<h2>บริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ อย่าง Nvidia ประสบกับการสูญเสียครั้งใหญ่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังจากที่บริษัทสตาร์ทอัพสัญชาติจีน DeepSeek พลิกโฉมอุตสาหกรรมเทคโนโลยี</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และการสูญเสียครั้งใหญ่ดังกล่าวทำให้ซีอีโออย่าง Jensen Huang สูญเสียความมั่งคั่งไปกว่า 2 หมื่นล้านเหรียญในวันเดียว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;DeepSeek เปิดเผยว่าบริษัทได้สร้างโมเดล AI ใหม่ในเวลาเพียง 2 เดือนด้วยต้นทุนไม่ถึง 6 ล้านเหรียญ ซึ่งน้อยกว่าต้นทุนของคู่แข่งในสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังไม่ได้ใช้ชิปคอมพิวเตอร์ทรงพลังราคาแพงของ Nvidia ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมการส่งออกของรัฐบาลสหรัฐฯ อีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่งผลให้ค่ำคืนที่ผ่านมา หุ้นของ Nvidia ร่วงลงเกือบ 17% เนื่องจากตลาดคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ที่ซัพพลายเออร์ชิป AI รายใหญ่ที่สุดของโลกอาจเผชิญกับความต้องการที่น้อยลง เนื่องจากโมเดลต่างๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และนั่นก็ทำให้ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ที่ถือหุ้นอยู่ 3% มีทรัพย์สินลดลง 16.74% หรือลดลง 2.08 หมื่นล้านเหรียญ มาอยู่ที่ 1.036 แสนล้านเหรียญ ตามข้อมูลทรัพย์สินแบบเรียลไทม์ของ Forbes โดยเขาอยู่ในอันดับ 17 มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/6oeKqsTqKGrmfJDnT3w7.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="6oeKqsTqKGrmfJDnT3w7.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> ​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/global/it/nvidia-to-build-ai-research-data-centres-in-vietnam-with-govt" alt="Jensen Huang พา Nvidia จับมือรัฐบาลร่วมลงทุนทำศูนย์วิจัยและพัฒนา AI และดาต้าเซ็นเตอร์ AI ในเวียดนาม">Jensen Huang พา Nvidia จับมือรัฐบาลร่วมลงทุนทำศูนย์วิจัยและพัฒนา AI และดาต้าเซ็นเตอร์ AI ในเวียดนาม</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Jensen Huang รวยลดลง 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในวันเดียว หลังนักลงทุนเทขายหุ้น Nvidia จนร่วงกว่า 17%

