<h2>'ซีเจ ฟู้ดส์' เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ บิบิโก รามยอน (bibigo Ramyun) บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพรีเมียมสไตล์เกาหลี ชูคอนเซปต์ 'ซู้ดสุข ทุกคืน' หวังเจาะตลาดกลุ่มผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ที่อาศัยอยู่ในย่านใจกลางเมืองและชื่นชอบใน K-Culture</h2><h2>​</h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คิม ดงฮยอน&nbsp;ผู้จัดการส่วนการตลาด ซีเจ ฟู้ดส์ (ไทยแลนด์) กล่าวว่า ซีเจ&nbsp;ฟู้ดส์&nbsp;มุ่งมั่นที่จะส่งมอบประสบการณ์ไลฟ์สไตล์พรีเมียมตามแบบฉบับเกาหลีแท้&nbsp;ๆ&nbsp;ให้กับลูกค้ามาโดยตลอด&nbsp;การเปิดตัวผลิตภัณฑ์บิบิโก&nbsp;รามยอน&nbsp;ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของซีเจ&nbsp;ฟู้ดส์&nbsp;ในการเปิดตัวที่ประเทศไทยเป็นตลาดแรก&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/n7q6BMyoNTD7mhsU4CNK.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="2" data-file-name="n7q6BMyoNTD7mhsU4CNK.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เราเล็งเห็นแนวโน้มการเติบโตของตลาดบะหมี่ในประเทศไทยที่มีมูลค่ากว่า&nbsp;2.67&nbsp;หมื่นล้านบาท&nbsp;และมีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วเฉลี่ยร้อยละ&nbsp;10.7&nbsp;ต่อปี&nbsp;มีสัดส่วนเป็นผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถึงร้อยละ 80.24&nbsp;ในขณะที่ผู้บริโภคชาวไทยมีอัตราการบริโภคบะหมี่เฉลี่ยเป็นอันดับ&nbsp;9&nbsp;ของโลก&nbsp;อยู่ที่ประมาณ&nbsp;55&nbsp;ซองต่อปี&nbsp;ผนวกกับกระแสความนิยมของ&nbsp;K-Culture&nbsp;อย่างศิลปินเคป็อป&nbsp;(K-POP)&nbsp;และซีรีส์เกาหลี&nbsp;(K-Series)&nbsp;ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราหวังว่าผลิตภัณฑ์ใหม่นี้จะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคชาวไทยและมียอดขายไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ภายในสิ้นปี 2025 และคาดว่าจะเป็นจุดเชื่อมวัฒนธรรมเกาหลีที่คุ้นเคยให้ใกล้ชิดกับคนไทยมากยิ่งขึ้นและเป็นประตูสู่วัฒนธรรมเกาหลีอื่นๆ&nbsp;เช่นวัฒนธรรมการรับประทานอาหารมื้อดึกหรือ (ยาชิก)&nbsp;ซึ่งเป็นโมเมนต์ที่อาหารเกาหลีและซีรีส์เกาหลีมาบรรจบกัน&nbsp;นำมาสู่คอนเซปต์ของการเปิดตัวบิบิโก&nbsp;รามยอน&nbsp;ในฐานะเพื่อนคู่ใจยามดึก&nbsp;รวมไปถึงการคอลแล็บกับ&nbsp;“Wootteo (อูตอ)”&nbsp;คาแรกเตอร์สุดน่ารักซึ่งออกแบบโดยศิลปินเคป็อปคนดังระดับโลกผ่านดีไซน์แพกเกจจิง&nbsp;Special Edition&nbsp;ที่จะวางจำหน่ายที่ประเทศไทยเท่านั้น” คิม ดงฮยอน กล่าวเสริม <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/H7DEmxojR57v6sdHui8S.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="H7DEmxojR57v6sdHui8S.