กำไรของ Serena Williams

แสนสิริเปิดพื้นที่ “PropTech Sandbox" ดึง 3 สตาร์ทอัพทดลองใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะ

<h2>ยุคสมัยนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกด้านของชีวิต แต่ในโลกแห่งการแข่งขันที่เทคโนโลยีที่เราใช้กันอยู่ไม่เพียงพอต่อความต้องการอีกต่อไป ในวงการธุรกิจจึงพูดถึงการใช้เทคโนโลยีชั้นสูงที่เรียกว่า Deep Technology หรือ Deep Tech ซึ่งก็คือการเอาเทคโนโลยีที่ซับซ้อน เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI), Blockchain, Big Data มาสรรสร้างก่อให้เกิดเป็นนวัตกรรมใหม่</h2>
ธุรกิจไหนสามารถประยุกต์ใช้Deep Tech ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ก็จะยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จในสมรภูมิแห่งอนาคตมากยิ่งขึ้น แวดวงสตาร์ทอัพก็กำลังตื่นตัวกับการพัฒนาDeep Tech ทว่าน่าเสียดายที่หนทางสู่การพัฒนาและครอบครองDeep Tech ของสตาร์ทอัพไทยยังดูแสนจะยาวไกล

เพื่อให้คุณผู้อ่านเห็นภาพมากยิ่งขึ้น ผมขอเปรียบเทียบโลกของDeep Tech กับโลกใต้มหาสมุทรที่มีทรัพยากรมากมาย มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ลึกสุดหยั่งไกลสุดจินตนาการ ณ ปัจจุบันนี้ สาธารณรัฐประชาชนจีนและสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำในการสำรวจและเก็บเกี่ยวทรัพยากรแห่งใหม่ในโลกใต้ท้องทะเลนี้

ขณะที่สตาร์ทอัพไทยยังอยู่แค่การแข่งขันในระดับพื้นผิวทะเล โดยยังอยู่ในขั้นที่เรียกว่าเป็น Copy Cat หรือก็คือการเอาไอเดียที่มีอยู่แล้วในต่างประเทศมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทไทย มากกว่าที่จะพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมาเอง เพราะเรายังมีประสบการณ์น้อย และการจะลงไปสำรวจทรัพยากรแห่งใหม่ในโลกใต้ท้องทะเลต้องอาศัยปัจจัยหลายด้าน ต้องมีความพร้อม มีเม็ดเงินลงทุน เท่านั้นยังไม่พอต้องเตรียมพร้อมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นด้วย

จากการประชุม <strong>World Economic Forum</strong> ณ เมือง Davos ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้มีการกล่าวว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งการปฏิวัติทางอุตสาหกรรมครั้งนี้ มีความสำคัญตรงที่ถึงแม้ว่าการเกิดขึ้นของนวัตกรรมใหม่จะมีผลดีมากมายอาทิ ก่อให้เกิดการสร้างงาน หรือแม้แต่การคิดค้นวิธีการรักษาโรคด้วยวิธีใหม่ แต่ขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดการแบ่งแยกความเจริญได้อย่างชัดเจน ซึ่งความเจริญนั้นวัดกันที่ประเทศไหนสามารถครอบครอง Deep Tech ไว้ได้มากกว่ากัน หากประเทศไหนมีองค์ความรู้ สามารถครอบครองเทคโนโลยีชั้นสูงได้มาก ก็มีแต้มต่ออยู่ในมือจำานวนมาก สร้างความแตกต่างเหลื่อมล้ำากับประเทศที่ไม่ได้ครอบครองเทคโนโลยีอย่างมหาศาล

ในขณะที่สาธารณรัฐประชาชนจีนมีการตื่นตัวเร่งสร้าง <strong>Data Scientist</strong> หน้าใหม่ เพื่อค้นคว้าวิจัยข้อมูลที่ประเทศจีนครอบครองอยู่ล้นมือ ด้วยวิถีชีวิตอย่าง Cashless Society ไม่ว่าจะทำธุรกรรมทางการเงินหรือซื้อของ เพียงแค่กดในมือถือ ก็สามารถจัดการได้เรียบร้อย ทำให้ข้อมูลทั้งหลายวนเวียนอยู่ในระบบ ราวกับปลาว่ายวนในมหาสมุทร ที่แม้แต่สหรัฐอเมริกาเองก็ยังไม่สามารถรวบรวมข้อมูลได้มากเท่ากับจีน และเมื่อมีข้อมูลมหาศาลในมือก็จะสามารถพัฒนา Deep Tech ด้าน AI ได้อย่างรวดเร็ว ประเทศจีนจึงสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ที่ไม่เหมือนที่ใดในโลก โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาประเทศอื่น มีการคาดคะเนว่าในอีก 10 ปี ประเทศจีน

อาจจะมีรถ <strong>Autonomous Car</strong> (รถยนต์ไร้คนขับ) วิ่งอย่างแพร่หลายขณะที่สหรัฐอเมริกาอาจต้องใช้ระยะเวลายาวนานกว่านั้น ส่วนประเทศไทยนั้นก็ได้แต่รอเป็นผู้ซื้อฝ่ายเดียวหากเรายังไม่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาDeep Tech ได้แต่รอคอยเทคโนโลยีจากต่างประเทศ สิ่งที่จะเกิดขึ้นนอกจากเรื่องที่หลายคนกลัวว่าเทคโนโลยีชั้นสูงจะมาแทนที่คน ทำให้เกิดการว่างงานจำานวนมหาศาลแล้ว ในภาพรวมแม้เราอาจจะไม่ใช่คนที่ต้องเสียงานให้ปัญญาประดิษฐ์แต่เราก็จะสูญเสียรายได้ของเราให้กับประเทศอื่นผ่านการซื้อเทคโนโลยีที่แพงหูฉี่แต่ไม่มีก็ไม่ได้กระทบต่อเศรษฐกิจ ต่อจีดีพี แถมการนำเทคโนโลยีต่างประเทศมาใช้ ยังเป็นการอนุญาตให้ประเทศเจ้าของเทคโนโลยีดึงข้อมูลจากประเทศเราไปใช้พัฒนาต่อแล้วกลับมาขายเราได้อีกด้วย

แล้วทางรอดของประเทศไทยจะทำอย่างไร ผมมองว่าหนึ่งในปัญหาหลักที่เรากำลังประสบอยู่ คือการขาดทรัพยากรมนุษย์ที่มีความรู้ความสามารถด้านข้อมูลและเทคโนโลยี สิ่งที่จะช่วยให้เรารอดพ้นวิกฤตนี้ไปได้ก็คือการศึกษา หากภาครัฐให้การนับสนุนในสาขาวิชาด้านเทคโนโลยีชั้นสูง หรือ Data Analysis, Data Science จะเป็นการช่วยเสริมทัพให้ประเทศไทยมีความพร้อมมากขึ้น อย่างประเทศจีนที่จริงก็ใช้เวลาแค่ 3-4 ปีมุ่งสร้าง Data Scientist ก็สามารถขึ้นนำเป็นอันดับ 1 ของโลกด้านเทคโนโลยีชั้นสูงได้แล้ว

ผมจึงคิดว่าประเทศไทยไม่ได้หมดหวังเสียทีเดียว แต่เราต้องไหวตัวได้แล้ว ฝั่งนักลงทุนก็ต้องพร้อมติดอาวุธให้สตาร์ทอัพที่มีศักยภาพส่วนสตาร์ทอัพไทยก็ต้องเร่งปรับตัว มองอนาคตข้างหน้า ต้องกล้าพุ่งทะยานออกจากสมรภูมิเดิม สู่ใต้มหาสมุทรใหญ่ได้แล้ว!

<img class="alignnone size-full wp-image-6461" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/04/ธนพงษ์-ณ-ระนอง.jpg" alt="" width="300" height="300" />
ธนพงษ์ ณ ระนอง
กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำากัด
และนายกสมาคมไทยผู้ประกอบธุรกิจเงินร่วมลงทุน (TVCA)

<hr />

<a href="https://bit.ly/2Vz02jN">ติดตามอ่านบทความทางด้านธุรกิจและเศรษฐกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ มีนาคม 2562 และติดตามได้ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="https://bit.ly/2Vz02jN"><img class="alignnone wp-image-6384 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/04/-e1554115232435.jpg" alt="" width="250" height="328" /></a>

ประเทศไทยจะแหวกว่ายในมหาสมุทร Deep Tech อย่างไร

<h2>Jim Breyer อภิมหาเศรษฐีในธุรกิจร่วมลงทุนได้ทบทวนกลยุทธ์การลงทุนของตัวเองใหม่ทั้งหมด โดยปัจจุบันเน้นลงทุนในปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เพียงอย่างเดียวเท่านั้น</h2>
<h3></h3>
<h3>ทำไมจึงเลือกลงทุนใน AI เพียงอย่างเดียว</h3>
ผมลงทุนในแผนธุรกิจด้าน AI ซึ่งมีระยะเวลา 10 ปีมาได้ 2 ปีแล้วและมันน่าทึ่งมาก แนวคิดที่เป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่ที่น่าสนใจที่สุดมาจากศูนย์กลางทางวิชาการซึ่งมีการผสมผสานระหว่างวิทยาการคอมพิวเตอร์ ความเชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ อย่างเช่นการให้บริการด้านสาธารณสุขและการแพทย์ รวมถึงจิตวิญญาณของผู้ประกอบการซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในธุรกิจสตาร์ทอัพ

AI ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกที่ MIT ในช่วงทศวรรษ 1950 ทำไมจึงดังระเบิดในตอนนี้เราเริ่มมองเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในราวปี 2010 <span style="color: #ff0000;">ข้อมูลในระบบคลาวด์เปิดโอกาสให้สามารถทำการวิเคราะห์ชุดข้อมูลจำนวนมหาศาลได้ในทันที</span> เรามีความก้าวหน้ามากในด้านวิชวลคอมพิวติ้ง ซึ่งสร้างความแตกต่างอย่างมากมายให้กับบริษัท AI ด้านการแพทย์อย่าง <strong>Paige.AI</strong> ซึ่งเป็นบริษัทที่ผมร่วมลงทุน
<h3></h3>
<h3>ผมอ่านพบว่าข้อมูลด้านการแพทย์เพิ่มปริมาณขึ้นเท่าตัวในทุกๆ 60 วัน</h3>
ใช่เลย และการใช้ supercomputing ในระบบคลาวด์ก็ทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวได้ เมื่อ 5 ปีที่แล้วเราไม่สามารถเขียนอัลกอริทึมให้จัดการกับชุดข้อมูลขนาดใหญ่มากได้
<h3></h3>
<h3>ลองยกตัวอย่างให้ฟังหน่อยได้ไหม</h3>
ที่ <strong>Memorial Sloan Kettering</strong> เรามีชุดข้อมูลด้านพยาธิวิทยาที่ใหญ่ที่สุดในโลกชุดหนึ่ง การผสมผสานระหว่างคลาวด์ วิชวล คอมพิวติ้ง และเซลฟ์-เลิร์นนิ่ง อัลกอริทึมช่วยให้แพทย์สามารถหาข้อสรุปที่ถูกต้องเหมาะสมให้กับคนไข้ของตนได้อย่างรวดเร็ว
<h3></h3>
<h3>การก่อตั้งบริษัท AI แตกต่างจากการตั้งบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ หรือไม่</h3>
แตกต่างแน่นอน ทักษะเชิงสหวิทยาการเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งนับตั้งแต่วันแรกเลย
<h3></h3>
<h3>ลองขยายความให้ฟังหน่อยได้ไหม</h3>
ในบริษัทเทคโนโลยีส่วนใหญ่ คุณเริ่มต้นด้วยนักวิทยาการคอมพิวเตอร์และนักพัฒนาซอฟต์แวร์มากความสามารถ 20 คน จากนั้นคุณก็สรรหานักการตลาดและพนักงานขายและจัดตั้งบริษัทขึ้น แต่สำหรับบริษัท AI ใหม่ๆ คุณจำเป็นต้องมีนักวิทยาการคอมพิวเตอร์ฝีมือดีและผู้เชี่ยวชาญเชิงลึกในสาขาต่างๆ เช่น การวิจัยโรคมะเร็ง นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทเลย
<h3></h3>
<h3>แวดวง AI ทั้งหมดจะพัฒนาไปอย่างไร Amazon, Microsoft, Facebook และ Google จะเป็นผู้ควบคุมทุกอย่างหรือไม่</h3>
บริษัทเหล่านี้รวมทั้ง Alibaba และ Tencent ของจีนน่าจะเป็นผู้ควบคุมแพลตฟอร์มคลาวด์
<h3></h3>
<h3>ธุรกิจสตาร์ทอัพทุกวันนี้ควรให้ความสำคัญกับตลาดแนวดิ่ง ตลาดแนวดิ่งบางตลาดนั้นใหญ่โตมาก</h3>
ใช่ เป็นที่แน่นอนว่าตลาดบริการสาธารณสุขนั้นใหญ่มาก มีหลายส่วนซึ่ง AI มีบทบาทสำคัญในการช่วยวิเคราะห์และวินิจฉัยโรคโดยทำงานร่วมกับมนุษย์ และสามารถสร้างมาร์เก็ตแคปมูลค่าหลายแสนล้านเหรียญได้ บริการทางการเงินก็เช่นเดียวกัน
<h3></h3>
<h3>บริษัท AI ดูเหมือนจะนิยมพนักงานที่ประกอบด้วยกลุ่มคนหลากหลายช่วงวัย ซึ่งไม่เหมือนกับบริษัทสตาร์ทอัพอื่นๆ ซึ่งเน้นคนรุ่นใหม่</h3>
ที่ Paige.AI และบริษัทพันธมิตรอย่าง Memorial Sloan Kettering ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทซึ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกมีอายุอยู่ในช่วง 50 ตอนกลางถึงตอนปลาย พวกเขาทำงานร่วมกับบรรดานักวิจัยหลังปริญญาเอก (postdoc) อายุ 20 ปลายๆ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบอัลกอริทึมขั้นสูง <span style="color: #ff0000;">ผมมองเห็นบริษัท AI หลายต่อหลายแห่งที่มีการผสมผสานระหว่างประสบการณ์ ความชำนาญ และคนรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัวแบบนี้</span>
<h3></h3>
<h3>คุณใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในประเทศจีน ธุรกิจ AI ทั่วโลกที่มีเดิมพันสูง คุณคิดว่าประเทศใดเป็นผู้นำของการแข่งขัน</h3>
ประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะมีสุดยอดของสุดยอดบุคคลอัจฉริยะและฉลาดหลักแหลมจากมหาวิทยาลัยต่างๆ อย่างเช่น Stanford, Harvard และ MIT แต่นักเทคโนโลยีชาวจีนในปัจจุบันก็ไม่ธรรมดา และมีความสามารถเป็นเลิศในด้านนวัตกรรม ผมมองว่าทั้งอเมริกาและจีนจะเป็นแหล่งสำหรับการลงทุนในธุรกิจ AI ที่เฟื่องฟูไปอีกหลายทศวรรษ

