<h2>SEA (Thailand) เดินหน้าขับเคลื่อน 3 ธุรกิจหลัก “ช้อปปี้” มาร์เก็ตเพลซค้าออนไลน์วางหมากเจาะกลุ่มผู้ค้า สร้างฐานร้านค้าขยายตัว 150% ปีนี้เริ่มทดลองตลาดในการเก็บค่าดำเนินการ ด้าน “การีนา” ชูจุดขายอี-สปอร์ตช่วยดึงนักท่องเที่ยวเข้าไทย “แอร์เพย์” อี-เพย์เมนต์เน้นสร้างฐานในกลุ่มเกมเมอร์และการซื้อขายในช้อปปี้</h2>
SEA Group สตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์น แผ่ขยายอาณาจักรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาตั้งแต่ปี 2552 โดยเริ่มจากธุรกิจเกมออนไลน์การีนา ก่อนจะเริ่มขยายธุรกิจอี-เพย์เมนต์อย่างแอร์เพย์ และอี-คอมเมิร์ซแพลตฟอร์ม ช้อปปี้ ปัจจุบันมีสำนักงานใน 7 ประเทศคือ สิงคโปร์ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไต้หวัน โดย SEA เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยตั้งแต่ปี 2555 และเปิดตัวครบทั้ง 3 ธุรกิจสามขาหลักที่นี่

<strong>มณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ</strong> ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร<strong> SEA (Thailand)</strong> เปิดเผยถึงการเติบโตของบริษัท เฉพาะในประเทศไทยนั้น มีผู้ใช้ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นช้อปปี้แล้ว 30 ล้านครั้ง มีผู้เล่นเกมของการีนาบนเดสก์ท็อป 35 ล้านบัญชีและบนโทรศัพท์มือถือ 40 ล้านบัญชี ส่วนแอร์เพย์นั้นมีผู้ใช้ดาวน์โหลด 7.5 ล้านครั้ง และจุดบริการที่รับการจ่ายด้วยแอร์เพย์มากกว่า 2 แสนจุดทั่วประเทศ
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/people/dine-with-the-boss/%e0%b8%a1%e0%b8%93%e0%b8%b5%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%95%e0%b8%99%e0%b9%8c-%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b8%b8%e0%b9%82%e0%b8%a5%e0%b8%a1%e0%b8%aa%e0%b8%a1%e0%b8%9a%e0%b8%b1%e0%b8%95%e0%b8%b4-sea.html">มณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ ดัน SEA (Thailand) สู่ ‘ดิจิทัลคอมพานี’ แถวหน้า</a></li>
</ul>
<img class="alignnone size-full wp-image-13790" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/SEA-Thailand-จำนวนผู้ใช้.jpg" alt="SEA-Thailand-จำนวนผู้ใช้" width="800" height="460" />

&nbsp;
<h2>ช้อปปี้ชูจุดขายฟังก์ชัน “แชท” กรองปัญหา “ได้ของไม่ตรงปก”</h2>
ซีอีโอแห่ง SEA (Thailand) กล่าวถึงธุรกิจอี-คอมเมิร์ซของบริษัทว่า หลังเปิดตัวตั้งแต่ปี 2558 <strong>ในช่วงปี 2561 ช้อปปี้มีจำนวนผู้ขายเติบโตขึ้น 150%</strong> จากกลยุทธ์ส่งเสริมให้พ่อค้าแม่ค้าหันมาเสริมธุรกิจตัวเองด้วยการขายออนไลน์ มีการเปิดโปรแกรม “Train the Trainers” มุ่งหมายให้ผู้รับการอบรมกลับไปสอนวิธีขายสินค้าบนช้อปปี้ให้คนในชุมชนของตน เจาะกลุ่มธุรกิจจากต่างจังหวัด

ในมุมของผู้ซื้อ มณีรัตน์กล่าวว่าตั้งแต่ปี 2561 <strong>คนไทยที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตมากกว่า 60% มีการติดตั้งแอพฯ ช้อปปี้บนมือถือ</strong> จากการกระตุ้นของบริษัทด้วยพรีเซนเตอร์ รวมถึงจัดกิจกรรมต่างๆ ในแอพฯ อย่างสม่ำเสมอ

<figure><img class="size-full wp-image-13793" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/Shopee-จำนวนผู้ใช้.jpg" alt="" width="800" height="534" /><figcaption> การเติบโตของร้านค้าและผู้ดาวน์โหลดแอพฯ ช้อปปี้ในไทย</figcaption></figure>

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายในการเริ่มทำกำไรของช้อปปี้ ประเทศไทยยังมาไม่ถึงในเร็ววันนัก <span style="color: #ff0000;">“ช้อปปี้ยังอยู่ในเฟสที่ต้องทำการ educate ตลาดให้คนมีความคุ้นชินกับการซื้อของออนไลน์ คิดว่าทุกเจ้ายังเป็นเฟสเดียวกันอยู่”</span> มณีรัตน์กล่าว ทั้งนี้ ช้อปปี้ที่เริ่มทำกำไรได้แล้วคือสาขาไต้หวัน “ที่ไต้หวันเป็นอย่างนั้นได้เพราะประชากรมีความเข้าใจในการซื้อและจ่ายเงินออนไลน์ตั้งแต่ก่อนที่เราจะเข้าไป ดังนั้นการ adopt เทคโนโลยีจึงไม่ยาก และโตได้เร็ว”

