<h2>เมื่อวานนี้ (29 พ.ค. 67) หลังจากรัฐมนตรีกระทรวงการคลังคนใหม่อย่าง พิชัย ชุณหวชิร เล่าถึงการพิจารณา ‘ลดเวลา’ เก็บประวัติหนี้เสียค้างในเครดิตบูโรนาน 8 ปี หวังช่วยคนที่มีหนี้เสียจาก COVID-19 ให้กลับมาเข้าถึงสินเชื่อในระบบ โดยอาจจะมีการแก้กฏหมายเพิ่มเติม ทำให้ล่าสุดทางเครดิตบูโรได้ออกมาเล่าถึงแนวทางในแก้ไและมุมมองต่อการปรับแก้เรื่องนี้เช่นกัน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เปิดเผยผ่าน Facebook ส่วนตัว เมื่อ 29 พ.ค. 2567 โดยระบุว่า การแก้ไขลดระยะเวลาจาก 8 ปีทำได้โดยการออกประกาศของคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต หรือประกาศ กคค. ฉบับใหม่แทนที่ฉบับเดิม โดยต้องชั่งน้ำหนักความเสี่ยงหลายด้าน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ต้องชั่งน้ำหนักว่า ความเสี่ยงและการแลกเปลี่ยน หรือเป้าหมายที่จะให้ลูกหนี้เจ้าของบัญชีหนี้เสียที่ไม่จ่าย ไม่ทำ TDR (ปรับโครงสร้างหนี้) นั้นสามารถยื่นขอกู้ได้โดยว่าที่เจ้าหนี้ใหม่ไม่เห็นข้อมูลเมื่อใด ความเสี่ยงของสถาบันการเงินและผู้ผากเงินรับได้ตรงไหน มาตรฐานสากลเป็นอย่างไร หากมีข้อมูลครบ ตัดสินใจได้ครับ เครดิตบูโรไม่มีอำนาจตัดสินใจ เรามีหน้าที่ดำเนินการตามประกาศคำสั่งอย่างเดียว” สุรพล กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ลูกหนี้ที่มีประวัติและมีหนี้เสีย NPLs หรือค้างชำระเกิน 90 วัน (3 งวดขึ้นไป) จะขอสินเชื่อใหม่จากสถาบันการเงินได้ยาก เพราะหนี้เดิมยังคงค้างอยู่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่ช่วงที่ผ่านมา ผลกระทบของ COVID-19 ส่งผลให้ลูกหนี้บางส่วนอาจขาดรายได้ ทำให้เกิดหนี้เสียเพิ่มขึ้นภาครัฐจึงอยากเข้ามาดูแลช่วยเหลือหนี้เสียกลุ่มนี้ ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ TDR เพื่อให้กลายเป็นบัญชีหนี้ปกติตามแนวทางที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนดไว้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ปัจจุบันถ้าบัญชีใดเป็นหนี้เสีย เป็น NPLs แล้ว หากลูกหนี้รายนั้นที่เป็นเจ้าของบัญชีไม่ยอมจ่าย ไม่ยอมปรับโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหา ไม่ยอมทำ TDR ถูกฟ้อง ถูกดำเนินคดี เราจะยอมให้มีข้อมูลที่แสดงสถานะการเป็นหนี้เสียในระบบของเครดิตบูโรนานเท่าใด นับแต่วันที่บัญชีนั้นค้างเกิน 90 วัน ถ้าเอาตามกฎหมายในอดีต ก็ต้องส่งข้อมูลการเป็นหนี้เสียเข้ามาในระบบต่อเนื่องไปตลอด จนกว่าจะมีการชำระเป็นปกติ หรือมีการทำ TDR” สุรพล กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกทั้งยังมีสถิติในต่างประเทศที่เคยนำมาหารือกัน พบว่า สหรัฐจะเก็บข้อมูลไว้นาน 