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div>​ &nbsp; &nbsp; ทั้งนี้ บิบิโก รามยอน&nbsp;บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพรีเมียมสไตล์เกาหลี ได้ทำการเปิดตัวทั้งหมด 5 รสชาติ ได้แก่ รสต็อกบกกีเผ็ด, รสชีสต็อกบกกี, รสกิมจิ, รสไก่เกาหลี และรสไก่รมควันสไตล์เกาหลี โดยจะทำการวางจำหน่ายแล้วผ่านช่องทางเอ็กซ์คลูซีพตามรสชาติ ดังนี้• บิบิโก รามยอน รสต็อกบกกีเผ็ด และรสชีสต็อกบกกี วางจำหน่ายที่ 7-Eleven ในราคา 39 บาท สำหรับรามยอนซองเดี่ยว โดยแพกเกจจิง Special Edition bibigo meets Wootteo จะวางจำหน่ายเฉพาะที่ 7-Eleven ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 - เดือนมีนาคม 2568 เท่านั้น• บิบิโก รามยอน รสกิมจิ, รสไก่เกาหลี และรสไก่รมควันสไตล์เกาหลี วางจำหน่ายที่ Lotus’s ในราคา 39 บาท สำหรับรามยอนซองเดี่ยว และราคา 139 บาท สำหรับแบบแพ็ก (4 ซอง)​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/KErhK4pPkn7UcKjcGDZe.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="KErhK4pPkn7UcKjcGDZe.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> ​ ภาพ:&nbsp;ซีเจ ฟู้ดส์ (ไทยแลนด์) เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbes-admin-v2.vercel.app/cms-post-new/ชายสี่' พา 'เสือร้องไห้' บุกเมืองกรุง! รุกตลาดพรีเมียมเปิดก๋วยเตี๋ยวเรืออยุธยาสาขาแรก 'เซ็นทรัล อีสต์วิลล์'" alt="ชายสี่' พา 'เสือร้องไห้' บุกเมืองกรุง! รุกตลาดพรีเมียมเปิดก๋วยเตี๋ยวเรืออยุธยาสาขาแรก 'เซ็นทรัล อีสต์วิลล์'">ชายสี่' พา 'เสือร้องไห้' บุกเมืองกรุง! รุกตลาดพรีเมียมเปิดก๋วยเตี๋ยวเรืออยุธยาสาขาแรก 'เซ็นทรัล อีสต์วิลล์'</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

​ซีเจ ฟู้ดส์ รุกตลาดพรีเมียม 'บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป' ในไทย เสิร์ฟ K-Culture ผ่าน ‘บิบิโก รามยอน’ 

<h2>ธุรกิจขายตรงและธุรกิจเครือข่ายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สร้างเม็ดเงินมหาศาล ทำรายได้จากนักธุรกิจรายย่อยผู้เป็นสมาชิกเครือข่าย แม้ธุรกิจนี้จะเกิดมายาวนานแต่โอกาสของนักธุรกิจหน้าใหม่ยังคงมีอยู่เสมอ รวมถึง อะโทมี่ (ATOMY) ธุรกิจขายตรงสัญชาติเกาหลีที่สร้างการเติบโตและก้าวสู่ตลาดระดับโกลบอลได้อย่างน่าสนใจภายใต้คอนเซ็ปต์ “ธุรกิจแพลตฟอร์ม” (platform) หมายถึง ธุรกิจขายตรงที่มีโครงสร้างของธุรกิจออนไลน์และออฟไลน์รวมกันสามารถทำยอดขายได้จากทุกแพลตฟอร์ม</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“สิ่งที่ ATOMY ยึดมั่นคือ Absolute Quality, Absolute Price คุณภาพที่ดีที่สุดในราคาเดียวกัน และคุณภาพเดียวกันในราคาที่ต่ำที่สุด เป็นปรัชญาที่เรายึดมั่นคือ คุณภาพดีราคาย่อมเยา” Park Han Gill ประธานและผู้ก่อตั้ง บริษัท อะโทมี่ จำกัด (ATOMY Co., Ltd.) กล่าวช่วงหนึ่งระหว่างให้สัมภาษณ์กับทีมสื่อมวลชนจากหลายประเทศ ทั้งคาซัคสถาน จีน ไต้หวัน และไทย ในโครงการเปิดบ้านอะโทมี่สำนักงานใหญ่ที่เกาหลีใต้ต้อนรับคณะสื่อจากต่างแดนทริปแรกตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจหลังก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2552&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อะโทมี่ใช้เวลาเพียง 15 ปีเศษก้าวจากธุรกิจเครือข่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในเกาหลีใต้รุกคืบสู่ตลาดระดับโลกเทียบชั้นบริษัทขายตรงเก่าแก่ระดับตำนานได้อย่างน่าจดจำ โดยอะโทมี่มียอดขายสินค้าทั่วโลกกว่า 6.6 หมื่นล้านบาทในปี 2564 และน่าสนใจที่พบว่า ยอดขายเกินกว่าครึ่งหรือราว 53.7% เป็นยอดขายจากต่างประเทศด้วยยอดกว่า 35,160 ล้านบาท โดยมีฐานธุรกิจจากสมาชิกเครือข่ายและการขยายสาขารวม 27 สาขา ครอบคลุมหลายทวีปทั่วโลก ทั้งในเอเชีย อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ยุโรป และโอเชียเนีย ด้วยการจำหน่ายผลิตภัณฑ์มากกว่า 590 รายการ นำเสนอสินค้าโดยสมาชิกเครือข่ายทั่วโลกจำนวนกว่า 15 ล้านคน และพนักงานทั่วโลกราว 650 คน<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/08/2KAgwx9kNZLrKe7WGTju.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="2KAgwx9kNZLrKe7WGTju.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,334" style="" data-index="0"></figure></div>​ กลยุทธ์สินค้าดี ราคาดี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นของอะโทมี่เป็นสินค้าเพื่อสุขภาพ โดยมีเฮโมฮิม (HEMOHIM) อาหารเสริมเพื่อบำรุงสุขภาพจากสารสกัดโสมแดงที่ช่วยในการเสริมสร้างเซลล์และชะลอวัยเป็นไฮไลต์โปรดักต์ นอกจากนี้ยังมีแอบโซลูท เซลล์แอคทีฟ สกินแคร์ (Absolute Cell Active Skincare) สินค้าในกลุ่มเวชสำอาง (cosmeceuticals) ช่วยดูแลเรื่องเซลล์ผิวหนัง มียอดขายอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมความงาม ด้วยยอดขายสะสมกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท (ระหว่างปี 2560-2565) นอกจากสกินแคร์ซิสเต็ม แล้วอะโทมี่ยังมีอีกหลายโปรดักต์ในกลุ่มอาหารเพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ความงาม ของใช้ในบ้าน อาหาร และสินค้าแฟชั่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลยุทธ์ที่อะโทมี่ใช้สร้างการเติบโตมีความน่าสนใจ Park เรียกกลยุทธ์นี้ว่า Masstige ซึ่งมาจากคำว่า Mass + Prestige เป็น “Mass Prestige Product Strategy” หรือกลยุทธ์สินค้าคุณภาพสูงที่สามารถทำตลาดในระดับแมสได้ “ราคาเราไม่สูงเทียบคุณภาพเท่ากัน ราคาเราดีที่สุดแต่เราใส่ใจคุณภาพอันดับ 1 เราโฟกัสมุ่งมั่นระยะยาวเพื่อความยั่งยืน” ประธานผู้ก่อตั้ง ยังบอกด้วยว่า ในปี 2567 นี้อะโทมี่จะเพิ่มสินค้า SKU ใหม่ๆ เข้ามาอีก ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากการทำรีเสิร์ช การวิจัยและพัฒนาที่อะโทมี่ให้ความสำคัญมาโดยตลอดเพื่อให้ทุกผลิตภัณฑ์ที่ออกมาตอบโจทย์ผู้บริโภคในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราคำนวณต้นทุนราคาที่เหมาะสม ปัจจุบันมีหลายประเทศ เพิ่มสมาชิกนักธุรกิจเรื่อยๆ ในอนาคตเราจะสามารถทำกำไรและให้สิ่งที่ดีที่สุดกลับไป”&nbsp;<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/08/c1Dvc8GgcKYuCuk1Fhfp.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="c1Dvc8GgcKYuCuk1Fhfp.