<h2>สมาคมนักวางแผนการเงินไทย หรือ TFPA ชี้เทรนด์ AI กับการวางแผนการเงินในยุคดิจิทัล ผ่านงานสัมมนา “TFPA WEALTH MANAGEMENT FORUM 2024” โดยมีสำนักงาน คปภ. เล่าถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีเพื่อรองรับ AI ในธุรกิจประกันภัย ขณะที่อีก 3 หน่วยงานมองว่า AI เป็นจุดเปลี่ยนและตัวช่วยในภาคการเงิน แต่ยังไม่สามารถทดแทนมนุษย์ได้ 100%</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายวิโรจน์ ตั้งเจริญ นายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย หรือ TFPA&nbsp;เปิดเผยว่า สมาคมฯ ได้เล็งเห็นถึงการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) ที่มีผลต่อการวางแผนการเงิน ล่าสุดได้จัดงานสัมมนาใหญ่ “TFPA WEALTH MANAGEMENT FORUM 2024 ภายใต้แนวคิด AI กับการวางแผนการเงิน”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ มีมุมมองว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI กับผลกระทบที่มีต่อบริการทางการเงิน และการประกันภัย โดยมีความเห็นว่า AI จะช่วยเอื้อประโยชน์ต่อนักวางแผนการเงินในแง่ของการเสริมประสิทธิภาพการทำงาน และการให้บริการที่มีความแม่นยำและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น แต่ AI ยังไม่สามารถแทนที่ความสามารถของมนุษย์อย่างสมบูรณ์ เพราะในการให้คำแนะนำกับลูกค้า ยังมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความต้องการที่หลากหลายและภายใต้สถานการณ์ที่ซับซ้อนของลูกค้า ความเข้าใจในอารมณ์และความรู้สึกของลูกค้า ซึ่งต้องอาศัยความเข้าใจเชิงลึก รวมถึงในมิติของการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า และการสร้างความไว้วางใจ ซึ่ง AI ยังขาดทักษะในด้านนี้เทรนด์ AI กับธุรกิจประกันภัย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในฝั่งหน่วยงานกำกับด้านการประกันภัย ดร.ชญานิน เกิดผลงาม รองเลขาธิการ ด้านกลยุทธ์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวถึง AI และการขับเคลื่อนการประกันภัยและความท้าทายว่า สำนักงาน คปภ. ได้เตรียมความพร้อมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับการขับเคลื่อนภายในสำนักงาน คปภ. และอุตสาหกรรมประกันภัย จึงได้พัฒนา “โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี” เพื่อรองรับ ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1) การแปลงข้อมูลเป็นดิจิทัล โดยการทำดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชันทุกมิติ เช่น การรับเรื่องร้องเรียนด้านประกันภัย, โมบายแอปพลิเคชัน OIC Protect การออกใบอนุญาตด้วยระบบ E-License เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2) การเป็นศูนย์กลางข้อมูลด้านการประกันภัย โดยดำเนินการพัฒนา Insurance Bureau System (IBS) และ OIC Gateway เพื่อให้บริการข้อมูลแก่อุตสาหกรรมประกันภัย และมีแผนขยายบริการข้อมูลไปสู่ทายาทผู้เอาประกันภัยในปี 2568&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3) ข้อมูลเปิดด้านการประกันภัย เช่น พัฒนา OIC connect การเชื่อมข้อมูลกับกรมการขนส่งทางบก เป็นต้น<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/JWvytHCGEPFnVYSbgikd.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="JWvytHCGEPFnVYSbgikd.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div>​ อนาคตการปรับใช้ AI ในธุรกิจ แต่คนทำงานยังเป็นส่วนสำคัญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;McKinsey บริษัทที่ปรึกษาได้ประมาณการว่าเทคโนโลยี AI จะสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมประกันภัยทั่วโลกได้ถึง 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี โดยมีตัวอย่างของบริษัทที่นำ AI มาเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงาน เช่น PINGAN บริษัทประกันภัยรายใหญ่จากจีน นำ AI มาใช้ในกระบวนการเคลมประกันภัยรถแบบครบวงจร Lemonade จากสหรัฐฯ นำ AI ใช้ประเมินความเสี่ยงและอนุมัติกรรมธรรม์ประกันภัย เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ยังพบว่าปัจจุบันอุตสาหกรรมประกันภัยในประเทศไทยอยู่ในระยะแรกของการประยุกต์ใช้ Generative AI โดยมีผลสำรวจพบว่า มีองค์กร 30.8% ที่เริ่มใช้งาน Generative AI แล้ว และในจำนวนนี้ 19.2% ได้ใช้งานต่อเนื่องกว่า 1 ปี และ 23.1% ใช้งานแล้ว 6-12 เดือน นอกจากนี้ พบว่า 5 อันดับแรกของประเภทการใช้งาน Generative AI ของบริษัทประกันภัย ได้แก่ 1) ปรับปรุงกระบวนการเคลมประกันภัย 2) ตรวจสอบการทุจริตเคลมประกัน 3) กำหนดราคา 4) บริการลูกค้า และ 5) กิจกรรมการตลาด โดยในปี 2568 สำนักงาน คปภ. มีแผนจัดทำ AI Framework เพื่อกำกับดูแลและสร้างความสมดุลในการใช้ AI เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ และจริยธรรม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รองศาสตราจารย์ ดร.