<h2>Huawei Technologies บริษัทไอทีชั้นนำจากจีนที่เป็นคู่แข่งรายสำคัญของ Apple ในตลาดสมาร์ทโฟนระดับโลกมาโดยตลอด ล่าสุดได้ยกระดับการแข่งขันให้ยิ่งทวีความดุเดือดหลังเปิดตัวสมาร์ทวอทช์ซีรีส์ใหม่ล่าสุดในจีนและยุโรป</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในงานอีเวนต์ที่เซี่ยงไฮ้เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา Huawei ได้ทำการเปิดตัวสมาร์ทวอทช์ (Smartwatch) รุ่นใหม่ล่าสุด Watch GT 5 Series ในราคาเริ่มต้น 1,488 หยวน (ราว 212 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 6,800 บาท) โดดเด่นด้วยการออกแบบที่บางลงกว่าเดิม อัปเกรดตัวรับสัญญาณ และพัฒนาอัลกอริทึมเพื่อให้การตรวจจับตำแหน่งมีความแม่นยำยิ่งขึ้น แบตเตอรี่สามารถคงอยู่ได้นานถึงสองสัปดาห์เมื่อชาร์จเต็ม มาพร้อมระบบติดตามสุขภาพ TruSense ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจและออกซิเจนในเลือด รวมถึงระบบติดตามสุขภาพเฉพาะสำหรับสุภาพสตรีและระบบติดตามสุขภาวะทางอารมณ์​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/xSnVqwkfKjLVoWbKk9ja.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="xSnVqwkfKjLVoWbKk9ja.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,400" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ก่อนหน้านั้น Huawei ได้เปิดตัว Watch GT 5 Series บนเวทีนานาชาติก่อนแล้ว ในราคา 249 ยูโร (ราว 279 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 9,000 บาท) อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์ระบบติดตามสุขภาวะทางอารมณ์จะไม่เปิดให้ใช้งานในยุโรป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในครั้งนี้สะท้อนความพยายามในการสร้างรายได้จากกกระแสความต้องการสมาร์ทวอทช์คุณภาพสูงที่เพิ่มขึ้นในปี 2024 ของ Huawei แม้จะถูกสหรัฐอเมริกาขึ้นบัญชีดำก็ตาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานของบริษัทวิจัย IDC เผยว่า ในตลาดอุปกรณ์สวมใส่ข้อมือทั่วโลก (Wrist-Worn Device) ซึ่งรวมสมาร์ทวอทช์ (Smartwatch) และสายรัดข้อมือ (Wristband) นั้น Huawei คือผู้เล่นมาแรงอันดับ 1 ในไตรมาส 2 ของปี 2024 นี้ด้วยยอดจัดส่งสินค้า 8.9 ล้านหน่วย และส่วนแบ่งการตลาด 20.3% โตแรง 42.1% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style=""><figure style="margin: auto; width: 800px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/iYxMgwsxZri288qzWr5q.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="iYxMgwsxZri288qzWr5q.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="800px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1320,657" style="width: 800px; height: auto;" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตลาดอุปกรณ์สวมใส่ข้อมือในจีนเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสที่ผ่านมา ด้วยยอดจัดส่งสินค้า 15.5 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้น 10.9% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า การเติบโตดังกล่าวได้รับอานิสงส์หลักจากสมาร์ทวอทช์ที่มียอดจัดส่งสินค้า 11.1 ล้านหน่วย เพิ่มขึ้น 18.7% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า บริษัทที่มียอดจัดส่งสินค้าอันดับ 1 คือ Huawei, อันดับ 2 คือ Xiaomi, อันดับ 3 คือ Apple และอันดับ 4 คือ Samsung​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style=""><figure style="margin: auto; width: 800px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/xHTNohu51DBpJM6ii4BJ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="xHTNohu51DBpJM6ii4BJ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="800px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1320,658" style="width: 800px; height: auto;" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“Huawei มีความก้าวหน้าอย่างมากในภูมิภาคต่างๆ เช่น ตะวันออกกลางและแอฟริกา ละตินอเมริกา และยุโรปกลางถึงตะวันออก” รายงานของ IDC ระบุ “นอกเหนือจากนี้ Huawei ยังเป็นผู้นำตลาดอุปกรณ์สวมใส่ข้อมือของจีนมาตั้งแต่ปี 2021”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานของบริษัทวิจัย Canalys เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยเผยว่ายอดจัดส่งอุปกรณ์สวมใส่ข้อมือ (Wearable Band) ทั่วโลกโตขึ้น 0.2% ในไตรมาส 2 ของปี 2024&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Canalys แบ่งตลาดอุปกรณ์สวมใส่ข้อมือออกเป็น 3 หมวดหมู่ ได้แก่ Basic Band, Basic Watch และ Smartwatch โดยใน Xiaomi ครองอันดับ 1 ในหมวดหมู่ Basic Band ที่ส่วนแบ่งการตลาด 40% รองลงมาคือ Huawei ที่ 23% ในขณะที่หมวดหมู่ Basic Watch นั้น Huawei พลิกขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ที่ 15% ตามด้วย Xiaomi ที่ 13%​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style=""><figure style="margin: auto; width: 800px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/PesMRXNR9zbhgjQr8KeH.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="PesMRXNR9zbhgjQr8KeH.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="800px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="900,506" style="width: 800px; height: auto;" data-index="3"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับหมวด Smartwatch ที่ 1 คือ Apple จาก Apple Watch ที่มีส่วนแบ่ง 49% ของยอดจัดส่งสมาร์ทวอทช์ทั่วโลกในไตรมาส 2 ส่วน Samsung อยู่ที่อันดับ 2 ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 15% ตามด้วย Garmin อันดับ 3 ที่ 11% และ Huawei ครองอันดับ 4 ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 7%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้อันดับจะยังคงเป็นรองใน 2 หมวดหมู่ แต่ในส่วนอัตราการเติบโตของยอดจัดส่งประจำไตรมาส 2 นั้น Huawei กลับเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 40% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รองลงมาคือ Xiaomi และ Samsung ที่เติบโต 23% ในขณะที่ Apple มีอัตราการเติบโต -5%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Huawei นำเสนอ Huawei Watch รุ่นแรกในเดือนกันยายนปี 2015 โดยข้อมูลของบริษัทไอทีแห่งนี้เผยว่ามีการขายผลิตภัณฑ์ประเภทอุปกรณ์สวมใส่ทั่วโลกกว่า 150 ล้านชิ้นแล้วจนปัจจุบัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกเหนือจากสมาร์ทวอทช์ Huawei ก็เพิ่งเปิดตัวสมาร์ทโฟนพับ 3 ทบเครื่องแรกของโลกอย่าง Mate XT ไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเลือกวันเดียวกับที่ Apple เริ่มต้นจัดจำหน่าย iPhone 16 เป็นวันแรก เสมือนเป็นการประกาศสงครามสมาร์ทโฟนกันอย่างไม่เป็นทางการ แต่ศึกนี้ใครจะอยู่ ใครจะไป ผู้บริโภคเท่านั้นคือผู้ตัดสิน แหล่งที่มา:​<a href="https://www.scmp.com/tech/big-tech/article/3279918/huawei-heats-global-smartwatch-market-new-gt-5-series-challenge-apple-watch?module=top_story&amp;pgtype=section" alt="Huawei heats up global smartwatch market with new GT 5 series to challenge Apple Watch">Huawei heats up global smartwatch market with new GT 5 series to challenge Apple Watch</a>​ <a href="https://www.idc.com/getdoc.jsp?containerId=prCHE52577924" alt="Global Wrist-Worn Device Market Ships Almost 44 Million Units in 2Q 2024, Led by China’s 10.9% YoY Growth">Global Wrist-Worn Device Market Ships Almost 44 Million Units in 2Q 2024, Led by China’s 10.9% YoY Growth</a>​ ​<a href="https://canalys.com/newsroom/worldwide-wearable-band-market-Q2-2024" alt="Global wearable band market up 0.2% in Q2 2024 as basic watches take biggest share yet">Global wearable band market up 0.2% in Q2 2024 as basic watches take biggest share yet</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/global/us-doj-sues-visa-for-monopolizing-debit-payments" alt="กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ยื่นฟ้อง Visa ชี้ผูกขาดการชำระเงิน ทำราคาสินค้าพุ่ง">กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ยื่นฟ้อง Visa ชี้ผูกขาดการชำระเงิน ทำราคาสินค้าพุ่ง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ตลาดสมาร์ทวอทช์เดือด! หลัง Huawei เปิดตัว Watch GT 5 ท้าเขย่าบัลลังก์ Apple

