือบ 3.3 แสนบัญชี โดยไตรมาส 1/67 นี้มีเปิดบัญชีใหม่ของสินเชื่อบ้านอยู่ที่ 59,848 บัญชี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อแนวโน้มการเปิดบัญชีใหม่ของสินเชื่อบ้านยังแผ่วลง ทำให้ฝั่งผู้ประกอบการต่างมองว่า อสังหาฯ ขายได้ยาก กู้ไม่ผ่าน ของ (สต็อก) เหลือมาก และอยากให้ลดเงื่อนไข เช่น LTV หลังที่สองหลังที่สาม แต่ยังไม่มีเสียงตอบรับที่ปลายสาย (ธนาคารแห่งประเทศไทยดูแลเกณฑ์ LTV) เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม จากสถิติยังพบว่า ภาพรวมสินเชื่อบ้านในส่วนของ TDR หรือ สินเชื่อบ้านที่เป็นหนี้เสียและมีการนำมาปรับโครงสร้างหนี้ฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้นสะท้อนว่ามีประชาชนจำนวนมากที่เข้าปรับโครงสร้างหนี้ ขณะที่หนี้เสีย (NPL) ในไตรมาส 1/67 ขยับขึ้นสู่ 2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 18%YoY ถือว่าอยู่ในระดับสูง ขณะเดียวกัน หนี้ที่ค้างชำระ 30-90 วัน (SM หรือหลายคนเรียกว่าหนี้ที่กำลังจะเสีย) อยู่ที่ 1.8 แสนล้านบาท แม้จะเพิ่มขึ้น 15%YoY แต่ยังชะลอตัวจากไตรมาส 4 ปี 66<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"> <figure style="margin: auto;"> <img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/Vq4eBm5hUh4MhwkR5Rd5.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Vq4eBm5hUh4MhwkR5Rd5.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,425" style="" data-index="0"> <figcaption><div>ที่มา เครดิตบูโร</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ จากข้อมูลที่แสดงยังพบว่า การเปิดบัญชีใหม่สินเชื่อบ้าน ปี 2567 นี้สัดส่วนกว่า 67.92% คือ Gen Y (ช่วงอายุ 27-44 ปี) โดย สุรพลยังกล่าวถึงกลุ่ม Gen Y ว่า ไตรมาส 1 ปี 67 Gen Y ถือสัญญาสินเชื่อบ้านที่เป็น NPL อยู่ที่ 83,281 สัญญา คิดเป็นเงิน 1.24 แสนล้านบาท ในกรณีของ SM บ้านที่อยู่ในมือคน Gen Y มีจำนวน 76,276 สัญญา คิดเป็นเงิน 1.18 แสนล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“คิดแบบเร็วๆครับ คน Gen Y เป็นหนี้เสียบ้านกว่า 50% ของหนี้เสียบ้านทั้งหมด (1.24 จาก NPL รวมที่ 2.0 แสนล้านบาท) และก็กว่า 50% อีกเหมือนกันที่คน Gen Y เป็นหนี้กำลังจะเสียส่วนใหญ่ (1.18 จาก จำนวน SM ที่ 1.8 แสนล้านบาท)” นายสุรพล กล่าว <a href="https://www.freepik.com/free-photo/city-sunset_1284233.htm#fromView=search&amp;page=1&amp;position=36&amp;uuid=7d3df885-c38b-4ffd-acd2-066bb760b4ac">Image by evening_tao on Freepik</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/global/malaysia-overtakes-thailand-as-asean-second-biggest-auto-market" alt="‘มาเลเซีย’ แซง ‘ไทย’ ขึ้นเป็นตลาดรถยนต์รายใหญ่อันดับ 2 ของอาเซียน"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/property/origin-to-launch-new-houses-and-condominiums" alt="ออริจิ้น เปิดบ้าน-คอนโดใหม่ อีก 11,180 ล้าน บุกตลาด Pet Family Condo-บ้านเดี่ยว">ออริจิ้น เปิดบ้าน-คอนโดใหม่ อีก 11,180 ล้าน บุกตลาด Pet Family Condo-บ้านเดี่ยว</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