ธีรสิทธิ์ เกษตรเกษม กรรมการสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย กล่าวถึงการปฏิวัติการเงินและประกันภัยด้วย AI &amp; Data Analytics ว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการสรุปและวิเคราะห์ข้อมูล โดยในอุตสาหกรรมการเงินสามารถนำมาปรับใช้กับ Micro Lending หรือ สินเชื่อรายย่อย โดยคนกลุ่มนี้อาจไม่มีประวัติในฐานข้อมูลระบบการเงิน หากนำ AI มาใช้ก็จะช่วยรวบรวมข้อมูลประวัติการใช้ชีวิตและพฤติกรรมทางการเงินบางอย่าง เพื่อนำมาวิเคราะห์ว่าควรอนุมัติสินเชื่อหรือไม่ วงเงินเท่าไร และเหมาะกับสินเชื่อประเภทไหน หรือใช้เพื่อพิจารณาสินเชื่อแก่เกษตรกร โดยการนำข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในแต่ละพื้นที่เพื่อนำมาวิเคราะห์การให้สินเชื่อ อย่างไรก็ตาม มองว่า AI ยังไม่สามารถทดแทนการทำงานของมนุษย์ได้ทั้งหมด เนื่องจากไม่มีความรู้สึก แตกต่างจากนักวางแผนการเงินเมื่อได้พูดคุยกับลูกค้า ก็อาจจะเข้าใจในสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้ดีกว่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร.ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ ViaLink และกรรมการผู้จัดการแห่งสถาบันอนาคตไทยศึกษา กล่าวว่า AI มีความสามารถพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด และจะมีผลกระทบต่อการทำงานของหลากหลายอาชีพ เช่น AI สามารถวิเคราะห์การทำ Discount Cashflow (DCF) ซึ่งต้องใช้ข้อมูลและระยะเวลา แต่ AI สามารถวิเคราะห์ได้ในระยะเวลาไม่นานและสามารถแสดงข้อมูลในเชิงสถิติได้ นำมาใช้วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ดังนั้น มองว่าในอนาคตการนำ AI มาใช้ในการเคลมประกันภัย การตอบคำถามผ่านระบบแชตบอท หรืองานที่ต้องทำเป็นประจำซ้ำกันทุกวัน จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของการใช้ AI ก็มีเช่นกัน เช่น ต้นทุนการใช้สำหรับ SME จะสูงกว่าบริษัทขนาดใหญ่ จะต้องมีมนุษย์มารับผิดชอบเมื่อมีการตัดสินใจใช้ข้อมูลที่มาจากการวิเคราะห์ของ AI ภาพ :&nbsp;TFPA,&nbsp;​<a href="https://unsplash.com/@possessedphotography?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" style="font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">Possessed Photography</a> on <a href="https://unsplash.com/photos/robot-playing-piano-U3sOwViXhkY?utm_content=creditCopyText&amp;utm_medium=referral&amp;utm_source=unsplash" style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">Unsplash</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/it/fujifilm-reveals-it-aims-for-business-solutions-and-it-services-revenue-to-grow-31-percent-in-2026" alt="ฟูจิฟิล์ม เผย ธุรกิจบริการด้านดิจิทัลโตต่อเนื่อง ตั้งเป้ารายได้บริการด้านไอทีโตเพิ่มจาก 29% ปี 2024 เป็น 31% ปี 2026"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/it/fujifilm-reveals-it-aims-for-business-solutions-and-it-services-revenue-to-grow-31-percent-in-2026" alt="ฟูจิฟิล์ม เผย ธุรกิจบริการด้านดิจิทัลโตต่อเนื่อง ตั้งเป้ารายได้บริการด้านไอทีโตเพิ่มจาก 29% ปี 2024 เป็น 31% ปี 2026"></a><a href="https://forbesthailand.com/world/asia/tsmc-taiwan-catching-ai-trend" alt="เกาะกระแส AI พุ่ง บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ไต้หวันคว้าโอกาสสร้างการเติบโต">เกาะกระแส AI พุ่ง บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ไต้หวันคว้าโอกาสสร้างการเติบโต</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

