<h2>อินเทอร์เน็ตเป็นรากฐานสำคัญของการเชื่อมต่อทั่วโลก ช่วยเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญและบริการต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนชีวิตประจำวัน รายงาน Year in Review ประจำปี 2024 ของ Cloudflare แสดงให้เห็นว่าเมื่อผู้คนและอุปกรณ์เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตทั่วโลกเพิ่มขึ้นตาม โดยปีนี้เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และก่อให้เกิดเทรนด์ใหม่ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงการพึ่งพาความสามารถของอินเทอร์เน็ตทั่วโลก</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แมทธิว พรินซ์ ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Cloudflare กล่าวว่า “เราพึ่งพาอินเทอร์เน็ตแทบตลอดเวลา ทว่าหลายคนอาจยังมองว่ามันเป็นเพียงแค่การรวมกันของหน้าเว็บเท่านั้น แต่แท้จริงอินเทอร์เน็ตนั้นอยู่ทุกที่ กลืนเข้าไปในทุกกิจกรรมประจำวันของชีวิตสมัยใหม่ ตั้งแต่วิธีการที่เราใช้โต้ตอบและเชื่อมต่อถึงกันบนโซเชียลมีเดีย การใช้ตู้เย็นและเครื่องดูดฝุ่นอัจฉริยะ การเดินทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งผ่านแอปเรียกรถ การเชื่อมต่อกับธนาคาร และอื่นๆ อีกมากมาย”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การโต้ตอบทั้งหมดเหล่านี้ที่หลายคนมักมองข้ามไปโดยไม่ตั้งใจนั้นเบื้องหลังล้วนเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง และ Cloudflare ก็เป็นหนึ่งในเครือข่ายที่มีเปอร์เซ็นต์การใช้งานจำนวนมาก ในฐานะหนึ่งในเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก Cloudflare ได้นำเสนอมุมมองที่ครอบคลุมด้านการใช้งาน คุณภาพโดยรวม และการเชื่อมต่อทั่วทั้งเว็บ &nbsp; &nbsp; สำหรับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตและเทรนด์ด้านความปลอดภัยในปี 2024 ที่น่าสนใจจากการสำรวจของ Cloudflare ทั้งทั่วโลกและเฉพาะประเทศไทย มีดังนี้ ผลสำรวจที่สำคัญจาก Cloudflare Year in Review 2024 (ทั่วโลก)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Google ครองความเป็นที่หนึ่ง: แม้จะอยู่ระหว่างการสอบสวนการผูกขาด Google ยังคงรักษาตำแหน่งบริการอินเทอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมสูงสุด (เป็นปีที่สามติดต่อกัน) ทั้งในด้านเสิร์ชเอนจินและเบราว์เซอร์ Google Chrome มีส่วนแบ่งตลาดเบราว์เซอร์ทั่วโลกถึง 65.73% ตามด้วย Safari (15.43%), Edge (6.81%), Firefox (4.05%), และ Samsung Internet (2.71%)​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/93zagSmLZxXPKWVujsDE.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="93zagSmLZxXPKWVujsDE.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1575,840" style="width: 720px; height: auto;" data-index="0"><figcaption><div>ความเปลี่ยนแปลงด้านทราฟฟิกของการใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลกในปี 2024</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริการยอดนิยมไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ: สำหรับบริการอินเทอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมสูงสุด Amazon ตกลงมาอยู่อันดับที่ 10 ในปีนี้ จากเดิมอันดับ 9 ในปี 2023 โดยมี Google (#1), Facebook (#2), Apple (#3), และ TikTok (#4) นำหน้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;TikTok ยังคงยืนหยัดท่ามกลางแรงกดดัน: แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียนี้ยังคงเป็นบริการอินเทอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมอันดับ 4 โดยรวม และเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มโซเชียลมีเดีย แม้จะมีความเสี่ยงจากการถูกแบนและกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;AI ยังคงเป็นหัวข้อร้อนแรงแห่งปี: แม้จะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นและการเปลี่ยนแปลงผู้นำหลายครั้ง OpenAI ยังคงเป็นบริการ GenAI ที่ได้รับความนิยมสูงสุดเป็นปีที่สองติดต่อกัน ตามด้วย Character.AI (#2), Codeium (#3), QuillBot (#4), และ Claude จาก Anthropic (#5)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Facebook ยังคงครองใจผู้ใช้: Facebook เอาชนะ TikTok (#2) อีกครั้งในฐานะแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอันดับหนึ่ง ตามด้วย Instagram (#3), X (#4), และ Snapchat (#5)​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/987nrbVPx7mwAy5iTJRi.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="987nrbVPx7mwAy5iTJRi.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="631,250" style="" data-index="1"><figcaption><div>สเปน คือประเทศที่มีความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุด</div></figcaption></figure></div> <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/H6Bezmjj85KhN8Shi4te.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="H6Bezmjj85KhN8Shi4te.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="631,250" style="" data-index="2"><figcaption><div>เกิดการล่มครั้งใหญ่ 225 ครั้งตลอดปีที่ผ่านมา</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การล่มของอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น: การล่มของอินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการปิดกั้นอินเทอร์เน็ตโดยรัฐบาล ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ โดยมีการล่มทั่วโลกมากกว่า 220 ครั้งในปี 2024 (เทียบกับ 180 ครั้งในปี 2023)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การใช้งาน Starlink พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง: ขณะที่ Elon Musk ยังคงเป็นข่าวอย่างต่อเนื่อง การใช้งานอินเทอร์เน็ตดาวเทียม Starlink ก็เพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าในปีนี้ โดยประเทศมาลาวีมีการเพิ่มขึ้นของการใช้งานสูงสุด (42 เท่า) นับตั้งแต่เริ่มให้บริการในเดือนกรกฎาคม 2023 ผลสำรวจที่สำคัญจาก Cloudflare Year in Review 2024 (ประเทศไทย)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเติบโตของการใช้งานอินเทอร์เน็ต: ประเทศไทยมีการเติบโตสูงสุดของการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ 25.3% อินเทอร์เน็ตมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสื่อสาร การค้า ความบันเทิง และการขนส่งในชีวิตประจำวัน การพึ่งพาอินเทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่องสะท้อนให้เห็นการเติบโตของการใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Google ครองอันดับหนึ่ง:&nbsp;Google ยังคงรักษาตำแหน่งเป็นบริการอินเทอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ตามมาด้วย Facebook (อันดับ 2) TikTok (อันดับ 3) Apple (อันดับ 4) และ Microsoft (อันดับ 5)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มือถือ vs คอมพิวเตอร์: ในปี 2024 มีการประมาณการว่า 70% ของประชากรโลกใช้สมาร์ทโฟน และในหลายประเทศ สมาร์ทโฟนเป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต มากกว่าครึ่ง (59.8%) ของการใช้งานอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยมาจากอุปกรณ์มือถือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;iOS vs Android: iOS ของ Apple และ Android ของ Google ยังคงเป็นระบบปฏิบัติการบนอุปกรณ์มือถือที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุดในประเทศไทย โดย 74.8% ของการใช้งานในประเทศไทยมาจากอุปกรณ์ Android ในขณะที่ 25.2% มาจากอุปกรณ์ iOS&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อุตสาหกรรมที่ถูกโจมตีมากที่สุด: องค์กรในกลุ่มยานยนต์และรถยนต์เป็นเป้าหมายการโจมตีมากที่สุดจากประเทศไทย แม้ว่าเราจะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอุตสาหกรรมใดจะเป็นเป้าหมายของผู้โจมตีมากที่สุด แต่เราทราบว่าทุกอุตสาหกรรมต่างก็ถูกโจมตี ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมใด วิธีที่ดีที่สุดคือการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ภาพ: Cloudflare และ&nbsp;<a href="https://www.freepik.com/free-photo/futuristic-smart-city-with-5g-global-network-technology_13463111.htm#fromView=search&amp;page=1&amp;position=0&amp;uuid=92cdea37-4c12-4ab1-b6f9-ddfbfbd8c676" alt="Freepik">Freepik</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/travel/traveloka-survey-travel-redefined-apac-travellers-trend" alt="ผลสำรวจ Traveloka ชี้คนไทยชอบเที่ยวในประเทศ ทะเลและภูเขาคือจุดหมายยอดนิยม">ผลสำรวจ Traveloka ชี้คนไทยชอบเที่ยวในประเทศ ทะเลและภูเขาคือจุดหมายยอดนิยม</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Cloudflare เผยรายงานประจำปี 2024 พบทั่วโลก “อินเทอร์เน็ตล่ม” กว่า 220 ครั้ง บ่อยขึ้นกว่าปีก่อนหน้า

