<h2>‘เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป’ ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงหมื่นล้านของ ‘เครือซีพี’ ที่มีอาหารสัตว์หลายแบรนด์ด้วยกัน รวมถึงอาหารแมวแบรนด์ที่คนไทยคุ้นเคยอย่าง Me-O ที่ล่าสุดสร้างสีสันให้แบรนด์ด้วยการดึง ‘บิวกิ้น’ เป็นพรีเซนเตอร์</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;‘เครือซีพี’ คืออาณาจักรธุรกิจที่ครอบคลุมไปในหลากหลายเซกเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นค้าปลีก, ค้าส่ง, โทรคมนาคม, ภาคการเกษตร, อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ รวมไปถึงอีกหนึ่งธุรกิจอย่าง ‘อาหารสัตว์เลี้ยงด้วย’ ซึ่งอยู่ภายใต้ บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด นั่นเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2522 โดยกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.) ข้อมูลจากเว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่า เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป นั้นจดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทเมื่อ 14 มิ.ย. 2532 ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 6,873 ล้านบาท มีกรรมการบริษัท ได้แก่ พงษ์เทพ เจียรวนนท์, ประเสริฐ จารุพนิช, เบญจพร สังหิตกุล และกนกนารถ นำพาเจริญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป มีสินค้าทั้งสิ้น 20 แบรนด์ด้วยกัน ครอบคลุมทั้งอาหารสุนัข, อาหารแมว, อาหารปลาและอาหารเต่า, อาหารม้า, อาหารนก, อาหารกระต่าย, อาหารหนูและหนูแฮมสเตอร์, ผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง รวมถึงอาหารประกอบการรักษาโรค&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยมีแบรนด์ที่เชื่อว่าหลายคนน่าจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี เช่น อาหารสุนัขแบรนด์ SmartHeart, อาหารแมวแบรนด์ Me-O เป็นต้น ที่น่าสนใจคือ เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป ในปี 2566 สามารถทำรายได้ไปถึง 18,180 ล้านบาท กำไร 1,111 ล้านบาท ซึ่งทั้งรายได้และกำไรมีการเติบโตจากปีก่อนๆ อย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการเติบโตในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่เติบโตและยังมีแนวโน้มเติบโตต่อ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่าปี 2568 คาดว่ายอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงอยู่ที่ประมาณ 3.98 แสนตัน ขยายตัว 6% จากปีก่อน ตามจำนวนสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นโดยในปี 2568 คาดว่า สัตว์เลี้ยงที่มีเจ้าของมีอยู่ราว 5.38 ล้านตัว เพิ่มขึ้นราว 6%&nbsp; &nbsp; โดยคาดว่าสัดส่วนยอดขายอาหารแมวน่าจะเพิ่มขึ้น จากความนิยมเลี้ยงแมวที่มีมากขึ้น สะท้อนได้จาก ในช่วงปี 2564-2567 จำนวนแมวที่เลี้ยงโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 28% ต่อปี เทียบกับอัตราการเติบโตของสุนัขเลี้ยงที่ 19% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จันทิมา ชัยวัฒนไชย รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานการตลาด บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารแมว ภายใต้แบรนด์ “มีโอ” (Me-O) เปิดเผยว่า ปัจจุบันแมวได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมมากขึ้น ถือเป็นสัตว์เลี้ยงอันดับต้นๆ ที่คนนิยมเลี้ยง ไม่แพ้สุนัข และยิ่งมีคอนโดฯ หลายแบรนด์ หลายโครงการมีการพัฒนาและชูจุดขายคอนโดฯ ที่เป็น Pets Friendly เลี้ยงสัตว์ได้ ยิ่งส่งผลให้คนหันมาเลี้ยงสัตว์มากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยเหตุผลที่สนับสนุนให้คนหันมาเลี้ยงแมว คือ แมวเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย ทำให้สามารถเลี้ยงในหอพัก คอนโดฯ หรือในบ้านที่มีพื้นที่จำกัดได้เป็นอย่างดี ทำให้สินค้าที่เกี่ยวข้องกับแมวมีอัตราการเติบโตไปในทิศทางเดียวกับตลาดที่มีความต้องการสูงเพิ่มขึ้นเช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“อีกทั้งปัจจุบันผู้เลี้ยงก็ให้การดูแลเอาใจใส่แมวเหมือนสมาชิกในครอบครัว ต้องการดูแลน้องแมวให้มีความสุขและมีสุขภาพที่ดี อาหารสำหรับแมวจึงเป็นสินค้าอันดับต้นๆ ที่ผู้เลี้ยงให้ความใส่ใจ และเลือกสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแมวของเขา ซึ่งผลิตภัณฑ์ของ “มีโอ” (Me-O) นั้นสามารถตอบโจทย์กลุ่มคนรักแมว หรือทาสแมวได้เป็นอย่างดี”​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/yvg25EK8MfawdExX7WhA.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="yvg25EK8MfawdExX7WhA.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"><figcaption><div>จันทิมา ชัยวัฒนไชย รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานการตลาด บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จันทิมา กล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีโอมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของน้องแมวและเจ้าของ เพื่อให้น้องแมว “ขนสวย ตาใส แข็งแรง” โดยผลิตภัณฑ์ของมีโอมีครบเพื่อตอบสนองความต้องการของน้องแมว ไม่ว่า จะเป็นอาหารสำเร็จรูปชนิดเม็ด อาหารเปียก ขนมชนิดกรุบกรอบ ขนมแมวเลีย ขนมชอฟต์ ชูว์ ที่มีรสชาติถูกใจน้องเหมียว พร้อมดูแลสุภาพซึ่งลูกค้าสามารถเลือกสูตรอาหารให้เหมาะสมตามช่วงวัย ไม่ว่าเป็นลูกแมว แมวโต หรือแมวสูงอายุ และนอกจากอาหารหรือขนมแล้ว มีโอยังมีทรายแมวให้ลูกค้าได้เลือกใช้เพื่อดูแลสุขอนามัยที่ดีของน้องแมวอีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์อาหารแมว Me-O ที่ได้รับความนิยม 5 อันดับแรก คือ อาหารแมวมีโอชนิดเม็ด, อาหารแมวมีโอ ดีไลท์ (Me-O Delite) เป็นอาหารแมวชนิดเปียกแบบซอง, มีโอ ครีมมี่ ทรีต (Me-O Creamy Treats) เป็นขนมแมวเลียชนิดครีมที่มีรสชาติอร่อยถูกใจแมว, มีโอ ขนมแมวกรุบกรอบ (Me-O Cat Treats) เป็นขนมแมวชนิดเม็ดช่วยขัดฟัน และ ยัมมี่ ไบทส์ บาย มีโอ ซอฟต์ ชูว์ (Yummie Bites by Me-O Soft Chew) เป็นสินค้าน้องใหม่ล่าสุดของมีโอ ขนมแมวเนื้อนุ่ม สอดไส้ครีม ทำจากเนื้อไก่และปลาแท้แท้ๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุดเพื่อเป็นการตอกย้ำแบรนด์ผลิตภัณฑ์ทำสำหรับแมวที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้เปิดตัวพรีเซนเตอร์คนล่าสุดของอาหารแมว Me-O คือ “บิวกิ้น - พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล” อย่างเป็นทางการ โดยจัดงานเปิดตัวเมื่อวันเสาร์ที่ 26 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แน่นอนว่าบิวกิ้นถือเป็นอีกหนึ่งศิลปินที่โด่งดังและมีฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่น การเลือกเป็นบิวกิ้นเป็นพรีเซนเตอร์ของสินค้าหลายแบรนด์ ก็ย่อมมาจากเหตุผลที่ว่าศิลปินจะช่วยเพิ่มมูลค่าทางการตลาดและสร้างยอดขายให้ได้เพิ่มขึ้นนั่นเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับ Me-O นั้น จันทิมา มองว่าหลังจากจัดงานเปิดตัวบิวกิ้นเป็นพรีเซนเตอร์ซึ่งภายในงานมีกิจกรรมที่ชวนแฟนคลับมาร่วมสนุกด้วยกันนั้น จะสามารถกระตุ้นยอดขายได้ 20% และภาพรวมทั้งปีคาดว่าอาหารแมว Me-O จะมียอดขายเติบโตมากกว่า 10% อย่างแน่นอน ภาพ: Me-Oออกแบบภาพปกโดย: ธัญวดี นิรุตติศาสตร์ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/pet-food-thailand-kresearch-mar-2025" alt="ทาสหมาแมวพร้อมเปย์! กสิกรฯ คาดตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงไทยปี 68 โต 12%">ทาสหมาแมวพร้อมเปย์! กสิกรฯ คาดตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงไทยปี 68 โต 12%</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป’ ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ‘เครือซีพี’ ที่กำลังดึง ‘บิวกิ้น’ เป็นพรีเซนเตอร์ อาหารแมว Me-O