<span style="color: #ff0000;">“ตอนนี้เรายังเน้นเรื่อง customer journey เป็นหลัก ให้คนมาใช้แล้วสะดวกสบาย รู้สึกดีในการใช้”</span> เธออธิบายว่า ความรู้สึก ‘สบายใจ’ มาจากโมเดลธุรกิจที่ต่างของช้อปปี้คือมีฟังก์ชัน<strong> ‘แชท’</strong> ให้ผู้ซื้อพูดคุยโดยตรงกับผู้ขายได้ก่อนตัดสินใจ ขอดูภาพสินค้าจริงก่อนสั่งซื้อ ซึ่งช่วยกลั่นกรองสินค้าที่ไม่ถูกใจได้ในขั้นแรก และช้อปปี้ยังมีการการันตีคืนสินค้ารองรับอีกขั้นหนึ่ง เชื่อว่าสิ่งนี้คือจุดแข็งที่ทำให้แตกต่างจากคู่แข่ง

&nbsp;
<h2>ทดลองเก็บเกี่ยวรายได้ “ค่าธรรมเนียม”</h2>
ด้านการเก็บเม็ดเงินจากผู้ค้า หลังโหมทำตลาดสร้างฐานทั้งผู้ขายผู้ซื้อมานาน 4 ปี ปีนี้ช้อปปี้เริ่มทดลองโมเดลการเก็บรายได้บ้างแล้ว โดยช่วงที่ผ่านมาช้อปปี้เริ่มจัดโปรโมชัน เช่น ช้อปปี้ออกค่าจัดส่งสินค้าให้ 60 บาท จากปกติผู้ขายต้องรับภาระค่าส่งเองหรือให้ผู้ซื้อชำระค่าส่ง แลกกับการที่ช้อปปี้ขอหักค่าธรรมเนียมการขาย 5% จากราคาสินค้า ซึ่งโปรโมชันนี้ช้อปปี้นำเสนอในลักษณะแคมเปญกระตุ้นยอดขายให้กับร้านค้า และนับได้ว่าเป็นการทดลองตลาดไปในตัวว่าผู้ขายรับได้มากน้อยแค่ไหนหากมีการหักค่าธรรมเนียม

<span style="color: #ff0000;">“มีเทสต์การเก็บค่าบริการบ้างแล้ว แต่ไม่แรงมาก เพราะไม่อยากให้การ adoption ของผู้ซื้อผู้ขายตกลง</span> ดังนั้นยังไม่ใช่ point หลักในการทำงาน เรายังเน้นดึงคนเข้ามาใช้งานและทำให้มีสินค้าครบ หาอะไรก็เจอ” มณีรัตน์กล่าว

นอกจากนี้ ช้อปปี้ยังเริ่มทดลองบริการ <strong>ช้อปปี้ โลจิสติกส์</strong> ด้วย โดยเป็นบริการจัดส่งสินค้าภายในวันเดียว (Same-day Delivery) บริการเฉพาะผู้ขายในช้อปปี้ ซึ่งบริษัทยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม

&nbsp;
<h2>SEA ดันไทยศูนย์กลางอี-สปอร์ตแห่งภูมิภาค</h2>
มณีรัตน์กล่าวต่อถึงธุรกิจเกมการีนาที่มีเกมชูโรงคือ<strong> ROV</strong> เกมแนวต่อสู้บนมือถือซึ่งมียอดลงทะเบียนเกมในไทยถึง 31 ล้านคน และ SEA ยังต่อยอดธุรกิจจาก Game Publisher เป็น Game Developer ด้วยการพัฒนาเกม <strong>Free Fire</strong> จากแนวคิดตั้งต้นคือต้องการสร้างเกมที่ใช้พื้นที่เครื่องน้อย ตอบโจทย์ผู้ใช้ในประเทศกำลังพัฒนาซึ่งใช้สมาร์ทโฟนระดับกลาง ปัจจุบันเกมนี้ได้รับความนิยม มีผู้ดาวน์โหลดทั่วโลก 450 ล้านครั้ง ส่วนใหญ่อยู่ในแถบละตินอเมริกา

นอกจาก ROV และ Free Fire การีนายังมีเกมในพอร์ตคือ Speed Drifters และ FIFA Online 4 รวมถึง <strong>Call of Duty Mobile</strong> ที่จะนำเข้าไทยเร็วๆ นี้ ทั้งหมดนี้ทำให้การีนาเริ่มจัดทัวร์นาเมนต์แข่งกีฬาอี-สปอร์ตมาตั้งแต่ปี 2555 โดยใช้ไทยเป็นศูนย์กลาง มียอดผู้ร่วมงาน Garena World 2019 ที่ไบเทค บางนา รวม 2 วัน 2.7 แสนคน ผู้เข้าแข่งขัน 81 ทีมจาก 13 ประเทศ (16 ทีมในจำนวนนั้นเป็นทีมจากละตินอเมริกา) และมีผู้ชมถ่ายทอดสดการแข่งขัน 31 ล้านวิว ซึ่งการีนาจะผลักดันอี-สปอร์ตอย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าสามารถใช้อี-สปอร์ตสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยและสนับสนุนการท่องเที่ยวได้

<figure><img class="size-full wp-image-13794" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/Garena-World-2019.jpg" alt="" width="400" height="452" /><figcaption> จำนวนผู้เข้าร่วมงาน Garena World 2019</figcaption></figure>

