<h2>ผลสำรวจพบ คนไทย 1 ใน 4 กำลังควบคุมอาหาร 65% ให้ความสำคัญกับส่วนผสมที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น และ 41% ใส่ใจในเรื่องฉลากโภชนาการบนสินค้า อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จึงขอส่งระบบ NPS-M นวัตกรรมประเมินสารอาหาร มาช่วยแนะนำมื้ออาหารที่สมดุลและเหมาะสมกับร่างกาย เตรียมขยายผลการใช้ในร้านอาหารและภาครัฐ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้าตอบรับเทรนด์สุขภาพที่กำลังมาแรง ด้วยการชูนวัตกรรม NPS-M (Nutrient Profiling System for Meals) ระบบประเมินสารอาหารในมื้ออาหารและแนะนำตัวเลือกที่ดีต่อสุขภาพ เปิดแนวทางปฏิบัติมุ่งแก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการในภูมิภาคอาเซียน เตรียมผลักดันความร่วมมือกับภาครัฐเพื่อขับเคลื่อนเชิงนโยบาย และส่งเสริมความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ผู้บริโภคในวงกว้างต่อไปในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัญหาภาวะทุพโภชนาการ หรือภาวะที่ร่างกายได้รับพลังงานหรือสารอาหารในปริมาณที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะโรคอ้วนและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งคนไทยเป็นโรคอ้วนสูงเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน รองจากมาเลเซีย และจากผลสำรวจของ Euromonitor พบว่าคนไทย 1 ใน 4 กำลังควบคุมอาหาร 65% ให้ความสำคัญกับส่วนผสมที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น และ 41% ใส่ใจในเรื่องฉลากโภชนาการบนสินค้า สะท้อนถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นในการเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพอย่างยั่งยืน​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/e7622CRt1SXF4cSTdWbc.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="e7622CRt1SXF4cSTdWbc.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"><figcaption><div>ภักษ์ภัสสร สระฉันทพงษ์ นักกำหนดอาหารวิชาชีพ</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การศึกษาเรื่องสารอาหาร (Nutrient Profiling: NP) ในประเทศไทย พบว่า มีวิธีการช่วยเหลือให้ผู้บริโภคได้รับประทานอาหารถูกต้องตามหลักโภชการหลากหลายรูปแบบ โดยหนึ่งในนั้นคือ สัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภาพ (Healthier Choice Logo: HCL) ซึ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์อาหารในบรรจุภัณฑ์เป็นหลัก แต่เนื่องจากวัฒนธรรมไทยมักรับประทานอาหารเป็นอาหารปรุงสด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การพัฒนาระบบการให้คะแนนสารอาหารในมื้ออาหารไทย (NPS-M) และเมนูอาหารไทย (NPS-D) จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อลดช่องว่างดังกล่าว โดยเกณฑ์ดังกล่าวมีความสอดคล้องกับ ปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวันสำหรับคนไทยอายุตั้งแต่ 6 ปี ขึ้นไป (Thai RDI)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภักษ์ภัสสร สระฉันทพงษ์ นักกำหนดอาหารวิชาชีพ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “กลุ่มบริษัทอายิโนะโมะโต๊ะ ได้พัฒนานวัตกรรม NPS-M and D (Nutrient Profiling System for Meal and Dish) ระบบประเมินปริมาณสารอาหารใน 1 มื้อและในเมนูอาหารแต่ละประเภท ซึ่งสามารถประเมินเมนูอาหารปรุงสดได้อย่างครอบคลุม โดยเฉพาะอาหารปรุงสดและสตรีทฟู้ดที่เป็นสไตล์การกินที่คุ้นเคยและแพร่หลายอย่างมากในสังคมไทย ตอบโจทย์การประเมินสารอาหารในเมนูอาหารตามร้านอาหาร ทั้งพลังงาน กลุ่มอาหาร และสารอาหารที่เป็นประเด็นด้านสุขภาพในปัจจุบัน <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/2WBNJKA9p31KE2dKsxih.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="2WBNJKA9p31KE2dKsxih.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" data-rotatex="" data-rotatey="" style="" data-index="1"><figcaption><div>นวัตกรรม NPS-M แอปพลิเคชั่น i-LiveWell</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นวัตกรรม NPS-M and D จะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเลือกรับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนและเหมาะสมกับความต้องการของแต่ละคนได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้น ทั้งยังคงความอร่อยกับเมนูที่ชอบได้เช่นเดิม โดยกลุ่มบริษัทอายิโนะโมะโต๊ะคาดหวังที่จะร่วมมือกับภาครัฐเพื่อขับเคลื่อนเชิงนโยบาย และส่งเสริมความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ผู้บริโภคในวงกว้างต่อไปในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ในส่วนของอายิโนะโมะโต๊ะ ประเทศไทย ได้ศึกษาและทดลองใช้ระบบ NPS-M ในโรงอาหารของสำนักงานใหญ่ โดยแนะนำวิธีการจัดมื้ออาหาร รวมถึงแนะนำมื้ออาหารที่ดีต่อสุขภาพให้กับพนักงาน ซึ่งช่วยให้พนักงานสามารถตัดสินใจเลือกเมนูที่ทำให้ได้โภชนาการที่สมดุลได้ง่ายยิ่งขึ้น” ภักษ์ภัสสรเล่า “ทั้งยังเพิ่มการตระหนักรู้และสร้างแรงจูงใจในการดูแลสุขภาพตนเอง ผ่านเซอร์วิสสำหรับองค์กร แอปพลิเคชัน i-LiveWell”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แอป i-LiveWell แพลตฟอร์มกินดีมีสุขฉบับมนุษย์เงินเดือน เป็นแอปที่ช่วยยกระดับสุขภาพพนักงานออฟฟิศผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล พร้อมส่งเสริมการดูแลสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจในเชิงองค์รวม สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของอายิโนะโมะโต๊ะในการสร้างสุขภาพที่ดีจากภายในองค์กรเพื่อเป็นต้นแบบสู่การส่งเสริมสุขภาพในสังคมไทยอย่างยั่งยืน ภาพ: อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/sb-design-square-opened-pet-lovers-corner-targeting-pet-parents" alt="เอสบี ดีไซน์สแควร์ เอาใจ Pet Parent เปิดโซน Pet Lovers Corner รวมเฟอร์นิเจอร์เพื่อคนรักสัตว์เลี้ยง">เอสบี ดีไซน์สแควร์ เอาใจ Pet Parent เปิดโซน Pet Lovers Corner รวมเฟอร์นิเจอร์เพื่อคนรักสัตว์เลี้ยง</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