<h2>ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงกลายเป็นหนึ่งในโอกาสสำคัญ ทั้งจากจำนวนสัตว์เลี้ยงในประเทศที่เพิ่มขึ้น และตลาดการส่งออกไปทั่วโลกยังขยายตัวขึ้นต่อเนื่อง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าปี 2568 มูลค่าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศโต 12% และฝั่งการส่งออกจะโต 15%</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปี 2568 คาดว่า ยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงอยู่ที่ประมาณ 3.98 แสนตัน ขยายตัว 6% จากปีก่อน ตามจำนวนสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นโดยในปี 2568 คาดว่า สัตว์เลี้ยงที่มีเจ้าของมีอยู่ราว 5.38 ล้านตัว เพิ่มขึ้นราว 6% แบ่งเป็นสุนัข 3.45 ล้านตัว แมว 1.94 ล้านตัว ส่งผลให้ยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงกว่า 76% จะอยู่ในกลุ่มอาหารสุนัข&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่ในอนาคต คาดว่าสัดส่วนยอดขายอาหารแมวน่าจะเพิ่มขึ้น จากความนิยมเลี้ยงแมวที่มีมากขึ้น สะท้อนได้จาก ในช่วงปี 2564-2567 จำนวนแมวที่เลี้ยงโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 28% ต่อปี เทียบกับอัตราการเติบโตของสุนัขเลี้ยงที่ 19% ต่อปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ กรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นพื้นที่ศักยภาพของตลาดอาหารสัตว์เลี้ยง เนื่องจากมีจำนวนสัตว์เลี้ยงมากที่สุดราว 3.1 แสนตัว คิดเป็น 6% ของจำนวนสัตว์เลี้ยงทั้งหมด และผู้เลี้ยงมีกำลังซื้อ โดยมีรายได้เฉลี่ยที่ 35,901 บาท/เดือน ซึ่งสูงกว่ารายได้เฉลี่ยของคนทั้งประเทศที่ 29,030 บาท/เดือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้น ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศจะอยู่ที่ 46,000 ล้านบาท ในปี 2568 ขยายตัว 12% จากปีก่อนและกำไรของธุรกิจคาดว่าจะยังคงเพิ่มขึ้น สอดคล้องไปกับยอดขายที่โตต่อเนื่อง​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/W8oPV9fexSy5ypsucKvM.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="W8oPV9fexSy5ypsucKvM.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่ในอีกด้านธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศนั้นแข่งขันรุนแรง จากจำนวนผู้เล่นในประเทศที่เพิ่มขึ้น รวมถึงมีการนำอาหารสัตว์เลี้ยงนำเข้ามาแข่งขันมากขึ้นด้วย ในปี 2567 ผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงมีอยู่ 317 ราย โดยมีจำนวนนิติบุคคลที่จดทะเบียนจัดตั้งใหม่เพิ่มขึ้น 36 ราย ซึ่งนอกจากจะเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงแล้ว ยังมีผู้ประกอบการนอกธุรกิจอื่นๆ อาทิ ธุรกิจอาหาร ธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนท์ ธุรกิจค้าปลีกสินค้าไอที ฯลฯ ที่เข้ามาลงทุนในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันกับอาหารสัตว์เลี้ยงนำเข้ามากขึ้น สะท้อนจาก อัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ของมูลค่าการนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยปี 2562-2567 อยู่ที่ 17% ต่อปี โดยเฉพาะการนำเข้าจากจีน ที่เป็นอันดับ 1 และมีสัดส่วนราว 40%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในด้านการการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยยังโตโดดเด่น ตามความนิยมเลี้ยงสัตว์ทั่วโลก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อและจำนวนสัตว์เลี้ยงมาก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจัยที่ทำให้การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยโต มาจากพฤติกรรมนิยมเลี้ยงสัตว์เสมือนสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ทั้งจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นและสภาพสังคมที่มีขนาดครอบครัวเล็กลง เช่น&nbsp; &nbsp; -&nbsp;สหรัฐฯ รายได้เฉลี่ยต่อหัวประชากรสูงราว 85,373 เหรียญสหรัฐฯ อีกทั้งยังมีจำนวนสัตว์เลี้ยงในประเทศสูงถึง 144 ล้านตัว สะท้อนถึงมีกำลังซื้อที่พร้อมจะจ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยง&nbsp; &nbsp; - ญี่ปุ่น มีสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป อยู่เกือบ 30% ของจำนวนประชากรทั้งหมด โดยผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ตามลำพังมักเลี้ยงสัตว์เลี้ยงไว้เป็นเพื่อน&nbsp; &nbsp; - ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ นิยมเลี้ยงสัตว์มากขึ้นเพื่อเติมเต็มความสุข โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นิยมมีบุตรช้าหรือไม่แต่งงาน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/03/Nr4i5Lmrn5bCyhcLJfB3.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="Nr4i5Lmrn5bCyhcLJfB3.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ในปี 2562-2567 อัตราการนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยงโลกเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 12.7% ต่อปี โดยตลาดที่มีอัตราการเติบโตของมูลค่าการนำเข้าเพิ่มและสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก ส่วนใหญ่เป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ และอาเซียน สะท้อนถึงโอกาสของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปี 2568 คาดว่า ไทยส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงราว 3,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 15% ชะลอลงจากปีก่อนที่ขยายตัว 28.4% คาดว่าเป็นผลมาจากความต้องการของตลาดหลัก อาทิ สหรัฐฯ อิตาลี ญี่ปุ่น ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันกว่า 50% โตช้าลง (รูปที่ 8) อย่างไรก็ดี ยังมีตลาดที่มีศักยภาพอื่นๆ เช่น อังกฤษ ที่จำนวนสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นมากกว่า 3.2 ล้านตัว หลังช่วงโควิด-19 หรือนิวซีแลนด์ จากผลข้อตกลงทางการค้า FTA ไทย-นิวซีแลนด์ ที่ทำให้มีการยกเว้นภาษีนำเข้าอาหารสัตว์เลี้ยง จึงทำให้ยอดการส่งออกไปยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การแข่งขันในตลาดส่งออกยังคงมีแนวโน้มรุนแรง โดยเฉพาะกับคู่แข่งที่ได้เปรียบด้านราคาและระยะขนส่งที่ใกล้กับตลาดคู่ค้าสำคัญ ไทยเจอการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในตลาดคู่ค้าหลัก เช่น สหรัฐฯ ไทยต้องเจอคู่แข่งที่สำคัญอย่าง เม็กซิโก ที่มีข้อได้เปรียบในเรื่องระยะขนส่งที่ใกล้ หรือญี่ปุ่น ที่ไทยต้องแข่งกับเกาหลีใต้ ซึ่งได้เปรียบด้านราคา สะท้อนได้จากส่วนแบ่งตลาดของเกาหลีใต้ที่ส่งไปญี่ปุ่นปี 2567 เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าจากปี 2564&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ อุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงไทยยังมีความเสี่ยงทั้งต้นทุนการผลิตยังคงผันผวน โดยเฉพาะวัตถุดิบ อาทิ ปลาทูน่า ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 60% ของต้นทุนการผลิตทั้งหมด มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น จากสภาพอากาศที่แปรปรวน ทำให้ผลผลิตลดลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้มาตรการด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงมาตรการทางการค้าอื่นๆ ส่งผลกระทบกับการส่งออกของไทย ไม่ว่าจะเป็น มาตรการ Farm to Fork ที่มุ่งเน้นการลดการปล่อยคาร์บอน และการตรวจสอบย้อนกลับ รวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้า เช่น มาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป ที่อาจขยายขอบเขตมายังภาคเกษตรและอาหารในการเลือกใช้วัตถุดิบที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมหรือต้องเป็นไปตามแนวทางการทำธุรกิจแบบยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน (อาทิ ปลาป่น กากถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากมาตรการ Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ ภาพ: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย,&nbsp;<a href="https://unsplash.com/@moob?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">Ayla Verschueren</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/a-brown-and-white-dog-sitting-next-to-a-bowl-of-food-jnq52JjkLAg?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">Unsplash</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/kbank-tagthai-easy-pay-th-qr-mar-2025" alt="ช็อปง่ายขึ้น! นักท่องเที่ยวต่างชาติสแกนจ่าย Thai QR Payment ได้ทั่วไทย ผ่าน TAGTHAi EASY PAY">ช็อปง่ายขึ้น! นักท่องเที่ยวต่างชาติสแกนจ่าย Thai QR Payment ได้ทั่วไทย ผ่าน TAGTHAi EASY PAY</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ทาสหมาแมวพร้อมเปย์! กสิกรฯ คาดตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงไทยปี 68 โต 12%