7 ปี ในอังกฤษ 6 ปี และทางคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิตหรือ กคค. เคยประกาศไว้ว่า บัญชีใดค้างเกิน 90 วันและยังไม่มีการชำระกลับมาเป็นปกติ หรือยังไม่ทำ TDR (ปรับโครงสร้างหนี้) ให้เจ้าหนี้ส่งข้อมูลต่อเนื่องทุกเดือนเข้ามาในระบบจนครบ 5 ปี กล่าวคือข้อมูลที่ปรากฎในรายงานเครดิตบูโรจะแสดงข้อมูลของปีที่ 5, ปีที่ 4, ปีที่ 3 หรือที่เรียกว่า 3 ปีย้อนหลัง รายงานก็จะบอกว่าบัญชีดังกล่าวนั้นค้างเกิน 90 วันแสดงอยู่จำนวน 36 เดือน ซึ่งเมื่อครบระยะเวลาข้อมูลแต่ละเดือนจะทยอยออกจากระบบเครดิตบูโร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ทีนี้ถ้าเราเป็นเจ้าหนี้ในปีที่ 8 เราจะเห็นข้อมูลว่าบัญชีหนี้สินกรณีนี้เป็นบัญชีหนี้เสีย เพราะยังไม่มีการชำระหนี้ตั้งแต่อดีตนับจากวันที่ค้างชำระเกิน 90 วัน คือเห็นประวัติย้อนไปได้ 8 ปีย้อนหลัง โดยบรรทัดสุดท้ายที่จะเห็นคือเดือนที่ 12 ของปีที่ 5 ครับ หลังจากครบ 8 ปีแล้ว ข้อมูลทั้งบัญชีนี้จะหายไปจากระบบ แต่มูลหนี้ไม่ได้หายไปนะครับ เจ้าหนี้เจ้าของบัญชีดังกล่าวยังมีสิทธิในการติดตามหนี้ตามกฎหมาย หากแต่สถาบันการเงินอื่นจะไม่เห็นข้อมูลนี้หากลูกหนี้เจ้าของบัญชี NPLs นี้ไปยื่นขอกู้ใหม่กับสถาบันการเงินใหม่” สุรพล กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ระยะเวลา 8 ปีจึงเป็นเหมือนกติกาที่แลกเปลี่ยน (Trade off) ระหว่าง การไม่ยอมชำระหนี้ การไม่ทำ TDR แลกกับการกู้เงินไม่ได้ในช่วง 8 ปี เพื่อปกป้องคุ้มครองเงินฝากที่สถาบันการเงินจะเอามาให้กับลูกหนี้รายนี้ <a href="https://www.freepik.com/free-photo/closeup-businesswoman-using-digital-tablet-credit-card-while-checking-her-online-bank-account_25777279.htm#fromView=search&amp;page=4&amp;position=33&amp;uuid=33cb36d3-5814-4c15-99b9-3dc2ebd15234">Image by Drazen Zigic on Freepik</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/travel/global/singapore-airlines-nearly-8-months-bonus" alt="Singapore Airlines เตรียมแจกโบนัสพนักงานเกือบ 8 เดือน หลังทำกำไร 2.68 พันล้านเหรียญ ทุบสถิติปีก่อน"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/mof-credit-bureau-record-npl" alt="คลังพิจารณา ‘ลดเวลา’ เก็บประวัติหนี้เสียค้างในเครดิตบูโรนาน 8 ปี หวังคนเข้าถึงสินเชื่อในระบบ">คลังพิจารณา ‘ลดเวลา’ เก็บประวัติหนี้เสียค้างในเครดิตบูโรนาน 8 ปี หวังคนเข้าถึงสินเชื่อในระบบ</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เครดิตบูโร เผย ลดเวลา 8 ปีเก็บประวัติหนี้เสียในระบบฯ “ทำได้” โดย กคค. ต้องชั่งน้ำหนักหลายด้าน