TFPA จัดสัมมนาชี้เทรนด์ AI ช่วยวางแผนการเงินในยุคดิจิทัล แต่ไม่อาจแทนมนุษย์ได้ 100%

เทคโนโลยี AI กับการนำไปใช้ในธุรกิจค้าปลีก การเงิน และหน่วยงานรัฐ

<h2>Facebook เปิดสำนักงานใหม่ กลางกรุง London ตั้งเป็นศูนย์วิศวกรรมมุ่งมั่นพัฒนาความปลอดภัย พร้อมจ้างผู้เชี่ยวชาญด้าน AI กว่า 100 คน</h2>
London กลายมาเป็นบ้านใหม่ของบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีแห่ง Silicon Valley หลายบริษัท หนึ่งในนั้นคือ Facebook ล่าสุด Facebook เปิดสำนักงานใหม่ ในย่าน Chinatown กลางกรุง London โดยสำนักงานแห่งนี้ถือเป็นสำนักงานแห่งที่ 3 ของ Facebook ซึ่งประกอบไปด้วยทีมวิศวกร ฝ่ายขาย และฝ่ายการตลาด และถูกใช้เป็น “ศูนย์วิศวกรรม” ของ Facebook 
ทั้งนี้ ในปี 2018 Facebook มีพนักงานในสหราชอาณาจักร 2,300 คน ปัจจุบันมีการคาดการณ์ว่าพนักงานของ Facebook จะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 3,000 คนในสิ้นปีนี้ และในจำนวนนั้นเป็นตำแหน่งงานด้านเทคโนโลยีถึง 1,800 คน
ขณะเดียวกัน ในจำนวนพนักงานใหม่นั้น กว่า 100 คนจะเข้ามาทำงานเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) เรียกได้ว่าเรื่องที่ Facebook ให้ความสำคัญจนต้องจ้างงานเพิ่มก็คือการระบุและลบเนื้อหาที่เป็นอันตรายบนแพลตฟอร์มของ Facebook นั่นเอง
“ความปลอดภัยเป็นเรื่องที่ Facebook ให้ความสำคัญมากที่สุด และกว่า 2 ปีที่ผ่านมา เราได้เพิ่มการลงทุนในเรื่องนี้อย่างมาก” Nicola Mendelson รองประธานในภาคพื้นยุโรป, ตะวันออกกลาง และแอฟริกาของ Facebook ระบุ และว่า “ตำแหน่งงานใหม่หลายร้อยงานเหล่านี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการเข้ามาในสหราชอาณาจักร แต่ยังเป็นความมุ่งมั่นที่จะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อรักษาความปลอดภัยบน Facebook”
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/it/globalcoin-%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B9%82%E0%B8%95.html">4 เรื่องน่ารู้ของ GlobalCoin ‘เงินคริปโต’ จาก Facebook</a></li>
</ul>
<figure><img class="size-full wp-image-8835" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/facebook05.jpg" alt="" width="604" height="403" /><figcaption> ภายในสำนักงานแห่งใหม่ของ Facebook ใน London</figcaption></figure>

การเข้ามาตั้งสำนักงานของ Facebook เกิดขึ้นหลัง Amazon เปิดสำนักงานใหญ่ใน London เมื่อปี 2017 ที่ผ่านมา ซึ่งยักษ์ใหญ่วงการอีคอมเมิร์ซระบุว่าจะเพิ่มจำนวนพนักงานวิจัยและพัฒนาเป็นสองเท่า หรือ 900 คน

ขณะที่ Google ก็มีโครงการสร้างสำนักงานใหญ่ในเขต King Cross ของ London ซึ่งจะสร้างงานกว่า 3,000 ตำแหน่ง โดยรูปแบบสำนักงานของ Google เป็นอาคารสูง 11 ชั้น ออกแบบโดยชายผู้อยู่เบื้องหลังการออกแบบ London Bus และ Olympic caudron ปี 2012 อย่าง Thomas Heatherwick โดยอาคารนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของ Google’s London campus หรือศูนย์รวมสำหรับการทำงานร่วมกันของเหล่าผู้ประกอบการสตาร์ทอัพด้วย