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,405" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2566 อะโทมี่มียอดขายทั่วโลกกว่า 2.2 ล้านล้านวอน (6 หมื่นล้านบาท) และมีจำนวนสมาชิกกว่า 15 ล้านคนทั่วโลก โดยมีสาขาในต่างประเทศที่ทำยอดขายสูงเกิน 1 แสนล้านวอน (2.7 พันล้านบาท) มากถึง 4 สาขา ได้แก่ จีน ไต้หวัน สหรัฐอเมริกา และรัสเซีย โดยเฉพาะสาขาประเทศจีนที่เปิดดำเนินการในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 สามารถทำยอดขายในระยะเวลา 4 ปีได้มากถึง 1 ล้านล้านวอน (2.7 หมื่นล้านบาท) เป็นการขายผ่านการบอกเล่าแบบปากต่อปากเท่านั้น นอกจากนั้นในปี 2566 อะโทมี่ยังได้เริ่มดำเนินธุรกิจในตลาดยุโรปอย่างเป็นทางการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จุดที่น่าจับตามองคือ ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมาอะโทมี่สาขาต่างประเทศทำสถิติยอดขายได้ถึง 1 ล้านล้านวอน (ประมาณ 2.7 หมื่นล้านบาท) ซึ่งมีการเติบโตนำยอดขายของสำนักงานใหญ่ในเกาหลี ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าอะโทมี่กำลังมุ่งดำเนินธุรกิจทั้งในประเทศเกาหลีใต้และในสาขาต่างประเทศ โดยเขามั่นใจว่าจะสร้างการเติบโตเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หัวใจแห่งความสำเร็จของอะโทมี่คือ การดำเนินธุรกิจเครือข่ายด้วยกลยุทธ์ที่เน้นลูกค้าเป็นสำคัญ โดยคัดเลือกผลิตภัณฑ์คุณภาพชั้นเยี่ยมมานำเสนอในราคาที่จับต้องได้ และจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางจัดจำหน่ายที่สามารถแข่งขันได้ ทั้งซูเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า ทีวีโฮมช็อปปิ้ง และอินเทอร์เน็ต ช็อปปิ้งมอลล์&nbsp;&nbsp; &nbsp; จุดแข็งของอะโทมี่คือ การเพิ่มผลิตภัณฑ์จากการวิจัยสร้างความแตกต่างในประเทศนั้นๆ โดยตั้งเป้าเติบโตของผลิตภัณฑ์แบบ Global Sourcing Global Sales (GSGS) ผลิตขึ้นมาและสามารถเติบโตไปต่างประเทศได้ ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ไปต่างประเทศแบบไร้ข้อจำกัด โดยตั้งเป้าสินค้ากลุ่ม GSGS เพิ่มขึ้น ให้ได้ 15% ของภาพรวมผลิตภัณฑ์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ATOMY เชื่อว่าประเทศไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพที่จะเติบโตได้เป็นอย่างดี โดยคาดหมายว่าจะสามารถเติบโตและเป็นบริษัทชั้นนำในตลาดขายตรงด้วยยอดขายกว่า 1 หมื่นล้านบาทภายในปี 2030” ประธานผู้ก่อตั้งอะโทมี่ยืนยันความเชื่อดังกล่าวด้วยการทำตลาดขายตรงแบบเครือข่ายผ่านหลายแพลตฟอร์ม เขาเชื่อว่าจะสามารถสร้างการเติบโตของสมาชิกและยอดขายได้ไม่ยาก ภาพ: ATOMY เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/commentaries/insights/thailand-herbal-market-growth-june-2024" alt="ไทยมีโอกาสแค่ไหนในตลาดสมุนไพรโลกที่ปี 2573 อาจสูงถึง 2.7 ล้านล้านบาท"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/asean-biz/people/%e0%b8%99%e0%b8%9e-%e0%b8%aa%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%98%e0%b8%a7%e0%b8%b5%e0%b8%a3%e0%b9%8c-%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b8%b5%e0%b8%a2%e0%b8%a3%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%8a%e0%b8%a7%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%99" alt="นพ.สิทธวีร์ เกียรติชวนันต์ และ นพกฤษฏิ์ นิธิเลิศวิจิตร ซีอีโอดูโอปั้นขายตรงไทยบุกอาเซียน">นพ.