<h2>บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ “BTG” เปิดตัวโรงงานอาหารสัตว์แห่งแรกใน สปป.ลาว ภายใต้งบลงทุนกว่า 650 ล้านบาท นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการผลิตอาหารสัตว์และบริหารทรัพยากร ด้วยกำลังการผลิต 108,000 ตันต่อปี รองรับดีมานด์ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุน ลดการนำเข้าอาหารสัตว์จากไทย</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วรวุฒิ วณิชกุลบดี ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG เปิดเผยว่า เบทาโกรในฐานะผู้ประกอบธุรกิจอาหารและเกษตรอุตสาหกรรมครบวงจรชั้นนำระดับสากล เพื่อการบริโภคในประเทศและส่งออกไปกว่า 30 ประเทศทั่วโลก รวมถึงการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งเมียนมา ลาว และกัมพูชา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยกลุ่มธุรกิจต่างประเทศมุ่งเน้นการเพิ่มปริมาณผลผลิตด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ผ่านการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีมีคุณภาพ ทั้งยังบริหารจัดการต้นทุนได้ดียิ่งขึ้น ครั้งนี้จึงเดินหน้าลงทุน 650 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตอาหารสัตว์เบทาโกรแห่งแรกใน สปป.ลาว ที่มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัยมาใช้ในการผลิตอาหารสัตว์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งได้มีการเปิดโรงงานผลิตอาหารแห่งนี้อย่างเป็นทางการ โดยได้รับเกียรติจาก “นายสีปะไพ ไชสงคราม” ปลัดกระทรวงกสิกรรมและป่าไม้ แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาเป็นประธานในพิธี​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/MrF4Ju75LHp6UEysfEeY.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="MrF4Ju75LHp6UEysfEeY.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยโรงงานอาหารสัตว์เบทาโกร สปป.ลาว นับเป็นอีกหนึ่งโรงงานอาหารสัตว์ในต่างประเทศของบริษัทฯ สามารถผลิตอาหารสัตว์หลากหลายชนิด ทั้งสุกร ไก่ไข่ ไก่เนื้อ โดยนำเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยมายกระดับจัดการหลากหลายมิติ ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1) ระบบ SCADA (Supervisory Control and Data Acquisition) และระบบ SAP (Systems, Applications and Products in Data Processing) นำมาใช้ในการจัดการวัตถุดิบและผลิตอาหารสัตว์ เพื่อยกระดับการผลิตให้มีความถูกต้องและแม่นยำยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2) ระบบการบริหารจัดการโรงงาน เพื่อควบคุมและรายงานผลการผลิต (Smart Dashboard)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3) ระบบการผลิตอาหารสัตว์และการใช้สารผสมล่วงหน้า (Smart Premix)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4) ระบบการบรรจุอาหารสัตว์ที่ทันสมัย (Smart Bagging)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;5) ระบบการจัดการฐานข้อมูลผลวิเคราะห์วัตถุดิบอาหารสัตว์เพื่อการควบคุมคุณภาพ (Best LIMS – Laboratory Information Management System)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;6) ระบบการกำจัดฝุ่นและกลิ่น (Jet Filter) เพื่อลดผลกระทบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมโดยรอบ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/gzKyTAzRffEX2CzL6yL2.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="gzKyTAzRffEX2CzL6yL2.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยการลงทุนโรงงานอาหารสัตว์เบทาโกร สปป.ลาว แห่งนี้ คาดว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอาหารสัตว์ที่มีคุณภาพและปลอดภัย ทั้งยังเป็นการส่งเสริมการใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ภายใน สปป.ลาว และเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันอีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันโรงงานอาหารสัตว์เบทาโกร สปป.ลาว มีอัตราการเดินเครื่องอยู่ที่ 70% ของการผลิตรวม และคาดว่าจะผลิตเต็มกำลัง 100% หรือ 108,000 ตันภายในปี 2568 อีกทั้งยังมีแผนขยายกำลังการผลิตเป็น 144,000 ตันต่อปี ในปี 2570 เพื่อรองรับการขยายการผลิตปศุสัตว์และอาหารให้ครอบคลุมทั้ง สปป.ลาว และส่งออกให้กับฟาร์มเกษตรกรเครือข่ายเบทาโกรในพื้นที่ภาคอีสานตอนกลางของไทย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/wqUNdZhgXgB7MatK21JF.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="2" data-file-name="wqUNdZhgXgB7MatK21JF.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เบทาโกร เชื่อว่าโรงงานอาหารสัตว์แห่งนี้จะยกระดับซัพพลายเชนด้านอาหารของ สปป.ลาว ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ด้วยการส่งมอบอาหารที่มีคุณภาพและความปลอดภัยสูง ด้วยการผลิตที่ยั่งยืน ทั้งยังสร้างงานสร้างอาชีพให้กับคนในท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้ผู้คนใน สปป.ลาว มีทางเลือกในการบริโภคอาหารที่ดี มีคุณภาพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ตรงนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมพัฒนาและปรับปรุงระบบเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารใน สปป.ลาว ให้มีมาตรฐานการผลิตในระดับสากล และปลอดภัยต่อผู้บริโภค ตลอดจนเป็นฐานการผลิตและส่งออกไปยังต่างประเทศในอนาคตต่อไป” วรวุฒิ กล่าว เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/eka-global-opens-new-factory-in-india" alt="‘เอกา โกลบอล’ ยึดหัวหาด ‘อินเดีย’ เปิดโรงงานปูทางเข้าตลาดหุ้นภารตะ">‘เอกา โกลบอล’ ยึดหัวหาด ‘อินเดีย’ เปิดโรงงานปูทางเข้าตลาดหุ้นภารตะ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘เบทาโกร’ เปิดตัวโรงงานอาหารสัตว์แห่งแรกใน สปป.ลาว งบลงทุนกว่า 650 ล้านบาท