<h2>รายงาน Ericsson ConsumerLab ฉบับล่าสุด ระบุ 1 ใน 5 ของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G มองหาประสบการณ์บริการ 5G ที่แตกต่าง เช่น คุณภาพของการบริการ สำหรับการใช้แอปพลิเคชันยอดนิยม โดยผู้บริโภคยินดีจ่ายเงินแก่ผู้ให้บริการด้านการสื่อสารในอัตราพิเศษสูงสุดถึง 11% เพื่อเพลิดเพลินไปกับการเชื่อมต่อที่มีมูลค่าเพิ่ม</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงาน 5G Value: Turning Performance into Value ยังเน้นด้านความพึงพอใจและความภักดีของผู้ใช้ โดยให้ความสำคัญกับศักยภาพของเคสทางธุรกิจของผู้ให้บริการ 5G เนื่องจากยอดผู้สมัครใช้บริการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกแสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจเพิ่มขึ้นกับการใช้งานเครือข่าย 5G&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ในรายงานยังเผยประสบการณ์การเชื่อมต่อ 5G ที่ไม่น่าพึงพอใจในสถานที่หลักๆ อาทิ สนามกีฬา สถานบันเทิงและสนามบิน ทำให้ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะย้ายค่ายมือถือมากขึ้นถึงสามเท่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การวิจัยโดยรอบด้านครั้งนี้สะท้อนมุมมองของผู้บริโภคประมาณ 1.5 พันล้านรายทั่วโลก รวมถึงลูกค้า 5G ประมาณ 650 ล้านราย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยของอีริคสันเพื่อติดตามวิวัฒนาการของตลาดผู้บริโภค 5G ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/uuN2wJetQza9jxg3hoiZ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="uuN2wJetQza9jxg3hoiZ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="0"></figure></div> ​&nbsp; &nbsp;&nbsp;ในประเทศไทยอีริคสันยังได้วิจัยตลาดแบบเฉพาะเจาะจง โดยการสอบถามกลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนผู้บริโภคราว 23 ล้านคนในประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พบว่าปัจจัยขับเคลื่อนความพึงพอใจของเครือข่าย 5G กำลังพัฒนาไปสู่ประสบการณ์การใช้งานแอปพลิเคชัน โดยจำนวนผู้ใช้ที่พึงพอใจอย่างมากกับประสิทธิภาพเครือข่าย 5G ในภาพรวมของประเทศไทยเพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;5G กำลังเปลี่ยนโฉมการสตรีมวิดีโอและการใช้งาน AR ผู้ใช้ชาวไทยที่ใช้แพ็คเกจบริการประเภทนี้จะใช้เวลาเกือบ 60% ของเวลาสตรีมมิ่งวิดีโอทั้งหมดไปกับการเพิ่มความน่าสนใจให้กับเนื้อหาวิดีโอหรือ AR ขณะที่ผู้ใช้ที่ไม่ได้ใช้แพ็คเกจบริการประเภทนี้จะใช้เวลาเพียง 40% ไปกับคอนเทนต์สมจริง (Immersive Content)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประสิทธิภาพ 5G ในจุดสำคัญ ๆ มีผลต่อความภักดีของผู้บริโภค นับตั้งแต่เปิดตัว 5G ในประเทศไทย มีผู้ใช้บริการมือถือประมาณ 19% ย้ายค่ายมือถือ และในบรรดาผู้ที่ย้ายเครือข่าย เกือบ 60% เกิดจากเหตุผลด้านประสิทธิภาพเครือข่าย 5G ซึ่งหากผู้ใช้มีปัญหาการเชื่อมต่อในพื้นที่ต่าง ๆ ตั้งแต่ 2 แห่งขึ้นไปก็มีแนวโน้มที่ย้ายค่ายมากขึ้น 1.3 เท่า &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้บริโภค 5G ในประเทศไทยจะจ่ายค่าบริการพิเศษสำหรับการเชื่อมต่อที่มีความต่างและโดดเด่น โดยผู้ใช้สมาร์ทโฟนยินดีจ่ายค่าบริการเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 13% สำหรับข้อเสนอที่รวมการใช้บริการแอปฯ ชั้นนำ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/gjr2uysqE5BCqajpgQGS.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="gjr2uysqE5BCqajpgQGS.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="1"></figure></div> ​&nbsp; &nbsp; ญาสมีต ซิงห์ เซธิ หัวหน้าฝ่าย Ericsson ConsumerLab กล่าวว่าในการสำรวจครั้งนี้ มีผู้บริโภค 5G ราว 37% เชื่อว่าการเพิ่มปริมาณการใช้ดาต้าในแพ็คเกจ 5G ของพวกเขาสมเหตุสมผลกับอัตราค่าบริการพรีเมียมของผู้ให้บริการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ที่น่าสนใจคือประมาณหนึ่งในห้าของผู้ใช้สมาร์ทโฟน 5G แสดงความพึงพอใจชัดเจนต่อคุณภาพการเชื่อมต่อบริการที่มีความแตกต่าง โดยผู้บริโภคกลุ่มนี้มองหาประสิทธิภาพเครือข่ายที่ยกระดับและมีความเสถียรแทนการเลือกใช้ 5G แบบทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครือข่ายที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับแอปพลิเคชันที่ต้องการประสิทธิภาพเครือข่ายสูง ๆ และเจาะจงสถานที่สำคัญ ๆ ผลการวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าพวกเขายินดีจ่ายค่าบริการพิเศษเพิ่มขึ้นอีก 11% หากผู้ให้บริการมีบริการเหล่านี้เสนอให้” วิธีเก็บข้อมูล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีริคสันสัมภาษณ์ผู้บริโภคมากกว่า 37,000 คน ใน 28 ประเทศ ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน พ.ศ. 2566 โดยขอบเขตการวิจัยสะท้อนมุมมองความคิดเห็นของผู้บริโภคประมาณ 1.5 พันล้านคน รวมถึงผู้ใช้ 5G จำนวน 650 ล้านราย ​อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/it/deloitte-%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94-%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99-%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%87%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A" alt="Deloitte เผยผลการศึกษาล่าสุด ชี้แนวทางสำคัญสู่การเป็นองค์กรธุรกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบ">Deloitte เผยผลการศึกษาล่าสุด ชี้แนวทางสำคัญสู่การเป็นองค์กรธุรกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบ</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Ericsson ConsumerLab ชี้ 5G สร้างความแตกต่างและโอกาสทางธุรกิจ