คนไทย 1 ใน 4 กำลังควบคุมอาหาร อายิโนะโมะโต๊ะขอส่งนวัตกรรม NPS-M ระบบประเมินสารอาหาร ช่วยตัดสินใจก่อนกิน

<h2>Min-Han Tan ผู้ก่อตั้ง Lucence Life Sciences ได้รับการหนุนหลังจากน้องชายผู้เป็นเศรษฐีพันล้าน อีกทั้งอุปกรณ์ทดสอบเลือดเพื่อตรวจหาโรคมะเร็งของเขาก็ได้รับการอนุมัติจาก Medicare และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ยังมีความท้าทายอีกหลายอย่างข้างหน้าที่จะนำไปสู่การทำกำไร </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การระดมทุนนี้เกิดขึ้นไม่นานหลังจากเขาก่อตั้งบริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพสัญชาติสิงคโปร์ Lucence Life Sciences ผู้คิดค้นพัฒนาอุปกรณ์ทดสอบเลือดที่กำลังพลิกโฉมการวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งไปอย่างสิ้นเชิง “ผมได้ให้สัญญาไว้ 3 ข้อ” Tan ผู้ควบตำแหน่งประธานกรรมการและซีอีโอของ Lucence เล่าถึงเหตุการณ์ในอดีตขณะนั่งอยู่ ณ สำนักงานภายในเขตนิคมอุตสาหกรรมโซนรอบนอกศูนย์กลางธุรกิจของสิงคโปร์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อแรกคือ การทำให้ผลิตภัณฑ์เรือธงตัวแรกของบริษัทได้รับอนุมัติจาก Medicare ระบบประกันสุขภาพของสหรัฐฯ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวคืออุปกรณ์ตรวจเลือดที่สามารถบ่งชี้ข้อมูลโรคมะเร็ง 15 ชนิด ซึ่งรวมถึงมะเร็งปอด มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ เพื่อช่วยให้การเลือกวิธีรักษาผู้ป่วยมะเร็งมีประสิทธิภาพกว่าเดิม ข้อที่ 2 คือ ดำเนินการวิจัยทดลองทางคลินิกให้เสร็จสิ้นเพื่อเปรียบเทียบเทคโนโลยีของบริษัทกับคู่แข่ง ส่วนข้อที่ 3 คือ พัฒนาการตรวจหาเซลล์มะเร็งที่ครอบคลุมโรคมะเร็งหลายชนิดตั้งแต่ก่อนแสดงอาการ<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/L1X88m77tAE1BBgLBWVj.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="L1X88m77tAE1BBgLBWVj.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากนั้น 6 ปีสัญญาที่ให้ไว้ทั้ง 3 ข้อก็บรรลุเป้าหมาย ผู้เชี่ยวชาญสาขามะเร็งวิทยาและทีมงานของเขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในเดือนกุมภาพันธ์ปีที่ผ่านมาเมื่อ LiquidHallmark อุปกรณ์ตรวจเลือดคัดกรองมะเร็งระยะสุดท้ายได้รับการอนุมัติจาก Medicare ซึ่ง Tan กล่าวว่า บริษัทเป็นเอเชียรายแรกที่สามารถเจาะเข้าสู่ระบบประกันสุขภาพของสหรัฐฯ เมื่อผู้รับสิทธิ์ประกันสามารถเบิกค่าตรวจวินิจฉัยได้สิ่งนี้จะเป็นกุญแจสำคัญที่นำพาบริษัทสู่เส้นทางในการทำกำไร เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2023 บริษัทได้วางตลาดผลิตภัณฑ์เรือธงตัวที่ 2 ในภูมิภาคเอเชีย LucenceInsight อุปกรณ์ตรวจโรคมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มต้น สามารถคัดกรองมะเร็งกว่า 50 ชนิด ต่อมาในเดือนธันวาคมบริษัทนำเสนอผลวิจัยทางคลินิกที่ระบุว่า เทคโนโลยีที่ใช้ใน LiquidHallmark สามารถตรวจหาสารบ่งชี้ทางชีวภาพสำหรับมะเร็งปอดได้ตรงตามข้อแนะนำมากกว่าผลิตภัณฑ์จากคู่แข่ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทว่า Tan วัย 49 ปี รู้ดีว่าภาระอันหนักหน่วงเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น การแข่งขันจะเข้มข้นยิ่งขึ้นเมื่อบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ตบเท้าเข้าสู่ตลาด ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเผยว่า ขณะนี้มีบริษัทมากถึง 50 แห่งจากทั่วโลกที่กำลังแข่งขันอยู่ในสมรภูมิผลิตภัณฑ์ตรวจทดสอบโรคมะเร็ง Tan ยอมรับว่าความปลาบปลื้มจากการผ่านเข้าสู่ระบบของ Medicare และธุรกิจเพิ่มเติมที่จะตามมาถูกแทนที่อย่างรวดเร็วด้วยความกังวลเกี่ยวกับอนาคต เส้นทางสู่การสร้างตัวเลขกำไรนั้นยาวนานและเต็มไปด้วยอุปสรรคจากกฎระเบียบการขออนุญาตหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอันสลับซับซ้อน การลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาที่กินเวลาหลายปี การรักษาความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการวางแผนกลยุทธ์เพื่อเจาะตลาด Tan กล่าวว่า ในธุรกิจนี้ “มีอุปสรรคท้าทายมากมายที่กระหน่ำเข้ามาไม่จบไม่สิ้น”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ดีการมีน้องชายผู้รั้งตำแหน่งเศรษฐีพันล้านหนุนหลังนับเป็นเรื่องที่ช่วยได้มาก Min-Liang Tan (หรือที่เพื่อนๆ มักเรียกเขาว่า Min) ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Razer