'ณัฐพล ดุษฎีโหนด' ทายาทสายตรงสู่การปั้น FM ธุรกิจไก่แปรรูปพันล้านสู่สากล

<h2>ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยปี 2567 จะอยู่ที่ 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 19.5% จากปีก่อนที่หดตัว 15.0% แนะผู้ประกอบการควรเจาะตลาดพรีเมียมรับเทรนด์ผู้บริโภคยอมจ่ายสูง เพื่อลดความเสี่ยงด้านการแข่งขันที่รุนแรง และมาตรฐานทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนที่เข้มงวดขึ้น</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องตามความนิยมเลี้ยงสัตว์ในหลายประเทศทั่วโลก โดยมีปัจจัยสำคัญจากพฤติกรรมนิยมเลี้ยงสัตว์เสมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่มีกำลังซื้อสูงและพร้อมที่จะจ่ายเพื่อสัตว์เลี้ยง อาทิ สหรัฐฯและสหภาพยุโรป<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/08/wCY4VLTZ8Tm6dPFfZ19y.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="wCY4VLTZ8Tm6dPFfZ19y.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,340" style="" data-index="0"></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยไปตลาดโลกปี 2567 อาจอยู่ที่ 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 19.5% เทียบกับปีก่อนที่หดตัวถึง 15.0% โดยเติบโตจากปริมาณความต้องการที่ทยอยฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำ และความนิยมเลี้ยงสัตว์ที่เพิ่มขึ้น ถือเป็นโอกาสสำหรับการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย เนื่องจากไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงอันดับ 4 ของโลก และมีความได้เปรียบด้านวัตถุดิบที่ใช้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นผลพลอยได้ของอุตสาหกรรมเกษตรและประมงที่มีอยู่ในประเทศ เช่น แป้ง ธัญพืช เศษอาหารทะเล และฝั่งของราคาที่ขยับขึ้นตามต้นทุนการผลิต อาทิ ค่าแรงงาน บรรจุภัณฑ์ ขนส่ง ไฟฟ้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ตลาดหลักยังเป็นตัวผลักดันการเติบโตของการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงในปี 2567 ได้แก่&nbsp; &nbsp; - สหรัฐฯและอิตาลี ซึ่งน่าจะกลับมาฟื้นตัวได้หลังจากหดตัวสูงในปีก่อน จากปริมาณสินค้าเหลือคงค้างในระดับสูงได้ปรับลดลง และความต้องการทยอยปรับขึ้น&nbsp;(คิดเป็นสัดส่วน 34% ของมูลค่าการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงทั้งหมด)&nbsp;​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ญี่ปุ่น&nbsp; คาดว่าจะยังเติบโตต่อเนื่อง แต่อยู่ในทิศทางที่ชะลอตัว จากความต้องการสินค้าที่มีคุณภาพและราคาต่อหน่วยสูงขึ้น จากความใส่ใจเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพสัตว์มากขึ้น แม้จำนวนสัตว์เลี้ยงจะลดลง&nbsp;(คิดเป็นสัดส่วน 16% ของมูลค่าการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงทั้งหมด)​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ตลาดรองที่มีส่วนแบ่งตลาดน้อย แต่มีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง&nbsp;​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- อังกฤษ น่าจะเติบโตต่อเนื่อง จากความต้องการอาหารสัตว์ในประเทศที่ขยายตัวดี ตามจำนวนสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะสุนัข ซึ่งมีมากที่สุดในแถบยุโรป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- นิวซีแลนด์ ไทยส่งออกได้เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ซึ่งนอกจากอานิสงส์จากข้อตกลงทางการค้า FTA ไทย-นิวซีแลนด์ ที่ทำให้ได้เปรียบด้านราคาแล้ว นิวซีแลนด์ยังเป็นประเทศที่เลี้ยงสัตว์ ในอัตราเฉลี่ยต่อครัวเรือนสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก เอื้อต่อการขยายตลาดของไทย<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/08/FVQUB9drmsCMEZqsztpE.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="FVQUB9drmsCMEZqsztpE.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,335" style="" data-index="1"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยปี 2024 อาจกลับมาฟื้นตัว แต่ระยะข้างหน้ายังต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่สำคัญ 3 ประเด็น คือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1) การแข่งขันกับคู่แข่งที่รุนแรง แม้ในตลาดหลักไทยจะครองตำแหน่งแหล่งนำเข้าอันดับ 1 แต่คู่แข่งอื่นๆ ก็มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคู่แข่งที่มีความได้เปรียบด้านราคาและระยะขนส่งที่ใกล้ เช่น ส่วนแบ่งตลาดของเม็กซิโกและกัมพูชาที่เติบโตต่อเนื่องติดกัน 4 ปี ในตลาดสหรัฐฯ ส่วนในญี่ปุ่น ส่วนแบ่งตลาดของเกาหลีใต้ปี 2566 เพิ่มสูงเป็น 2 เท่าจากปี 2564 ขณะที่ไทยมีสัญญาณของต้นทุนการผลิตที่ปรับขึ้น จึงทำให้ไทยอาจเสียเปรียบการแข่งขันด้านราคา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2) พฤติกรรมการเลี้ยงสัตว์ที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้สอดรับไปกับตลาดเป้าหมาย อาทิ เทรนด์เลี้ยงสัตว์ในรูปแบบของ Pet Premiumization ที่เติบโตในตลาดสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ซึ่งผู้เลี้ยงส่วนใหญ่ยังยอมลงทุนกับการใช้จ่ายเลือกซื้ออาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพสูง เพื่อยกระดับดูแลสัตว์เลี้ยงให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น หรือรักษาชีวิตให้อยู่ยืนยาว สะท้อนจากยอดการใช้จ่ายด้านอาหารสัตว์เลี้ยงที่ยังเติบโตสูงกว่าค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3) มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทานที่เข้มงวดมากขึ้นจากผู้นำเข้า เช่น การลดการปล่อยคาร์บอน (CO2) การตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของวัตถุดิบ รวมถึงมาตรการกีดกันทางการค้า (NTBs) กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ใช้วัตถุดิบที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับทำลายสิ่งแวดล้อมหรือไม่ยั่งยืน (อาทิ ปลาป่น กากถั่วเหลือง) โดยเฉพาะตลาดส่งออกในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย แนะนำว่าผู้ประกอบการไทยควรเจาะตลาดพรีเมียมรับเทรนด์ผู้บริโภคยอมจ่ายสูง เพื่อลดความเสี่ยงด้านการแข่งขันที่รุนแรง มาตรฐานทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนที่เข้มงวดขึ้น โดยมีแนวทางเบื้องต้น ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- พัฒนาอาหารสัตว์เลี้ยงในกลุ่มพรีเมียมหรือมีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น อาหารสัตว์เลี้ยงที่มีคุณภาพเทียบเท่าอาหารสำหรับมนุษย์ (Human Grade) อาหารสัตว์เลี้ยงออร์แกนิค อาหารสัตว์เลี้ยงจากโปรตีนทางเลือก (พืช/แมลง) อาหารที่มีคุณสมบัติเฉพาะ เช่น สำหรับสัตว์เลี้ยงที่มีน้ำหนักเกิน สูงวัย ต้องการอาหารเฉพาะโรค บำบัดอาการเจ็บป่วย หรือเสริมวิตามินบำรุง เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สร้างแบรนด์สินค้าที่เป็นของตัวเองให้มากขึ้น จากเดิมที่เน้นรับจ้างผลิต (OEM) ให้แบรนด์ชั้นนำของโลก คิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของจำนวนผู้ประกอบการในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ขณะที่การผลิตภายใต้แบรนด์ไทยมีอยู่เพียง 20% เพื่อเสริมศักยภาพด้านการแข่งขันให้เทียบเท่าผู้เล่นรายสำคัญของโลก อาทิ เยอรมนี สหรัฐฯ ฝรั่งเศส ที่จะส่งออกแบรนด์ตัวเองเป็นหลัก ภาพ: <a href="https://www.midjourney.com/jobs/04cada42-47d3-48be-b69b-7916e06582c8?index=0" alt="midjourney">midjourney</a>&nbsp;โดย gogosandy เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/it/marketing/g-able-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%81-health-tech-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A5-%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88-smart-hospital-%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%87%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A-%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99-20" alt="G-Able เปิดเกมรุก Health Tech จับมือพันธมิตรโรงพยาบาล ยกระดับการแพทย์สู่ Smart Hospital เต็มรูปแบบ คาดเติบโตเกิน 20%"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/techno-medical-tm-nursing-care-aug-2024" alt="เทคโนเมดิคัล ตั้งเป้าปี 67 พลิกกำไร จับเทรนด์สังคมสูงวัย ชู The Parents ศูนย์สุขภาพฯ"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/global/dolce-and-gabbana-fefe-dog-perfume" alt="Dolce &amp; Gabbana เปิดตัว ‘น้ำหอมสุนัข’ ผลตอบรับดี แต่ผู้เชี่ยวชาญไม่แนะนำ">Dolce &amp; Gabbana เปิดตัว ‘น้ำหอมสุนัข’ ผลตอบรับดี แต่ผู้เชี่ยวชาญไม่แนะนำ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

วิจัยกสิกร คาดปี 67 ไทยจะส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง 2,500 ล้านเหรียญฯ ขยายตัว 19.5%