<h2>ฟูจิตสึฉายภาพภูมิทัศน์โจทย์ผู้ประกอบการไทยด้านระบบไอทีเปลี่ยน หันหัวเรือบุกบริการแบบ “ดิจิทัล โซลูชันส์” ครบวงจร เพิ่มมูลค่าต่อโครงการ ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนในรายได้เป็น 55% ใน 2 ปี กระจายฐานลูกค้าสู่โรงงานที่ไม่ใช่สัญชาติญี่ปุ่น และลูกค้าภาคธุรกิจอื่น</h2>
Toshiro Miura กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงวิสัยทัศน์ของบริษัทแม่ทั้งเครือ ต้องการให้ปี 2562 นี้เป็นปีของการสร้าง “Trust” หรือความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่กำลังก้าวสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 โดยฟูจิตสึจะเน้นการสนองตอบความต้องการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับลูกค้าทั่วโลก

สำหรับประเทศไทย Miura กล่าวถึงยอดขายของบริษัทในปี 2561 ทำยอดขายไป 3,235 ล้านบาท (ทั้งนี้ ฟูจิตสึนับปีงบประมาณตั้งแต่ 1 เมษายน 2561-31 มีนาคม 2562) และตั้งเป้าให้ปี 2562 ทำยอดขาย 3,500 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 7%

<figure><img class="size-full wp-image-10232" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/IMG_20190705_142634-e1562320382778.jpg" alt="" width="800" height="600" /><figcaption> เป้าหมายปี 2562 ของฟูจิตสึ (ประเทศไทย) คาดการณ์ยอดขาย 3,500 ล้านบาท</figcaption></figure>

&nbsp;
<h2>ขายงานโปรเจ็กต์ครบวงจร “ดิจิทัล โซลูชันส์”</h2>
อย่างไรก็ตาม ทิศทางการสร้างยอดขายในปี 2562-65 ของบริษัทจะเปลี่ยนแปลงจากเดิม โดย Miura กล่าวว่าบริษัทจะหันมาเน้นธุรกิจการบริการ โดยเน้นหนักที่ 4 เสาหลักของการให้บริการดิจิทัล โซลูชันส์ ได้แก่
<ul>
 	<li>ERP (Enterprise Resource Planning)</li>
 	<li>Managed Service เช่น บริการคลาวด์, Backup as a Service (BaaS)</li>
 	<li>Security</li>
 	<li>Digital Innovation</li>
</ul>
ปี 2561 ฟูจิตสึไทยมียอดขายหลักจากการจำหน่ายอุปกรณ์ ติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ให้ลูกค้า และขาย software license โดยที่ธุรกิจการบริการดิจิทัล โซลูชันส์ มีสัดส่วนในยอดขายรวม 27% เท่านั้น ปี 2562 นี้ธุรกิจดิจิทัล โซลูชันส์มีเป้าหมายเติบโตขึ้น 12% ซึ่งเป็นการขยายตัวที่มากกว่ายอดขายรวมของบริษัท และมีเป้าหมายให้สัดส่วนของธุรกิจนี้ในรายได้รวมเพิ่มเป็น 55% ภายในปี 2565

<figure><img class="wp-image-10233 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/Toshiro-Miura-Fujitsu-Thailand.jpg" alt="ดิจิทัล โซลูชันส์ ฟูจิตสึ" width="403" height="605" /><figcaption> Toshiro Miura กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด</figcaption></figure>