สิทธวีร์ เกียรติชวนันต์ และ นพกฤษฏิ์ นิธิเลิศวิจิตร ซีอีโอดูโอปั้นขายตรงไทยบุกอาเซียน</a>​<a target="_blank" href="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/833398be-f87c-4d1f-bc2b-1f516f075a7c/forbes-thailand-july-2024" alt="คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกรกฎาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกรกฎาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"> <figure style="margin: 0px;"> <img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/Cz1TWzdy5gYtQ42wydEQ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="Cz1TWzdy5gYtQ42wydEQ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" origin-size="320,420" data-rotatex="" data-rotatey="" style="" data-index="2"> </figure></div>

Park Han Gill สร้าง “ATOMY” แพลตฟอร์ม ขายตรงระดับโกลบอล

Pinkfong บริษัทผู้สร้าง Baby Shark พร้อมเติบโตอีกขั้น รุกตลาดเว็บตูน ขยายฐานออฟไลน์

<h2>ยอดนำเข้ารถต่างประเทศของเกาหลีใต้ในปี 2022 ทุบสถิติสูงสุดเกือบ 300,000 คัน ถือเป็นตัวเลขการนำเข้ารถยุโรปมากสุดอันดับ 8 ของโลก โดยแบรนด์ “Mercedes-Benz” มียอดขายมากสุดครองแชมป์ 7 ปีซ้อน สะท้อนค่านิยมคนในประเทศเรื่องความสำเร็จ ภาพลักษณ์ และความหรูหรา </h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สมาคมผู้นำเข้าและผู้จัดจำหน่ายรถยนต์เกาหลี Korea Automobile Importers and Distributors Association ระบุว่า ยอดขายของแบรนด์รถยนต์นำเข้าในปี 2565 มีจำนวน 283,435 คัน เพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบกับยอดขายของปีก่อนหน้า ซึ่งหากรวมกับยอดขายรถ Tesla จำนวน 14,571 คัน (เป็นจำนวนที่สมาคมฯ ไม่ได้นับรวม) จำนวนรถยนต์นำเข้าทั้งหมดของเกาหลีใต้จะอยู่ 298,006 คัน เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากระยะ 10 ปีที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ สิ่งที่น่าสนใจคือ 70% ของรถที่นำเข้าทั้งหมด เป็นแบรนด์รถยนต์ที่ผลิตในเยอรมนี ซึ่งอันดับที่ 1 ยังคงเป็น&nbsp;Mercedes-Benz&nbsp;ที่ครองยอดขายอันดับ 1 ติดต่อกันมาอย่างต่อเนื่องถึง 7&nbsp;ซ้อน โดยมียอดขาย 80,976 คัน เพิ่มขึ้น 6.3% จากปี 2564 ,&nbsp;อันดับสองเป็นของ&nbsp;BMW&nbsp;มียอดขายเพิ่มขึ้น 19.6% อยู่ที่ 78,545 คัน ขณะที่ Audi ทำยอดขายไปได้ 21,402 คัน และ Volkswagen ขายไปได้ทั้งสิ้น 15,791 คัน&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/06/uCyrLN51Uggw6GEmfTnd.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="uCyrLN51Uggw6GEmfTnd.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านสมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งยุโรป หรือ ACEA (The European Automobile Manufacturers Association) ระบุว่าในปี 2022 เกาหลีใต้กลายเป็นประเทศที่นำเข้ายานยนต์จากสหภาพยุโรปมากที่สุดเป็นอันดับ 8 ของโลก โดยนำเข้ารถยนต์เพิ่มขึ้นจากปี 2021 ถึง 24.9% คิดเป็น 3% ของยอดส่งออกทั้งโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คิม