<h2>กระทรวงการคลังเตรียมแก้กฏหมาย ‘ลดเวลา’ การเก็บประวัติหนี้เสียค้างในเครดิตบูโรที่ปัจจุบันยาวนาน 8 ปี 'พิชัย' มอง 8 ปีนานเกินไปควรปรับลดลงเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อกับสถาบันการเงินได้ </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยทั่วไปเมื่อลูกหนี้มีการสินเชื่อกับสถาบันการเงินจะมีการรายงานข้อมูล สถานะของลูกหนี้ รวมถึงสถานะการเป็นหนี้เสีย (NPL: การค้างชำระนาน 90 วันขึ้นไป) ทางสถาบันการเงินจะมีการรายงานข้อมูลไปยัง บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) อยู่แล้ว ดังนั้นจะมีการรายงานสถานะ เช่น ปกติ ค้างชำระ ฯลฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ปัจจุบันระยะเวลาการมีประวัติเป็นหนี้เสียที่เก็บไว้ใน เครดิตบูโร คือ 8 ปี ถือว่ายาวนานเกินไป โดยจะมีการส่งข้อมูลการเป็นหนี้เสีย 5 ปี และเก็บบันทึกประวัติไว้อีก 3 ปี ดังนั้น คงต้องพิจารณาในรายละเอียดว่าจะต้องแก้กฏหมาย หรือ มีการแก้ไข เพื่อลดระยะเวลาในแต่ละส่วนได้อย่างไร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ มองว่าในทางกระบวนการอาจเร่งรัดให้ระยะเวลาสั้นลงได้ เช่น อาจเป็น 2 + 3 เป็นต้น ซึ่งการลดเวลาการเป็นหนี้เสียในระบบเครดิตบูโร อาจช่วยให้ประชาชนกลุ่มนี้สามารถเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ข้อมูลบนเว็บไซต์ของเครดิตบูโร เปิดเผยว่า ข้อมูลเครดิตของบุคคลธรรมดา กฎหมายกำหนดให้เก็บไว้ในระบบของเครดิตบูโรนาน 3 ปี (36 เดือน) นับแต่วันที่สถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกส่งรายงานข้อมูลมายังบริษัท โดยที่จะมีข้อมูลใหม่ทยอยเข้าไปแทนที่ข้อมูลเก่าทุกเดือน ดังนั้นในกรณีที่ชำระหนี้เก่าเสร็จสิ้นแล้ว ข้อมูลประวัติที่เคยค้างชำระจะหายไปจากระบบในเวลา 3 ปี เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/business-opportunities-for-single-people" alt="ส่องโอกาสธุรกิจตอบโจทย์ &quot;คนโสด&quot; เมื่อการอยู่คนเดียวไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/single-economy-thailand-may-2024" alt="สภาพัฒน์เผย คนไทยวัยมีคู่กว่า 40% ยังโสด เหตุ ‘งานหนัก-ไม่เจอคน’ แนะรัฐหนุน Work-life Balance ให้เจอคนที่ใช่"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/nesdc-social-report-may-2024" alt="สภาพัฒน์ เปิดหนี้ครัวเรือนล่าสุดยังเพิ่มที่ 91.3% เผย 57.9% ของคนไทยมีความรู้ภาษีเงินได้ระดับต่ำ">สภาพัฒน์ เปิดหนี้ครัวเรือนล่าสุดยังเพิ่มที่ 91.3% เผย 57.9% ของคนไทยมีความรู้ภาษีเงินได้ระดับต่ำ</a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/magoro-ipo-may-2024" alt="รู้จัก MAGURO เครือร้านอาหารญี่ปุ่นที่รายได้ 1,000 ล้าน และจะเข้า IPO ใน mai 5 มิ.ย. นี้"></a>​​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