&nbsp;
<h2 class="p1">ผลกระทบต่อการจ้างงาน</h2>
ความจริงที่ว่า Facebook วางแผนจ้างงานเพิ่มมากขึ้นใน London นี้อาจสร้างแรงสั่นสะเทือนไปยังการหาพนักงานของสตาร์ทอัพรายอื่นๆ ในเมืองนี้ เช่น สตาร์ทอัพส่งอาหารอย่าง Deliveroo หรือสตาร์ทอัพที่ทำเรื่องโลกเสมือนอย่าง Improbable เนื่องจาก Facebook และบริษัทยักษ์ใหญ่จาก Silicon Valley รายอื่นๆ อาจกำลังแย่งพนักงานจากสตาร์ทอัพที่กำลังมีการเติบโตอย่างรวดเร็วเหล่านี้ ด้วยการเสนอเงินเดือนที่มากกว่า
อย่างไรก็ตาม ข่าวนี้ถือเป็นข่าวต้อนรับการเฉลิมฉลอง Tech Week ใน London ซึ่งนายกเทศมนตรี Sadiq Khan ระบุว่า “การลงทุนครั้งนี้เป็นข่าวดีสำหรับเมืองหลวงอย่าง London และเป็นข้อพิสูจน์เพิ่มเติมว่า London เปิดรับผู้มีความสามารถและการลงทุนใหม่ๆ ในภาคเทคโนโลยีที่กำลังเฟื่องฟู”
“ผมถูกเรียกร้องอย่างจริงจังทั้งจากภาคธุรกิจและรัฐบาลให้ดำเนินการอย่างจริงจังกับเนื้อหาที่เป็นอันตราย ดังนั้น จึงเป็นเรื่องดีที่จะเห็นก้าวต่อไป Facebook ในการปกป้องผู้ใช้งาน”
&nbsp;

แปลและเรียบเรียงโดย กนกวรรณ มากมเฆ Online Content Creator 

&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.forbes.com/sites/samshead/2019/06/12/facebook-opens-engineering-centre-inside-londons-chinatown-and-hires-100-new-ai-specialists/#765539097eb7">Facebook Opens Engineering Center Inside London’s Chinatown And</a><a href="https://www.forbes.com/sites/samshead/2019/06/12/facebook-opens-engineering-centre-inside-londons-chinatown-and-hires-100-new-ai-specialists/#765539097eb7"> Hires 100 New AI</a></li>
 	<li><a href="https://www.theguardian.com/technology/2017/dec/04/facebooks-new-london-office-brings-800-jobs-to-the-capital">Facebook's new London office brings 800 jobs to the capital</a></li>
</ul>

Facebook เปิดสำนักงานใหม่ ใน London พร้อมจ้างผู้เชี่ยวชาญด้าน AI กว่า 100 คน

คุยเทรนด์เทคโนโลยีมาเเรง ปี 2019 กับซีอีโอ Synnex รุกจับกระเเสตลาด Gaming & E-Sport

หลายๆ อุตสาหกรรมประสบความสำเร็จในการปรับใช้เทคโนโลยี AI (artificial intelligence) ให้เข้ากับการดำเนินธุรกิจในแต่ละวัน เช่น อุตสาหกรรมการผลิตและวิศวกรรม โดย AI ถูกใช้งานในสายการผลิตเพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้กับการผลิตและการบำารุงรักษา โดยอาศัยการจดจำเป็นรูปภาพและอินเทอร์เฟซการสนทนา

ส่วนในอุตสาหกรรมยานยนต์ AI ถูกใช้งานอย่างกว้างขวางเพื่อปรับปรุงความสามารถด้านการเรียนรู้ด้วยตนเองของรถยนต์ไร้คนขับ นอกจากนี้ ยังมีตัวอย่างอีกมากมายที่แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของ AI ซึ่งสามารถพลิกอุตสาหกรรมต่างๆ หลังจากที่ส่งผลกระทบและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกว้างขวางต่อผู้บริโภค

รายงาน “แนวโน้มการเติบโตของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์” ที่ดีเอชแอลร่วมทำาการศึกษากับไอบีเอ็ม พบว่า AI มีศักยภาพในการเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรได้อย่างมาก ปัจจุบัน AI ได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลายในแวดวงผู้บริโภค ดังจะเห็นได้จากการเติบโตที่รวดเร็วของโปรแกรมผู้ช่วยอัจฉริยะที่สั่งงานด้วยเสียง (voice assistant)

ขณะเดียวกัน ดีเอชแอลและไอบีเอ็มพบว่า เทคโนโลยี AI มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง และสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานเพิ่มเติมในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ตัวอย่างเช่นเทคโนโลยี AI ช่วยให้ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ต่อยอดประสบการณ์ของลูกค้า (customer experiences) ผ่านการสนทนา และยังสามารถจัดส่งสินค้าได้ล่วงหน้าก่อนที่ลูกค้าจะทำการสั่งซื้ออีกด้วย