บริษัทไลฟ์สไตล์ด้านเกมชั้นนำระดับโลกซึ่งอายุน้อยกว่า Tan 2 ปี ประสบความสำเร็จมาก่อนจากการสร้างตลาดเฉพาะในทั่วโลกโดยเริ่มจากการเจาะตลาดสหรัฐฯ อดีตนักกฎหมายผันตัวมาก่อตั้ง Razer ในปี 2005 และมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิตามการประเมินราว 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปัจจุบันเขาเป็นนักลงทุนรายหลักของ Lucence และตัวแทนจากสำนักงานครอบครัว Chen Capital ของเขานั่งตำแหน่งกรรมการบริษัท เมื่อรวมกัน 2 พี่น้อง Tan ถือครองหุ้นสัดส่วนใหญ่ในบริษัท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เส้นทางการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมามีความหมายลึกซึ้งกับพี่น้องคู่นี้ “เราตั้งใจพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อช่วยผู้ป่วย แต่ผมไม่คาดคิดว่า ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์คนแรกจะเป็นแม่ (ของเรา)” Tan กล่าวถึงผู้ใช้อุปกรณ์ทดสอบ LiquidHallmark คนแรกในปี 2007&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ท้ายที่สุดอุปกรณ์ทดสอบเลือดก็ได้แสดงประสิทธิผล ผลตรวจช่วยให้เราเลือกวิธีรักษาที่ดีที่สุดสำหรับแม่” ทั้งนี้แม่ของพวกเขาซึ่งป่วยด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะที่ 4 และมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น เสียชีวิตในเวลาถัดมาของปีดังกล่าว Min-Liang เล่าในการให้สัมภาษณ์เดี่ยว ณ สำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ของ Razer ว่า เรื่องนี้&nbsp;“เป็นหนึ่งในแรงผลักดันของเรา” เขาเสริมว่า พี่ชายของเขา “ช่วยได้ในเรื่องมันสมอง และผมสามารถช่วยได้ในด้านเงินทุน”<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/NW7QmstyQbuPEVsMGmcj.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="2" data-file-name="NW7QmstyQbuPEVsMGmcj.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ดี Tan และน้องชายของเขาวางเป้าหมายธุรกิจในระยะยาว Min-Liang กล่าวว่า “ผมมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าต่อวิสัยทัศน์และพันธกิจของ Lucence และผมมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการระดมทุนในรอบต่อๆ ไปของบริษัท” Tan เสริมว่า “เรามาถึงจุดที่เทคโนโลยีไม่เพียงช่วยให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายเลือกวิธีรักษาได้เหมาะสมที่สุด แต่ยังสามารถตรวจพบโรคมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มต้นเพื่อให้ผู้ป่วยตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง”หมายเหตุ: Lucence ติดทำเนียบ Forbes Asia 100 to Watch ปี 2023 และ ได้รับรางวัลชนะเลิศในการแข่งขันธุรกิจ FedEx Small Business Grant Contest ซึ่งจัดขึ้นระหว่างการจัดงาน Forbes Asia 100 to Watch Forum เมื่อเดือนเมษายนปีที่ผ่านมา บทความนี้เขียนขึ้นโดยไม่เกี่ยวข้องกับการแข่งขัน เรื่อง: JESSICA TAN เรียบเรียง: นวตา สันติวัฒนา ภาพ: MUNSTER CHEONG ​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/asia/tsmc-taiwan-catching-ai-trend" alt="เกาะกระแส AI พุ่ง บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ไต้หวันคว้าโอกาสสร้างการเติบโต"></a><a href="https://forbesthailand.com/world/america/kings-hawaiian-mark-taira-2024" alt="Mark Taira ผู้เปลี่ยนร้านเบเกอรี่ครอบครัว ให้เติบโตสู่ทรัพย์สินกว่า 2,000 ล้านเหรียญ">Mark Taira ผู้เปลี่ยนร้านเบเกอรี่ครอบครัว ให้เติบโตสู่ทรัพย์สินกว่า 2,000 ล้านเหรียญ</a>​ ​<a href="https://www.mebmarket.com/ebook-324639-Forbes-Thailand-October-2024" alt="คลิกอ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure><a href="https://www.mebmarket.com/ebook-324639-Forbes-Thailand-October-2024" alt="https://www.mebmarket.com/ebook-324639-Forbes-Thailand-October-2024" data-image-link="image"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/mjwECCEF6Lir3QT1ERKF.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="mjwECCEF6Lir3QT1ERKF.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="300px,auto" data-rotate="" origin-size="300,394" data-image-link="https://www.mebmarket.com/ebook-324639-Forbes-Thailand-October-2024" style="width: 300px; height: auto;" data-index="0"></a></figure></div>