<h2>บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM รายงานผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2567 ด้วยกำไรสุทธิ 233 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 20 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตถึง 1,064.1 เปอร์เซ็นต์ พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.30 บาทต่อหุ้น</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายพีระศักดิ์ บุญมีโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจในครึ่งแรกของปี 2567 ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจเพราะมีอัตราการเติบโตที่ดีและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดย TFM ยังคงเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์น้ำที่มีคุณภาพที่ดีที่สุด และการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ภายใต้กลยุทธ์ SeaChange 2030 ของกลุ่มไทยยูเนี่ยน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยบริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้ 2,545.8 ล้านบาท และมีความสามารถในการทำกำไรที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 444.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 161.3 เปอร์เซ็นต์ และกำไรสุทธิอยู่ที่ 233.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 1,064.1 เปอร์เซ็น จากช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นผลมาจากการควบคุมต้นทุนการผลิตในโรงงานและการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมไปถึงผลการดำเนินธุรกิจของ TFM ในประเทศอินโดนีเซียที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตลอดจนการปรับกลยุทธ์การขายและพอร์ตสินค้าของบริษัทฯ ส่งผลให้อัตรากำไรต่อหุ้นปรับเพิ่มขึ้นจาก 0.04 บาท ต่อหุ้นขึ้นมาอยู่ที่ 0.47 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในครึ่งปีแรกเรายังประกาศจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท รวม 150 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ท่ามกลางปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ท้าทาย แต่ธุรกิจอาหารสัตว์น้ำของเรายังคงเติบโตต่อเนื่อง และสามารถขยายตัวได้ เนื่องจากเรามีทีมวิจัยและพัฒนาสินค้าที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ ทำให้สามารถพัฒนาสินค้าที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน” นายพีระศักดิ์ กล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/08/G5zAhF79oYYH1XwJYWwf.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="G5zAhF79oYYH1XwJYWwf.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับการเติบโตในไตรมาสที่ 2 ปี 2567 TFM มีรายได้จากการขาย 1,296.7 ล้านบาท ขณะที่กำไรขั้นต้น อยู่ที่ 243.5 ล้านบาท เติบโตขึ้น 98.9 เปอร์เซ็นต์ โดยกำไรสุทธิอยู่ที่ 129.4 ล้านบาท เติบโตอย่างแข็งแกร่งจากปีที่ผ่านมาถึง 170.9 เปอร์เซ็นต์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งเป็นผลจากความสม่ำเสมอของการดำเนินกลยุทธ์บริหารจัดการพอร์ตสินค้าที่มุ่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน การขยายตลาด และบริหารจัดการต้นทุนการผลิต ซึ่งรวมไปถึงประสิทธิภาพในการผลิต พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าอาหารสัตว์น้ำสู่สินค้าที่มีศักยภาพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 18.8 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากอัตราขั้นต้นที่ 9.1 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า เช่นเดียวกับอัตรากำไรสุทธิ ที่เพิ่มเป็น 9.8 เปอร์เซ็นต์ จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 3.1 เปอร์เซ็นต์ อัตรากำไรต่อหุ้นปรับเพิ่มจาก 0.10 บาทต่อหุ้น ขึ้นมาอยู่ที่ 0.26 บาทต่อหุ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ภาพรวมธุรกิจในครึ่งหลังปี 2567 บริษัทฯ คาดการณ์ว่ายอดขายกลุ่มอาหารสัตว์น้ำกำลังจะกลับมาเติบโตทั้งจากการขยายตลาด และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยบริษัทฯ จะมุ่งต่อยอดการพัฒนาอาหารสัตว์น้ำให้ได้คุณภาพมาตรฐาน ตอบโจทย์เกษตรกรในแต่ละพื้นที่ แต่ละภูมิภาค&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“นอกจากภาคธุรกิจแล้วเรายังให้ความสำคัญกับการสนับสนุนเกษตรกรไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ ในด้านต่างๆ เช่น การเพาะเลี้ยง และนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงข้อมูลข่าวสาร เป็นต้น โดยเดินหน้าจัดทีมให้ความรู้แก่เกษตรกรเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืนต่อเนื่อง เช่น ประโยชน์ของการใช้พลังงานสะอาดภายในฟาร์มกุ้ง ฟาร์มปลากะพง การเลือกใช้วัตถุดิบในห่วงโซ่อุปทาน และโทษของการใช้สารต้องห้ามในการเลี้ยงสัตว์น้ำ เป็นต้น​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/08/Bv3yDJrCpuRULCDfzvt5.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Bv3yDJrCpuRULCDfzvt5.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,479" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ร่วมมือกับกลุ่มไทยยูเนี่ยน มีมาตรการรับซื้อผลผลิตสัตว์น้ำที่เป็นวัตถุดิบหลักในกลุ่มฯ เช่น กุ้งขาว และปลากะพง เป็นต้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเกษตรกร ในการหาช่องทางตลาดปลายทางให้กับเกษตรกร ซึ่งได้มีการทำต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี” นายพีระศักดิ์ กล่าว เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/other/fti-herbs-factories-are-under-standard" alt="อุตสาหกรรมสมุนไพรไทยวิกฤต! ส.อ.ท. เผยโรงงาน 500 แห่งยังไม่ผ่านมาตรฐาน เสี่ยงถูกปิดตัว">อุตสาหกรรมสมุนไพรไทยวิกฤต! ส.อ.ท. เผยโรงงาน 500 แห่งยังไม่ผ่านมาตรฐาน เสี่ยงถูกปิดตัว</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์’ กำไรครึ่งปีแรก 233 ล้าน โต 1,064% สูงสุดตั้งแต่ IPO พร้อมประกาศจ่ายปันผลรอบครึ่งปี