คลังพิจารณา ‘ลดเวลา’ เก็บประวัติหนี้เสียค้างในเครดิตบูโรนาน 8 ปี หวังคนเข้าถึงสินเชื่อในระบบ

<h2>สถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทยอยู่ในระดับสูงมาเนิ่นนาน แม้ส่วนหนึ่งจะเกิดจากผลกระทบ COVID-19 แต่แท้จริงแล้วยังเกิดจาก ปัจจัยพื้นฐาน ทั้งรายได้ที่ไม่เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจชะลอการเติบโตมานานหลายปี จนทำให้ ข้อมูลล่าสุดพบว่า อยู่สูงถึง 91.3% แต่ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนอะไร และสถานการณ์หนี้สินภาคครัวเรือนไทยเป็นอย่างไร?</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ อัตราหนี้ครัวเรือนไทยต่อ GDP ที่อยู่ระดับสูงกว่า 91.3% นั้นมาจากฐานยอดหนี้ครัวเรือนไทยที่ 16.3 ล้านล้านบาท ยิ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงก็ทำให้อัตราหนี้ครัวเรือนไทยฯ เพิ่มสูงขึ้นไปด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกันหากต้องการดูว่าคนไทยมีหนี้ หรือมีสินเชื่อมากแค่ไหน เราอาจดูจาก ‘หนี้สินในระบบ’ ที่ส่วนใหญ่จะมีการรายงานไปที่เครดิตบูโร โดยจะเรียกว่าหนี้ภาคครัวเรือนซึ่งมีอยู่ราว 13.64 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ยังมี หนี้สินที่อยู่ภายใต้สหกรณ์ออมทรัพย์อีกราว 2.3 ล้านล้านบาท (ส่วนสหกรณ์ฯ และ หนี้กยศ. ไม่อยู่ในระบบเครดิตบูโร)คนไทยมีหนี้ประเภทไหนมากที่สุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ้างอิงข้อมูลจาก บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) พบว่า ยอดสินเชื่อคงค้าง ไตรมาส 1 ปี 2567 (ที่รายงานเครดิตบูโร) รวมอยู่ที่ 13.64 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นที่ 2.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยสัดส่วนใหญ่ยังคงเป็นสินเชื่อบ้านที่ 36.7% หรือยอดคงค้างที่ 5 ล้านล้านบาท 	&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ประเภทสินเชื่อที่ยังมีการเพิ่มขึ้น ได้แก่ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สินเชื่อบ้าน&nbsp;มียอดคงค้าง 5 ล้านล้านบาท 	เพิ่มขึ้น 3.8%YoY &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สินเชื่อส่วนบุคคล&nbsp;มียอดคงค้าง 2.59 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.8%YoY &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สินเชื่ออื่นๆ&nbsp;มียอดคงค้าง 1.11 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.2%YoY		 &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สินเชื่อบัตรเครดิต&nbsp;มียอดคงค้าง 5.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2%YoY 	&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ ประเภทสินเชื่อที่มีการปรับตัวลดลงเพิ่มขึ้น ได้แก่ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สินเชื่อรถยนต์&nbsp;มียอดคงค้าง 2.56 ล้านล้านบาท ลดลง 1.5 %YoY &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สินเชื่อเพื่อการเกษตร&nbsp;มียอดคงค้าง 8.2 แสนล้านบาท ลดลง 8.3%YoY &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สินเชื่อธุรกิจ&nbsp;มียอดคงค้าง 6.6 แสนล้านบาท ลดลง 5.7%YoY &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- สินเชื่อ OD&nbsp;มียอดคงค้าง 3.2 แสนล้านบาท ลดลง 5.0%YoY &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านนายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร&nbsp;เปิดเผยมุมมองว่า ส่วนที่น่ากังวลคือ หนี้สำหรับธุรกิจกับหนี้ OD ที่ติดลบ 5.7% และ 5%YoY ขณะที่ สินเชื่ออื่นๆ ยังเติบโตมาจากการส่งข้อมูลบัญชีดอกเบี้ยที่แขวนไว้จากการปรับโครงสร้างหนี้เป็นหลัก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ “28% ของหนี้ครัวเรือนไทยที่ 16.3 ล้านล้านบาท เป็นการกู้ไปกินไปใช้ที่เรียกว่า บริโภค ซึ่งมันต้องเอารายได้ในอนาคตมาผ่อนจ่าย คำถามคือถ้ารายได้ไม่มาตามนัด เพราะมีโรคระบาดคั่น ไอ้สิ่งที่คิดว่าจะจ่ายได้แน่ มันก็ไม่แน่ แถมดอกเบี้ยก็ทับถม และแพงพอควร มันจึงเป็นปัญหามีหนี้สะสมเกินศักยภาพในวันนี้ เพราะวันนั้นคิดว่ามันอยู่ในศักยภาพ ตรงนี้เรียกว่าติดกับดักการเป็นหนี้ชัดเจน” นายสุรพล กล่าว<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 699px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/5xR1vkKz1aAkvDRsVmfi.