Jim Breyer อภิมหาเศรษฐีแห่งธุรกิจร่วมลงทุน

Deep Tech เปลี่ยนโลกอย่างไร

<h2>AddVentures โดยเอสซีจี ประเดิมลงทุนก้อนแรกในกองทุนเวนเจอร์แคปิตอล “Wavemaker Partners” มุ่งเน้นลงทุนในสตาร์ทอัพด้าน B2B ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แย้มเอสซีจีเริ่มสร้างความร่วมมือเชิงพาณิชย์กับสตาร์ทอัพบางรายแล้ว</h2>
<strong>จาชชัว แพส </strong>กรรมการผู้จัดการ <strong>AddVentures </strong>เปิดเผยว่า AddVentures ได้ประเดิมการลงทุนในลักษณะ Fund of Funds ผ่านเวนเจอร์แคปิตอลก้อนแรก ในกองทุน <strong>Wavemaker SEA Fund II </strong>ซึ่งเป็นกองทุนที่สองของ <strong>Wavemaker Partners</strong> ซึ่งมีวัตถุประสงค์การลงทุนเน้นสตาร์ทอัพด้าน B2B ระดับ Seed Stage ถึง Series A Stage ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“เราเลือกลงทุนใน Wavemaker Partners เพราะเป็นเวนเจอร์แคปิตอลที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จจนทำให้สตาร์ทอัพในพอร์ตหลายรายไปสู่จุดหมายหรือการ Exit ได้ เราและ Wavemaker ยังมีความสนใจร่วมกัน คือการลงทุนสตาร์ทอัพด้าน B2B และ Deep Tech Startups จึงคาดหวังหวังว่าเราจะได้ร่วมลงทุนและใช้เครือข่ายของเอสซีจีในการช่วยให้สตาร์ทอัพกลุ่มนี้เติบโต” จาชชัวกล่าว

<strong>Wavemaker Partners </strong>ได้รับคัดเลือกอยู่ในเครือข่ายของ Draper Venture Network (DVN) ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรเวนเจอร์แคปิตอลระดับโลก มีเครือข่ายเวนเจอร์แคปิตอลชั้นนำมากกว่า 17 ราย เชื่อมโยงผู้ประกอบการและนักลงทุนจากทั่วโลก

จาชชัวกล่าวอีกว่า <span style="color: #ff0000;">Wavemaker SEA Fund II เน้นการสร้าง Portfolio จำนวนมาก เพื่อเลือกลงทุนในสตาร์ทอัพ B2B ที่มีศักยภาพ 80 รายตลอดระยะเวลากองทุน และสร้างโอกาสการลงทุนรอบถัดไป (Follow-on round) ในบริษัทที่มีแนวโน้มการเจริญเติบโตสูง </span>โดยการลงทุนครั้งนี้สามารถเอื้อประโยชน์ให้กับการร่วมลงทุน (Co-investment) ของ AddVentures ในระดับ Series A ได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ <span style="color: #ff0000;">กลยุทธ์ที่สอดคล้องกับทิศทางการลงทุนของ AddVentures ทำให้มีโอกาสเข้าถึงสตาร์ทอัพที่มีนวัตกรรมด้าน B2B และอาจพิจารณานำนวัตกรรมเหล่านั้นมาต่อยอดเป็นธุรกิจใหม่ของเอสซีจีได้ ปัจจุบัน AddVentures และเอสซีจีก็ได้เริ่มทดลองต่อยอดสร้างความร่วมมือเชิงพาณิชย์ หรือ Commercial Deal กับสตาร์ทอัพบางรายที่ Wavemaker ได้ลงทุนไปแล้ว</span> มั่นใจว่าการดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลดีต่อทิศทางของบริษัทและการเจริญเติบโตของระบบนิเวศสตาร์ทอัพในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แน่นอน

สำหรับ AddVentures โดยเอสซีจี เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา ก่อตั้งขึ้นภายใต้วัตถุประสงค์หลักคือ ส่งเสริมศักยภาพและลงทุนในสตาร์ทอัพทั้งไทยและทั่วโลก เพื่อให้เอสซีจีสามารถเชื่อมโยงนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน รวมทั้งยังทำให้ผู้บริโภคได้ใช้สินค้าและบริการที่ดีขึ้น รวดเร็วขึ้น ตอบโจทย์การยกระดับคุณภาพชีวิตให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

AddVentures มีแผนในการลงทุนทั้งการลงทุนผ่านกองทุนเวนเจอร์แคปิตอล และการลงทุนโดยตรง (Direct Investment) ในสตาร์ทอัพทั้งในไทย อาเซียน และศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีของโลก เช่น Silicon Valley ประเทศสหรัฐอเมริกา, Tel Aviv ประเทศอิสราเอล, Shenzhen ประเทศจีน ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.Enterprise 2.Industrial และ 3.B2B ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจหลัก 3 กลุ่มของเอสซีจี ได้แก่ 1.ธุรกิจซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง 2.ธุรกิจเคมิคอลส์ และ 3.ธุรกิจแพคเกจจิ้ง

ด้าน Wavemaker ก่อตั้งขึ้นใน Los Angeles สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2546 และขยายการลงทุนมาที่สิงคโปร์ในปี 2555 ผู้ก่อตั้งทั้ง 3 คนของ Wavemaker ได้แก่ Eric Manlunas, David Siemer และ Paul Santos ล้วนเป็นผู้ประกอบการและเคยมีประสบการณ์การก่อตั้งสตาร์ทอัพและขายกิจการด้วยตัวเองมาแล้วทั้งสิ้น สำหรับบริษัทที่อยู่ในพอร์ตของ Wavemaker ได้แก่ MindBody (NASDAQ: MB), DigitalGlobe (NYSE: DGI), StyleHaul (ขายกิจการให้แก่ RTL Group แล้ว), Luxola (ขายกิจการให้แก่ LVMH แล้ว), Pie (ขายกิจการให้แก่ Google) และ ArtofClick (ขายกิจการให้แก่ Xurpas)

สตาร์ทอัพทั่วโลกที่สนใจร่วมงานกับ AddVentures สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.addventures.co.th และ facebook.com/AddVenturesbySCG หรือ LinkedIn: AddVentures by SCG

<a href="http://forbesthailand.com/news-detail.php?did=1715">อ่านเพิ่มเติม: SCG ประเดิมลงทุนสตาร์ทอัพปีแรก 500 ล้านบาทผ่านหน่วยงานใหม่ AddVentures</a>

AddVentures หน่วยลงทุนสตาร์ทอัพของ SCG ประเดิมลงทุนก้อนแรกในเวนเจอร์แคปิตอล Wavemaker