ด้าน ไกวัลย์ บุญเสรฐ หัวหน้ากลุ่มงานดิจิทัล โซลูชันส์ บริษัท ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด อธิบายถึงความเปลี่ยนแปลงของความต้องการลูกค้าว่า เมื่อปี 2558 ลูกค้ายังต้องการระบบแบบเดิมคือการใช้เซิร์ฟเวอร์หลังบ้านของตัวเอง กระทั่งปี 2559-60 ลูกค้าเริ่มหันมาใช้ระบบคลาวด์ ยินยอมการแบ่งพื้นที่เก็บข้อมูลร่วมกับผู้อื่น ซึ่งฟูจิตสึสามารถตอบสนองได้ด้วยดาต้า เซ็นเตอร์ที่มี 2 แห่งที่บางนาและนวมินทร์
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/%e0%b8%97%e0%b8%b4%e0%b8%a8%e0%b8%97%e0%b8%b2%e0%b8%87-oracle-%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%a8%e0%b9%84%e0%b8%97%e0%b8%a2-%e0%b8%9c%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%88%e0%b8%b8.html">ทิศทาง Oracle ประเทศไทย ผสานจุดแกร่งธุรกิจเข้ากับเทคโนโลยีคลาวด์</a></li>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/it/%e0%b9%80%e0%b8%a2%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%a1%e0%b8%8a%e0%b8%a1-%e0%b8%a8%e0%b8%b9%e0%b8%99%e0%b8%a2%e0%b9%8c%e0%b8%99%e0%b8%a7%e0%b8%b1%e0%b8%95%e0%b8%81%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a1-cisco.html">เยี่ยมชม 'ศูนย์นวัตกรรม' Cisco แห่งแรกใน SEA และศูนย์ความปลอดภัยทางไซเบอร์</a></li>
</ul>
แต่ในปี 2561 ความต้องการลูกค้ามีโจทย์ใหม่ๆ อีก เช่น ลูกค้ามีการขยายสาขาไปทั่วโลกและต้องการการติดต่อที่มีประสิทธิภาพ ต้องการทราบข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายของตนได้รวดเร็ว ต้องการปรับโครงสร้างองค์กรโดยวิเคราะห์ได้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งทำให้ฟูจิตสึต้องมีการรวบรวมบริการให้ครบวงจร

“ปี 2562 นี้เราจึง integrate ทั้ง 4 เสาหลักเข้ามารวมเพื่อให้บริการที่จะนำไปสู่การเกิด Trust ตามวิสัยทัศน์เครือ ต่อไปนี้ไม่ใช่การรับงานติดตั้ง software box และจบอีกต่อไปแล้ว” ไกวัลย์กล่าว “การบริการครบวงจรยังทำให้ได้มูลค่าต่อโครงการสูงขึ้นด้วย”

&nbsp;
<h2>พุ่งเป้าโรงงานที่ไม่ใช่สัญชาติญี่ปุ่น และภาคธุรกิจอื่นๆ</h2>
เอ็มดี Miura ยังกล่าวด้วยว่า สำหรับเป้าหมายการขายโครงการของฟูจิตสึในไทย ในปี 2561 มีสัดส่วนกลุ่มลูกค้าที่ไม่ใช่บริษัทสัญชาติญี่ปุ่นแล้ว 34% เป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นประมาณ 5-6% จากปีก่อนหน้า และฟูจิตสึไทยจะเพิ่มลูกค้ากลุ่มนี้ให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าปี 2562 เพิ่มขึ้นเป็น 40% และในปี 2564 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 55%

โดยลูกค้าหลักของบริษัทจะเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมภาคการผลิต โดยเฉพาะโรงงานรถยนต์ เช่น โตโยต้า, อีซูซุ, ฮอนด้า, นิสสัน ซึ่งบริษัทจะยังคงมุ่งเน้นลูกค้าโรงงานต่อไป แต่จะเสริมด้วยภาคธุรกิจอื่นๆ ที่น่าจะสนใจใช้งานระบบ เช่น กลุ่มรีเทล ธนาคาร และภาครัฐ

<figure><img class="wp-image-10234 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/ไกวัลย์-บุญเสรฐ-ฟูจิตสึ.jpg" alt="" width="403" height="605" /><figcaption> ไกวัลย์ บุญเสรฐ หัวหน้ากลุ่มงานดิจิทัล โซลูชันส์ บริษัท ฟูจิตสึ (ประเทศไทย) จำกัด</figcaption></figure>

ไกวัลย์เสริมว่า กลุ่มโรงงานที่ไม่ใช่สัญชาติญี่ปุ่น กลุ่มหลักคือโรงงานไทย ซึ่งบริษัทได้จัดทีมขายเข้าไปรุกกลุ่มนี้แล้ว และปีนี้จะเน้นบริษัทระดับกลาง (มีพนักงาน 500-1,000 คน) ให้มากขึ้น เพราะมองว่าเป็นกลุ่มที่ยังมีโอกาสการขายและเป็นกลุ่มใหญ่ในตลาดประเทศไทย

&nbsp;
<h2>การเมืองไม่นิ่งกระทบน้อย ปัจจัยลบคือตลาดเกิดสงครามราคา</h2>
ด้านสภาวะตลาดขณะนี้ โดยเฉพาะปัจจัยการบริหารภาครัฐที่มีความไม่แน่นอนเนื่องจากคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการและเข้าบริหารงาน  ไกวัลย์มองว่า กระทบกับบริษัทไม่มาก มีโครงการน้อยกว่า 5% ที่เกิดการชะลอตัดสินใจ เนื่องจากโครงการส่วนใหญ่ของลูกค้ามีมูลค่าสูง 40-50 ล้านบาทและดำเนินการระยะยาวทำให้ยังมีแบ็กล็อกอยู่ในพอร์ต แต่กระทบบ้างจากกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวพันกับผู้บริโภครายย่อยโดยตรงอย่างกลุ่มรีเทล

แต่ปัจจัยลบที่มีผลต่อบริษัทมากคือการแข่งขันในตลาดค่อนข้างสูง แม้ว่าคู่แข่งที่มีมาตรฐานระดับโลกจะมีไม่มากโดยมีต่ำกว่า 10 ราย แต่ทำให้เกิดการแข่งขันราคามากและกำไรต่ำลง ดังนั้นปีนี้ฟูจิตสึไทยต้องบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นจึงจะอยู่รอดได้ในตลาด