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="699px,874px" data-align="center" data-file-name="5xR1vkKz1aAkvDRsVmfi.jpg" data-file-size="0" origin-size="2000,2500" data-origin="699px,874px" style="width: 699px; height: 874px;" data-index="0"></figure></div> ไตรมาส 1 ปี 67 หนี้เสียไทยยังพุ่ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากข้อมูลยังพบว่า หนี้เสียของไทยในไตรมาส 1 ปี 2567 นี้อยู่ที่ 1.09 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.9%YoY โดย 3 ประเภทสินเชื่อที่มีหนี้เสียเพิ่มสูง ได้แก่ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- หนี้รถยนต์&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; เติบโต 32%yoy &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- หนี้บ้าน&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;เติบโต 18%yoy &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล&nbsp;เติบโต 12%yoy &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- หนี้บัตรเครดิต&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;เติบโต 14.6%YoY&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ นายสุรพล ยังชี้ถึงข้อมูลที่น่าติดตามว่า หนี้ที่ค้างชำระ 30-90 วัน (SM) หรือที่เรียกว่า หนี้เสี่ยงจะเสียในระยะใกล้ในภาพรวมเติบโต 7.3%YoY โดยมีข้อสังเกตว่า สำหรับ SM หนี้บัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้น 32.4%YoY นี้ มาพร้อมกับช่วงที่มีการปรับเพิ่มขั้นต่ำในการชำระหนี้บัตรเครดิตจากเดิมที่ 5% เป็น 8%(ข้อมูลเพิ่มเติม ธนาคารแห่งประเทศไทยได้สั่งให้ปรับ ขั้นต่ำในการชำระหนี้ลงช่วง COVID-19 การทยอยปรับขึ้นนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งในการปรับกลับสู่ภาวะปกติ)&nbsp; &nbsp; ข้อมูลทั้งหมดนี้ยังสะท้อนว่า สถานการณ์หนี้ของไทยยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะช่วงการเปลี่ยนผ่านจาก การมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ต่างๆ ในช่วง COVID-19 กำลังทยอยสิ้นสุดลง และปรับเข้าสู่ช่วงปกติ แต่ขณะเดียวกันเศรษฐกิจไทยที่ยังชะลอตัวต่อเนื่องมามากกว่า 8 ปี ยังคงเป็นโจทย์หลักที่ทุกภาคส่วนต้องให้ความสนใจ และติดตามว่ามาตรการของภาครัฐ และเม็ดเงินงบประมาณที่อั้นอยู่หากเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแล้วจะส่งผลต่อ กระเป๋าเงินของคนไทยในระยะยาวได้มากแค่ไหน <a href="https://www.freepik.com/free-photo/back-view-portrait-young-asian-man-walking-khaosan-road-bangkok_21850132.htm#fromView=search&amp;page=1&amp;position=4&amp;uuid=db6ae6e8-7bab-4cc7-9213-6755aa752c7f">Image by benzoix on Freepik</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/credit-bureau-home-loan-q-1-2024-thailand" alt="กู้บ้านยากแค่ไหน? เครดิตบูโร เผยสถิติ ‘บัญชีใหม่สินเชื่อบ้าน’ แผ่วลง ย้ำ Gen Y ยังมีสินเชื่อ-หนี้เสียบ้านสูงสุด">กู้บ้านยากแค่ไหน? เครดิตบูโร เผยสถิติ ‘บัญชีใหม่สินเชื่อบ้าน’ แผ่วลง ย้ำ Gen Y ยังมีสินเชื่อ-หนี้เสียบ้านสูงสุด</a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/travel/aot-31-mar-2024" alt="AOT กำไรล้น! ไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 5,972.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 209.22%YoY รับผลดีมาตรการรัฐ-ฟรีวีซ่าฟื้นตัว"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/snservicesolution-snss-24-may-2024" alt="ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ! อาจกระทบธุรกิจบริการ Outsource ‘เอส เอ็น เซอร์วิส โซลูชั่นฯ’ รับต้นทุนอาจสูงขึ้น แต่คาดว่ารายได้ปี 67 ยังโต 30%"></a>​​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand</a>