Min-Han Tan ผู้ก่อตั้งบริษัทอุปกรณ์ตรวจหาโรคมะเร็งสัญชาติสิงคโปร์ ตั้งเป้าถึงจุดคุ้มทุนในปี 2024

<h2>กองทุน Disrupt Health Impact Fund ที่เปิดตัวเมื่อพฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา ปิดดีลเข้าลงทุนในบริษัท “DiaMonTech” สตาร์ทอัพ DeepTech สัญชาติเยอรมัน ผู้คิดค้นและเป็นเจ้าของหลายสิทธิบัตรนวัตกรรมการตรวจวัดระดับกลูโคสในร่างกาย โดยไม่ต้องเจาะเลือด เผยอยู่ระหว่างหาโอกาสเข้าลงทุนบริษัท DeepTech เพิ่มเติมให้ครบ 15 บริษัทภายใน 3 – 5 ปี ตามแผน </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายกระทิง พูนผล ประธานกองทุน Disrupt Health Impact Fund กองทุน 500 TukTuks และ ORZON Ventures เปิดเผยว่า Healthcare เป็นหนึ่งใน 3 ตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากปัจจัยสังคมสูงวัยที่แนวโน้มอายุขัยเฉลี่ยพลเมืองโลกที่มีอายุยืนขึ้น รวมถึงเกิดเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก ที่นำไปสู่การพลิกโฉมทางการแพทย์<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/JvvuKfrhr7i7tyKmfBEX.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="3" data-file-name="JvvuKfrhr7i7tyKmfBEX.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""><figcaption><div>​นายกระทิง พูนผล ประธานกองทุน Disrupt Health Impact Fund กองทุน 500 TukTuks และ ORZON Ventures​</div></figcaption></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะเดียวกันยังได้ผลดีจากตลาดการดูแลตัวเอง หรือ Self-care ซึ่งทั้งภาครัฐและผู้บริโภคต่างหันมาใส่ใจการดูแลสุขภาพมากขึ้น ส่งผลตลาด Self-care medical device ในปี 2575 จะขยายตัวสู่ 42,600 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.44 ล้านล้านบาท (จากปี 2566 ที่อยู่ราว 24,400 ล้านเหรียญสหรัฐ)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ การลงทุนใน DiaMonTech จึงเป็นโอกาสสร้างการเติบโตในอุตสาหกรรม Healthcare เพราะการตรวจวัดค่าน้ำตาลเป็นปัญหาสำคัญ เป็นที่ต้องการมากในตลาด และมีมูลค่าตลาดรวมขนาดใหญ่ ครอบคลุมทั้งผู้ป่วยและกลุ่มคนทั่วไป ที่สำคัญคือเป็นโซลูชันที่สามารถขยายไปได้ทั่วโลก<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/vd2R2qFSp3dzbzADpjiC.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="vd2R2qFSp3dzbzADpjiC.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,480"><figcaption><div>นางสาวจันทนารักษ์ ถือแก้ว กรรมการผู้จัดการ&nbsp;Disrupt</div></figcaption></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นางสาวจันทนารักษ์ ถือแก้ว กรรมการผู้จัดการ ดิสรัปท์ เทคโนโลยี เวนเจอร์ หรือ Disrupt และผู้บริหารกองทุน Disrupt Health Impact Fund กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งกับโอกาสในการเข้าลงทุนกับ “DiaMonTech” สตาร์ทอัพ DeepTech สัญชาติเยอรมัน ผู้คิดค้นและเป็นเจ้าของสิทธิบัตรนวัตกรรมการตรวจวัดระดับกลูโคสในร่างกายโดยไม่ต้องเจาะเลือด เพียงวางนิ้วมือบนเครื่อง 30 วินาทีก็สามารถวัดค่าได้ ทำให้วัดค่าได้บ่อยและสะดวกกว่าการเจาะเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานกว่า 530 ล้านรายทั่วโลก”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม เบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ใช้เวลานานในการรักษา และอาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้ ในประเทศไทยมีผู้เป็นเบาหวานมากถึง 5.2 ล้านคน หรือ 1 ใน 11 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าเทคโนโลยีของ DiaMonTech จะช่วยให้การ self-care เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายในชีวิตประจำวันมากขึ้น และยังได้ข้อมูลที่จะช่วยให้แพทย์สามารถติดตามอาการได้ดีขึ้น ซึ่งจะสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างมากต่อชีวิตผู้คน ทั้งกลุ่มผู้ป่วย และกลุ่มคนทั่วไปในการป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นเบาหวาน<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/EUv1r3fRgkNv5JJGVz3k.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="EUv1r3fRgkNv5JJGVz3k.