<h2>‘เบทาโกร’ เดินหน้าสร้างรากฐานความมั่นคงด้านอาหารในภูมิภาคอาเซียน รุกสร้างโรงงานอาหารสัตว์แห่งแรกที่ สปป.ลาว กำลังผลิต 108,000 ตันต่อปี ขยายพอร์ตผลิตภัณฑ์อาหารสู่ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ คาดดันรายได้ธุรกิจต่างประเทศปี 67 โตกว่า 22%</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;วรวุฒิ วณิชกุลบดี ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ-กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG เปิดเผยว่า เบทาโกรวางยุทธศาสตร์กลุ่มธุรกิจต่างประเทศปี 2567 มุ่งขยายธุรกิจในประเทศอาเซียน โดยเดินหน้าสร้างรากฐานด้านอุตสาหกรรมอาหารที่แข็งแกร่ง ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำในกัมพูชา และ สปป.ลาว ซึ่งเป็นประเทศที่สร้างรายได้หลักแก่กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ บริษัทฯ วางแผนการดำเนินธุรกิจใน สปป.ลาว ที่ปัจจุบันมีฟาร์มสุกร ฟาร์มสัตว์ปีก จำหน่ายสุกรขุน ไก่เนื้อ และไก่ไข่ จำนวน 135 แห่ง และร้านเบทาโกร ช็อป 4 แห่ง โดยล่าสุดได้ลงทุน 650 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตอาหารสัตว์เบทาโกรแห่งแรกใน สปป.ลาว ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยมีระบบ Laboratory Information Management System (LIMS) ที่ช่วยตรวจวิเคราะห์วัตถุดิบและอาหารสัตว์ เพื่อให้การผลิตอาหารสัตว์มีคุณภาพและปลอดภัย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/8RV8VqkwDMbbVAL1XHBe.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="8RV8VqkwDMbbVAL1XHBe.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โรงงานดังกล่าวมีกำลังการผลิต 108,000 ตันต่อปี รองรับดีมานด์ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มประสิทธิภาพบริหารจัดการต้นทุน ลดการนำเข้าอาหารสัตว์จากไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกันมุ่งสร้างแบรนด์เบทาโกร ด้วยการจำหน่ายเนื้อหมู เนื้อไก่ และอาหารแปรรูป รวมถึงขยายช่องทางจำหน่ายในรูปแบบคีออส ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ อาทิ บิ๊กซี ซูเปอร์มาร์เก็ต และขยายฐานลูกค้ากลุ่มผู้ให้บริการด้านอาหาร (Food Service)​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/8bE4Ra3Y7rHhupsYXjss.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="8bE4Ra3Y7rHhupsYXjss.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนกัมพูชา ปัจจุบันมีโรงงานผลิตอาหารสัตว์ในกรุงพนมเปญ 1 แห่ง มีฟาร์มสุกร ฟาร์มสัตว์ปีก รวม 425 แห่ง และมีร้านเบทาโกร ช็อป 6 แห่ง บริษัทฯ ขับเคลื่อนโดยใช้กลยุทธ์ “Agro Total Solution” เพื่อส่งมอบธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมแบบครบวงจร โดยปรับโครงสร้างทีมขายให้ตอบโจทย์การนำเสนออาหารสัตว์ เวชภัณฑ์และสารเสริมสำหรับสัตว์ และธุรกิจอุปกรณ์ฟาร์มครบวงจร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พร้อมขยายตัวสู่ธุรกิจกลางน้ำโดยนำเสนอบริการโรงชำแหละไก่และหมูครบวงจร ปรับพอร์ตสินค้า เพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ อาหารแปรรูปภายใต้แบรนด์เบทาโกร ผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายต่างๆ รวมถึงขยายฐานลูกค้ากลุ่มผู้ให้บริการด้านอาหาร ประกอบด้วย ร้านอาหาร โรงแรม รองรับปัจจัยบวกจากการท่องเที่ยวฟื้นตัว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/rg2uzw33ifKWv7dnS6AE.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="2" data-file-name="rg2uzw33ifKWv7dnS6AE.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่เมียนมานั้น ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ดำเนินการในลักษณะกิจการร่วมค้ากับพันธมิตรท้องถิ่น ซึ่งเมียนมาถือเป็นหนึ่งในตลาดอาเซียนที่น่าสนใจ แต่ยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลอย่างต่อเนื่อง เพื่อดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบและพิจารณาอย่างรอบด้านมากที่สุด นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมองหาโอกาสการเติบโตจากการขยายธุรกิจสู่ประเทศใหม่ๆ ในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การรุกขยายธุรกิจต่างประเทศของเบทาโกร เรามุ่งเน้นสร้างรากฐานอุตสาหกรรมอาหารครอบคลุมต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและความปลอดภัยตามมาตรฐานสากลให้กับผู้บริโภคทุกคน เรามีการลงทุนในเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับการบริหารจัดการ ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ตลอดจนการพัฒนาทักษะ ความชำนาญบุคลากร เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับคนในท้องถิ่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“พร้อมผนึกกำลังกับพันธมิตรผ่านเครือข่ายทางธุรกิจทุกภาคส่วน สร้างการเติบโต และสร้างความมั่นคงด้านอาหารที่ยั่งยืนให้กับภูมิภาคอาเซียน โดยคาดการณ์ว่าปี 2567 กลุ่มธุรกิจต่างประเทศจะมีรายได้เติบโตกว่า 22%” วรวุฒิ กล่าว เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/ajinomoto-business-plan-2024" alt="จากผงชูรสเบอร์หนึ่งไทย ‘อายิโนะโมะโต๊ะ’ กำลังลุยธุรกิจใหม่ ‘อาหารเสริม-แอปดูแลสุขภาพ’">จากผงชูรสเบอร์หนึ่งไทย ‘อายิโนะโมะโต๊ะ’ กำลังลุยธุรกิจใหม่ ‘อาหารเสริม-แอปดูแลสุขภาพ’</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘เบทาโกร’ ทุ่มงบ 650 ล้านบาท สร้างโรงงานอาหารสัตว์ใน ‘ลาว’ ดันรายได้ธุรกิจต่างประเทศปี 67 โตกว่า 22%

<h2>บริษัท บริษัท เอแซด อินฟินิตี้ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Wellness Pet บริษัทอาหารสัตว์เลี้ยงเกรดพรีเมี่ยมจากอเมริกาเหนือให้เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เปิดตัว WELLNESS CORE™ บุกตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมี่ยมแบรนด์ภายใต้การคิดค้นและผลิตด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว&nbsp;</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พร้อมเปิดตัวอาหารสุนัขและแมวสูตรพิเศษที่อัดแน่นด้วยโภชนาการที่สมดุลพร้อมวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารที่ครบถ้วนพิสูจน์แล้วว่าเหมาะสำหรับสัตว์เลี้ยงทุกช่วงวัย ทุกสูตรอาหารของ WELLNESS CORE™ อัดแน่นไปด้วยโปรตีนคุณภาพสูง Grain-Free และมีไขมันในระดับที่พอเหมาะ คิดค้นสูตรโภชนาการให้มีความครบถ้วนสมดุลโดยใช้หลักการทางวิทยาศาตร์เพื่อส่งมอบ 5 สัญลักษณ์แห่งสุขภาพที่เป็นเลิศ ทำให้ขนสวยเงางาม มีระบบย่อยอาหารที่ดี ภูมิคุ้มกันแข็งแรง กระดูกและฟันแข็งแรง และเต็มเปี่ยมด้วยพลังงาน เพื่อให้เพื่อนขนฟูของคุณได้ใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดีร่วมกันกับเราไปอย่างยืนยาว สามารถหาซื้อได้แล้วที่ร้านเพ็ทช้อปชั้นนำทั่วประเทศ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นนทัช ประสงค์รุ่งสว่าง กรรมการผู้จัดการบริษัท บริษัท เอแซด อินฟินิตี้ จำกัด ผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Wellness Pet กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่เปิดตัวแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงพรีเมี่ยมอย่างเป็นทางการสำหรับในตลาดประเทศไทย เนื่องจากเราเล็งเห็นว่าภาพรวมตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในไทยยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ปัจจุบันตลาดภาพรวมอาหารสัตว์ในไทยมีมูลค่าราว 40,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูง และยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมากเพราะผู้บริโภคในประเทศไทยหันมาเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้นนับตั้งแต่การระบาดใหญ่ของโควิด-19&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงเสมือนส่วนหนึ่งของสมาชิกในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นสุนัขหรือแมว นั่นทำให้แนวโน้มตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมี่ยมมีการเติบโตเช่นกัน เนื่องจากผู้เลี้ยงต้องการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเพื่อนขนฟู หลายคนจึงให้ความสำคัญกับอาหารสัตว์เลี้ยงแบบพรีเมี่ยมแม้จะมีราคาสูงก็ตาม ด้วยรากฐานที่แข็งแกร่งในสหรัฐอเมริกาในฐานะแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพพรีเมียมที่ได้รับการคิดค้น ผลิต และทดสอบทางวิทยาศาสตร์ มุ่งเน้นคัดสรรวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารที่มีคุณภาพสูง เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าครบถ้วนสมดุล อาหารทุกสูตรจาก WELLNESS CORE™ ผ่านการคิดค้นอย่างพิถีพิถันจากทีมนักโภชนาการ สัตวแพทย์ และนักวิทยาศาสตร์การอาหารสัตว์โดยเฉพาะ ส่งมอบโภชนาการที่สมดุลให้กับเพื่อนขนฟูของคุณ พร้อมกับ 5 สัญลักษณ์แห่งสุขภาพที่เป็นเลิศตามแบบฉบับ 5 Signs of Wellbeing" &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลิตภัณฑ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับ WELLNESS CORE™ แบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมี่ยมภายใต้คอนเซปต์ 5 Signs of Wellbeing เพื่อโภชนาการที่ครบถ้วนสมดุลสำหรับเพื่อนขนฟูของคุณ ด้วยสารอาหารที่ดูแลครอบคลุมทั้งทำให้ขนสวยเงางาม มีระบบย่อยอาหารที่ดี ภูมิคุ้มกันแข็งแรง กระดูกและฟันแข็งแรง และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; WELLNESS CORE สำหรับแมวเหมียว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อาหารแห้งชนิดเม็ดสำหรับแมว สูตร Grain-Free ที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงจากธรรมชาติ เต็มเปี่ยมด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และทอรีน ที่มาพร้อมความหอมอร่อยด้วยกลิ่นและรสของเนื้อสัตว์ โดดเด่นด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่ครบถ้วนสมดุล ช่วยให้แมวเพลิดเพลินกับทุกมื้ออาหารทั้ง 4 สูตร ได้แก่ สูตร Kitten สำหรับลูกแมวอายุไม่เกิน 12 เดือน, สูตร Original และ สูตร Turkey&amp;Duck สำหรับแมวโตเต็มวัย, และสูตร Indoor สำหรับแมวที่เลี้ยงในระบบปิดหรือต้องการลดน้ำหนัก ด้วยราคาสุดพิเศษเฉพาะช่วงแนะนำเริ่มต้น 590 บาท <div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/zNpJVcT7C13rD2AoPLDq.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="zNpJVcT7C13rD2AoPLDq.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; WELLNESS CORE สำหรับสุนัข&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อาหารเม็ดสำหรับสุนัข WELLNESS CORE สูตร Grain-Free เน้นรสชาติที่อร่อยถูกปากสุนัข เต็มเปี่ยมด้วยโปรตีนสูงจากเนื้อสัตว์และปลาคุณภาพที่มาพร้อมกัน 6 สูตร ได้แก่ สูตร Puppy สำหรับลูกสุนัข, สูตร Original สำหรับสุนัขโตเต็มวัย, สูตร Ocean สำหรับสุนัขที่มีอาการแพ้สัตว์ปีก, สูตร Reduced Fat สำหรับสุนัขควบคุมน้ำหนัก, สูตร Small Breed สำหรับสุนัขพันธุ์เล็ก, และสูตร Senior สำหรับสุนัขสูงวัย จึงครอบคลุมสุนัขทุกช่วงวัยและตอบโจทย์ครบทุกความต้องการ ด้วยราคาสุดพิเศษเฉพาะช่วงแนะนำเริ่มต้นเพียง 990 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลิตภัณฑ์ WELLNESS CORE จัดจำหน่ายผ่านร้านเพ็ทช้อปชั้นนำทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์ และติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ WELLNESS CORE ได้ที่ www.wellnesspetfood.co.th Line : @wellnesspet.th และเฟสบุ๊ค Wellness Pet Food Thailand &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/70955" alt="“ห้างเซ็นทรัล” จัดงาน “Central Beauty Awards 2023” แท็กทีมเหล่าคนดังตัวท็อปสร้างสีสัน เผยที่สุดของผลิตภัณฑ์บิวตี้และสุดยอดแบรนด์ในดวงใจแห่งปี">“ห้างเซ็นทรัล” จัดงาน “Central Beauty Awards 2023” แท็กทีมเหล่าคนดังตัวท็อปสร้างสีสัน เผยที่สุดของผลิตภัณฑ์บิวตี้และสุดยอดแบรนด์ในดวงใจแห่งปี</a> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