&nbsp;
<h2>แอร์เพย์ ได้ฐานสนับสนุนจากช้อปปี้และการีนา</h2>
ด้านแอร์เพย์นั้น มณีรัตน์มองว่าจะยังคงยึดจุดแข็งเป็นอี-เพย์เมนต์ที่ทำตลาดกับโรงภาพยนตร์ และอีก 2 ธุรกิจในเครือคือการซื้อสินค้าในเกมการีนาและซื้อขายสินค้าในช้อปปี้

“อี-วอลเล็ตยังไม่มีใครที่ทำได้ทุกอย่าง แต่ละใบตอบโจทย์ต่างกัน ทำให้คนคนหนึ่งมีกระเป๋าเงินได้หลายใบสำหรับใช้ชำระสินค้าแต่ละประเภท อย่างของเราเด่นเรื่องเติมเกม ดูหนัง และจ่ายช้อปปี้ การขยับก็ยังเน้นระบบนิเวศของเราเองจะช่วยให้มีผู้ใช้แอร์เพย์มากขึ้น”

มณีรัตน์กล่าวสรุปว่า โดยรวมแล้วบริษัทจะเน้นเจาะกลุ่มผู้ใช้วัย 18-35 ปีเป็นหลัก และเชื่อว่าธุรกิจยังคงสดใสโดยเติบโตตามเศรษฐกิจดิจิทัลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ Google และ Temasek วิเคราะห์ว่าจะเติบโตไปสู่มูลค่าตลาด 2.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2568
<ul>
 	<li>อ่านข้อมูลวิเคราะห์ดังกล่าวได้ที่นี่<a href="https://forbesthailand.com/news/it/google-%e0%b9%80%e0%b8%a8%e0%b8%a3%e0%b8%a9%e0%b8%90%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%88%e0%b8%94%e0%b8%b4%e0%b8%88%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%b1%e0%b8%a5%e0%b9%84%e0%b8%97%e0%b8%a2.html"> "เจาะลึกผลวิจัย Google ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจดิจิทัลไทยขึ้นเป็น 4.3 หมื่นล้านเหรียญ"</a></li>
</ul>
&nbsp;

SEA ขับเคลื่อน 3 ธุรกิจหลัก ทดลองเก็บรายได้จาก “ช้อปปี้” ผลักดันไทยสู่ศูนย์กลางอี-สปอร์ต

เส้นทางสู่ "สังคมไร้เงินสด" อย่างยั่งยืน

<h2>"เซ็นทรัล เจดี มันนี่" บริษัทในเครือของ เซ็นทรัล เจดี ฟินเทค โฮลดิ้ง ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญ เตรียมเปิดตัว แอพพลิเคชั่น “ดอลฟิน วอลเล็ท” จับมือสองแบงก์ใหญ่ กรุงเทพ และกสิกรไทยในฐานะพร้อมเพย์ สปอนเซอร์และฐานลูกค้าจากเครื่อง EDC ที่ครองตลาดกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ เพื่อก้าวสู่สังคมไร้เงินสด</h2>
<strong>รุ่งเรือง สุขเกิดกิจพิบูลย์</strong> ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นทรัล เจดี ฟินเทค เผยว่า “<strong>ดอลฟิน วอลเล็ท (Dolfin Wallet)</strong> แอพฯ อี-วอลเล็ท ได้นำนวัตกรรมจาก JD Digital บริษัทเทคโนโลยีดิจิทัลจากประเทศจีน มาผนวกรวมกับความเชี่ยวชาญของกลุ่มเซ็นทรัล ที่พร้อมช่วยคิดและแนะนำโปรโมชั่นที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์และความคุ้มค่าที่สุด และมอบคะแนนของ The1 Loyalty Platform ที่ปัจจุบันมีฐานสมาชิกราว 15 ล้านราย"

"ปัจจุบันเราเตรียมความพร้อมในการบริการและรอการอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทย เราเองได้ยื่นขอการทำธุรกรรมใน 4 ด้านสำคัญ ได้แก่ e-wallet, e-Money, ตัวแทนการชำระเงิน และ e-Payment ซึ่งหวังว่าจะได้รับการอนุมัติภายในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยเราจะทยอยเปิดการให้บริการในเต็มรูปแบบในอนาคตอันใกล้เพื่อสร้างการรับรู้และสร้างพฤติกรรมของผู้บริโภคสู่สังคมไร้เงินสด ทั้งนี้เราคาดการณ์ในปีนี้จะมียอดดาว์นโหลดแอพฯ ราว 4-5 ล้านครั้ง" <strong>รุ่งเรือง</strong> กล่าวเสริม

<figure><img class="wp-image-4149 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/รุ่งเรือง-สุขเกิดกิจพิบูลย์-01.jpg" alt="เซ็นทรัล เจดี ฟินเทค" width="638" height="425" /><figcaption> รุ่งเรือง สุขเกิดกิจพิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นทรัล เจดี ฟินเทค</figcaption></figure>

โดย <strong>ดอลฟิน วอลเล็ท</strong> ให้บริการด้านการเงินผ่านเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) และ Big Data Analytics เราเองได้เตรียมนำเทคโนโลยีด้าน AI อาทิ การจดจำใบหน้าในการใช้ชำระสินค้า ผ่านระบบสแกนใบหน้าที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับเงินอิเล็กทรอนิกส์ของ ดอลฟิน วอลเล็ท ทั้งนี้ <strong>รุ่งเรือง</strong> เผยด้วยว่าเตรียมติดเครื่องชำระเงินดังกล่าวบนห้างสรรพสินค้าในเครือเซ็นทรัล โดยเริ่มในเขตใจกลางธุรกิจของกรุงเทพฯ หรือ CBD ก่อน