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,452"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นางสาวณรัณภัสสร์ ฐิติพัทธกุล ผู้บริหารกองทุน Disrupt Health Impact Fund กล่าวว่า ทางกองทุน Disrupt Health Impact Fund เฟ้นหาสตาร์ทอัพทั่วโลกมากกว่า 1,000 ราย และคัดเลือกเพียง 97 รายที่ตรงกับเกณฑ์ ก่อนคัดกรองเหลือเพียง 49 รายและนำไปวิเคราะห์ศึกษาข้อมูลเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการลงทุน ซึ่งมี DiaMonTech เพียงรายเดียวที่ได้รับการสนับสนุนจากเสียงส่วนมากของทั้งผู้บริหารกองทุน ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์จากทางเครือโรงพยาบาลสมิติเวช และคณะที่ปรึกษาด้านการแพทย์และวิศวกรรมจากทางมหาวิทยาลัยมหิดล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เหตุผลหลักที่เลือกลงทุนกับ DiaMonTech คือเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนและเลียนแบบยาก เจ้าของสิทธิบัตรพัฒนามาจากงานวิจัยกว่า 10 ปีของศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเกอเธ่ จากการศึกษาตลาดเครื่องวัดกลูโคสทั่วโลก พบว่าหลายบริษัทได้พยายามคิดค้นวิธีการวัดระดับกลูโคสในร่างกายแบบไม่ต้องเจาะเลือด ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี ความท้าทายหลักก็คือความในการตรวจวัดที่แม่นยำเทียบเท่ากับการเจาะเลือด วิธีการของ DiaMonTech มีความน่าเชื่อถือเพราะเป็นการวิจัยแบบการศึกษาไปข้างหน้า หรือ prospective study และผลวิจับยังได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการระดับโลกอีกด้วย ทำให้เรามั่นใจว่าการสนับสนุน DiaMonTech จะช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อการดูแลสุขภาพของประชาชน และเป็นการลงทุนที่มีโอกาสเติบโตสูง” นางสาวณรัณภัสสร์ กล่าว<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/3eWKRr7k6E4avW35Ftx4.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="2" data-file-name="3eWKRr7k6E4avW35Ftx4.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""><figcaption><div>​&nbsp;นายธอร์สเทน ลูบินสกี ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหาร DiaMonTech​</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายธอร์สเทน ลูบินสกี ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหาร DiaMonTech กล่าวว่า เครื่องวัดระดับกลูโคสในร่างกายโดยไม่ต้องเจาะเลือด หรือ D-pocket ขณะนี้กำลังอยู่ช่วงขอการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ก่อนนำออกสู่ตลาด การได้รับเงินลงทุนและความร่วมมือจากกองทุน Disrupt Health Impact Fund เชื่อว่าจะช่วยให้ DiaMonTech สามารถนำนวัตกรรมดังกล่าวเข้าไปถึงผู้คนได้มากขึ้นและเร็วขึ้น รวมถึงมีเครือข่ายที่มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Healthcare ทั้งจากภาครัฐและเอกชนในไทยและในภูมิภาค&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กองทุน Disrupt Health Impact Fund มีเป้าหมายลงทุนระยะแรกราว 17 – 50 ล้านบาทต่อ 1 บริษัท โดยในช่วง 3 – 5 ปีจากนี้ มีแผนลงทุนใน 15 บริษัท DeepTech ด้าน Healthcare ทั้งในไทยและต่างประเทศ ด้วยนโยบายลงทุน 5 ด้าน คือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- การดูแลสุขภาพด้วยตนเอง (Self Care) &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- เวชศาสตร์ป้องกันโรค (Preventive Care) &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ผู้สูงวัย (Silver Age) &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Wellness) &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- โรงพยาบาลอัจฉริยะ (Smart Hospital)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ กองทุนฯ จะเฟ้นหานวัตกรรมระดับโลกในระยะออกสู่ตลาดแล้ว (Commercialized) หรืออยู่ระหว่างการวิจัยในคน (Clinical Trial) เพื่อขอการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ในด้านของนักลงทุน ปัจจุบันกองทุนมีนักลงทุนรวม 7 ราย เพิ่มขึ้นจากเดิม 3 รายซึ่งเป็นนักลงทุนส่วนบุคคลที่สนใจธุรกิจ Health &amp; Wellness ที่ต้องการร่วมกันต่อยอดโอกาสทางธุรกิจและเพิ่มโอกาสในการลงทุนตรงในบริษัทที่มีศักยภาพ ภาพ:&nbsp;Disrupt เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/property/eia-approved-sasa-hua-hin-will-continue-construction-in-early-2025" alt="‘ซาซ่าส์ หัวหิน’ ผ่านอนุมัติ EIA พร้อมเดินหน้าก่อสร้างต่อต้นปี 68 รับดีมานด์อสังหาฯ ทั้งจากลูกค้าไทยและต่างชาติ"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/it/samsung-launches-galaxy-ring-in-thailand" alt="ซัมซุงเปิดตัว Galaxy Ring ในไทยแล้ว แหวนอัจฉริยะติดตามสุขภาพ ราคา 14,900 บาท">ซัมซุงเปิดตัว Galaxy Ring ในไทยแล้ว แหวนอัจฉริยะติดตามสุขภาพ ราคา 14,900 บาท</a><a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/other/b-grimm-power-first-half-2024-revenue" alt="‘บี.กริม เพาเวอร์’ ครึ่งปีแรก 67 กำไรสุทธิ 1,091 ล้าน โต 2.3% หลังขายไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้น 10.4%"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/global/new-york-cocoa-futures-surpasses-10000-dollars" alt="แพงจนฉุดไม่อยู่! ราคาซื้อขาย ‘โกโก้’ ล่วงหน้า พุ่งทะลุตันละ 10,000 เหรียญ เป็นครั้งแรก"></a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