&nbsp;

Forbes Facts
<ul>
 	<li>การก้าวออกจากน่านน้ำลูกค้าบริษัทญี่ปุ่น จะทำให้ฟูจิตสึไม่มีข้อได้เปรียบในแง่สัญชาติบริษัทกับลูกค้ารายอื่น จึงเป็นความท้าทายยิ่งในช่วงต่อจากนี้</li>
 	<li>ที่ผ่านมา ฟูจิตสึไทยมีลูกค้าที่เป็นพาร์ทเนอร์พัฒนาโครงการเฉพาะแบบ co-creation เช่น ปูนอินทรี, ธ.ไทยพาณิชย์, FOMM, ซีพีเอฟ, กรมชลประทาน, โรงเรียนสมาคมไทย-ญี่ปุ่น ศรีราชา เป็นต้น</li>
 	<li>Toshiro Miura เข้ามารับตำแหน่งเอ็มดีฟูจิตสึไทยในปี 2561 ก่อนหน้านี้เขาเป็นหัวหน้าสาขาของฟูจิตสึในเมียนมา และเป็นลูกหม้อที่ทำงานกับบริษัทนี้มานาน 32 ปี</li>
 	<li>ฟูจิตสึขยายสาขามาเปิดสำนักงานในไทยตั้งแต่ปี 2533 ปัจจุบันมีสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯ และอีก 2 สาขาที่อมตะนคร และ อ.ศรีราชา โดยมีพนักงานรวม 430 คน</li>
</ul>

ฟูจิตสึกางแผนรุกบริการ “ดิจิทัล โซลูชันส์” ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนเป็น 55% ภายในปี 2565

<h2 class="p3">มาร์เก็ตแชร์ของ HTC ผู้พัฒนาสมาร์ทโฟนจากไต้หวัน ตกต่ำลงเหลือเพียง 1% เมื่อปีก่อน จากจุดสูงสุดที่เคยทำได้ในปี 2011 (อ้างอิงข้อมูลจาก IDC) ความหวังครั้งใหม่นั้นอาจขึ้นอยู่กับ อุปกรณ์ HTC 5G Hub</h2>
แปลและเรียบเรียงจาก<a href="https://www.forbes.com/sites/ralphjennings/2019/06/12/struggling-smartphone-maker-htc-expects-income-boost-from-its-world-first-5g-hub/#661187d934bd"> Struggling Smartphone Maker HTC Expects Income Boost From Its 'World First' 5G Hub</a> เขียนโดย Ralph Jennings นักข่าวเทคโนโลยี ตีพิมพ์ครั้งแรกใน forbes.com
บริษัทนี้เผชิญความยากลำบากในการแข่งขันกับตลาดผู้ผลิตมือถือแอนดรอยด์มานานหลายปี ทั้งในแง่การตลาด ช่องทางการขาย และคุณสมบัติเครื่อง
HTC เพิ่งห้ามเลือดภาวะขาดทุนของบริษัทได้เมื่อปี 2018 ไม่ใช่เพราะยอดขายที่ดีขึ้น แต่เนื่องมาจากการขายหน่วยงานทีมดีไซน์ส่วนใหญ่กว่า 2,000 คนออกไปให้กับ Google ด้วยมูลค่า 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงไตรมาสแรกของปีก่อน ทำให้ตลอดปี 2018 HTC กลับมามีกำไร 388 ล้านเหรียญ หลังจากที่ขาดทุนต่อเนื่องมา 3 ปี
อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์ใหม่ของบริษัท “HTC 5G Hub” อาจช่วยกู้ชีวิตของบริษัทไว้ แม้อาจจะเป็นเพียงการเพิ่มรายได้ระยะสั้นก็ตาม


<figure><img class="size-full wp-image-8885" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/000_1DW133_Cher_Wang-e1560842643308.jpg" alt="" width="800" height="533" /><figcaption> Cher Wang ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ HTC ขึ้นบรรยายบนเวทีในงาน Mobile World Congress (MWC) ที่เมือง Barcelona ประเทศสเปน เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2019 โดยเธอกล่าวถึงความมุ่งมั่นของบริษัทที่จะผลิตหน้าจอพับได้และสัญญาณเครือข่ายไร้สายความเร็วสูง 5G เพื่อกู้ยอดขายอันตกต่ำของผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟน (PHOTO CREDIT: Lluis Gene / AFP)</figcaption></figure>
HTC เริ่มขายอุปกรณ์ 5G Hub ให้กับกลุ่มผู้ใช้โทรศัพท์มือถือกลุ่มเล็กๆ แล้ว โดยมีเป้าหมายในการเพิ่มความเร็วดาต้าเมื่อผู้ใช้เล่นเกมหรือสตรีมมิ่งวิดีโอ อุปกรณ์ฮับดังกล่าวเริ่มจำหน่ายเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนก่อนในสหรัฐอเมริกาด้วยราคา 600 เหรียญต่อเครื่องผ่านเครือข่ายสัญญาณมือถือ Sprint และมีจำหน่ายในออสเตรเลียผ่านเครือข่าย Telstra 
Neil Mawston ผู้อำนวยการบริหารด้าน Wireless Practice ของ Strategy Analytics ในสหราชอาณาจักร ประเมินว่า ขณะนี้ HTC ถือเป็นผู้นำของโลกในแง่อุปกรณ์ 5G Hub รูปแบบนี้ และเชื่อว่าอุปกรณ์นี้จะช่วยเพิ่มรายได้ให้ HTC ราว 50-100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2019 จากการขายอุปกรณ์ฮับหลักแสนชิ้นไปทั่วโลก
&nbsp;
<h2 class="p3">HTC 5G Hub อุปกรณ์ (เกือบ) ใหม่</h2>
ในแง่เทคโนโลยี อุปกรณ์นี้เทียบได้กับ MiFi ที่เป็นอุปกรณ์กระจายสัญญาณ 3G และ 4G สำหรับหลายผู้ใช้ในคราวเดียว ขณะที่ 5G จะทำให้ได้ความเร็วที่มากกว่าเดิม แต่อาจยังไม่สามารถใช้ได้แพร่หลาย
ผู้ใช้ HTC 5G Hub สามารถติดตั้งอุปกรณ์นี้ไว้ที่บ้านและรับผู้ใช้ได้ประมาณ 12 เครื่องเมื่อเล่นเกมที่มีความซับซ้อนสูงพร้อมๆ กัน โดยฮับนี้มีไว้เพื่อให้สัญญาณดาต้าที่เสถียรกว่าที่บริษัทโทรคมนาคมมอบให้
“HTC วางตำแหน่งอุปกรณ์นี้ไว้ในฐานะ node ภายในบ้านหรือออฟฟิศ คล้ายกับเราเตอร์สัญญาณ WiFi แต่สามารถพกพาติดตัวเคลื่อนที่ได้เหมือนกับ MiFi" Jason Leigh ผู้จัดการฝ่ายวิจัยด้าน Mobility ของ IDC กล่าว
ด้าน Tzeng Chiau-ling นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Market Intelligence &amp; Consulting Institute ในไต้หวัน รายงานว่า ฮับตัวนี้น่าจะดึงดูดเกมเมอร์ที่ชื่นชอบเกมซับซ้อนสูงซึ่งต้องการอินเทอร์เน็ตแบบ high-speed และคาดว่าจะช่วยผลักดันยอดขายแว่น VR (Virtual Reality) แบรนด์ Vive ของ HTC ไปด้วย