กู้บ้านยากแค่ไหน? เครดิตบูโร เผยสถิติ ‘บัญชีใหม่สินเชื่อบ้าน’ แผ่วลง ย้ำ Gen Y ยังมีสินเชื่อ-หนี้เสียบ้านสูงสุด

คนไทยเป็นหนี้กันเร็ว เป็นหนี้เกินตัว KKP แนะ ‘เดอะแบก’ ความรู้ทางการเงินคือทางรอด

วิกฤต “หนี้ท่วมหัว” ของ บริษัทอเมริกันยักษ์ใหญ่

<h2>SAM ปรับโครงสร้างองค์กรพร้อมรับบริหารติดตามแก้ปัญหาหนี้บัตรเครดิต-สินเชื่อส่วนบุคคลตามนโยบายแบงก์ชาติ รวมศูนย์จัดการแก้หนี้สินลดภาระธนาคาร-ลดความซับซ้อน ด้านธุรกิจบริหารหนี้เสีย เตรียมงบลุยซื้อ NPL 5,000 ล้านบาท เป้าหมายรายได้ปี’60 1 หมื่นล้านบาท เผยธนาคารเทขายหนี้สินเชื่อบ้านเพียบ</h2>
นิยต มาศะวิสุทธิ์ รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM เปิดเผยว่า บริษัทมีการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อเตรียมจัดแผนกใหม่ ตอบรับการจัดตั้งศูนย์กลางบริหารหนี้สินที่ไม่มีหลักประกันตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยหนี้สินดังกล่าวจะเป็นหนี้สินรายย่อย เช่น หนี้บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล ที่ SAM จะรับจ้างเข้าไปบริหารจัดการ จากธุรกิจปกติที่จะรับซื้อหนี้สินที่มีหลักประกันมาบริหาร

ศูนย์กลางบริหารหนี้สินดังกล่าว จะเป็นการรวมข้อมูลหนี้สินไม่มีหลักประกันของบุคคลหนึ่งซึ่งอาจจะมีหนี้อยู่กับหลายธนาคาร มารวมศูนย์แห่งเดียวและให้ SAM เป็นผู้บริหารแก้ปัญหาหนี้แทนธนาคารแต่ละแห่ง โดย SAM ได้รับค่าธรรมเนียมการจัดการ โมเดลนี้จะทำให้สะดวกทั้งฝ่ายธนาคารและฝ่ายลูกหนี้ คาดว่า ธปท.จะมีการแถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคมนี้

ทั้งนี้ วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจและไทยรัฐเมื่อปลายปีก่อนว่า ศูนย์กลางบริหารหนี้สินจะทำให้ธนาคารประหยัดต้นทุนค่าทนายติดตามหนี้สินได้ 20-30% เป็นโมเดลเหมือนกับในหลายประเทศ เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย

ด้าน ปรีดี ดาวฉาย ประธาน สมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า เบื้องต้นจะมีสมาชิกสมาคมธนาคารไทย 15 รายเข้าร่วมก่อนจะขยายไปยังผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-Bank) หากโมเดลประสบความสำเร็จ มีประโยชน์ที่จะมีคนกลางจัดระเบียบธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้หลัก-เจ้าหนี้รอง และลูกหนี้จะลดความวุ่นวายซับซ้อนที่ต้องติดต่อชำระหนี้ทีละธนาคารลงได้

&nbsp;

ลุยซื้อ NPL เข้าพอร์ต 5,000 ล้าน

นิยต กล่าวต่อว่า สำหรับการดำเนินงานธุรกิจบริหารหนี้เสียของบริษัทเมื่อปี 2559 ประสบความสำเร็จในแง่การทำรายได้จากการปรับโครงสร้างหนี้และขายทรัพย์สินรอการขาย (NPA) สามารถนำเงินส่งคืนกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินได้ 7,500 ล้านบาท มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 12%