รุ่งเรือง เผยอีกว่า หากธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศอนุมัติการใช้งานของ ดอลฟิน วอลเล็ท แล้วนั้น ดอลฟิน วอลเล็ทจะเป็นอี-วอลเล็ทเจ้าแรกที่นำระบบ E-KYC (electronic know-your-customer) มาใช้ในการยืนยันตัวตนเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและช่วยลดขั้นตอนในการลงทะเบียนเปิดบริการโดยไม่ต้องมีการยื่นเอกสารในช่องทางอื่นนอกแอพฯ

<figure><img class="wp-image-4148 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/เซ็นทรัล-เจดี-มันนี่-02.jpg" alt="" width="638" height="425" /><figcaption> จากซ้าย: จรัมพร โชติกเสถียร กรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), รุ่งเรือง สุขเกิดกิจพิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เซ็นทรัล เจดี ฟินเทค, วีรวัฒน์ ปัณฑวังกูร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย</figcaption></figure>

ด้าน <strong>จรัมพร โชติกเสถียร</strong> กรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ธนาคารมาช่วยเชื่อมโยงบริการพร้อมเพย์เข้ากับดอลฟิน วอลเล็ท เพื่อให้ดอลฟิน วอลเล็ทสามารถใช้งานได้อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น โดยผู้ใช้บริการสามารถใช้ดอลฟิน วอลเล็ท สแกนคิวอาร์โค้ดชำระค่าสินค้ากับร้านค้าที่รับพร้อมเพย์คิวอาร์โค้ดซึ่งมีจำนวนกว่า 3 ล้านร้านค้าทั่วประเทศ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด”

<strong>วีรวัฒน์ ปัณฑวังกูร</strong> รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย เสริมว่า “ธนาคารกสิกรไทยให้การสนับสนุนด้านธุรกรรมทางการเงินกับผู้ใช้บริการดอลฟิน วอลเล็ท ช่วยผลักดันด้านการขยายร้านค้า และจุดรับชำระเงินด้วยอี-เพย์เมนท์ ซึ่งเป็นการช่วยขยายวงจรธุรกิจการรับชำระเงิน ของดอลฟิน วอลเล็ท ให้ครบสมบูรณ์ โดยอาศัยจุดแข็งของธนาคารด้านความเป็นผู้นำธุรกิจร้านค้ารับบัตร

<figure><img class="wp-image-4147 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/เซ็นทรัล-เจดี-มันนี่-01.jpg" alt="" width="638" height="425" /><figcaption> ตัวแทน JD จากประเทศจีน ทดสอบระบบการใช้งานสแกนใบหน้าภายในงาน</figcaption></figure>

ซึ่งในปัจจุบันธนาคารกสิกรไทยมีจำนวนร้านค้าที่รับชำระเงินผ่านเครื่อง EDC กว่า 300,000 จุด และร้านค้า K PLUS Shop อีกกว่า 1.7 ล้านราย การสนับสนุนนี้ยังเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มร้านค้าที่จะมีทางเลือกในการรับชำระเงินมากขึ้น และกลุ่มลูกค้าก็จะมีทางเลือกในการชำระเงิน และสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ได้หลากหลายขึ้นด้วย”

<strong>Forbes Fact</strong>
- face recognition หรือเทคโนโลยีการจดจำใบหน้าเป็นระบบความปลอดภัยระดับสูงในการยืนยันอัตลักษณ์ส่วนบุคคล ภายในจำนวนเวลาที่น้อยว่าเศษเสียววินาทีระบบถ่ายบันทึกใบหน้ามากกว่า 300 ครั้ง นอกจากนี้ระบบยังสั่งให้หันหน้าในด้านข้างหรือซ้าย-ขวาเพื่อการยันยืนตัวบุคคลเพิ่มเติมได้

เซ็นทรัล เจดี มันนี่ เตรียมเปิดตัว อี-วอลเล็ท

เจาะลึกผลวิจัย Google ปรับคาดการณ์ “เศรษฐกิจดิจิทัลไทย” ขึ้นเป็น 4.3 หมื่นล้านเหรียญ

<h2>ไพรซ์ซ่า เครื่องมือค้นหาและเทียบราคาออนไลน์ คาดการณ์ตลาดอี-คอมเมิร์ซไทยเติบโตปีละ 20-30% ช่วงปี 2561-62 ผู้บริโภคมั่นใจการซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น เปิด 4 เทรนด์ใหญ่ปี 2562 แนะผู้ค้าปรับตัว</h2>
<strong>ธนาวัฒน์ มาลาบุปผา</strong> ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง <strong>บริษัท ไพรซ์ซ่า จำกัด</strong> เครื่องมือค้นหาและเปรียบเทียบราคาสินค้าออนไลน์ภายใต้แบรนด์ Priceza เปิดเผยว่า ตลาดอี-คอมเมิร์ซไทยปี 2560 มีมูลค่าตลาดราว 1.5 แสนล้านบาท คิดเป็น 1-2% ของมูลค่าตลาดค้าปลีกทั้งหมด ในขณะที่ปี 2561 เชื่อว่าตลาดอี-คอมเมิร์ซจะเติบโตได้ 20-30% รวมถึงปี 2562 ที่จะยังคงเติบโตสม่ำเสมอ 20-30% สะท้อนให้เห็นว่า ช่องทางการขายอี-คอมเมิร์ซมีความสำคัญยิ่งขึ้นเรื่อยๆ สำหรับผู้ค้า

สำหรับสถิติจากเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นของไพรซ์ซ่าพบว่าการใช้งานมีการเติบโตขึ้นเช่นกัน โดยช่วง 11 เดือนแรกปี 2561 ไพรซ์ซ่ามีการเชื่อมโยงสินค้าเพื่อเปรียบเทียบในระบบ 51 ล้านรายการ โดยมีผู้ค้นหารวม 110 ล้านครั้ง หรือเฉลี่ยเดือนละ 10 ล้านครั้ง

จากจำนวนการค้นหาทั้งหมดนี้ มีสัดส่วนที่ผู้ซื้อสั่งซื้อสินค้าออนไลน์คิดเป็นยอดขาย 3.06% ซึ่งเติบโตขึ้นจากสองปีก่อนอย่างมีนัยยะสำคัญ (ปี 2559 สัดส่วนการซื้อต่อการค้นหาทั้งหมดคิดเป็น 1.72% และปี 2560 สัดส่วนการซื้อ 2.81%) ทำให้เห็นว่าผู้บริโภคมีความมั่นใจและได้รับความสะดวกในการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น

เมื่อคิดราคาเฉลี่ยต่อการสั่งซื้อ 1 ครั้งอยู่ที่ 1,469 บาท ทำให้ไพรซ์ซ่าเป็นผู้ช่วยปิดการขายให้กับผู้ค้าออนไลน์ไปแล้ว 1,980 ล้านบาทในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้

<figure><img class="wp-image-2044" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/นายธนาวัฒน์-มาลาบุปผา-ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร-และผู้ร่วมก่อตั้ง-บริษัท-ไพรซ์ซ่า-จำกัด.jpg" alt="" width="800" height="533" /><figcaption> ธนาวัฒน์ มาลาบุปผา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ไพรซ์ซ่า จำกัด</figcaption></figure>

ทั้งนี้ ไพรซ์ซ่าเป็นแพลตฟอร์มที่ทำเงินจากยอดโฆษณาและค่าคอมมิชชั่น โดยปีหน้าบริษัทยังจะมีการเปิดแพลตฟอร์มใหม่คือ<strong> PSPN (Priceza Shopping Partner Network)</strong> ซึ่งเป็นการนำข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคมาเชื่อมต่อช่วยเหลือผู้ค้าให้เข้าสู่การค้าออนไลน์ได้ดีขึ้น

&nbsp;
<h2>“เทรนด์ 1 – ถนนทุกสายมุ่งสู่อี-คอมเมิร์ซ”</h2>
ธนาวัฒน์ยังฉายภาพเทรนด์ตลาดอี-คอมเมิร์ซปี 2562 โดยแบ่งเป็น 4 เทรนด์หลักที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

ธนาวัฒน์กล่าวว่า ปี 2562 เชื่อว่าจะเห็นการรุกหนักของแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เข้ามาสู่ตลาดอี-คอมเมิร์ซมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Google Shopping, Facebook Market Place, Messenger ร่วมกับ Kbank ในการทำระบบชำระเงินภายในช่องแชท, Kbank มี e-Market Place อยู่ภายในแอพพลิเคชั่น

รวมถึง 3 ยักษ์ใหญ่วงการอี-คอมเมิร์ซคือ Lazada, Shopee และ JD.Central จะมีระบบค้นหา โซเชียลมีเดีย และการชำระเงินของตนเองเช่นกัน เทรนด์นี้จะทำให้โอกาสที่ผู้บริโภคไทยเข้ามาจับจ่ายในอี-คอมเมิร์ซมีสูงขึ้นกว่าเดิม

<img class="alignnone size-full wp-image-2046" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/Priceza-e-Commerce-Trend-01.jpg" alt="" width="800" height="523" />

&nbsp;
<h2>“เทรนด์ 2 – โอกาสและความท้าทายบน e-Market Place”</h2>
e-Market Place 3 รายใหญ่ดังกล่าวปัจจุบันมีสินค้ารวมกัน 75 ล้านรายการ และธนาวัฒน์เชื่อว่าปีหน้าจะมีจำนวนมากกว่า 100 ล้านรายการ

อย่างไรก็ตาม 80% ของสินค้า 75 ล้านรายการนั้นเป็นสินค้า ‘cross-border’ ที่ส่งมาจากผู้ค้าต่างประเทศ โดย 3 หมวดหลักที่มีสัดส่วนสินค้าต่างประเทศสูงที่สุดคือ เครื่องกีฬาและกิจกรรมกลางแจ้ง, สินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง และกลุ่มนาฬิกา-เครื่องประดับ ขณะที่หมวดที่มีสินค้าต่างประเทศน้อยที่สุดคือ สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป และกลุ่มสุขภาพ-ความงาม

<span style="color: #ff0000;">“ร้านค้าในไทยจึงต้องแข่งขันกับร้านค้าต่างประเทศด้วย ดังนั้น ร้านค้าที่เป็นตัวกลางรับสินค้าจากจีนเข้ามาขายในไทยจะเป็นโมเดลธุรกิจที่แข่งขันยาก เนื่องจากสินค้าต่างประเทศเข้ามาขายเองโดยตรง”</span> ธนาวัฒน์อธิบาย