<figure><img class="size-full wp-image-8886" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/vive-pdp-hero-desktop-031918-v3-e1560842915757.jpg" alt="" width="800" height="581" /><figcaption> แว่น VR แบรนด์ Vive ของ HTC</figcaption></figure>
“กุญแจสำคัญในการขาย HTC 5G Hub คือจะมุ่งเน้นเรื่องคอนเน็คชั่นที่เสถียรกว่าเมื่อใช้ร่วมกับแว่น VR เพราะสามารถดาวน์โหลด-อัพโหลดดาต้าได้เร็วกว่ามาก ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันให้การใช้แว่น VR เติบโตพัฒนาได้ดีขึ้น” Tzeng กล่าว
ทั้งนี้ ตลาดเกมมิ่งถือว่ามีความสำคัญ จากข้อมูลของ NewZoo บริษัทวิจัยการตลาดพบว่า ตลาดเกมมิ่งทั่วโลกจะมีมูลค่ารวม 148.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ​ ในปีนี้และมีการเติบโตสูง
&nbsp;
<h2 class="p3">อาจเป็นเพียงรายได้ระยะสั้นของ HTC</h2>
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ด้านเทคโนโลยีมองว่ารายได้จากอุปกรณ์ฮับชิ้นนี้อาจไม่สูงมากและไม่สามารถทำเงินได้นาน
Mawston กล่าวว่า ราคาของฮับ 5G จะทำให้ยอดขายถูกจำกัด รวมถึงอุปกรณ์นี้ไม่ดึงดูดตลาดทั่วไปที่ไม่ใช่เหล่าเกมเมอร์ นอกจากนี้ ผู้ใช้อุปกรณ์จะต้องเข้าถึงการใช้ดาต้าระดับ 5G ซึ่งอัตราค่าบริการจะสูงขึ้นกว่าเดิม
Leigh กล่าวว่า ในสหรัฐฯ เอง การให้บริการ 5G ยังจำกัดอยู่มาก ตัวอย่างเช่น เครือข่าย Sprint เพิ่งเปิดตัวระบบ 5G ไปเพียง 9 พื้นที่ของประเทศ และสำหรับผู้บริโภคจำนวนมาก การสตรีมมิ่งได้เร็วขึ้นไม่ดึงดูดใจพอที่จะทำให้พวกเขายอมจ่ายสำหรับอุปกรณ์ 5G และอัตราค่าบริการที่แพงกว่า

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/it/verizon-%e0%b9%80%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%82%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%a2-5g.html">Verizon เปิดตัวเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 5G</a></li>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/other/audrey-tang.html">เปิดวิสัยทัศน์ “Audrey Tang” รัฐมนตรีดิจิตอลไต้หวัน ผู้ขับเคลื่อนประชาธิปไตยด้วยเทคโนโลยี</a></li>
</ul>
ยิ่งไปกว่านั้น HTC ยังมีโอกาสเสียบัลลังก์ผู้นำอุปกรณ์ฮับ 5G อย่างรวดเร็วจากการเข้ามาของคู่แข่ง Tzeng กล่าวว่า แบรนด์อุปกรณ์สัญญาณเครือข่ายอย่าง Netgear, Huawei และ Inseego เริ่มผลิตอุปกรณ์กระจายสัญญาณ 5G แบบเดียวกันนี้เรียบร้อยแล้ว “กำแพงขัดขวางการเข้าตลาดของอุปกรณ์ฮับ 5G ที่มาพร้อมกับหน้าจอหรือเทคโนโลยีควบคุมด้วยเสียงนั้นไม่ได้สูงเท่าใดนัก” เธอกล่าวปิดท้าย
&nbsp;

อุปกรณ์ HTC 5G Hub อาจช่วยต่อลมหายใจบริษัท หลังพ่ายสงครามตลาดสมาร์ทโฟน

<h2>จะทำอย่างไรเมื่อองค์กรขยายใหญ่จนมีหน่วยงานกระจายไปหลายจุด สำนักงานใหญ่กับฝ่ายผลิตอยู่คนละเมืองกัน สาขาของบริษัทเริ่มเพิ่มขึ้นและห่างไกลกันขึ้นเรื่อยๆ คนรุ่นใหม่ในองค์กรต้องการทำงานจากที่ไหนก็ได้ แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องประชุมงานกันบ่อยครั้ง สิ่งเหล่านี้เป็นโจทย์ที่ Cisco ผู้พัฒนาเทคโนโลยีเครือข่าย สร้าง ระบบ Cisco Webex ขึ้นมาตอบสนอง</h2>
Forbes Thailand มีโอกาสได้ชมโชว์เคสเทคโนโลยี Cisco Webex ในสำนักงาน Cisco สิงคโปร์ เทคโนโลยีที่มุ่งเน้นด้านการประชุมงานออนไลน์นี้ต่อยอดการพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 2007 (ปีที่ Cisco เทกโอเวอร์บริษัท Webex) จนถึงปัจจุบัน ระบบได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ อย่างการใช้ AI จนสามารถระบุชื่อผู้เข้าประชุมได้อัตโนมัติแล้ว