คนไทยมีหนี้มากแค่ไหน? ไตรมาส 1/67 หนี้เสียกลุ่มไหนเพิ่มขึ้นสูงสุด

<h2>ชาวมิลเลนเนียลที่เข้าสู่วัยผู้ใหญ่หลังโลกเพิ่งผ่านภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ (The Great Recession) นับว่ายากลำบากนัก แต่สถานการณ์ทางการเงินของคนอายุยี่สิบต้นๆ ในวันนี้อาจเลวร้ายยิ่งกว่า</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้บริโภคชาว Gen Z อายุ 22-24 ปี มีหนี้สินกันมากขึ้น และอัตราการค้างชำระหนี้จากการใช้จ่ายด้วยเครดิตก็มีสูงขึ้นเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิตหรือเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา รายงานล่าสุดจากฝ่ายเครดิตบูโรของ TransUnion เผยว่า Gen Z เป็นหนี้กันมากกว่าที่ชาวมิลเลนเนียลเคยเป็นตอนที่อายุเท่ากันเมื่อสิบปีก่อนเสียอีก&nbsp; &nbsp;&nbsp;อันที่จริง ยอดใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตเฉลี่ยของผู้ที่อายุยี่สิบต้นๆ อยู่ที่ 2,834 เหรียญสหรัฐฯ ในปี 2023 (ราว 100,000 บาท) สูงกว่ายอดใช้จ่ายเฉลี่ยของกลุ่มมิลเลนเนียลตอนที่อายุเท่ากันในปี 2013 ถึง 26% แม้จะปรับค่าเงินเฟ้อในการคำนวณแล้วก็ตาม&nbsp; &nbsp;&nbsp;ทุกวันนี้ วัยรุ่นที่เพิ่งล่วงเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ได้ไม่นานมักถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องของการชอปปิ้งสินค้าลักชัวรีเล็กๆ น้อยๆ เพื่อความสุขส่วนตัว แต่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอันเป็นผลสืบเนื่องจากโควิด-19 และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วก็มาได้ถูกจังหวะเวลา ค่าเช่าที่อยู่อาศัยซึ่งเพิ่มสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนก็ร่วมซ้ำเติมการเงินของชาว Gen Z อีกทางหนึ่ง&nbsp; &nbsp;&nbsp;“โดยภาพรวมแล้ว ค่าใช้จ่ายมีมาก สวนทางกับค่าแรง” Charlie Wise รองประธานอาวุโสแห่ง TransUnion กล่าว “ค่าเช่ากลายเป็นรายจ่ายก้อนโต ในขณะที่ค่าใช้จ่ายไม่จำเป็นอย่างอื่น เช่น การกินข้าวนอกบ้าน นับว่าสูงกว่านั้นมาก พวกเขาจึงต้องหันมาพึ่งพาการใช้จ่ายแบบเครดิต”&nbsp; &nbsp;&nbsp;ยิ่งไปกว่านั้น Wise อธิบายว่า ผู้คนอายุยี่สิบต้นๆ ในปัจจุบันต่างก็หาเงินได้น้อยกว่าที่ชาวมิลเลนเนียลเคยทำได้ตอนที่อายุเท่ากัน โดยรายได้เฉลี่ยของพวกเขาคือ 45,493 เหรียญ ในขณะที่ชาวมิลเลนเนียลเคยทำได้ราว 51,852 เหรียญ ซึ่งเป็นตัวเลขหลังปรับค่าเงินเฟ้อแล้ว ชี้ชัดว่าพวกเขามีเงินน้อยเกินกว่าจะดูแลค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่สูงขึ้นได้อย่างครอบคลุม และผลก็คือพวกเขาต้องหันไปใช้เครดิต&nbsp; &nbsp;&nbsp;แน่นอนว่า Gen Z ไม่ใช่คนรุ่นเดียวที่พึ่งพาเครดิตเพื่อรับมือกับค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น ยอดใช้จ่ายด้วยเครดิตทั้งโดยรวมและโดยเฉลี่ยของผู้บริโภคก็สูงจนอยู่ในระดับที่เคยเห็นกันครั้งสุดท้ายคือก่อนวิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่ (The Great Financial Crisis) โน่นเลย&nbsp; &nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่า Gen Z เริ่มต้นชีวิตวัยผู้ใหญ่ของพวกเขาพร้อมการใช้จ่ายด้วยเครดิตที่มากขึ้น อัตราการค้างชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงอัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้รวมที่สูงขึ้นกว่าชาวมิลเลนเนียลตอนอายุเท่ากัน โดยกลุ่มคนอายุ 22-24 ปีมีอัตราส่วนภาระหนี้ต่อรายได้รวมที่ 16% เทียบกับ 12% ของชาวมิลเลนเนียลในปี 2013 แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="https://www.bloomberg.com/news/articles/2024-05-08/gen-z-is-relying-more-on-credit-cards-loans-than-millennials-did" alt="Gen Z Is Relying on Debt More Than Millennials Did at This Age">Gen Z Is Relying on Debt More Than Millennials Did at This Age</a>​ ภาพ:&nbsp;Monstera Production on Pexels เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/digital-wallet-update-may-2024" alt="สรุป Digital Wallet 10,000 บาท ตัดเกณฑ์ &quot;เงินฝาก - รายได้ - อายุ&quot; วันไหน?">สรุป Digital Wallet 10,000 บาท ตัดเกณฑ์ "เงินฝาก - รายได้ - อายุ" วันไหน?</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ค่าครองชีพสูง รายได้ต่ำ ทำ Gen Z เริ่มต้นชีวิตผู้ใหญ่ด้วยการเป็นหนี้