"WELLNESS CORE" บุกตลาดไทย เปิดตัวอาหารสุนัข-แมวโภชนาการครบถ้วนสมดุลเอาใจเหล่าทาส

<h2>‘บมจ.เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล’ หรือ AAI ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทาน โชว์วิสัยทัศน์เป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารสู่สากล ประเมินตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลกเติบโตสูง คาดมูลค่าตลาดรวมปี 72 เพิ่มขึ้นเป็น 1.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ จากปี 64 อยู่ที่ 1.1 แสนล้านเหรียญฯ รับกระแสความนิยมเลี้ยงสัตว์เสมือนเป็นสมาชิกในครอบครัว (Pet Humanization) พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์ Level up AAI! ยกระดับองค์กร รองรับแผนงานในอนาคต</h2>
เอกราช พรรณสังข์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ AAI เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Food) และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก (Human Food) ชั้นนำของประเทศ ที่มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในธุรกิจมายาวนานกว่า 15 ปี โดยเป็นหนึ่งในบริษัทย่อยและเป็นบริษัทแกนหลัก (Flagship) ของการดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงของ กลุ่ม บมจ. เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น หรือ ASIAN ที่เล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจในการขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับโอกาสในการเติบโต โดยในช่วงที่ผ่านมา AAI ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพื่อออกและเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) เป็นที่เรียบร้อย

บริษัทฯ มีวิสัยทัศน์เป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารสู่สากล ด้วยคุณภาพ ความปลอดภัย และความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ภายใต้กลยุทธ์ “Level up AAI!” เพื่อยกระดับองค์กรให้พัฒนาและเติบโตให้ทันกับโอกาสทางธุรกิจ และพร้อมปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ผ่านการยกระดับองค์กรในด้านต่างๆ ดังนี้

1) ยกระดับธุรกิจ (Level up our organization) มุ่งเน้นการปรับโครงสร้างองค์กรและโครงสร้างการบริหารงานให้อยู่ในระดับมาตรฐานสากล การเร่งพัฒนาบุคลากร รวมถึงการปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเพื่อรองรับการเติบโตและโอกาสทางธุรกิจในอนาคต
2) ยกระดับสถานะจาก “ผู้ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์” เพื่อเป็น “คู่ค้าเชิงกลยุทธ์” (Level up our co-developer position to strategic partners) มองหาโอกาสในการพัฒนาความสัมพันธ์ทั้งในกลุ่มธุรกิจที่เป็นต้นน้ำและปลายน้ำ (Up-stream / Down-stream) เพื่อให้การบริหารจัดการด้านห่วงโซ่อุปทานมีความต่อเนื่องและเป็นไปอย่าง
มีประสิทธิภาพมากขึ้น
3) ยกระดับแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงของบริษัทฯ เพื่อมุ่งสู่การเป็นแบรนด์ระดับโลก (Level up our own brands) เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงในหลากหลายแบรนด์ เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของกลุ่มลูกค้าในทุกตลาดย่อย (Market Segment) และมีผลิตภัณฑ์ครบทุกประเภท
4) ยกระดับความใส่ใจต่อแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนผ่านแผนกลยุทธ์ CHEERS! (Level up cares through CHEERS! strategy) โดยให้ความสำคัญต่อปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และยึดมั่นในการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อความยั่งยืนตามหลักสากลขององค์การสหประชาชาติ

<img class="alignnone size-full wp-image-64661" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/06/Hajiko_0604.jpg" alt="" width="650" height="380" />

ปัจจุบัน บริษัทฯ แบ่งผลิตภัณฑ์เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Food) สำหรับสุนัขและแมว ซึ่งครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกและผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงแบบเม็ด ทั้งที่เป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้า และผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัทฯ ในตลาดสินค้าทุกเซกเมนต์ และสองผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก (Human Food) ซึ่งมีทั้งในรูปแบบผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าในน้ำปรุงรสและซอสปรุงรส และผลิตภัณฑ์อาหารปรุงสุกพร้อมทาน โดยเป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้าทั้งหมด

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้ (By-product) จากการแปรรูปปลาทูน่า เช่น ผลิตภัณฑ์ปลาป่น ผลิตภัณฑ์น้ำนึ่งปลา และผลิตภัณฑ์น้ำมันปลา

เอกราช กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงในปัจจุบันมีศักยภาพการเติบโตสูง ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจากบทวิจัย Fortune Business Insights ที่แสดงให้เห็นว่าภาพรวมตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงของโลกในปี 2564 มีมูลค่า 1.1 แสนล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ที่มีมูลค่า 8.6 หมื่นล้านเหรียญฯ หรือเติบโตเฉลี่ยมากกว่าร้อยละ 8 ต่อปี และคาดการณ์ว่าแนวโน้มตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงของโลกในปี 2572 จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 1.6 แสนล้านเหรียญฯ หรือคิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 5.03 ต่อปี นับจากปี 2564

อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานของบริษัทฯ คาดว่าจะเติบโตได้ดีกว่าอุตสาหกรรม หรือได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 โดยมีปัจจัยหลักมาจากผู้คนให้ความนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Millennial และ Gen Z เนื่องจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผู้คนใช้ชีวิตและทำงานที่บ้านเพิ่มขึ้น จึงมีความนิยมเลี้ยงสัตว์เพื่อคลายความเหงา เกิดเป็นเทรนด์การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเสมือนเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัว (Pet Humanization)

ส่งผลให้มูลค่าการขายอาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงดังกล่าว อีกทั้งยังมีการจับจ่ายซื้ออาหารว่าง ขนมขบเคี้ยว ให้กับสัตว์เลี้ยงมากขึ้นอีกด้วย โดยบริษัทฯ เตรียมความพร้อมในการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน เพื่อช่วงชิงโอกาสทางการค้าและเพิ่มส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงมากขึ้น