<img class="alignnone size-full wp-image-2047" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/11/Priceza-e-Commerce-Trend-02.jpg" alt="" width="800" height="548" />

&nbsp;
<h2>“เทรนด์ 3 - ปีทองของ e-Payment”</h2>
“ปัจจุบัน COD (Cash on delivery – ชำระเงินสดปลายทาง) มีการใช้มากกว่า 50% ของการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ เพราะผู้บริโภคต้องการความมั่นใจว่าได้สินค้าแน่นอนแล้วจึงจ่าย” ธนาวัฒน์กล่าว “แต่ปีหน้า เชื่อว่าระบบ e-Payment ที่ดีขึ้นมากจะทำให้ระบบ COD มีการใช้งานลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ”

ระบบที่น่าจะเข้ามาแทนที่ ธนาวัฒน์ยกตัวอย่างบริษัท Grab ในมาเลเซียซึ่งมีการใช้ระบบ <strong>EOD</strong> หรือ <strong>e-Wallet on delivery</strong> <span style="color: #ff0000;">“การชำระเงินปลายทางของผู้ซื้อจะไม่ได้เป็นการควักเงินสดแล้ว แต่เป็นการควักมือถือออกมาจ่าย</span> เพราะช่วยผู้ค้าลดต้นทุนในการรับและจ่ายเงินสด และผู้บริโภคก็สบายใจ”

ด้วยเหตุนี้ ธนาวัฒน์มองว่าปี 2562 บรรดายักษ์ใหญ่ด้านอี-คอมเมิร์ซและระบบชำระเงินจะรุกหนักกับกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตัวเองมากขึ้น เช่น Lazada e-Wallet, Airpay ของ Shopee หรือ Rabbit Line Pay โดยจะได้เห็นการจัดโปรโมชั่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้ส่วนลด สามารถคืนเงินได้เร็วกว่าถ้าส่งคืนสินค้า หรือเติมเงินล่วงหน้าเพื่อรับของพรีเมียม

&nbsp;
<h2>“เทรนด์ 4 – Omnichannel เป็นกุญแจสำคัญ”</h2>
ธนาวัฒน์กล่าวว่า แม้เรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มองว่าปีหน้าจะยิ่งมีการใช้ Omnichannel มากกว่าเดิม ทั้งจากเทรนด์ที่จะมี e-Market Place เพิ่มขึ้นทำให้สินค้าควรลงขายให้หลากหลายพื้นที่ รวมถึงการเปิดร้านออฟไลน์ก็มีความสำคัญเช่นกัน เพราะร้านออฟไลน์ช่วยสร้างสัดส่วนกำไรให้ร้านค้าได้มากกว่าการมีเฉพาะร้านออนไลน์ จากการที่ร้านออฟไลน์สามารถเป็นร้านทดลองหยิบจับสินค้า เป็นช่องทางไปรับหรือคืนสินค้าได้สะดวก การดึงลูกค้าเข้ามาในร้านยังช่วยเพิ่มโอกาสการขายสินค้าชิ้นใหม่ๆ เพิ่มเติมได้ด้วย

“ร้านค้าควรจะทำให้ทุกจุดขายหลอดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน และไปอยู่ในทุกๆ ที่ที่ลูกค้าของคุณอยู่”

นอกจากนี้ ธนาวัฒน์ยังทิ้งท้ายว่าร้านค้าควรจะใส่ใจการสร้างฐานข้อมูลลูกค้าด้วยตนเองให้มากกว่าเดิม โดยเก็บอย่างละเอียดทั้งข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า สินค้าที่ซื้อ จำนวน และราคา เพื่อโอกาสในการขายซ้ำ และลดการพึ่งพิงบริษัทอื่นในการเก็บข้อมูลแทน

&nbsp;

ไพรซ์ซ่าชี้ภาพรวมอี-คอมเมิร์ซรุ่ง 2561-62 เติบโตปีละ 20-30% เปิด 4 เทรนด์สำคัญแนะผู้ค้าไทยเร่งปรับตัว

มณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ ดัน SEA (Thailand) สู่ 'ดิจิทัลคอมพานี' แถวหน้า

<h2>John และ Patrick Collison สองพี่น้องที่เคยติดอันดับ 30 Under 30 มาแล้ว (ทั้งสองยังอายุแค่ 25 และ 27 ปี เท่านั้น) ได้ร่วมกันก่อตั้ง Stripe ซึ่งเป็นกิจการที่ให้บริการชำระเงินผ่านมือถือที่มีมูลค่าสูงถึง 5 พันล้านเหรียญ แต่เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาก็คือการกำหนดรูปแบบการค้าขายในระบบดิจิทัลของโลกอนาคต</h2>
สิ่งแรกที่คุณจะสังเกตได้ว่า <strong>John</strong> และ <strong>Patrick Collison </strong>ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง <strong>Stripe</strong> ไม่ได้มีท่าทีวางก้ามเหมือนผู้บริหารธุรกิจพันล้านคนอื่นๆ ก็คือ เป้สะพายหลังยี่ห้อ North Face สีเทาที่แทบจะไม่มีอะไรสะดุดตา ส่วน Patrick พี่ชายของเขาซึ่งเป็น CEO ดีกว่านิดหน่อยตรงที่มีโต๊ะทำงานเล็กๆ ของตัวเองที่เบียดอยู่ตรงกลางระหว่างผนังกับโต๊ะของพนักงานฝ่าย