<h2>การ์ทเนอร์ อิงค์ บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี เผยเศรษฐกิจตกต่ำกระทบยอดการจัดส่งอุปกรณ์ไอทีทั่วโลกปี 2566 ลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากเดิมยอดจัดส่งอุปกรณ์ทั้งเครื่องพีซี แท็บเล็ต และโทรศัพท์มือถือ ปี 2565 มีการขยายตัว 11.9% คาดการณ์ปีนี้จะขยายตัวเพียง 4.4% </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รันจิต อัตวาล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจะยังคงส่งผลทำให้ความต้องการอุปกรณ์เติบโตลดลงต่อเนื่องในปี 2566 สอดคล้องกับปริมาณการใช้จ่ายในกลุ่มอุปกรณ์ไอทีของผู้ใช้ปลายทางที่ลดลง 5.1% ในปีนี้ ขณะที่ความเชื่อมั่นทางธุรกิจเริ่มฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่จากวันนี้จนถึงไตรมาสที่สี่เรายังคาดการณ์ไม่ได้ว่าการผ่อนคลายของอัตราเงินเฟ้อและจุดต่ำสุดของภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะปรับตัวดีขึ้น” <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/02/VrXMVAJWB3P7wm6Tt6pE.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="VrXMVAJWB3P7wm6Tt6pE.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"><figcaption>รันจิต อัตวาล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์</figcaption></figure></div> ยอดพีซีคงคลังจะกลับมาเป็นปกติภายในครึ่งปีหลัง 2566&nbsp; &nbsp; ยอดการจัดส่งพีซีในปี 2566 จะยังคงลดลงต่ำสุดจากทุกกลุ่มอุปกรณ์ โดยคาดว่าจะลดลง 6.8% จากเดิมที่ลดลงถึง 16%&nbsp;ในปี 2565&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้จำหน่ายพีซีจะลดจำนวนสินค้าคงคลังตลอดปี 2566 ซึ่งนักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ยอดพีซีคงคลังจะกลับมาเป็นปกติในช่วงครึ่งหลังของปีนี้หลังจากที่มียอดเพิ่มขึ้นอย่างมากในปีที่แล้วเนื่องจากผู้จำหน่ายประเมินความต้องการของตลาดสูงเกินไปประกอบกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคตกต่ำรวมทั้งอุปสงค์ที่ลดลงอย่างมาก&nbsp; <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 569px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/02/LZK8mVMbquSM9sjh324q.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="569px,160px" data-align="center" data-file-name="LZK8mVMbquSM9sjh324q.jpg" data-file-size="0" origin-size="650,183" data-origin="569px,160px" style="width: 569px; height: 160px; transform: rotate(0deg);" data-index="1"><figcaption style="margin-top: 0px;">ยอดการจัดส่งอุปกรณ์ไอทีทั่วโลก ระหว่างปี 2565-2566 (หน่วย: ล้านยูนิต)</figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ในปี 2565 พีซีสำหรับธุรกิจจำนวนมากสามารถอัปเกรดเป็นระบบปฏิบัติการ Windows 10 (OS) แต่ยังมีอีกมากที่อัปเกรดไม่ได้ การ์ทเนอร์คาดว่ากว่า 25% ของพีซีสำหรับธุรกิจจะอัปเกรดเป็น Windows 11 ในปี 2566 แต่ Windows 11 ไม่สามารถกระตุ้นยอดจำหน่ายให้กลับมามีปริมาณเท่าในช่วงปี 2563 - 2565&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ผลของอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นและภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่กำลังคืบคลานเข้ามาจะส่งผลให้เกิดการลดการใช้จ่ายและการจัดสรรงบประมาณตามความเหมาะสมยิ่งขึ้น การ์ทเนอร์คาดว่า ภายในสิ้นปี 2566 กลุ่มผู้บริโภคและธุรกิจจะปรับขยายรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์พีซีและแท็บเล็ตออกไปเป็นมากกว่า 9 เดือน <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/02/NaaZjrYRHUR5yMfoZ9jJ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="NaaZjrYRHUR5yMfoZ9jJ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> รอบการเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือจะยืดออกไปในปี 2566&nbsp; &nbsp; การ์ทเนอร์คาดว่ายอดจัดส่งสมาร์ทโฟนทั่วโลกในปี 2566&nbsp;จะลดลง 4% โดยคาดว่าจะอยู่ที่ 1.23 พันล้านยูนิต ลดลงจาก 1.28 พันล้านยูนิต ในปี 2565 “ผู้บริโภคจะใช้โทรศัพท์ตัวเองนานกว่าที่คาดไว้ จาก 6 เดือนเป็น 9 เดือน และเปลี่ยนจากการใช้สัญญาแบบตายตัวไปเป็นบริการที่ยืดหยุ่นในช่วงที่ยังไม่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จำเป็นออกมา นอกจากนี้ ผู้ขายยังผลักต้นทุนส่วนประกอบที่เพิ่มสูงขึ้นไปยังผู้ใช้ ซึ่งทำให้ความต้องการลดลงไปอีก โดยปริมาณการใช้จ่ายกับโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้คาดว่าจะลดลง 3.8% ในปี 2566” อัตวาล กล่าวเพิ่มเติม อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://www.forbesthailand.com/news/it/%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%84-%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A5-8-%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%AA-%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%87-jv-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%81-green-tech-%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94-net-zero-%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8" alt="“บลูบิค - เบริล 8 พลัส” บรรลุข้อตกลง JV จัดตั้งบริษัทรุก Green Tech ลุยตลาด Net Zero ไทย-เทศ">“บลูบิค - เบริล 8 พลัส” บรรลุข้อตกลง JV จัดตั้งบริษัทรุก Green Tech ลุยตลาด Net Zero ไทย-เทศ</a>​<hr class="__se__solid">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine?mibextid=LQQJ4d" alt="Forbes Thailand Magazine">Forbes Thailand Magazine</a>​