Cisco สิงคโปร์โชว์ความสะดวกของเทคโนโลยีนี้โดยทดลองเชื่อมต่อการประชุมไปยังสำนักงาน Cisco ในนอร์เวย์ กล้องที่ติดตั้งอยู่กับอุปกรณ์ในห้องประชุมทางนอร์เวย์จับภาพมุมกว้างของทั้งห้องกับเก้าอี้สีเขียวสด 10 ตัวที่ตั้งเรียงรายรอบโต๊ะประชุมพร้อมผู้เข้าประชุมสองท่านที่นั่งอยู่

<figure><img class="wp-image-5504 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/Cisco-Webex_Meetings-Name-Tag.jpg" alt="" width="800" height="558" /><figcaption> ระบบ Cisco Webex สามารถจับภาพใบหน้าผู้เข้าประชุมพร้อมแสดงชื่อของผู้ที่กำลังพูดหรือนำเสนองานได้อัตโนมัติ</figcaption></figure>

ทันทีที่ผู้เข้าประชุมฝั่งนอร์เวย์เริ่มทักทาย กล้องจะซูมเข้าไปที่ผู้พูดโดยอัตโนมัติพร้อมขึ้น Name Tag หรือป้ายชื่อแสดงว่าผู้พูดเป็นใคร นอกจากนี้ทั้งสองฝั่งการประชุมยังสามารถเปิดไฟล์ที่จะเสนอในที่ประชุมขึ้นจอได้ทันที หรือจะเปิดฟังก์ชันไวท์บอร์ดเพื่อลองขีดเขียนร่างภาพคร่าวๆ ของบางสิ่งบางอย่างเพิ่มเติมได้ด้วย ทั้งหมดนี้สามารถบันทึกเก็บไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นไฟล์ที่นำเสนอในที่ประชุม ภาพร่างในไวท์บอร์ด หรือวิดีโอการประชุมตั้งแต่ต้นจนจบ

คุณภาพของภาพและเสียงมีความชัดเจน และการได้เห็นผู้เข้าประชุมครบทั้งห้องยังเหมือนกับได้เข้าประชุมจริงๆ คล้ายกับเรานำโต๊ะประชุมของฝั่งสิงคโปร์กับฝั่งนอร์เวย์มาต่อเข้าด้วยกัน ข้อบกพร่องอาจจะมีเพียงความหน่วงในระบบประมาณ 3 วินาที และ AI ที่จับคู่ชื่อกับหน้าตาผู้พูดอาจจะยังไม่เสถียรนัก

&nbsp;
<h2>ประชุมงานได้ต่อเนื่อง</h2>
นอกจากการประชุมเสมือนจริงแล้ว Cisco ยังอธิบายถึงการใช้งานระบบนี้บนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดก็ได้ สำหรับในห้องประชุมหรือห้องทำงาน บริษัทมีอุปกรณ์ Cisco Webex Board ที่เป็นหน้าจอสัมผัสพร้อมติดกล้องให้เรียบร้อย หรือจะใช้ชุดกล้อง ลำโพง และจอสั่งงานที่เป็น Room Kit นำไปเชื่อมต่อกับจอโทรทัศน์ที่มีอยู่แล้วแทนก็ได้ ด้านอุปกรณ์เคลื่อนที่ ระบบของ Webex ก็สามารถติดตั้งบนสมาร์ทโฟนและแทบเล็ตที่รองรับ ทำให้พนักงานบริษัทใช้ระบบได้จากทุกอุปกรณ์และเชื่อมต่อกันได้แบบไร้รอยต่อ

<figure><img class="size-full wp-image-5505" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/DSCF3770-e1552395282492.jpg" alt="" width="800" height="533" /><figcaption> ใช้ระบบบนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดก็ได้</figcaption></figure>

เจ้าหน้าที่ Cisco ยกตัวอย่างให้ฟังว่า เราอาจเคยพบสถานการณ์ที่วิดีโอคอลคุยงานในระหว่างเดินทาง แต่เมื่อมาถึงออฟฟิศแล้วต้องการจะเปลี่ยนมาพูดคุยต่อบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก็อาจต้องวางสายก่อนแล้วเชื่อมต่อใหม่อีกครั้งบนจอคอมฯ แต่เมื่อใช้ระบบเดียวกันในทุกอุปกรณ์จะสามารถเปลี่ยนมาพูดคุยบนอีกอุปกรณ์ได้ทันที ไม่มีสะดุด

&nbsp;
<h2>อนาคต: สรุปประวัติผู้เข้าประชุมให้ล่วงหน้า</h2>
Cisco ยังพูดถึงการพัฒนาขั้นต่อไปของระบบประชุมงานเหล่านี้ว่า AI เป็นกุญแจสำคัญในอนาคต เบื้องต้นกำลังพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้ระบบเป็นเหมือนเลขานุการส่วนตัว สามารถแจ้งเตือนเวลาเชื่อมต่อเข้าประชุมตามที่นัดไว้ได้ เริ่มมีการสั่งงานด้วยเสียงเข้ามา เช่น ปัจจุบันการสั่งเปิดพรีเซนเทชั่นสามารถใช้สัญลักษณ์ท่าทาง (gesture) ได้ แต่ต่อไปต้องการให้ใช้เสียงสั่งงานได้ซึ่งจะสะดวกกว่า

ที่น่าสนใจคือ <a href="https://techcrunch.com/2018/05/01/cisco-acquires-accompany/">Cisco เข้าซื้อกิจการสตาร์ทอัพ Accompany ด้วยเม็ดเงินลงทุน 270 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2018</a> เพื่อใช้เทคโนโลยีของ Accompany ในการติดตามประวัติบุคคลหรือบริษัทที่จะมาเข้าร่วมประชุมบน Webex ล่วงหน้าพร้อมสรุปให้ผู้เข้าประชุมรายอื่นทราบก่อนเริ่มประชุมงาน

คงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นไม่น้อย หากเรารู้จักประวัติส่วนตัวของทุกคนที่มาร่วมประชุมโดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้แนะนำชื่อเสียงเรียงนาม เหมือนกับมีเลขาฯ ส่วนตัวคอยกระซิบอยู่ข้างๆ หู

&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li>ซอฟต์แวร์และแอพพลิเคชั่นสื่อสารในองค์กร: <a href="http://forbesthailand.com/people/cover-story/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B9%8C-%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B9%8C-%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99-eko-2.html">กรวัฒน์ เจียรวนนท์ ปั้น EKO หวังลุย Nasdaq ใน 5 ปี</a></li>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/forbes-life/flexible-workspace-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A3.html">Flexible Workspace เทรนด์อาคารสำนักงานรูปแบบใหม่ที่น่าจับตามอง</a></li>
</ul>

ตามไปดูเทคโนโลยี ‘ไร้รอยต่อ’ ระบบ Cisco Webex ประชุมงานข้ามโลก

<h2>เอไอเอส ประกาศความร่วมมือกับ Qualcomm Technologies, Inc บริษัทในเครือ Qualcomm Incorporated มอบประสบการณ์เทคโนโลยี LTE Advanced (LTE-A) สู่ผู้ใช้งานชาวไทยยกระดับเครือข่ายสนับสนุนการใช้งานลูกค้าและคนไทย</h2>
“ในขณะที่ผู้ใช้บริการมีการใช้งานเครือข่าย 4G อย่างแพร่หลายมากขึ้นในประเทศไทย เราต้องการสร้างความมั่นใจว่า ลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดบนเครือข่ายของเอไอเอส โดยควอลคอมม์ เทคโนโลยี พร้อมก้าวต่อไปในฐานะผู้นำด้านวิวัฒนาการเทคโนโลยี LTE-A ซึ่งเป็นนวัตกรรมล้ำยุค ที่จะมอบประสบการณ์โมบายดาต้าที่ดีและเร็วมากยิ่งขึ้น ตลอดจนโซลูชั่นต่างๆ ที่พร้อมรองรับความต้องการใช้งานดาต้าในการรับส่งข้อมูลมือถือที่เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณทั่วประเทศไทยได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ” สุวิทย์ พฤกษ์วัฒนานนท์ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทยและเมียนมาร์ Qualcomm Incorporated (กลางจากภาพ) กล่าว

ด้วยเทคโนโลยี LTE-A Qualcomm Technologies มุ่งมั่นที่จะพัฒนาระบบ 4G LTE ให้ก้าวหน้าถึงระดับการส่งข้อมูลด้วยอัตราความเร็วอย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ด้วยการใช้โซลูชั่น Qualcomm® Snapdragon&#x2122; LTE modem ด้วยประสิทธิภาพของเครื่อข่ายที่ก้าวล้ำ

ด้าน เกรียงศักดิ์ วาณิชย์นที หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยี เอไอเอส (ที่ 2 จากขวา) กล่าวเพิ่มเติมถึงการทำงานอย่างใกล้ชิดเพื่อพัฒนาเครือข่าย 4G ของเอไอเอสที่ครอบคลุมพื้นที่ประชากรกว่า 98% ว่า

“วันนี้ เอไอเอส ยินดีเป็นอย่างมากที่ได้ร่วมมือกับเจ้าตลาดผู้ผลิตเทคโนโลยีชิปเซ็ตบนโทรศัพท์มือถืออย่างควอลคอมม์ เพื่อทำการทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของเครือข่าย 4.5G และ 4G บนเทคโนโลยี LTE Advanced ซึ่งเราทั้งสองบริษัทรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก กับผลทดสอบที่พบว่า เอไอเอสเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายที่เร็วที่สุด แรงที่สุด และเสถียรที่สุด สำหรับลูกค้าและคนไทย และเพื่อรักษาความเป็นผู้นำอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม โดยปีนี้ เราวางแผนที่จะลงทุน 40,000 - 45,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาคุณภาพเครือข่ายให้ดีมากยิ่งขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมก้าวสู่ยุค 5G ในอนาคตอันใกล้นี้”

สืบเนื่องจากปลายปี 2559 ทาง Engineering Services Group (ESG) ได้ทำงานร่วมกับเอไอเอสเพื่อทดสอบระบบ 256-QAM สำหรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ downlink และ 64-QAM สำหรับเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ uplink บนเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเอไอเอส ผลการทดสอบแสดงอัตราการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แบบ downlink เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 และเพิ่มมากขึ้นร้อยละ 50 สำหรับเชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตแบบ uplink โดยเป็นการทดสอบขณะกำลังเคลื่อนที่และอยู่กับที่  นอกจากนี้ยังพบว่ามีการเพิ่มขึ้นทาง throughput (อัตราการรับส่งข้อมูล) อย่างเป็นนัยยะสำคัญในส่วนของ uplink 2x carrier aggregation (UL 2xCA) ขณะส่งข้อมูลจากมือถือไปเก็บไว้ที่ Cloud

ความร่วมมือล่าสุดระหว่าง Qualcomm และ เอไอเอส มุ่งเน้นไปที่นวัตกรรม LTE-A ที่ล้ำหน้าที่สุดในขณะนี้ ที่มีอยู่ในเครือข่าย LTE-A ของเอไอเอสที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ downlink ทั้งหมดนี้รวมถึงเทคโนโลยีเครือข่าย downlink 3x carrier aggregation (DL 3xCA) ซึ่งสามารถส่งข้อมูลในอัตราความเร็วสูงขึ้น และมีปริมาณรองรับการใช้งานได้มากขึ้น และระบบ 4x4 MIMO (Multiple-Input Multiple-Output) ที่สามารถรองรับการดาวน์โหลดข้อมูลผ่านทางเสาสัญญาณได้พร้อมกันถึง 4จุด มีการเชื่อมต่อและอัตราการตอบสนองของเครือข่ายเร็วขึ้น ผลการทดสอบภาคสนามครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า DL 3xCA ให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนแบนด์วิดธ์ของคลื่นความถี่ที่เพิ่มขึ้น และมือถือที่รองรับเทคโนโลยี 4x4 MIMO จะได้รับประโยชน์เพิ่มมากขึ้นอีกร้อยละ 50
<div class="clearfix"></div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events