<h2>กองทุนเวนเจอร์แคปิตอลในพอร์ตของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเวชภัณฑ์ Eli Lilly และ Alphabet บริษัทแม่ของ Google อัดฉีดเงินทุนมูลค่า 92.7 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับสตาร์ทอัพที่กำลังใช้เทคโนโลยี Machine Learning สร้างแนวทางรักษาแบบเฉพาะบุคคลสำหรับโรคมะเร็งปอดและมะเร็งช่องท้อง ดีลการลงทุนนี้เป็นหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งว่าเงินลงทุนส่วนตัวของเศรษฐีกำลังหลั่งไหลเข้าสู่ภาคธุรกิจนวัตกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ</h2>
<strong>Gritstone Oncology </strong>สตาร์ทอัพจากเมือง Emeryville รัฐ California เตรียม<span style="color: #ff0000;">นำเงินลงทุนดังกล่าวใช้ก่อสร้างพื้นที่ผลิตยารักษาโรคขนาด 43,000 ตารางฟุต และสนับสนุนการทดลองในมนุษย์ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มต้นได้ในช่วงกลางปีหน้า</span> โดย <strong>Andrew Allen</strong> ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ Gritstone เคยได้รับเงินลงทุนมาแล้ว 103 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งยังคงเหลืออยู่ประมาณ 15 ล้านเหรียญ และ<span style="color: #ff0000;">เงินลงทุนก้อนใหม่ที่ได้รับเพิ่มเติมจะทำให้ Gritstone สามารถเริ่มการทดลองในมนุษย์เป็นครั้งแรก และคาดว่าจะทราบผลลัพธ์ของการทดลองในช่วงสิ้นปี 2019</span>
<p class="p1"><span class="s1">Allen </span><span class="s2">ซึ่งเคยมีตำแหน่งระดับอาวุโสในบริษัท</span><span class="s1"> Clovis Oncology </span><em><span class="s3">(</span><span class="s4">บริษัทเวชภัณฑ์ขนาดกลางของสหรัฐฯ</span> <span class="s4">เน้นหนักด้านโรคที่เกี่ยวกับเนื้องอก</span><span class="s3">) </span></em><span class="s2">และบริษัท</span><span class="s1"> Pharmion </span><em><span class="s3">(</span><span class="s4">บริษัทเวชภัณฑ์เน้นด้านเนื้องอกและโลหิตวิทยา</span><span class="s3">) </span></em><span class="s2">กล่าวต่อว่า</span> <span class="s2">ความเข้าใจขั้นสูงเกี่ยวกับวิธีการที่ระบบภูมิคุ้มกันใช้ต่อสู้กับมะเร็งทำให้บริษัทนี้เกิดขึ้นได้</span></p>


<figure><img style="width: 680px; height: 382px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/e995336e6ef818d77d47f3ee7a1f004f.png" alt="" width="680" height="382" /><figcaption> (Photo Credit: Oncology News Australia)</figcaption></figure>

Allen กล่าวว่า มะเร็งเกิดขึ้นจากการกลายพันธุ์ของเซลล์ ซึ่งถ้ามีเซลล์เหล่านี้เกิดขึ้นจำนวนหนึ่งจะถูกเรียกว่า “drivers” และเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดมะเร็งขึ้น ส่วนที่เหลือเป็นเพียงความซับซ้อนของจีโนม โปรตีนที่เปลี่ยนแปลงไปที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า “นีโอแอนติเจน” จะเข้าไปเกาะกลุ่มอยู่รอบนอกของเซลล์มะเร็งและสามารถตรวจจับได้ด้วย “ที-เซลล์” (เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง) ในร่างกายมนุษย์ แต่ก่อนจะตรวจจับได้ ที-เซลล์จำเป็นต้องได้รับการฝึกให้รู้จักนีโอแอนติเจนเหล่านี้ก่อน

Gritstone จะนำตัวอย่างเนื้องอกจากคนไข้แต่ละราย จากนั้นใช้คอมพิวเตอร์เพื่อวิเคราะห์ตัวอย่างชิ้นเนื้องอกและตรวจจับนีโอแอนติเจนที่เกาะกลุ่มกันอยู่รอบเซลล์ในชิ้นเนื้อ แอนติเจนจะถูกนำไปใส่ใน “อะดีโนไวรัส” เพื่อสร้างวัคซีน จากนั้นคนไข้จะได้รับวัคซีนจากการผลิตด้วยเทคโนโลยีวัคซีน RNA

<strong>Anthony Philippakis</strong> พาร์ทเนอร์ในกองทุนเวนเจอร์แคปิตอล <strong>GV</strong> ของ Alphabet กล่าวว่า แนวคิดนี้อาจเป็น “ความพยายามที่สำคัญและเปลี่ยนแปลงโลกได้” ด้าน <strong>Judith Li</strong> พาร์เนอร์กองทุน <strong>Lilly Asia Ventures</strong> ซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดของ Gritstone ระบุในแถลงการณ์ชิ้นหนึ่งว่า Gritstone กำลังมุ่งเน้นการศึกษาไปที่ชิ้นเนื้อคนไข้ในแถบเอเชียตะวันออก

สำหรับเงินลงทุนรอบล่าสุดของ Gritstone นอกจากจะมาจากสองบริษัทยักษ์ใหญ่ดังกล่าวแล้ว ยังได้รับจากนักลงทุนรายใหม่ คือ Trinitas Capital (Beijing) และ Alexandria Venture Investments ส่วนนักลงทุนรายเดิมที่ลงทุนในรอบก่อนๆ ได้แก่ Versant Ventures, The Column Group, Clarus Funds และ Frazier Healthcare Partners

&nbsp;
<p class="p1"><span class="s1">แปลและเรียบเรียงจาก</span><span class="s2"> <i>Personalized Cancer Vaccine Company Raises $93 Million </i></span><span class="s1">โดย</span><span class="s2"><i> Matthew Herper/Forbes.com</i></span></p>

สตาร์ทอัพวิจัยวัคซีนต้าน “มะเร็ง” รับเงินลงทุน 93 ล้านเหรียญจาก Google และยักษ์วงการยาโลก

<strong>เฉลิมพล ตู้จินดา </strong>ผู้อำนวยการ <strong>เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย</strong><strong> (Software Park Thailand)</strong> หน่วยงานภายใต้การดูแลของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐในยุคแรกๆ ที่รับหน้าที่เป็นศูนย์บ่มเพาะสตาร์ทอัพที่เป็นผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทย ให้ความเห็นว่า <span style="color: #ff0000;">ประเทศไทยยังต้องการกลุ่ม angel investor หรือนักลงทุนที่ลงทุนในสตาร์ทอัพช่วงเริ่มไอเดีย หรือเพาะเมล็ดพันธุ์ (idea/seed stage) ให้มากกว่านี้</span>

โดย angel investor จะลงเงินหลักแสนหรือไม่มาก เพื่อให้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพของทีมผู้ก่อตั้ง (founder) ให้ทุ่มเททรัพยากรของตนเองในการพัฒนาธุรกิจให้สามารถออกสู่ตลาดได้ในระยะเวลาไม่นาน เมื่อสินค้าหรือบริการเป็นรูปร่างแล้วก็มีกลุ่ม VC มารับช่วงต่อ

“สตาร์ทอัพไทยที่สำเร็จส่วนใหญ่จะมีผู้ก่อตั้งที่มีประสบการณ์การทำงานมาราว 10 ปี ขณะที่สตาร์ทอัพที่เพิ่งเรียนจบใหม่แล้วประสบความสำเร็จกลับมีน้อย ไม่ใช่เพราะเด็กไทยไม่เก่ง แต่เพราะเขาขาดการสั่งสมประสบการณ์จากการทำงาน ขณะที่เด็กต่างประเทศเริ่มสั่งสมประสบการณ์การทำงานตั้งแต่อายุ 14-15 ปี ซึ่ง angel investor จะช่วยเสริมส่วนที่ขาดนี้ได้”

<figure><img style="width: 680px; height: 362px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/2408c642539be79d0e2324ba2e9a1be7.png" alt="" width="680" height="362" /><figcaption> (Photo Credit: Rutavi Bhatia/coworkingindiamag.com)</figcaption></figure>