การ์ทเนอร์ เผยเศรษฐกิจกระทบยอดจัดส่งอุปกรณ์ไอทีทั่วโลกปีนี้ลด 4.4% 

สุระ คณิตทวีกุล รีสตาร์ทตลาดมือถือ “แสนล้าน”

<h2>บิ๊กค้าปลีกไอทีและสมาร์ทโฟน COM7 ประกาศรายได้ Q2/2563 กว่า 7.78 พันล้านบาท กำไร 275 ล้านบาทจากกลยุทธ์เปลี่ยนสำนักงานใหญ่เป็นคลังสินค้า การขายออนไลน์ และไดร์ฟทรู พร้อมวางเป้าขยายสาขาสิ้นปีมากกว่า 955 สาขาดันรายได้สิ้นปีโต 10%</h2>
สุระ คณิตทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 ประกอบธุรกิจค้าปลีกสินค้าไอทีและสมาร์ทโฟนรายใหญ่ของประเทศไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 7.78 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 0.1 จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 7.77 พันล้านบาท ซึ่งเติบโตจากสาขาในช่วงที่เปิดให้บริการ และการขยายช่องทางการจำหน่ายอื่นๆ เพิ่มเติม และมีกำไรส่วนของบริษัทใหญ่ 274.5 ล้านบาท ลดลง 19.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.7 จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่  294.2 ล้านบาท เนื่องจากผลกระทบของมาตรฐานบัญชีฉบับที่ 16 ที่บันทึกในปี 2563 รวม 30 ล้านบาท และกระทบในส่วนของไตรมาส 2 จำนวน 17 ล้านบาท