กองทุน Disrupt Health Impact Fund ปิดดีลแรกลงทุนใน ‘DiaMonTech’ ชูนวัตกรรมวัดระดับกลูโคสไม่ต้องเจาะเลือด

<h2>HeartFlow ระดมเงินทุนได้ 467 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการคิดค้นเทคนิคใหม่ในการตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจแต่ปัญหาคืออาจไม่ช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการดีกว่าเดิมมากนัก</h2>
ออฟฟิศบริเวณมุมตึกของ John Stevens ในเมือง Redwood City รัฐ California อยู่ในมุมที่สามารถมองเห็นวิวอันสวยงามของสะพาน San Francisco-Oakland Bay ถึงแม้โต๊ะทำงานของเขาได้ผ่านการใช้งานสืบทอดกันมายาวนาน และรอยแตกบนเก้าอี้บุหนังได้บอกเล่าถึงประวัติความเป็นมาของมันในฐานะเก้าอี้ของ Ikea ที่วางโชว์อยู่ “เราน่าจะซื้อเก้าอี้ใหม่ใช้ได้บ้างแล้วนะตอนนี้” เขากล่าว

คุณคงเชื่อเช่นนั้น HeartFlow สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีสุขภาพ ซึ่ง Stevens เป็นประธานและซีอีโอ ระดมเงินทุนได้ 467 ล้านเหรียญ จนมีมูลค่าตลาด 1.5 พันล้านเหรียญ จากนักลงทุนจำนวนมาก เช่น Wellington Management, Baillie Gifford &amp; Co., GE Ventures และ BlueCross BlueShield Ventures

ตามข้อมูลของ Pitchbook มูลค่าดังกล่าวตั้งอยู่บนแนวคิดอันยิ่งใหญ่ที่ว่า การตรวจโรคที่ไม่ต้องใส่อุปกรณ์การแพทย์เข้าไปในร่างกาย เพื่อดูภาวะอุดตันภายในหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ ปัจจุบันการตรวจเช่นนั้นต้องใส่สายสวนเข้าไปจากบริเวณขาหนีบขึ้นไปที่หัวใจ และวัดการไหลเวียนของเลือด นับเป็นกระบวนการที่มีความเสี่ยงเล็กน้อยเรียกว่า การใช้สายวัดแรงดันในหลอดเลือดหัวใจ (FFR) ซึ่งทำกันเป็นจำนวนล้านครั้งต่อปีไปทั่วโลกแล้ว

เพื่อจะได้ตัดสินใจว่า ผู้ป่วยจำเป็นต้องใส่ขดลวดหัวใจวาย ถ่างขยายหลอดเลือดที่ตีบตันหรือไม่ จากการใช้ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาด้วยอัลกอริทึมเทคโนโลยีการเรียนรู้เชิงลึก HeartFlow เปิดเผยว่า สามารถดำเนินการตรวจวัดผลดังกล่าวที่คล้ายกันจากการทำซีทีสแกนอีกทั้งยังมีความเสี่ยงน้อยกว่า ให้ภาพสามมิติของหัวใจที่สร้างขึ้นจากการเอกซเรย์ โดยโครงการประกันสุขภาพของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้จ่ายเงินคืนเต็มตามจำนวนจริงให้ HeartFlow ถึง 1,450 เหรียญต่อหนึ่งการทดสอบ

“นี่จะเป็นวิธีการที่ได้ผลดีที่สุดในการตรวจสอบโรคหลอดเลือดหัวใจ และปลอดภัยกว่าวิธีอื่นๆ ในตลาด” Bill Weldon ประธาน ของ HeartFlow และอดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Johnson &amp; Johnson กล่าว

ผลดีของเทคโนโลยีนี้อาจนำไปสู่คำถามที่ลึกซึ้งกว่าว่า ขดลวดมีประสิทธิภาพมากแค่ไหนในการรักษาโรคหัวใจ และคุณจำเป็นต้องรู้หรือไม่ว่าหลอดเลือกแดงเปิดหรือปิดอยู่