&nbsp;
<h2>คุณสมบัติเบื้องต้น 3 ประการที่ Angel Investor ควรมี</h2>
<ul>
 	<li><strong>มีความเข้าใจในอุตสาหกรรมที่จะลงทุน </strong>เช่น หากลงทุนในซอฟต์แวร์เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจโลจิสติกส์ ก็ต้องมีความรู้ความชำนาญในธุรกิจนี้เพื่อให้รู้แนวทางได้ว่าซอฟต์แวร์ที่กำลังพัฒนาตอบโจทย์ผู้ใช้งานหรือไม่ หรือแนะนำเครือข่ายเพื่อเป็นผู้ทดสอบซอฟต์แวร์นั้นได้</li>
 	<li><strong>มีใจเป็นผู้ให้ มีความตั้งใจอยากสร้างคนรุ่นใหม่ </strong>มองความสำเร็จของกิจการเป็นรางวัลซึ่งเป็นผลพลอยได้ angel investor ในต่างประเทศหลายคนลงทุนในกิจการสตาร์ทอัพเพื่อมีหัวข้อไว้แลกเปลี่ยนกับเพื่อนฝูงในระดับสังคมเดียวกัน หรือเพื่อให้ตัวเองทราบข้อมูลเทคโนโลยีสมัยใหม่เท่านั้นเอง</li>
 	<li><strong>เงินทุน แทบจะจัดลำดับความสำคัญอยู่ท้ายๆ </strong>เพราะ angel investor มีสินทรัพย์เป็นหลักร้อย หลักพันล้าน แต่มหาเศรษฐีผู้มีความเป็นส่วนตัวสูงเหล่านี้ชอบอยู่เงียบๆ เก็บตัว เพราะไม่อยากถูกรบกวน</li>
</ul>
<span style="color: #ff0000;">“บริษัทไหนที่ได้ angel investor ดี มักไปได้ไกล เพราะมี guidance ที่ดี ส่วนสตาร์ทอัพที่ไปเจอกลุ่มคนซึ่งเรียกตัวเองว่า angel investor ให้เงินทุนมา แต่เฉยอย่างเดียว มักไปไม่รอดเพราะขาดการให้คำแนะนำที่ดี</span> หรือถ้าไปรอดก็เพราะความเก่งของตัวเอง ก็ถือเป็นโชคของ angel investor ไป”

การให้สิทธิลดหย่อนภาษีก็อาจเป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวของ angel investor ได้ เช่น ในประเทศอังกฤษ angel investor ที่เป็นบุคคลธรรมดาสามารถนำเงินลงทุนในสตาร์ทอัพมาหักลดหย่อนภาษีได้ หากกิจการไปไม่รอดก็นำส่วนนี้มาหักภาษีต่อได้เพื่อเป็นแรงจูงใจให้นำเงินมาลงทุน เพราะเงินที่หักลดหย่อนภาษีช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนได้บางส่วน เปรียบเสมือนกับรัฐบาลร่วมลงทุนในสตาร์ทอัพทางอ้อมนั่นเอง เฉลิมพลกล่าวทิ้งท้าย

&nbsp;
<h2>คลับสำหรับ Angel Investor ไทย</h2>
<strong>1.Bangkok Venture Clu </strong><a href="http://www.bangkokvc.com/">www.bangkokvc.com</a> ก่อตั้งในปี 2557 เป็นศูนย์รวมนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง นักบริหาร และผู้ประกอบการในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สมาชิกคลับมีทั้งนักธุรกิจชั้นนำที่มีความชำนาญสูงในหลากหลายสาขา เช่น การเงิน อสังหาริมทรัพย์ ขนส่ง ค้าปลีก อาหาร พลังงาน เทเลคอม โฆษณา กฎหมาย เป็นต้น วัตถุประสงค์เพื่อมองหาและให้การสนับสนุนธุรกิจที่อยูุ่ในขั้นเริ่มต้นไอเดีย (seed) และเริ่มตั้งต้น (early) ที่จะได้รับประโยชน์จากการสนับสนุนทั้งประสบการณ์ เครือข่าย และเงินลงทุนของสมาชิกในกลุ่ม

<strong>2.1000x Club ของ บริษัท ชิฟ เวนเจอร์ส จำกัด (Shift Ventures)</strong> www.facebook.com/shiftventures; <a href="http://www.shiftventures.co.th/">www.shiftventures.co.th</a> ก่อตั้งขึ้นในปี 2559 ภายใต้บริษัท ชิฟ เวนเจอร์ส จำกัด โดย 1000x Club เป็นการรวมกลุ่มนักลงทุนรายบุคคล เริ่มต้นจาก 30 คน โดยแต่ละคนพร้อมลงทุนอย่างน้อยคนละ 1 ล้านเหรียญ หรือราว 35 ล้านบาท หรือรวมกว่า 1,000 ล้านบาท ทั้งนี้เงินลงทุนจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของนักลงทุนแต่ละราย ชิฟ เวนเจอร์ส ยังวางแผนเปิดหลักสูตรสอนนักลงทุน 2 ชุด (batch) แต่ละชุดใช้เวลาราว 9 สัปดาห์ เพื่อพัฒนาและคัดกรองนักลงทุนที่มีความรู้ มีคุณภาพ ให้เข้ามาอยู่ในระบบ

<hr />

<a href="https://goo.gl/io14AS"><span style="color: #008080;">คลิกอ่านบทความด้านการจัดการความมั่งคั่งและการลงทุนเพิ่มเติมได้ที่ Wealth Management &amp; Investing 2017 ฉบับ มิถุนายน 2560 ในรูปแบบ e-Magazine</span></a>
<a href="https://goo.gl/io14AS"><img style="width: 250px; height: 327px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/89a410029a7f063d5351562a1a476a90.png" alt="" /></a>

ไทยยังต้องการ Angel Investor

<h2>หลังจากแย้มข่าวการก่อตั้งหน่วยลงทุนในสตาร์ทอัพมาตั้งแต่เดือนก่อน วันนี้เอสซีจีประกาศการก่อตั้งเวนเจอร์แคปิตอลในนาม Addventures อย่างเป็นทางการ โดยจะลงทุนทั้งในแบบ Fund of Funds และการลงทุนทางตรงให้กับสตาร์ทอัพที่น่าสนใจ ประเดิมงบปีแรก 2560 ที่ 300-500 ล้านบาท และคาดว่าจะลงทุนทั้งหมด 2,000-3,000 ล้านบาทใน 5 ปี (2560-2564)</h2>
<strong>ยุทธนา เจียมตระการ</strong> ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การบริหารกลาง <strong>เอสซีจี</strong> กล่าวว่า เอสซีจีมีแนวคิดการลงทุนในสตาร์ทอัพมาตั้งแต่ปีก่อน โดยได้ศึกษากิจกรรมเกี่ยวกับสตาร์ทอัพหลายครั้ง พบว่ามีความน่าสนใจเพราะกลุ่มสตาร์ทอัพมีลักษณะของเจ้าของกิจการที่มีแรงขับเกี่ยวกับนวัตกรรมที่ตนเองพัฒนาสูง และมีความเร็วในการทำงานจากขนาดองค์กรที่เล็กทำให้คล่องตัวกว่า

หลังจากหารือกันภายในเอสซีจี ซึ่งเป็นองค์กรที่สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอยู่แล้ว ทำให้ตัดสินใจที่จะก่อตั้งเวนเจอร์แคปิตอลชื่อ <strong>Addventures</strong> ในปีนี้ ซึ่งจะเป็นหน่วยงานช่องทางให้สตาร์ตอัพได้นำเสนอแนวคิดทางธุรกิจและนวัตกรรมให้กับเอสซีจี

<figure><img style="width: 680px; height: 488px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/09df8a1c2eece11dd3e68586f302ad27.png" alt="" width="680" height="488" /><figcaption> ยุทธนา เจียมตระการ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การบริหารกลาง เอสซีจี</figcaption></figure>