ขณะที่ งวด 6 เดือนแรกปี 2563  มีรายได้รวม 1.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1.54 หมื่นล้านบาท และมีกำไรส่วนของบริษัทใหญ่ 562.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 544.3 ล้านบาท พร้อมทั้งสาขาภายใต้การบริหารงานของกลุ่มบริษัทรวม 779 สาขา แบ่งเป็น Banana 247 สาขา Studio7 101 สาขา KingKong Phone 97 สาขา True Shop by COM7 123 สาขา แฟรนไชส์ 86 สาขา BKK 50 สาขา iCare 27 สาขา และอื่นๆ 48 สาขา คาดสิ้นปี 2563 มีสาขารวมมากกว่า 955 สาขาในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้

สำหรับช่องทางการจำหน่ายของบริษัทในปัจจุบันแบ่งเป็น 2 ช่องท่าง ได้แก่  ช่องทางธุรกิจค้าปลีก (B2C) ในไตรมาส 2 ปี 2563 และในไตรมาส 2 ปี 2562 มีสัดส่วนร้อยละ 86 และ 95 ตามลำดับ หรือลดลงจากการปิดสาขาเป็นการชั่วคราวในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 สำหรับช่องทางการจำหน่ายอื่นๆ ได้แก่ รายได้จากช่องทางการบริหาร True Shop, Online , B2B และ B2G มีสัดส่วนร้อยละ 14 และ 5 ตามลำดับ เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น

“ความท้าทายในการบริหารงานในช่วงโควิด-19 ที่สถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มรุนแรงในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทฯ ต้องทยอยปิดสาขาอย่างต่อเนื่องเป็นการชั่วคราว โดยในเดือนเมษายนต้องปิดสาขาสูงสุดเป็นจำนวน 594 สาขา และมีสาขาที่เปิดให้บริการเพียง 185 สาขา ซึ่งเป็นสาขาที่อยู่ในต่างจังหวัดและไม่ใหญ่มากนัก” สุระ กล่าวถึงมาตรการล็อคดาวน์ที่ภาครัฐบาลได้มีมาตรการปิดเมืองบางส่วน ปิดห้างสรรพสินค้า ทำให้ต้องปิดสาขาของบริษัทฯ เป็นการชั่วคราว ทั้งในกรุงเทพมหานครและในบางจังหวัด ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม ถึง 17 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอน

<figure><img class="wp-image-33877 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/08/COM7_คุณสุระ-คณิตทวีกุล_Update-01.jpg" alt="COM7" width="474" height="325" /><figcaption> สุระ คณิตทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7</figcaption></figure>

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งจากการปรับตัวทางธุรกิจอย่างรวดเร็วเพื่อรักษาการเติบโตของรายได้จากหน่วยธุรกิจต่างๆ และหาแนวทางในการลดต้นทุนหรือเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานเพื่อคงกระแสเงินสดและความสามารถในการทํากําไร ด้วยการปรับกลยุทธ์ตั้งแต่ช่วงล็อคดาวน์ โดยการรุกจำหน่ายสินค้าผ่านออนไลน์มากขึ้น การเพิ่มช่องทางจำหน่ายไดร์ฟทรู และการเปลี่ยนสำนักงานใหญ่เป็นคลังสินค้า เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงความต้องการสินค้าเทคโนโลยีที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องและสอดคล้องกับพฤติกรรมใหม่ผู้บริโภค รวมถึงการจัดแคมเปญให้เช่า Notebook ตอบรับกระแส Work From Home พร้อมทั้งการเพิ่มช่องทางธุรกิจไปในส่วนขององค์กรและภาครัฐบาล

“COM7 พยายามปรับกลยุทธ์อย่างรวดเร็ว ควบคุมความเสี่ยง และกระจายโอกาสไปยังช่องทางการขายใหม่ๆ ด้วยความพร้อมของพนักงานทุกคนที่เป็นกำลังสำคัญ จึงทำให้สถานการณ์ในครั้งนี้ผ่านพ้นมาได้อย่างดีเยี่ยม อย่างไรก็ดี บริษัท กลับมาเปิดสาขาทั้งหมดได้ตามปกติในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ในรูปแบบ New Normal โดยภาพรวมสถานการณ์หลังคลายล็อกดาวน์ ยังอยู่ในเชิงบวก ยอดขายผ่านสาขามีทิศทางเติบโตขึ้น”