<img class="alignnone wp-image-3397 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/heartflow.jpg" alt="heartflow" width="638" height="402" />

HeartFlow เริ่มก่อร่างขึ้นโดย Charles Taylor ซึ่งเป็นนักศึกษาปริญญาเอกในปี 1990 เขากำลังศึกษาว่ากระแสลมไหลเข้าไปยังปีกเครื่องบินขับไล่ได้อย่างไร บางทีอาจเป็นการคำนวณแบบเดียวกันที่ช่วยอธิบายว่าเลือดไหลไปหล่อเลี้ยงหัวใจได้อย่างไร เขาไปเจอกับ Christopher Zarins หัวหน้าฝ่ายศัลยกรรมหลอดเลือด ที่วิทยาลัยการแพทย์ของ Stanford University ซึ่งคว้าปริญญาเอกจากการศึกษาเกี่ยวกับโรคหัวใจ และกลายเป็นศาตราจารย์สอนที่มหาวิทยาลัย Stanford

พวกเขาร่วมกันก่อตั้ง HeartFlow ขึ้นในปี 2007 Taylor เป็นประธานฝ่ายเจ้าหน้าที่ด้านเทคโนโลยีของ HeartFlow ที่ทำการศึกษาซอฟต์แวร์ตัวก่อนของเขาที่ใช้กับผู้ป่วยหลายสิบคนในประเทศลัตเวีย และระดมเงินทุนได้ 2 ล้านเหรียญจากกองทุนร่วมลงทุน (VC) Stevens ได้รับแรงบันดาลใจในการเป็นศัลยแพทย์ตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กเขาเคยถูกคราดเสียบที่นิ้วเท้า

เขาลาออกจากการเป็นแพทย์ผ่าตัดหัวใจ เริ่มต้นชีวิตใหม่เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา และเข้าร่วมงานกับ Taylor ในปี 2010ในการศึกษาปี 2014 ซอฟต์แวร์ของ HeartFlow วิเคราะห์การทำซีทีสแกนของผู้ป่วย 254 คน เท่ากับการทำ FFR ได้ 84% ในการตรวจวัดหลอดเลือดเมื่อเกิดการตีบตันและ 86% เมื่อเลือดไหลเวียนอย่างสะดวก

ต่อมาในปีนั้นองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) อนุมัติให้ซอฟต์แวร์ของ HeartFlow เป็นอุปกรณ์การแพทย์เพื่อทำการประเมินอาการโรคหลอดเลือดหัวใจผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากใช้การทดสอบของ HeartFlow ในกรณีที่ไม่ชัดเจนเป็นส่วนใหญ่

Hank Plain วัย 60 ปี นักลงทุนด้านบริการสุขภาพ เน้นที่อุปกรณ์การแพทย์ ซึ่งผลการทำซีทีสแกนได้แสดงให้เห็นภาพคราบหินปูนในผนังหลอดเลือดหัวใจของเขา แต่ในการตรวจสมรรถภาพของหัวใจ (การเดินบนสายพานโดยมีแผ่นวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจแปะอยู่บนหน้าอก) บ่งชี้ว่าไม่มีปัญหาใด

<img class="alignnone wp-image-3398 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/01/hero-hank-2-e1546603080893.jpg" alt="heartflow" width="638" height="574" />

หลังจากนั้นการทำซีทีสแกนได้นำมาใช้ในซอฟต์แวร์ของ HeartFlow ซึ่งเผยให้เห็นว่ามีจุดตีบตันบางส่วน 2 จุด หมอของเขาจึงตัดสินใจใส่ขดลวดเข้าไป 2 เส้น “มันน่ากลัวมากๆ เมื่อรู้ว่าคุณเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ได้รู้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัว” Plain กล่าว

สำหรับการทดสอบทุกๆ ครั้ง ราคาจะอยู่ที่ 1,450 เหรียญนั้น HeartFlow กล่าวว่า บริษัทช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ 4,000 เหรียญ แต่ “ผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวขึ้น และมีอาการหัวใจวายน้อยลงหรือไม่เมื่อใช้วิธีการนี้ ซึ่งสวนทางกับแนวทางบางอย่างที่ใช้กันเป็นประจำมากกว่า” Venkatesh Murthy แพทย์โรคหัวใจที่ University of Michigan กล่าว

ตลอดระยะเวลา 3 ปีเขาใช้ HeartFlow กับผู้ป่วยถึง 2,000 คนแล้ว บริษัทประกันรายใหญ่ส่วนมากในสหรัฐฯ จ่ายเงินให้กับการทดสอบของ HeartFlow ขณะที่สถาบัน U.K. National Health Service ยังเคลือบแคลงสงสัยอยู่โครงการประกันสุขภาพของรัฐบาลสหรัฐฯ จ่ายค่าทดสอบดังกล่าวยกเว้นแค่ในแถบตะวันตกของสหรัฐฯ เท่านั้น Stevens ผู้เป็นประธานบริหารกล่าวไว้ว่า “ในท้ายที่สุดแล้ว ข้อมูลก็จะเป็นฝ่ายชนะ”
<h4>นักเขียนร่วม: Matthew Herpe เรื่อง: Ellie Kincaid เรียบเรียง: ชูแอตต์</h4>