<span style="color: #ff0000;">สำหรับปี 2560 เอสซีจีตั้งงบเพื่อลงทุนเกี่ยวกับสตาร์ทอัพ 300-500 ล้านบาท และคาดว่าจะมีงบรวม 5 ปี (2560-2564) ทั้งหมด 2,000-3,000 ล้านบาท</span> งบลงทุนดังกล่าวถือเป็นส่วนเสริมแยกจากงบการลงทุนวิจัยและพัฒนา (R&amp;D) ที่เอสซีจีตั้งไว้เดิมมูลค่า 1% ของยอดขาย หรือ 4,500 ล้านบาทในปี 2560 สำหรับสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาของบุคลากรในองค์กรเอง แต่มีจุดประสงค์เดียวกันคือ<span style="color: #ff0000;">สร้างนวัตกรรมเสริมสมรรถภาพการแข่งขันหรือสร้างผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า HVA (High Value Added) ให้กับเอสซีจี</span>

ด้าน <strong>จาชชัว แพส</strong> กรรมการผู้จัดการ <strong>Addventures </strong>ลงลึกในรายละเอียดการลงทุนสตาร์ทอัพและวิธีการทำงานของเอสซีจีว่า องค์กรเอสซีจีมีธุรกิจที่ค่อนข้างกว้างมากแต่สามารถแบ่งได้เป็น 3 แกนหลักซึ่งสนใจจะทำงานร่วมกับสตาร์ทอัพเพื่อค้นหานวัตกรรมใหม่ ได้แก่

<strong>1.Industrial</strong> ซึ่งมีนวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น Smart Manufacturing, หุ่นยนต์, ระบบอัตโนมัติ, การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
<strong>2.Enterprise</strong> นวัตกรรมที่เข้าข่าย เช่น e-Commerce, Omni Channel (การหลอมรวมช่องทางติดต่อลูกค้าทุกช่องทางไว้ด้วยกัน), AI หรือปัญญาประดิษฐ์, VR: Virtual Reality เทคโนโลยีความจริงเสมือน จนถึงเทคโนโลยีอย่าง Blockchain
<strong>3.B2B</strong> เนื่องจากเอสซีจีทำการค้าในแบบ B2B: Business to Business เป็นส่วนใหญ่ จึงต้องการนวัตกรรม เช่น การสร้าง Market Place ที่ตอบโจทย์ B2B, นวัตกรรมด้านโลจิสติกส์

ทั้งนี้ เอสซีจีไม่ได้ปิดกั้นนวัตกรรมรูปแบบอื่น สามารถนำเสนอแนวคิดต่างๆ ได้อย่างเต็มที่หากว่าน่าจะมีส่วนเชื่อมโยงกับบริษัทได้

<figure><img style="width: 680px; height: 503px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/c4ddd71c099bd327a6106f3e96f6636f.png" alt="" width="680" height="503" /><figcaption> (ขวา) จาชชัว แพส กรรมการผู้จัดการ Addventures </figcaption></figure>

จาชชัวกล่าวต่อว่า <span style="color: #ff0000;">รูปแบบการลงทุนจะแบ่งเป็น 2 แนวทาง คือ 1.การลงทุนแบบ Fund of Funds เข้าไปลงทุนในบริษัทที่ถือพอร์ตบริษัทสตาร์ทอัพที่น่าสนใจ</span> ส่วนใหญ่จะเลือกพื้นที่ที่เป็นฮับเทคโนโลยีระดับโลก อาทิ Silicon Valley สหรัฐอเมริกา, กรุง Tel Aviv ประเทศอิสราเอล, Shenzhen ประเทศจีน เป็นต้น <span style="color: #ff0000;">2.การลงทุนทางตรง (direct investment) ในประเทศไทยและต่างประเทศที่เอสซีจีมีฐานธุรกิจอยู่โดยเฉพาะในตลาดอาเซียน ทั้ง 2 รูปแบบจะมีการลงทุนมูลค่า 1-5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ/ครั้ง/ราย</span>

สำหรับการลงทุนทางตรง Addventures จะเลือกลงทุนกับสตาร์ทอัพในระดับ Post Seed Stage จนถึงระดับ Series A นั่นคือสตาร์ทอัพผ่านการระดมทุนมาแล้ว 1-2 ครั้ง มีความชัดเจนในคอนเซปท์การทำงาน มีโมเดลธุรกิจแข็งแกร่ง และเริ่มต้นทดลองทำธุรกิจมาแล้วระยะหนึ่ง

ซึ่งจะสอดคล้องกับแนวคิดของ Addventures คือ <strong>“</strong><strong>You innovate, we scale”</strong> เพราะเอสซีจีจะเป็นฐานในการให้ทรัพยากรที่จำเป็นต่อการเติบโตของสตาร์ทอัพ เช่น ช่องทางจำหน่ายทั้งในไทยและอาเซียนซึ่งใช้ทดลองนวัตกรรมได้ และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางจากหน่วยงานวิจัยและพัฒนาของเอสซีจี

<img style="width: 680px; height: 466px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/9d05d3be96636826182c56cac3436c0b.png" alt="" />

โดยจะมี 4 ขั้นตอนของการทำงานร่วมกันระหว่าง Addventures และสตาร์ทอัพ คือ Synergy-ศึกษาความเข้ากันได้ของแนวคิดสตาร์ทอัพกับธุรกิจเอสซีจี Commercial Deals-ส่งเสริมด้วยทรัพยากรในมือของเอสซีจีเพื่อพัฒนาโมเดลธุรกิจหรือนวัตกรรม Investing-เริ่มลงทุนในสตาร์ทอัพ และ Scaling-พัฒนาให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด

จาชชัวกล่าวว่า ขณะนี้ Addventures มีการศึกษาการลงทุนใน Fund of Funds อยู่ประมาณ 10 แห่ง และพูดคุยกับสตาร์ทอัพที่น่าสนใจอยู่ประมาณ 5-6 แห่ง ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นความคืบหน้าการร่วมมือในระดับ Commercial Deals ประมาณ 2-3 รายภายในปีนี้

ส่วนจะไปถึงขั้นการลงทุนเมื่อไหร่และคืนทุนได้เร็วแค่ไหน<strong> ยุทธนา</strong> กล่าวว่า การตัดสินใจลงทุนในสตาร์ทอัพคล้ายคลึงกับการควบรวมกิจการ (M&amp;A) ซึ่งต้องใช้เวลาในการศึกษา พิจารณาความคุ้มค่า โดยที่แต่ละดีลใช้เวลาไม่เท่ากัน ในขณะที่ <strong>จาชชัว</strong> กล่าวเสริมปิดท้ายว่า การลงทุนในสตาร์ทอัพคือการลงทุนระยะยาว เทียบกับการลงทุนปกติก็เช่นเดียวกันที่บางครั้งอาจจะใช้เวลาถึง 8-10 จึงจะคืนทุน แต่ที่สำคัญคือนวัตกรรมบางอย่างอาจจะ disrupt-ปฏิวัติเปลี่ยนโฉมหน้าธุรกิจนั้นไปทั้งหมดได้