ขณะเดียวกันสุระ ยังมั่นใจในภาพรวมธุรกิจที่จะสามารถฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะผลักดันรายได้ทั้งปีเติบโตกว่าปีที่ผ่านมาราวร้อยละ 10 จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นในประเทศ และสถานการณ์โควิด-19 ที่มีทิศทางเชิงบวกมากขึ้น รวมทั้งการกลับมาเปิดสาขาได้ตามปกติทุกสาขา พร้อมด้วยปัจจัยบวกจากเทคโนโลยี 5G กลุ่มสินค้า IoT Smart Home และ Smart Health การนำเทคโนโลยีเพื่อใช้ในการเรียนการสอน การบริหารจัดการภายในองค์กร เทคโนโลยีด้านการเกษตร เป็นต้น

ดังนั้น ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมาบริษัทจึงมีการระบายสินค้า เพื่อเตรียมรองรับสินค้ารุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งบริษัทได้วางกลยุทธ์การขยายสินค้าให้มีความครอบคลุมยิ่งขึ้น พร้อมเดินหน้าขยายช่องทางการจัดจําหน่ายอย่างต่อเนื่อง และมองโอกาสในการเพิ่มช่องทางการขายอื่นๆ เช่น การรุกตลาดออนไลน์ การจําหน่ายสินค้า Click &amp; Collect แบบ Drive Thru การเปิดร้าน Pop-Up Store ที่สํานักงานใหญ่ และการเปิดร้านแบบ Stand-Alone เพื่อกระจายความเสี่ยงให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ด้วยความเชื่อมั่น

“สินค้าไอทีและสินค้าเทคโนโลยีเป็นกลุ่มสินค้าที่มีความต้องการสูง แม้ในปี 2563 จะเป็นปีที่ท้าทายของบริษัท แต่เชื่อว่ารายได้จะยังคงเติบโตมากกว่าปีที่แล้ว โดยมีปัจจัยบวกจากการเปิดตัวสินค้าใหม่ และ 5G กระตุ้นตลาดไอทีให้คึกคัก รวมทั้ง การกลับมาเปิดสาขาได้ตามปกติ ซึ่งสิ้นปีน่าจะมีมากกว่า 955 สาขาจาก 779 สาขา ควบคู่การขยายช่องทางออนไลน์ และช่องทางใหม่ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยวางเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโต 10%”

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/rs-group-%e0%b8%97%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%aa%e0%b9%8c%e0%b8%9f%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b8%a1%e0%b8%98%e0%b8%b8%e0%b8%a3%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%88%e0%b8%94%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b8%a2.html">RS GROUP ทรานส์ฟอร์มธุรกิจด้วยโมเดล Entertainmerce สู่เป้ารายได้หมื่นล้านบาท</a>
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
&nbsp;

&nbsp;

COM7 ปรับกลยุทธ์สู้โควิด-19 โชว์กำไร 275 ล้าน

เมื่อเทคโนโลยีไอทีได้เปลี่ยนโลกความจริงเยียวยาธุรกิจและผู้คนโดยเฉพาะจากสถานการณ์โควิด-19 ที่เป็นโอกาสสำคัญและความท้าทายครั้งใหญ่ในการรุกตลาดอุปกรณ์ไอทีของ COM7 

https://youtu.be/BNZtKH3BT2E

&nbsp;

<hr />

รับชมบทสัมภาษณ์ของบุคคลที่น่าสนใจ กดติดตามแชลเนลวิดีโอของเราบนยูทูบได้ที่ <a href="https://www.youtube.com/user/ForbesThai">Forbes Thailand Magazine</a>

"สุระ คณิตทวีกุล" อาณาจักรไอที COM7 และวิกฤตโควิด-19 (Video)