ถึงแม้จะไม่ได้มีห้องทำงาน แต่ชายหนุ่มอายุ 20 กว่าที่เลิกเรียนมหาวิทยาลัยกลางครันอย่างเขาก็สามารถสร้างกิจการสตาร์ทอัพ ซึ่งได้รับคำชื่นชมอย่างมากในฐานะที่เป็นกิจการที่เติบโตอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมการให้บริการทางการเงินซึ่งเป็นสาขาที่ผู้เล่นรายใหม่เบียดแทรกเข้ามาได้ยาก

ห้าปีหลังจากเริ่มก่อตั้ง และสองปีหลังจากที่สองพี่น้องติดอันดับ <strong>30 Under 30</strong> Stripe กำลังมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมายของสองพี่น้องในการปฏิวัติระบบการชำระเงินแบบดิจิทัล โดยในปีที่ผ่านมา Stripe ได้เพิ่มจำนวนพนักงานขึ้นอีกเท่าตัวเป็น 380 คน ในขณะที่มูลค่ากิจการเพิ่มขึ้นเป็น 5 พันล้านเหรียญจาก 3.5 พันล้านเหรียญในปีก่อนหน้า

ในอดีตกิจการแห่งนี้ที่เคยให้บริการแค่ในสหรัฐฯ เท่านั้นและต้องงอนง้อขอเข้าพบกับผู้บริหารธนาคาร แต่ในปัจจุบัน Stripe ขยายบริการออกไปจนครอบคลุม 23 ประเทศ และจับมือเป็นพันธมิตรกับผู้เล่นรายใหญ่อย่าง <strong>Visa, Apple Pay</strong> และ <strong>Alibaba</strong> เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ <strong>Facebook, Twitter</strong> และ <strong>Pinterest </strong>ก็ยังเลือก Stripe เป็นผู้ให้บริการด้านการชำระเงิน

บริษัท Stripe เป็นกิจการที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ และไม่เปิดเผยรายได้ของบริษัท ถึงแม้ว่าลูกค้านับแสนรายที่ใช้บริการชำระเงินของ Stripe ส่วนใหญ่จะเป็นรายเล็ก แต่ลูกค้ารายใหญ่ไม่กี่รายของบริษัทอย่างเช่น <strong>Lyft, Shopify, Kickstarter, Postmates</strong> และ <strong>Wish</strong> ก็มียอดการชำระเงินรวมกันคิดเป็นเงินหลายหมื่นล้านเหรียญ ซึ่งส่วนใหญ่ทำผ่าน Stripe

แหล่งข่าวในวงการประเมินว่ายอดการชำระเงินผ่าน Stripe น่าจะอยู่ที่ปีละประมาณ 2 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งในทุกๆ ธุรกรรมที่ทำผ่าน Stripe ในสหรัฐฯ จะคิดค่าธรรมเนียม 2.9% ของยอดการชำระบวกด้วย 30 เซ็นต์ ซึ่งไม่ค่อยต่างจากบริษัทชำระเงินอื่นๆ

แต่บริษัทก็ต้องเผชิญกับคู่แข่งที่น่ากลัวอย่าง <strong>Braintree</strong> ของ <strong>PayPal </strong>ซึ่งบอกว่าในปีนี้จะให้บริการชำระเงินคิดเป็นมูลค่าถึง 5 หมื่นล้านเหรียญ มากกว่ายอดของ Stripe ถึงกว่าเท่าตัว และสามารถดึงลูกค้ายักษ์ใหญ่อย่าง <strong>Uber</strong> หรือ <strong>Airbnb </strong>ให้มาใช้บริการได้

สองพี่น้องแบ่งหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลผลิตภัณฑ์ของบริษัท แต่ John จะดูเรื่องการหาพันธมิตรและยอดขายด้วย ในขณะที่ Patrick ก็จะเน้นไปที่งานด้านวิศวกรรม และการออกสื่อเพื่อเป็นหน้าเป็นตาของบริษัท <span style="color: #ff0000;">“(Patrick เป็นเหมือนกับ) LeBron James ของผู้ประกอบการ”</span> <strong>David Lee</strong> ซึ่งเป็นผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ประกอบการนับร้อยๆ รายตอนที่เป็นผู้บริหารกองทุน <strong>SV Angel</strong> บอก <span style="color: #ff0000;">“เขาฉลาด มีเสน่ห์ และเป็นผู้นำที่ดี รอบคอบและเยือกเย็น ซึ่งเป็นเรื่องยากที่เราจะเห็นคุณสมบัติทั้งหมดที่ว่ามาในตันคนคนเดียว”</span>

สองพี่น้องเรียนรู้เรื่องการเขียนโปรแกรมมาตั้งแต่ยังอายุน้อยๆ และขายกิจการ <strong>Auctomatic </strong>ซึ่งเป็นบริษัทแรกของพวกเขาไปด้วยราคา 5 ล้านเหรียญตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นกันอยู่ โดย Patrick ซึ่งเข้าเรียน MIT อยู่แค่ช่วงสั้นๆ เป็นนักอ่านตัวยงซึ่งมีหนังสือประเภทต่าง ๆ เรียงรายอยู่บนชั้นถึงประมาณ 600 เล่ม ในขณะที่ John ซึ่งออกจาก Harvard กลางคัน แม้จะเงียบกว่าแต่ก็พูดเก่ง และมีตันตนหลายมิติพอกัน