อย่างไรก็ตาม การลงทุนประมูลซื้อหนี้เสีย (NPL) เข้าพอร์ตเพิ่มลงทุนไปเพียง 1,000 กว่าล้านบาท เนื่องจากปีก่อนพบว่าธุรกิจบริหารหนี้เสียมีการแข่งขันมากขึ้น โดยมีหนี้เสียเปิดขายกว่า 6 หมื่นล้านบาท และมีบริษัทบริหารหนี้เสียเข้าประมูลกว่า 40 ราย รวมถึงธนาคารปรับการเปิดขายพอร์ตมูลค่าต่อครั้งเล็กลง จากเดิม 800-1,000 ล้านบาทต่อพอร์ต เป็น 300-400 ล้านบาท ทำให้บริษัทขนาดเล็กมีโอกาสเข้ามาประมูลแข่งขันสูงขึ้น และราคาการประมูลเพิ่มขึ้นจาก 3-4 ปีก่อนมาก

ส่วน เป้าหมายการดำเนินงานปี 2560 และพอร์ต NPL มูลค่าสะสมของ SAM ได้แก่

- ลงทุนซื้อ NPL ใช้งบลงทุน 5,000 ล้านบาท สิ้นไตรมาส 1/60 ซื้อ NPL แล้ว 1,000 ล้านบาท
- เรียกเก็บเงินสด 1.02 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นเงินสดจากการปรับโครงสร้างหนี้ 6,300 ล้านบาท และจากการขายทรัพย์ NPA 3,900 ล้านบาท โดยสิ้นไตรมาส 1/60 เรียกเก็บเงินสดได้แล้ว 1,446 ล้านบาท
- พอร์ต NPL มูลค่าภาระหนี้สะสมปัจจุบัน 3.6 แสนล้านบาท
- รายการทรัพย์สิน NPA สะสม 3,800 รายการ มูลค่ากว่า 2.2 หมื่นล้านบาท

<img style="width: 680px; height: 510px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/dbbea182096517628bd26a69ec559648.png" alt="" />

โดยปีนี้มีทรัพย์เด่นที่เปิดประมูลขาย อาทิ ที่ดินเปล่า 238 ไร่บนเกาะยาวใหญ่ จ.พังงา หน้าหาดยาว 1.2 กม. ราคา 358 ล้านบาท, ที่ดิน 109 ไร่เหมาะสำหรับสร้างโรงงานอุตสาหกรรม จ.ระยอง ราคา 553 ล้านบาท ฯลฯ

&nbsp;

แบงก์เทขายหนี้สินเชื่อบ้านต่อเนื่อง

นิยตยังกล่าวอีกว่า เชื่อว่าปี 2560 ธนาคารจะยังคงขายหนี้ NPL เพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อน โดยส่วนใหญ่จะเป็นหนี้สินเชื่อบ้าน, หนี้ไม่มีหลักประกัน และหนี้เอสเอ็มอี ซึ่ง SAM จะร่วมประมูลซื้อหนี้ที่มีหลักประกันเท่านั้น

โดยในพอร์ตภาระหนี้ปัจจุบันยังเป็นหนี้สินเชื่อธุรกิจและหนี้เอสเอ็มอีเป็นส่วนใหญ่ แต่พบว่าหนี้สินเชื่อบ้านที่แบงก์เทขายมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นมาตั้งแต่ปี’58 จนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้สถาบันการเงินยังตัดสินใจขายหนี้เสียเร็วขึ้น จากเดิมจะบริหารเอง 6 เดือน-1 ปีก่อนตัดขายหนี้เสีย ปัจจุบันหากครบ 90 วันมักจะพิจารณาขายทันที

นิยตกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาในการจัดซื้อทรัพย์สิน NPA ของ SAM เพื่อพัฒนาเป็นปั๊มน้ำมันชุมชนขนาด 1-2 ไร่ ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างพิจารณาที่ดิน 4-5 แปลง คาดว่าจะมีการซื้อขายกันเร็วๆ นี้

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events