อุตสาหกรรมโลจิสติกส์สามารถนำเทคโนโลยี AI เข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบดำเนินการ “เชิงรับ” ไปสู่การดำเนินการ “เชิงรุก” โดยอาศัยการคาดการณ์ล่วงหน้าซึ่งจะช่วยสร้างข้อมูลเชิงลึกที่ดีกว่า โดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า ทั้งในส่วนของระบบหลังบ้าน การปฏิบัติงาน และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการแก่ลูกค้าตัวอย่างเช่น เทคโนโลยี AI สามารถใช้การจดจำรูปภาพเพื่อตรวจสอบสถานะสินค้าต่างๆ ที่มีการจัดส่ง ทั้งยังรองรับการขนส่งอัตโนมัติแบบครบวงจร หรือคาดการณ์ความผันผวนของปริมาณการจัดส่งสินค้า
ทั่วโลกล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดขึ้นจริงได้แน่นอนว่า AI ช่วยยกระดับขีดความสามารถของบุคลากร โดยแบ่งเบาภาระในส่วนของงานประจำและช่วยให้บุคลากรด้านโลจิสติกส์สามารถทุ่มเทเวลาอย่างเต็มที่ให้กับงานที่สำาคัญกว่าและเพิ่มมูลค่ามากกว่าได้

รายงานการศึกษาแนวโน้มโลจิสติกส์ ประจำปี 2561/2562 ยังแสดงให้เห็นว่าการสร้างสรรค์นวัตกรรมมีความสำคัญมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ขณะที่เทคโนโลยีดิจิทัลจะขับเคลื่อนกาเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์อีกหลายปีข้างหน้า เพื่อปรับปรุงอัตราส่วนต้นทุนต่ประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีที่เป็นเทรนด์สำคัญๆ เช่น internet of things และ AI

อีกเทรนด์หนึ่งที่จะเร่งการพัฒนาในส่วนนี้ก็คือ เครือข่ายไร้สายรุ่นอนาคต (next-gen wireless network) ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าและประหยัดค่าใช้จ่ายโดยอาศัยการเชื่อมต่อในระบบซัพพลายเชน รวมถึงเทคโนโลยีบล็อกเชน (blockchain) ที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง แต่ถ้าหากยังไม่ได้รับการอนุมัติจากภาคอุตสาหกรรม ก็อาจเป็นอุปสรรคต่อการปรับใช้เทคโนโลยีนี้

ดิจิทัลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการทำงานของอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เกิดจากการปรับตัวของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว และองค์กรต่างๆ กำลังถูกกดดันในการต้องปรับตัวให้ทันเทคโนโลยี ขณะที่การใช้เทคโนโลยีการวิเคราะห์ขั้นสูงเป็นรากฐานของ AI และ machine learning ธุรกิจต้องให้ความสำคัญกับวิธีการเชื่อมต่อหรือเชื่อมความสัมพันธ์กับลูกค้าที่กำลังจะเปลี่ยนไป รวมถึงความได้เปรียบในการแข่งขันที่องค์กรสามารถทำธุรกิจให้ยั่งยืน
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/commentaries/%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99-digital-reinvention.html">ขับเคลื่อน Digital Reinvention ใน ยุคดิจิทัล</a></li>
</ul>
อย่างไรในระบบเศรษฐกิจแบบดิจิทัลการมาถึงของ AI ทำให้เกิดคำาถามกับองค์กรธุรกิจว่าองค์กรจะต้องปรับตัวอย่างไร เพื่อให้ได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีมากที่สุด องค์กรจะใช้เทคโนโลยีการวิเคราะห์ขั้นสูงกับธุรกิจอย่างไร เพื่อให้เกิดความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าและเพิ่มประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า (customer experience) และองค์กรจะสร้างผลิตภัณฑ์และการให้บริการใหม่ๆ ที่สามารถช่วยในการเติบโตของธุรกิจได้อย่างไร

เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่มูลค่า (value chains) ของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ รวมถึงอีโคซิสเต็ม อันส่งผลให้องค์กร อุตสาหกรรม และเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง ด้วยการผสานรวม AI เข้าไว้ในกระบวนการหลัก บริษัทต่างๆ จะสามารถลงทุนเพิ่มในส่วนที่จำเป็นให้ทันสมัย หรือยกเลิกระบบแอพพลิเคชั่นรุ่นเก่า ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ และช่วยให้บุคลากรมีเวลามากขึ้นในการพัฒนาทักษะและขีดความสามารถของตน

นอกจากเทคโนโลยีต่างๆ ที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญแล้ว “Customer Centricity" ยังคงเป็นกุญแจสำาคัญในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าสำหรับบริการโลจิสติกส์ ขณะที่สินค้าที่สามารถสั่งซื้อทางออนไลน์มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาด B2B ส่งผลให้เกิดความต้องการมากขึ้นสำาหรับโซลูชั่นโลจิสติกส์ B2B

นอกจากนี้ ความต้องการของลูกค้ายังขับเคลื่อนการเติบโตในด้านการจัดส่งสินค้าที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเวลาและอุณหภูมิให้แก่ผู้บริโภค รวมถึงบริการโลจิสติกส์สำหรับสินค้าสดใหม่จำเป็นต้องอาศัยนวัตกรรมใหม่ๆ ในด้านบรรจุภัณฑ์ การจัดเก็บ และการจัดส่ง
สินค้า เช่น สินค้าประเภทอาหารและยา หนึ่งในนวัตกรรมที่สำคัญสำหรับบริการจัดส่งถึงมือผู้รับปลายทางก็คือ การผนวกรวมบริการโลจิสติกส์เข้ากับระบบสมาร์ทโฮม ซึ่งเป็นเทรนด์ใหม่สำหรับไลฟ์สไตล์แบบ connected life
<ul>
 	<li><a href="http://สร้างกลุ่มพลเมืองใหม่ “Citizen Data Scientist”">สร้างกลุ่มพลเมืองใหม่ “Citizen Data Scientist”</a></li>
</ul>
อย่างไรก็ตาม “บุคลากร” ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจโลจิสติกส์ แม้ว่ากระแสของเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ระบบงานอัตโนมัติ รวมถึงระบบซอฟต์แวร์อัตโนมัติจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อโครงสร้างของบุคลากรด้านโลจิสติกส์ในอนาคต เทคโนโลยีจะถูกนำมาใช้เพื่อช่วยในงานที่ถูกทำซ้ำๆ (highly repetitive tasks) และงานที่ต้องใช้แรง เพื่อให้บุคลากรสามารถทุ่มเทให้กับงานที่สำคัญกว่า ซึ่งต้องอาศัยความสามารถในการจัดการ การวิเคราะห์ และการสร้างสรรค์นวัตกรรม ธุรกิจโลจิสติกส์จึงต้องปรับแนวคิดการทำงานแบบดิจิทัล เพื่อดึงดูดและรักษาบุคลากรที่เป็นคนรุ่นมิลเลนเนียล(millennial) รวมทั้งสนับสนุนบุคลากรคนรุ่นเก่าที่ยังคงมีประสิทธิภาพในการทำงานสูง
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/hr/%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%B3-%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%81%E0%B8%A3.html">เปิดบุคลิกผู้นำ 4 แบบแห่ง “ยุคอุตสาหกรรม 4.0” …คุณคือผู้นำธุรกิจแบบไหน?</a></li>
</ul>
&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-4717" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/ชนัญญารักษ์-เพ็ชร์รัตน์.jpg" alt="" width="304" height="334" />

ชนัญญารักษ์ เพ็ชร์รัตน์
กรรมการผู้จัดการดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ประเทศไทย

<a href="http://bit.ly/ForbesTHJan2019">คลิกอ่านฉบับเต็ม “เทรนด์เทคโนโลยี AI และการปรับตัวของธุรกิจโลจิสติกส์” และบทความจากนักเขียนชั้นนำเพิ่มเติมได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ มกราคา 2562 ในรูปแบบ e-Magazine</a>

<a href="http://bit.ly/ForbesTHJan2019"><img class="alignnone wp-image-4278" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/02/Forbes-Thailand-%E0%B8%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1-2562-Bill-Heinecke.jpg" alt="" width="250" height="328" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events