<h2>ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) และ บริษัท เนชั่นแนลดิจิทัลไอดี จำกัด (NDID) เปิดให้บริการตรวจสอบข้อมูลเครดิต และ เครดิตสกอริ่ง ผ่านแอปพลิเคชัน KKP e-Banking แบบ “เรียลไทม์ (Real Time)” ครั้งแรกในประเทศไทย อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าของธนาคารเกียรตินาคินภัทร ไม่ต้องรอรับรายงานภายใน 7 วันทำการ</h2>
อนุชิต อนุชิตานุกูล ที่ปรึกษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในระยะแรก บริการนี้ใช้ประโยชน์จากโครงสร้าง NDID เพื่อช่วยให้มีการยืนยันตัวตนของผู้ขอข้อมูลเครดิตซึ่งเป็นข้อมูลส่วนตัวได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วที่สุด คือแบบเรียลไทม์ ดังนั้น กระบวนการขอสินเชื่อที่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลเหล่านี้ประกอบ ก็จะใช้เวลาและเอกสารน้อยลง ยิ่งกว่านั้น

ในระยะต่อไป การเข้าถึงข้อมูลเครดิตที่ง่าย ปลอดภัย และเรียลไทม์ ยังเอื้อต่อการที่ธนาคารจะใช้ข้อมูลเหล่านี้พิจารณาอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมตามระดับเครดิต เช่น ผู้กู้ที่เครดิตดีก็จะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินให้กับผู้บริโภค และในขณะเดียวกันก็เสริมสร้างให้ประชาชนทุกคนมีวินัยทางการเงินที่ดี เพื่อรักษาระดับเครดิตของตนด้วย

ธนาคารเกียรตินาคินภัทรเล็งเห็นว่าการเข้าถึงข้อมูลเครดิตอย่างรวดเร็วและปลอดภัยจะสร้างประสิทธิภาพและลดต้นทุนการเสียโอกาสให้กับทั้งระบบเศรษฐกิจ จึงได้ร่วมมือกับเครดิตบูโร และ NDID เพื่อพัฒนาระบบจนสำเร็จลุล่วงในวันนี้ ซึ่งจะมีขึ้นที่ธนาคารเกียรตินาคินภัทรเป็นที่แรกของประเทศ”

ด้าน สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) กล่าวว่า "ความร่วมมือของทั้งสามหน่วยงานในระบบสถาบันการเงินไทยวันนี้ จะกระตุ้นให้เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่สำคัญของตัวลูกค้าในโลกดิจิทัลอย่างน้อย 3 เรื่องคือ

(1) การเตรียมความพร้อมก่อนขอสินเชื่อต่างๆ จากสถาบันการเงิน คือรู้จักตัวเราเองก่อนไปคุยกันในรายละเอียดกับคนให้กู้ รู้ตัวเองว่าประวัติการก่อหนี้ และการชำระหนี้ในอดีตตนเองเป็นอย่างไร มีคะแนนเครดิตหรือเครดิตสกอริ่ง (Credit Scoring) ระดับไหน เป็นคนมีความเสี่ยงที่จะชำระหนี้ไม่ได้ระดับไหน