<hr />

<a href="http://bit.ly/2zv4aIX">คลิกอ่านบทความฉบับเต็มของ "หัวใจวาย" ได้จากนิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2561</a>

<img class="alignnone size-full wp-image-2348" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/ปก-NOV-2018.jpg" alt="" width="250" height="328" />

"HeartFlow" สตาร์ทอัพเทคโนโลยีสุขภาพ ผู้แก้ปัญหา "หัวใจวาย"

<h2 class="p3">Verily แผนกชีววิทยาศาสตร์ของ Alphabet บริษัทแม่ของ Google และ Alcon บริษัทย่อยด้านสุขภาพตาขององค์กร Novartis ตัดสินใจระงับโครงการพัฒนาเครื่องมือ “สมาร์ทเลนส์” คอนแทคเลนส์ที่สามารถวัดระดับน้ำตาลกลูโคสได้ หลังจากที่ทั้งสองบริษัทจับมือกันก่อตั้งโครงการนวัตกรรมนี้มาตั้งแต่ปี 2014 </h2>
แนวคิดของการประกาศจับมือเป็นพันธมิตรเมื่อ 4 ปีก่อนคือการพัฒนาคอนแทคเลนส์ 2 ชนิด ชนิดแรกจะเป็นเลนส์ที่สามารถตรวจติดตามระดับน้ำตาลกลูโคสในร่างกายของผู้ป่วยโรคเบาหวานโดยการวัดจากน้ำตาในลูกตา ส่วนคอนแทคเลนส์อีกชนิดหนึ่งนั้น จะใช้เพื่อช่วยเหลืออาการสายตายาวในวัยชรา
“เรารอคอยที่จะร่วมงานกับ Google เพื่อดึงเทคโนโลยีขั้นสูงของพวกเขามาร่วมกับองค์ความรู้เชิงลึกของเราในด้านชีววิทยา เพื่อไปให้ถึงความต้องการทางการแพทย์ที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง” Joseph Jimenez ซีอีโอของ Novartis กล่าวในแถลงการณ์การประกาศร่วมมือเป็นพันธมิตรในปี 2014 “นี่จะเป็นก้าวสำคัญของพวกเราในการข้ามขีดจำกัดของวิธีรักษาโรคแบบดั้งเดิม โดยเริ่มต้นที่ดวงตา”
ถึงแม้ว่าโครงการพัฒนาเลนส์ที่เกี่ยวกับอาการสายตายาวจากความชราของ Verily จะดำเนินต่อไป แต่สำหรับเลนส์ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดนั้น Brian Otis ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Verily อธิบายว่า พวกเขายังไม่สามารถหาวิธีการคำนวณความสัมพันธ์ระหว่างกลูโคสในน้ำตากับกลูโคสในเลือดให้มีเสถียรภาพได้
“ยกตัวอย่างเช่น พวกเราพบว่า สิ่งรบกวนจากไบโอโมเลกุลในน้ำตาส่งผลให้เกิดอุปสรรคจนไม่สามารถอ่านค่ากลูโคสจากปริมาณกลูโคสอันน้อยนิดในแผ่นฟิล์มน้ำตาได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ ผลการวิจัยของเราพบว่า มีอุปสรรคมากในการจะสร้างเงื่อนไขการอ่านค่าที่มีเสถียรภาพซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ได้มาซึ่งการอ่านระดับกลูโคสในน้ำตาที่น่าเชื่อถือเพียงพอ” เป็นข้อความส่วนหนึ่งจากโพสต์ของ Otis ที่แถลงการณ์บนเว็บไซต์บริษัท Verily เมื่อวันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน 2018
Alcon และ Verily จะยังคงทำงานร่วมกันในการพัฒนาสมาร์ทเลนส์ปรับความดันลูกตา เพื่อช่วยปรับสายตาให้กับผู้ป่วยที่ผ่านการผ่าตัดรักษาโรคต้อกระจก
“เรากำลังเข้าสู่เฟสการพัฒนาขั้นต่อไปของเราที่จะร่วมกับ Verily เพื่อพัฒนาสมาร์ทเลนส์อีก 2 ชนิด โดยเราจะนำความรู้เชิงเทกนิกที่สำคัญและความสำเร็จในโครงการที่ผ่านมาไปปรับใช้กับอาการต่างๆ ในด้านจักษุวิทยา” โฆษกของ Alcon กล่าวในอีเมลตอบกลับ Forbes
ทว่า Verily ไม่ได้ยอมแพ้กับเทคโนโลยีติดตามระดับน้ำตาลในเลือดโดยสิ้นเชิง โพสต์ของ Otis ทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า พวกเขายังคงทำโครงการเทคโนโลยีติดตามระดับน้ำตาลในเลือดโครงการอื่น ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อติดตามระดับน้ำตาลในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งโครงการนี้ Verily ร่วมงานกับ Dexcom และ Sanofi
&nbsp;
ภาพ: GETTY
แปลและเรียบเรียงจาก<a href="https://www.forbes.com/sites/michelatindera/2018/11/16/its-lights-out-for-novartis-and-verilys-glucose-monitoring-smart-lens-project/#cfb64851b266"> It's Lights Out For Novartis And Verily's Glucose Monitoring 'Smart Lens' Project </a>โดย Michele Tindera ผู้สื่อข่าว Forbes โต๊ะข่าวสุขภาพและยา

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events