พิล-ซู &nbsp;ศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมยานยนต์แห่งมหาวิทยาลัยแดลิม กล่าวว่า “คนเกาหลีใต้ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับเรื่องของ “ภาพลักษณ์ภายนอก” ไปจนถึง “รถยนต์” ที่เลือกใช้ จนมีคำศัพท์ใหม่ว่า ฮาชากัม (hachagam) ซึ่งเป็นความรู้สึกเมื่อคุณก้าวออกมาจากรถหรูแล้วมีคนมองมาด้วยความอิจฉา โดยเป็นการเล่นคำมาจาก ซึงชากัม (seungchagam) ซึ่งหมายถึงระดับความสะดวกสบายที่คุณรู้สึกได้ขณะขับรถ&nbsp;นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนเกาหลีจึงเลือกใช้แบรนด์รถยนต์นำเข้ามากกว่ารถยนต์ของเกาหลีใต้&nbsp;เพราะต้องการได้รับความสนใจจากผู้อื่น”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม แม้รถยุโรปจะเติบโตมากขึ้นในเกาหลีใต้&nbsp; แต่ถ้ามองไปที่ “ความพึงพอใจ” ในเรื่องของแบรนด์จากการสำรวจของหนังสือพิมพ์ Korea Economic Daily ที่สอบถามผู้ขับขี่ 1,100 คนในรถยนต์นำเข้าที่ขายดีที่สุด 15 อันดับของเกาหลีใต้ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 พบว่า ชาวเกาหลีใต้ยกให้ “Lexus” แบรนด์รถยนต์ระดับพรีเมียมของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นอย่าง&nbsp;Toyota Corp.&nbsp;เป็นแบรนด์ที่มีบริการหลังการขายที่ดีที่สุดในบรรดารถยนต์นำเข้าในเกาหลีใต้ ด้วยคะแนน 73.61% คะแนนเต็ม 100 รับคะแนนสูงสุดในด้านความพึงพอใจของผู้บริโภค สำหรับการระบุปัญหาที่แม่นยำและบริการซ่อมแซมที่รวดเร็ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ Lexus สามารถขึ้นมาอันดับ 1 ในการสำรวจดังกล่าว หลังจากการสำรวจคราวที่แล้วรั้งอันดับ 2 ส่วนอันดับที่ 2 ในการสำรวจครั้งนี้ตกเป็นของ Volvo จากสวีเดน ด้วยคะแนน 75.3% และตามมาด้วย Porsche แบรนด์รถสปอร์ตสัญชาติเยอรมัน 74.4%&nbsp; <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/06/Mqg4DmdN6NDnLtnni5j1.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Mqg4DmdN6NDnLtnni5j1.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลสำรวจในครั้งนี้สวนทางกับค่านิยมของคนเกาหลีที่นิยมรถยนต์จากเยอรมนี โดย Mercedes-Benz หล่นไปอยู่อันดับที่ 5 ด้วยคะแนน 73.6 ตกจากอันดับ 3 ในการสำรวจครั้งที่ผ่านมา ส่วน Audi ตกลงไป 2 อันดับมาอยู่อันดับที่ 12 ด้าน BMW อยู่อันดับที่ 13 ขณะที่ Volkswagen และ Peugeot อยู่ครองอันดับที่ 14 ร่วมกันซึ่งเป็นอันดับที่ต่ำที่สุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อี ฮยอง-แจ ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยกุกมิน (Kookmin University) และหัวหน้าคณะกรรมการประเมินกล่าวว่า&nbsp;การที่แบรนด์ที่ขาดศูนย์บริการและช่างซ่อมบำรุงในเกาหลีสร้างผลกระทบต่อความพึงพอใจของผู้บริโภค ทั้งนี้&nbsp;เมื่อถามคนเกาหลีใต้ว่าต้องการ “รถยนต์ไฟฟ้า” หรือ EV แบรนด์ใดมากที่สุด พบว่าอันดับ 1 เป็นของ Tesla ที่ 18.3% ตามมาด้วย Mercedes-Benz ที่ 17.3% นอกจากนี้ ยังพบว่าราวครึ่งหนึ่งของผู้ที่เป็นเจ้าของรถแบรนด์ต่างประเทศในเกาหลีใต้ตั้งใจจะซื้อ EV ภายใน 5 