SCG ประเดิมลงทุนสตาร์ทอัพปีแรก 500 ล้านบาทผ่านหน่วยงานใหม่ Addventures

<h2>เว็บไซต์ด้านเทคโนโลยี techsauce.co เปิดข้อมูลยอดระดมทุนสตาร์ทอัพปี 2559 พุ่งสูงเกือบ 3,000 ล้านบาท จากดีลระดมทุนขนาดใหญ่กลุ่มฟินเทคและธุรกิจ e-book คาดปีนี้อาจลดความร้อนแรงแต่ยังเป็นกราฟขาขึ้น ฟากเอกชนตื่นตัว ต้นปี 2560 องค์กรขนาดใหญ่ตั้งเวนเจอร์แคปิตอลแล้ว 6 ราย</h2>
<strong>อรนุช เลิศสุวรรณกิจ</strong> ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง <strong>บริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด</strong> ผู้พัฒนาเว็บไซต์ด้านเทคโนโลยี <strong>techsauce.co</strong> เปิดเผยข้อมูลการเติบโตของสตาร์ทอัพไทยนับตั้งแต่ปี 2555-2560 มีการระดมทุนรวม 261.13 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 9,050 ล้านบาท

<span style="color: #ff0000;">โดยปี 2559 ถือเป็นปีที่สตาร์ทอัพไทยระดมทุนได้สูงที่สุด คิดเป็นมูลค่า 86.02 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 2,981 ล้านบาท เนื่องจากมีสตาร์ทอัพหลายบริษัทที่สามารถระดมทุนจำนวนมากได้ในปีเดียวกัน</span> เช่น Ookbee ธุรกิจหนังสือ e-book, Omise ธุรกิจฟินเทค

“การระดมทุนปีนี้อาจจะไม่ได้สูงเท่าปี 2559 เพราะปีที่ผ่านมายอดพุ่งสูงมากจากดีลใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้น แต่คาดว่าจะยังเป็นขาขึ้นถ้าเทียบกับปี 2558 ซึ่งปีนั้นมียอดระดมทุน 33 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1,155 ล้านบาท) ปีนี้ก็น่าจะยังโตได้มากกว่า” อรนุชกล่าว

<figure><img style="width: 680px; height: 455px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/753b6a1005e0db0c4910a1bb30093f5b.png" alt="" width="680" height="455" /><figcaption> อรนุช เลิศสุวรรณกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด </figcaption></figure>

นอกจากนี้ techsauce.co ยังเปิดเผยมูลค่ารวมการขายบริษัทสตาร์ทอัพไทย เก็บสถิติตั้งแต่ปี 2550-2559 ตั้งแต่ยุคการขายบริษัทของเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง sanook.com มีมูลค่ารวมทั้งหมด 108.17 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 3,786 ล้านบาท

อรนุชกล่าวต่อว่า ในมุมของนักลงทุน <span style="color: #ff0000;">สถานการณ์ภาคเอกชนของไทยมีความตื่นตัวเรื่องสตาร์ทอัพมากกว่าที่คาดไว้เป็นเท่าตัว เพียงช่วง 4 เดือนแรกของปี 2560 ก็มีองค์กรเอกชนจัดตั้งกองทุนเวนเจอร์แคปิตอล (Corporate Venture Capital: CVC) แล้ว 6 ราย และมีแนวโน้มที่บริษัทต่างๆ จะจัดตั้ง CVC เพิ่มอีกใน 8 เดือนที่เหลือของปีนี้</span>

ส่วนระบบนิเวศของสตาร์ทอัพขณะนี้ มองว่ายังขาดเรื่องกฎหมาย หากรัฐบาลมีระบบจูงใจด้านภาษีในลักษณะเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์ จะทำให้สตาร์ทอัพที่มีศักยภาพเลือกจดทะเบียนในประเทศไทยมากขึ้น หรือสามารถออก ESOP (Employee Stock Options) ให้หุ้นกับผู้บริหารหรือพนักงานที่เข้ามาทำงานกับบริษัทสตาร์ทอัพได้ ก็จะทำให้การเติบโตของสตาร์ทอัพง่ายขึ้น เพราะสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของสตาร์ทอัพคือการดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถเข้ามาร่วมงาน ซึ่งบุคลากรเหล่านี้มักจะต้องการหุ้นในบริษัทเป็นสิ่งตอบแทนความเสี่ยง

<figure><img style="width: 680px; height: 454px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/5250d94dc499a0a73533247dc2ca52f9.png" alt="" width="680" height="454" /><figcaption> บรรยากาศงาน Techsauce Summit 2016 เมื่อปีก่อน</figcaption></figure>

ทั้งนี้ techsauce.co เตรียมจัดงาน <strong>Techsauce Global Summit 2017</strong> เป็นเวทีแบ่งปันความรู้จากซีอีโอ นักลงทุน วิทยากรด้านสตาร์ทอัพ-เทคโนโลยีจากทั่วโลกรวมกว่า 250 คน เช่น Dave McClure จาก 500 Startups, Vitaly M.Golomb จาก HP Tech Ventures, Mike Peng จาก IDEO Tokyo เป็นต้น

การสัมมนาในงานจะครอบคลุมเนื้อหาที่น่าสนใจและเป็นเทรนด์อยู่ในขณะนี้ อาทิ FinTech, UrbanTech, EnergyTech มีการ showcase เทคโนโลยีให้ผู้ร่วมงานได้สัมผัสและเข้าใจจากประสบการณ์จริง เช่น AI, Blockchain, Machine Learning รวมถึงการจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) ระหว่างสตาร์ทอัพกับเวนเจอร์แคปิตอลภายในงานด้วย โดยงาน Techsauce Global Summit 2017 จะจัดขึ้นวันที่ 28-29 กรกฎาคมนี้ ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์

Techsauce เผยยอดระดมทุนสตาร์ทอัพปี 2559 พุ่งสูงสุด

<h2>หลายองค์กรใหญ่ตั้งศูนย์บ่มเพาะ-ลงทุนสตาร์ทอัพ SCG องค์กรแถวหน้าไทยไม่ตกเทรนด์ เตรียมตั้งเวนเจอร์แคปิตอล ‘AddVentures’ อนันดาฯ ปลุกปั้น 4 สตาร์ทอัพดาวรุ่ง SCB-ดีแทค ปรับตัวต่อเนื่องเพื่ออนาคต</h2>
บริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด ผู้พัฒนาเว็บไซต์ด้านเทคโนโลยี <strong>techsauce.co</strong> จัดงานสัมมนา <strong>“เปิดมุมมององค์กรยักษ์ใหญ่ ร่วมสนับสนุนสตาร์ทอัพ”</strong> โดยมีผู้บริหารทั้งจาก เอสซีจี, บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์, บริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ จำกัด ในเครือธ.ไทยพาณิชย์ และ ดีแทค แอคเซอเลอเรท ร่วมให้ข้อมูลบนเวที

โดย <strong>จาชชัว แพส</strong> กรรมการผู้จัดการ <strong>AddVentures</strong> เวนเจอร์แคปิตอลในเครือ <strong>เอสซีจี</strong> เปิดเผยบนเวทีสัมมนาว่า เอสซีจีเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาตลอด โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ 2 ประเด็นสำคัญ คือ

สินค้าที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) เป็นการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อลูกค้า ตัวอย่างที่ผ่านมา เช่น สินค้ากลุ่ม Elder Care เพื่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ, วัสดุที่สัมผัสอาหารได้อย่างปลอดภัย, การพัฒนาระบบอีคอมเมิร์ซ และอีกประเด็นคือ การพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน เร่งความเร็วในการผลิตให้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น สุขาเพื่อประชาชน ณ ท้องสนามหลวง ซึ่งเอสซีจีสามารถประกอบติดตั้งได้ใน 3 วัน