<h2>นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับสิงหาคม 2563 – สุระ คณิตทวีกุล รีสตาร์ทตลาดมือถือ “แสนล้าน”</h2>
พบเรื่องเด่นจากปก "สุระ คณิตทวีกุล รีสตาร์ทตลาดมือถือ “แสนล้าน” เทคโนโลยีไอทีเปลี่ยนโลกความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธ ยิ่งในสถานการณ์โควิด-19 เทคโนโลยียิ่งมีบทบาทมากขึ้น ผู้คนทั่วโลกต้องพึ่งพิงไอทีทั้งเพื่อการทำงาน และการใช้ชีวิต new normal จึงเป็นนิยามความปกติรูปแบบใหม่ในการใช้ชีวิตของผู้คนที่ผูกติดกับไอทีมากยิ่งขึ้น

เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ส่ง LEO ท่องทั่วโลก - การระบาดของโควิด-19 สะเทือนไปทุกธุรกิจ หลายแห่งถึงขั้นต้องยุติกิจการทว่า บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LEO แม้จะได้รับผลกระทบบ้าง แต่ประสบการณ์จากวิกฤตต้มยำกุ้งทำให้ เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ซีอีโอผู้ก่อตั้งกระจายพอร์ตความเสี่ยงมีภูมิต้านทานมากขึ้น

กฤตธี มโนลีหกุล จัดทัพแพลตฟอร์ม Tencent - ภารกิจการพลิกโฉมสนุกดอทคอมสู่สปริงบอร์ดธุรกิจแอปเพลง เกม สตรีมมิ่งวิดีโอ และคลาวด์พร้อมขยายฐานธุรกิจให้กับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในแดนมังกรให้สามารถเติบโตในอาเซียนภายใต้การนำทัพของมืออาชีพด้านการสร้างและบริหารแพลตฟอร์มให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล

ชัชณี อนันต์วัฒนพงษ์ ถอดสมการเดินเกมรุก DSG - โอกาสบนความเปลี่ยนแปลงจากการแปรเปลี่ยนประสบการณ์บริหารองค์กร FMCG ข้ามชาติสู่การนำทัพเซอร์เทนตี้-เบบี้เลิฟ ตอกย้ำแบรนด์เจ้าตลาดผ้าอ้อมสำหรับเด็กและผู้ใหญ่พร้อมปรับกลยุทธ์ธุรกิจรับสังคมสูงวัยควบคู่แคมเปญตลาดตอบโจทย์เทรนด์โลก

วศิน ดำรงสกุลวงษ์ ขยายน่านน้ำใหม่ “IHL” - การสืบทอดธุรกิจในสายตาคนทั่วไปอาจมองว่าง่าย เพราะฐานเดิมที่แข็งแกร่งเป็นแต้มต่อที่ดีกว่าคนเริ่มต้นใหม่แต่การสร้างความเติบโตองค์กรจะอาศัยเพียงฐานธุรกิจเดิมคงไม่พอ ต้องมองหาโอกาสและช่องทางใหม่ๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

ฉบับพบการจัดอันดับ 50 มหาเศรษฐีญี่ปุ่นที่ร่ำรวยที่สุดประจำปี 2020 และร่วมอ่านบทความและเรื่องราวธุรกิจอันหลากหลายเพื่อสร้าง “แรงบันดาลใจของผู้ใฝ่ความสำเร็จ” จาก Forbes Thailand ฉบับสิงหาคม 2563

<hr />

<img class="size-full wp-image-33068 aligncenter" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/นิตยสาร-Forbes-Thailand-คอมเซเว่น-01.jpg" alt="" width="600" height="788" />
<img class="size-full wp-image-33069 aligncenter" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/นิตยสาร-Forbes-Thailand-คอมเซเว่น-02.jpg" alt="" width="600" height="788" />

<img class="size-full wp-image-33070 aligncenter" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/07/นิตยสาร-Forbes-Thailand-คอมเซเว่น-03.jpg" alt="" width="600" height="788" />

&nbsp;

&nbsp;

&nbsp;

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events