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/gogolook-%e0%b8%9b%e0%b8%b1%e0%b9%89%e0%b8%99-whoscall-%e0%b9%81%e0%b8%9e%e0%b8%a5%e0%b8%95%e0%b8%9f%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b8%a1%e0%b8%95%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%99.html">Gogolook ปั้น Whoscall แพลตฟอร์มต่อต้านการฉ้อโกงแห่งแรกในไทย</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

บมจ.เอเชี่ยนฯ เดินหน้ากลยุทธ์ "Level up AAI!" รองรับตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโต

สรพหล นิติกาญจนา ขยายอาณาจักร "เอสพีเอ็ม" ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ

<h2>แม้ว่าภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารไทยจะมีสัดส่วนเพียง 8.52% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ทว่า ในทุกยุคสมัย อุตสาหกรรมดังกล่าวเป็นเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงคนไทยทั้งประเทศ และขยับขยายสู่ทั่วโลกด้วยมูลค่าการส่งออกเป็นอันดับสองของประเทศ</h2>
ทั้งนี้ความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากรและวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีจะยังคงส่งเสริมให้อุตสาหกรรมนี้ก้าวไปอีกไกลโพ้นศักยภาพด้านอาหารแปรรูปของไทยที่สามารถติดอันดับหนึ่งในสิบผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลกด้วยมูลค่าการส่งออก 1.73 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 6 แสนล้านบาท) หรือคิดเป็นสัดส่วน 3.2% ของมูลค่าการส่งออกอาหารแปรรูประดับโลกในปี 2558 ไม่ว่าจะเป็นกุ้งกระป๋องและแปรรูป ไก่แปรรูป สับปะรดกระป๋อง และข้าวโพดหวานกระป๋อง เป็นต้นโดยตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา

ขณะที่ เพลินใจ จิระจรัส ผู้อำนวยการสายงานวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ย้ำถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหารที่สามารถผลักดันการเติบโตของประเทศ จากมูลค่ารวมของอุตสาหกรรมเกษตรไทยในช่วงครึ่งปีแรกราว 5.97 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.52% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ประมาณ 7 ล้านล้านบาท

แม้ในรอบครึ่งปีที่ผ่านมาราคาสินค้าเกษตรโดยเฉพาะข้าว ยางพารา รวมถึงปริมาณผลผลิตน้ำตาลและกุ้งจะปรับตัวลดลง ส่งผลให้มูลค่าของอุตสาหกรรมเกษตรของไทยปรับตัวลดลง 2.3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่ 6.1 แสนล้านบาท แต่มูลค่าการส่งออกของสินค้าในอุตสาหกรรมดังกล่าวยังคงมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อน GDP ของประเทศด้วยมูลค่า 6.36 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 17.1% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทยที่ 3.72 ล้านล้านบาทหรือ 9.1% ของ GDP ประเทศ

<img style="width: 680px; height: 491px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/03913cb432a2ba27e4af6173ac9851a3.jpg" alt="" />

นอกจากนั้น อุตสาหกรรมเกษตรยังคงมีความสำคัญต่อประเทศมากกว่าอุตสาหกรรมนอกภาคการเกษตร ในด้านการใช้พื้นที่ของประชากรในภาคการเกษตรที่มีอยู่ราว 38.6% ของประชากรทั่วประเทศ โดยใช้พื้นที่เพื่อประโยชน์ทางการเกษตรคิดเป็น 46% จากจำนวนที่ดิน 320.7 ล้านไร่ สะท้อนถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและแรงงานในภาคการโดยมักจะเริ่มต้นจากการจำหน่ายสุกรมีชีวิตสำรับตลาดสด และพัฒนาเข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรดมากขึ้นในระยะหลัง เพื่อสร้างภาพลักษณ์สินค้าที่มีอนามัย และเพิ่มมูลค่าสินค้ามากขึ้น

ขณะที่อุตสาหกรรมไก่เผชิญหน้ากับคู่แข่งขันน้อยรายกว่า แต่ผู้ประกอบการยังต้องรับมือกับการแข่งขันทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะสงครามราคาจากผู้ประกอบการหน้าใหม่อย่าง บริษัท BRF ผู้เลี้ยงไก่และส่งออกรายใหญ่ของบราซิลที่เข้ามาช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดในประเทศ รวมถึงความกดดันด้านราคาต้นทุนจากประเทศบราซิลและสหรัฐอเมริกาที่ถือแต้มต่อด้านผลผลิตถั่วเหลืองและข้าวโพดที่เพียงพอกว่าประเทศไทยที่ต้องนำเข้าถั่วเหลือง ทำให้ต้นทุนการเลี้ยงไก่ของไทยสูงกว่าบราซิลและสหรัฐฯ ราว 10%

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการส่งออกของอุตสาหกรรมไก่น่าจะสามารถเติบโตได้ในระดับ 3% เป็น 7 แสนตัน โดยมีประเทศคู่ค้าหลัก ได้แก่ ประเทศในกลุ่มยุโรปและญี่ปุ่น พร้อมเพิ่มกำลังการผลิตจำนวน 1.88 ล้านตันในปีนี้ หรือเพิ่มขึ้น 4.8% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และการบริโภคประมาณ 1.26 ล้านตันหรือเพิ่มขึ้น 5.5% จากปีที่แล้ว ด้วยจุดเด่นด้านคุณภาพของสินค้าไทย และปริมาณการส่งออกไก่แปรรูปเป็นหลักคิดเป็น 70% และมูลค่าการส่งออกไก่ 81% ของการส่งออกไก่ทั้งหมดในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ รวมถึงปัจจัยสนับสนุนในประเทศ ได้แก่ กำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค รวมถึงราคาขายจำนวน 38 บาท/กิโลกรัม ซึ่งยังคงมากกว่าต้นทุนการเลี้ยงที่ 36-37 บาท/กิโลกรัม

อย่างไรก็ดี เพลินใจให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นการกำหนดค่าอากรการฆ่าและค่าธรรมเนียมโรงฆ่าสัตว์ในอุตสาหกรรมไก่อันได้แก่ ค่าอากร 0.20 บาท/ตัว และค่าธรรมเนียม 0.20 บาท/ตัว รวมคิดเป็น 0.40 บาท/ตัว หรือ 0.42% ของราคาไก่หน้าฟาร์มว่า “พ.ร.บ.ควบคุมการฆ่าสัตว์ที่ประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายนในปีนี้ ไม่น่าจะมีนัยสำคัญต่อผู้ประกอบการ เนื่องจากผู้ประกอบการน่าจะสามารถปรับในราคาขายไก่ได้ ขณะที่ผู้ส่งออกไก่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องจ่ายอากร ดังนั้นความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไก่จึงไม่เปลี่ยนแปลงไปจากก่อนหน้านี้”

<img style="width: 346px; height: 443px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/673108a7b5b648d6513c9c682018d1e0.jpg" alt="" />

จากการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงทั้งในประเทศและการส่งออกไปยังต่างประเทศผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารจำเป็นต้องเน้นการเพิ่มมูลค่าสินค้าเช่น สินค้าแปรรูปและอาหารพร้อมรับประทาน โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อ ได้แก่ อาหารเพื่อสุขภาพ และอาหารออร์แกนิค ไม่ว่าจะเป็น อาหารสัตว์เนื้อสัตว์ หรืออาหารแปรรูป ซึ่งมีโอกาสเติบโตสร้างรายได้จำนวนมากสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ

“ถ้าเป็นประเทศกำลังพัฒนาต้องเน้นการขายอาหารสัตว์ ส่วนประเทศที่พัฒนาแล้ว ผู้บริโภคมีกำลังซื้อและใส่ใจสุขภาพดังนั้นอาหารแปรรูปที่เป็นอาหารออแกนิคและอาหารสุขภาพน่าจะทำตลาดได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากเป็นอาหารแปรรูปแบบทั่วไป อาจต้องเจาะตลาดเพิ่มนอกเหนือไปจากตลาดหลักได้แก่ ยุโรป สหรัฐฯ และญี่ปุ่น”

<hr />

<a href="https://goo.gl/fFyN78">คลิกอ่านฉบับเต็ม "เมื่อครัวไทย โตไกลไรลิมิต" ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ NOVEMBER 2016 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="https://goo.gl/fFyN78"><img style="width: 250px; height: 327px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/0204b3f8180980348e2ec4579732a69d.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events