เป็นโจทย์ที่ให้กับพนักงานภายในองค์กรในการวิจัยและพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ แต่<span style="color: #ff0000;">การก่อตั้ง AddVentures ก็จะเปิดรับสตาร์ทอัพเข้ามาร่วม แต่ยังต้องเป็นสตาร์ทอัพที่พัฒนานวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับ 3 ธุรกิจหลักของเอสซีจี ได้แก่ เคมิคอล, ปูนซิเมนต์ และแพคเกจจิ้ง หรือ 3 ธุรกิจที่เกี่ยวข้องในเครือเอสซีจี คือ โลจิสติกส์, เทรดดิ้ง และรีเทล</span>

อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ AddVentures จะมีขึ้นในวันที่ 8 มิถุนายนนี้ ซึ่งจะมีรายละเอียดทั้งหมดเพิ่มเติม

<figure><img style="width: 340px; height: 474px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/be5e6f0a32adae2712027e8f41f66f95.png" alt="" width="340" height="474" /><figcaption> จาชชัว แพส กรรมการผู้จัดการ AddVentures เวนเจอร์แคปิตอลในเครือ เอสซีจี</figcaption></figure>

&nbsp;
<h2>1% ก็คุ้มค่าสำหรับอนันดาฯ</h2>
ด้าน <strong>John Leslie Millar</strong> ประธานเจ้าหน้าที่สายงานพัฒนากลยุทธ์ <strong>บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์</strong> กล่าวต่อว่า อนันดาฯ ก่อตั้ง Ananda Urban Tech เพื่อส่งเสริมระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ จากแนวคิดว่า อนันดาฯ มีพนักงานกว่า 1,000 คน แต่ยังมีคนอีกจำนวนมากบนโลกที่ไม่ได้สังกัดในองค์กร ซึ่งบริษัทสามารถนำแนวคิดของบุคคลภายนอกซึ่งก็คือสตาร์ทอัพมาสร้างนวัตกรรมให้กับบริษัทได้

เป็นที่มาของการเริ่มต้น และยังเปิดพื้นที่ในออฟฟิศให้สตาร์ทอัพได้ใช้ทำงานอีกด้วย เพราะต้องการให้เกิดความคุ้นเคยระหว่างสตาร์ทอัพกับพนักงานองค์กร

“มูลค่าอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์มีปีละกว่า 1.5 แสนล้านบาท ถ้าหากสตาร์ทอัพที่คิดค้นนวัตกรรมสามารถสร้างคุณค่าให้ได้เพียงแค่ 1% ของอุตสาหกรรมก็คิดเป็นมูลค่าถึง 1,500 ล้านบาทแล้ว ซึ่งเรามองว่าคุ้มค่าสำหรับสิ่งที่บริษัทจะได้กลับคืนมา เพราะการลงทุนในสตาร์ทอัพไม่ใช่งานการกุศลแต่เป็นธุรกิจ”

<figure><img style="width: 340px; height: 462px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/e89ccef489fc0e74a1e7949f9d05c2db.png" alt="" width="340" height="462" /><figcaption> John Leslie Millar ประธานเจ้าหน้าที่สายงานพัฒนากลยุทธ์ บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์</figcaption></figure>

ทั้งนี้ Millar กล่าวกับ <em>Forbes Thailand</em> เพิ่มเติมว่า อนันดาฯ มีการลงทุนเกี่ยวกับสตาร์ทอัพแบ่งเป็น 2 แนวทาง คือ 1.ลงทุนแบบ Fund of Funds เป็นการลงทุนร่วมกับเวนเจอร์แคปิตอลทั่วโลก 2.Corporate Venture Capital (CVC) เป็นการลงทุนโดยตรงในสตาร์ทอัพที่อนันดาฯสนใจ ซึ่งบริษัทไม่ได้ตั้งงบการลงทุนไว้อย่างชัดเจน หากพบว่าสตาร์ทอัพนั้นมีความเป็นไปได้ทางธุรกิจก็สามารถสนับสนุนได้ทันที

ปัจจุบันเริ่มเปิดตัว Ananda Urban Tech มาเพียง 4 เดือน ทำให้ยังไม่ได้เริ่มลงทุนแบบ CVC แต่<span style="color: #ff0000;">มีการบ่มเพาะดูแลสตาร์ทอัพร่วมกับ บจ.ดิจิทัล เวนเจอร์ส ของธ.ไทยพาณิชย์ ที่บริษัทเปิดให้เข้าใช้พื้นที่ออฟฟิศ ซึ่ง 4 ใน 10 บริษัทสตาร์ทอัพที่บ่มเพาะอยู่มีนวัตกรรมที่ตรงกับแนวทางของอนันดาฯ</span> กำลังศึกษาในช่วง pilot project ว่ามีความเป็นไปได้ทางธุรกิจเพียงใด

&nbsp;
<h2>SCB-ดีแทคประสานเสียง ‘ปรับเพื่ออนาคต’</h2>
<strong>สุวิชชา สุดใจ</strong> กรรมการผู้จัดการ ผลิตภัณฑ์ดิจิทัล <strong>บริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด</strong> เปิดเผยในงานสัมมนาว่า บทวิจัยจากบริษัทที่ปรึกษา แมคเคนซี่ แอนด์ คอมพานี ชี้ว่าธุรกิจธนาคารอยู่ในอันดับ 4 ที่อาจจะถูกปฏิวัติเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิงจากเทคโนโลยี ทำให้ธ.ไทยพาณิชย์ต้องมีหน่วยงานศึกษานวัตกรรมเพื่อพัฒนางานภายในองค์กรเอง จนขยายเป็นบริษัทลูกเพื่อค้นหานวัตกรรมจากสตาร์ทอัพมาปฏิรูปภายใน

นวัตกรรมที่ไทยพาณิชย์สนใจจะเป็นด้านการเงินเป็นหลัก แต่ยังขยายเปิดกว้างถึงนวัตกรรมที่เกี่ยวข้อง อาจนำมาปรับใช้ได้ เช่น AI (Artificial Intelligence: ปัญญาประดิษฐ์), Machine Learning (การเรียนรู้ด้วยเครื่อง) แต่ต้องตอบโจทย์ของไทยพาณิชย์คือ เป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเป็นองค์ประกอบในกระบวนการต่างๆ ของธนาคาร

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/cfab68309ead4177d00df5ae13dacf32.png" alt="" width="680" height="469" /><figcaption> (ซ้าย) สุวิชชา สุดใจ กรรมการผู้จัดการ ผลิตภัณฑ์ดิจิทัล บริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด, (ขวา) เฉลิมยุทธ บุญมา ผู้อำนวยการโปรแกรม ดีแทค แอคเซอเลอเรท</figcaption></figure>

ส่วน <strong>เฉลิมยุทธ บุญมา</strong> ผู้อำนวยการโปรแกรม <strong>ดีแทค แอคเซอเลอเรท</strong> ซึ่งปัจจุบันเป็นแหล่งบ่มเพาะสตาร์ทอัพอยู่ 34 บริษัท โดยมีการประกวดคัดเลือกสตาร์ทอัพเข้าสู่โปรแกรมทุกปี มองว่า สิ่งที่ได้รับกลับมาที่ชัดเจนจากการบ่มเพาะสตาร์ทอัพคือ การปฏิรูปวัฒนธรรมองค์กร เพราะกระแสการบ่มเพาะสตาร์ทอัพจากภายนอกองค์กรของดีแทค ทำให้คนภายในเกิดตื่นตัวที่จะคิดค้นนวัตกรรมบ้าง และมีวัฒนธรรมกล้าเสี่ยง กล้าที่จะล้มเหลวมากขึ้น ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญที่จะทำให้เกิดสิ่งใหม่ในอนาคต

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events