ปีข้างหน้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับยอดขายของแบรนด์รถยนต์จากต่างประเทศในปีนี้ ศาสตราจารย์พิล-ซู กล่าวเพิ่มเติมว่า อาจจะทำยอดขายไม่ได้มากเท่ากับปีที่แล้ว เนื่องจากปีนี้ไม่มีอานิสงส์ของความต้องการรถยนต์ที่เอ่อล้นในยุคโควิด-19 มาช่วยเหมือนปีก่อน อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะทำให้ การกู้เงินเพื่อซื้อรถแพงขึ้นและยากมากขึ้น ซึ่งจะมีเพียงผู้ผลิตรถยนต์ระดับท็อปเท่านั้นที่สามารถเติบโตได้แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/other/property/marketing/news/sc-%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87-cobe-%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%AF-new-brand-%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88-%E0%B8%94%E0%B8%B6%E0%B8%87-%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%B5-%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%8F%E0%B9%8C-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C" alt="SC ส่ง “COBE” คอนโดฯ New Brand เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ดึง “พีพี-กฤษฏ์” เป็นพรีเซนเตอร์">SC ส่ง “COBE” คอนโดฯ New Brand เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ดึง “พีพี-กฤษฏ์” เป็นพรีเซนเตอร์</a>​ <hr class="__se__solid"><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

“เกาหลีใต้” นำเข้ารถยุโรปอันดับ 8 ของโลกปี 2022 “Mercedes-Benz” ครองแชมป์ 7 ปีซ้อน สะท้อนภาพลักษณ์ความหรูหรา 

Lee Seung Gun โยนเหรียญ เปิดเกม “Toss”

‘จอยลดา’ แอพฯ นิยายแชทพันธุ์ใหม่ ทำเงินด้วยพลังนักอ่านฐานตลาดวัยรุ่น

ประเทศเกาหลีเป็นประเทศยอดนิยมอันดับที่ 2 ในการจัดการประชุม ในปี 2015 (อ้างอิงสถิติจากรายงานการประชุมนานาชาติ ซึ่งจัดทำโดย สหภาพการประชุมนานาชาติ หรือ UIA)&nbsp;ประเทศเกาหลี เป็นประเทศที่จัดงานประชุมเป็นอันดับที่ 2 รองจากสหรัฐอเมริกาและถือว่าเป็นอันดับที่ 1 ในเอเชียในปีที่ผ่านมามีงานประชุมที่จัดขึ้นที่ประเทศเกาหลีทั้งหมด 891 ครั้ง เป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้น 40% จากปี 2014

ในปีที่ผ่านมากรุงโซลเมืองหลวงของประเทศเกาหลี ได้จัดงานประชุมทั้งสิ้น 494 ครั้ง ได้ขยับอันดับจากที่ 5 เป็นที่ 3 จากปีก่อนถือว่าเพิ่มขึ้น 98.4% ในขณะเดียวกัน พูซาน ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของเกาหลี ได้รับการจัดอันดับที่ 11 จาก 150 งานประชุม และเชจู เมืองมรดกโลกทางธรรมชาติของเกาหลี ก็ได้รับการจัดอันดับที่ 19 จาก 112 งานประชุม

สหภาพการประชุมนานาชาติ หรือ UIA ได้กล่าวว่า ความสามารถในการจัดงานประชุม และสถานที่ท่องเที่ยวรวมถึงวัฒนธรรมที่น่าสนใจของประเทศเกาหลี ทำให้ประเทศเกาหลีพัฒนาศักยภาพด้าน MICE ได้อย่างมั่นคง นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานของประเทศก็เป็นสิ่งสำคัญที่เพิ่มความสามารถด้าน MICE ของประเทศ รวมถึงในระยะอันใกล้นี้ประเทศเกาหลี จะเป็นเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคฤดูหนาว ปี 2018

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events