ในวันนี้ Stripe มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้นแล้ว แต่ยังคงใช้วิธีแบบเดิมๆ ในการคัดเลือกพนักงานเข้ามาร่วมงานกับบริษัท นั่นคือใครก็ตามที่เป็นคนสัมภาษณ์ มีสิทธิ์ปฏิเสธที่จะรับผู้สมัครคนนั้นได้ และเมื่อไหร่ที่ผู้ก่อตั้งเลือกคนที่ชอบที่สุดแล้ว ก็ต้องหาทางดึงคนๆ นั้นมาร่วมงานให้ได้

Patrick บอกว่าเขาใช้เวลาถึงกว่า 50 ชั่วโมงกว่าจะจีบ <strong>Claire Hughes Johnson</strong> ซึ่งเคยผ่านงานบริหารหลายตำแหน่งใน <strong>Google</strong> ซึ่งรวมถึงโครงการยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองให้มาร่วมงานด้วยได้สำเร็จ โดยเธอเข้ามารับหน้าที่เป็น chief operating officer ให้กับ Stripe

การที่บริษัทให้ความสำคัญกับการคัดเลือกพนักงานส่งผลดีกับบริษัท เพราะ Stripe ไม่เคยประสบปัญหาเกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์ และปัญหาเกี่ยวกับบุคลากรเลยแม้ว่าจะเพิ่มจำนวนพนักงานปีละเท่าตัว <strong>บรรดาคนเก่งๆ ที่มีความสามารถต่างก็อยากจะมาทำงานกับ Stripe เนื่องจากการเติบโตของบริษัทและอีกส่วนที่สำคัญก็คือเพราะอยากทำงานกับพี่น้อง Collison </strong>

<span style="color: #ff0000;">“พวกเขาอยู่ในที่สูงสุดซึ่งสามารถจะจิกใครใน Valley มาทำงานด้วยก็ได้”</span> <strong>Aaron Levie</strong> CEO ของ <strong>Box </strong>บอก พนักงานในหน่วยงานที่ดูแลด้านการขายของ Stripe เพิ่มจำนวนขึ้นจากสองสามคนมาเป็น 20 คนในช่วงสองปีที่ผ่านมา และเพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้เสียโอกาสทางธุรกิจในต่างประเทศให้กับคู่แข่งอย่าง <strong>Adyen</strong> และรายอื่นๆ Stripe จึงจ้างพนักงานเพิ่มอีก 70 คนเพื่อทำหน้าที่ประสานงานกับธนาคาร เจ้าหน้าที่ทางการ และลูกค้าในต่างประเทศ จากเดิมที่มีทีมงานอยู่แค่ 5 คนเมื่อสองปีก่อน

<span style="color: #ff0000;">ธุรกิจของ Stripe เติบโตไปพร้อมๆ กับกิจการของลูกค้าที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงด้วยการทำตัวให้กระฉับกระเฉงและทันสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา</span> เมื่อปีที่แล้ว (2557) ตอนที่ Lyft ตัดสินใจว่าจะหาวิธีที่จะจ่ายเงินให้กับผู้ที่ขับรถส่งผู้โดยสารให้เร็วขึ้น ทางบริษัทก็ติดต่อมาที่ Stripe และเมื่อถึงเดือนธันวาคม (2558) Lyft ก็เปิดตัวบริการ Express Pay ซึ่งเป็นทางเลือกที่จะทำให้ผู้ขับรถได้รับค่าโดยสารแทบจะทันทีที่ส่งผู้โดยสารเสร็จ แทนที่จะต้องให้รอรับเงินอีกหลายวันทำการ

ไม่ว่ารูปแบบการค้าในอนาคตจะพลิกไปอย่างไรต่อไป แต่เชื่อได้ว่าพี่น้อง Collison จะต้องพยายามหาวิธีเข้าไปเป็นตัวช่วยในการชำระเงินให้ได้ จนถึงตอนนี้ทั้งคู่ยังไม่ได้คิดเรื่องการนำหุ้นของบริษัทของมาขาย IPO เพราะ Stripe กำลังเน้นให้ความสำคัญกับเรื่องพื้นฐาน

“หนึ่งในประเด็นใหญ่ของบริษัทใน Silicon Valley ก็คือการที่บริษัทต่างๆ อวดเบ่งจนเกินตัวเกี่ยวกับความสำเร็จของตัวเอง” Patrick บอก แต่สิ่งที่ถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าพี่น้อง Collison ไม่ได้เป็นเช่นนั้นก็คือการที่พวกเขารู้ตัวดีว่าหนทางข้างหน้าที่พวกเขาต้องฝ่าฟันไปนั้นมันยากเย็นแสนเข็ญขนาดไหน

&nbsp;

เรื่อง: Miguel Helft
เรียบเรียง: พิษณุ พรหมจรรยา

&nbsp;

https://youtu.be/1WxV-ellcKk

<hr />

<a href="http://www.ookbee.com/Shop/Magazine/FORBES/f5343d9b-e65c-4d30-8497-1c8dc1e7f293">คลิกอ่านฉบับเต็มของ "30 Under 30 เหล่าผู้ประกอบการหนุ่มสาวรุ่นใหม่ผู้ไม่รอความสำเร็จ" ฉบับเต็ม ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ MARCH 2016 ได้ในรูปแบบ E-Magazine </a>

<a href="http://www.ookbee.com/Shop/Magazine/FORBES/f5343d9b-e65c-4d30-8497-1c8dc1e7f293"><img class="img-responsive" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%20march/cover-forbes-march2016-re.jpg" alt="" width="343" height="450" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events