(2) รู้จักการพิสูจน์และการยืนยันตัวตนผ่านระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตน (Know your customer หรือ KYC) ในโลกยุคดิจิทัล ผ่าน Mobile Application และ (3) รู้จักการสมัครหรือการขอสินเชื่อผ่านเครื่องมือสื่อสาร เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยไม่ต้องใช้เอกสารที่เป็นกระดาษตั้งแต่ยื่นขอ ได้รับอนุมัติ เงินเข้าบัญชีเพื่อการเบิกถอนไปใช้ตามวัตถุประสงค์"

<figure><img class="wp-image-37811 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/11/เครดิตสกอริ่ง_003.jpg" alt="" width="600" height="403" /><figcaption> (จากขวา) อนุชิต อนุชิตานุกูล ที่ปรึกษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน), สุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) และ บุญสันต์ ประสิทธิ์สัมฤทธิ์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท เนชั่นแนลดิจิทัลไอดี จำกัด (NDID)</figcaption></figure>

ที่ผ่านมา เครดิตบูโรดำเนินการพัฒนาและให้ความสำคัญในการเข้าถึงข้อมูลเครดิตของตนเองมาอย่างต่อเนื่อง โดยอำนวยความสะดวกให้กับเจ้าของข้อมูลในการตรวจสอบรายงานข้อมูลเครดิตได้อย่างรวดเร็ว หลากหลายช่องทาง อันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในช่วยตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลเครดิตของตนเองและเพื่อป้องกันภัยการเงินในยุคปัจจุบัน

รวมทั้งการรณรงค์สร้างวัฒนธรรม “ออมก่อนกู้ คิดก่อนใช้ มีวินัย เมื่อมีหนี้” เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนมีการวางแผนการเงิน พร้อมมีวินัยในการออมเงินและรักษาเครดิตของตนเอง เป็นการกระตุ้นและส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปได้ตระหนักในเรื่องการออม ภาระหนี้    การบริหารจัดการหนี้ การมีวินัย ใช้หนี้ครบใช้หนี้ตรงตามเวลา เพราะอยากเห็นคนไทยมีวินัยทางการเงินเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ขณะที่ บุญสันต์ ประสิทธิ์สัมฤทธิ์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท เนชั่นแนลดิจิทัลไอดี จำกัด (NDID) กล่าวว่า “NDID เป็นโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล โดย NDID เป็น Platform กลาง มีสมาชิกที่ทำหน้าที่ให้บริการพิสูจน์ และยืนยันตัวตน และสมาชิกที่มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือเป็นผู้ให้บริการบน NDID Platform ซึ่งทั้งธนาคารเกียรตินาคินภัทร และบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ ได้ให้เกียรติเป็นสมาชิก

โดย NDID ขอขอบคุณทั้ง 2 หน่วยงานที่ได้ให้ความไว้วางใจใน NDID Platform และผลักดันให้เกิดการให้บริการตรวจสอบข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่งผ่านแอปพลิเคชัน KKP e-Banking แบบ “เรียลไทม์” ในวันนี้ บริการ NDID นั้น ดำเนินงานอยู่บน Blockchain มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับมาตรฐาน และความน่าเชื่อถือของการทำธุรกรรมออนไลน์ โดยเริ่มจากก้าวแรกคือการพิสูจน์และยืนยันตัวตนของผู้ทำธุรกรรม และต่อยอดไปสู่ขั้นตอนอื่นๆ ได้อย่างมั่นใจ ”

ทั้งนี้ บริการนี้ได้รับการยอมรับและอยู่ภายใต้โครงการ Regulatory Sandbox ของธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้มีบัญชีเงินฝากกับธนาคารเกียรตินาคินภัทร และใช้บริการ NDID อยู่แล้ว สามารถดาวน์โหลด แอปพลิเคชัน KKP e-Banking เพื่อใช้บริการการเรียกดูข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่งได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/commentaries/insights/%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A5-sea-%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%A3.html">เศรษฐกิจดิจิทัล “SEA” โตเร็วแต่ขาดบูรณาการ</a>
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events