<h2>Shunsaku Sagami นักเล่นไพ่นกกระจอกตัวยงใช้ทักษะอย่างการประเมินความเสี่ยง การสังเกตให้รอบคอบ และการคิดเชิงกลยุทธ์เพื่อเอาชนะคู่แข่ง ซึ่งก็ไม่ต่างจากวิธีการทำธุรกิจของเขา</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อ 6 ปีก่อน ผู้ประกอบการคนนี้เสี่ยงดวงด้วยการเปิดบริษัทโบรกเกอร์ควบรวมและเข้าซื้อกิจการ (M&amp;A) ที่มีเป้าหมายคือบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางของญี่ปุ่น ซึ่งกิจการเหล่านี้มีเจ้าของสูงอายุและขาดผู้สืบทอดอยู่มาก Shunsaku Sagami ไม่ใช่คนแรกที่เล็งจับตลาดซึ่งธนาคารใหญ่ไม่อยากยุ่ง แต่เขาได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเขาสร้างความเปลี่ยนแปลงในตลาดที่ครอบครองโดยพวกรายใหญ่เจ้าเก่าได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน M&amp;A Research Institute Holdings อายุ 33 ปี เป็น 1 ใน 4 บริษัทจดทะเบียนแถวหน้าของญี่ปุ่นด้านการควบรวมและเข้าซื้อกิจการขนาดเล็กและขนาดกลาง (SME M&amp;A) เมื่อวัดจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด และบริษัทนี้กำลังไล่แซงคู่แข่งอีก 3 รายคือ Nihon M&amp;A Center, Strike และ M&amp;A Capital Partners ทั้งในแง่การเติบโตของกำไรสุทธิและจำนวนข้อตกลงที่ทำสำเร็จต่อที่ปรึกษา 1 คน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทนี้ปิดดีล M&amp;A ได้เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในช่วง 6 เดือนจนถึงวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมาคิดเป็น 123 รายการ เทียบกับ Nihon M&amp;A Center ที่ทำได้ 333 รายการ Strike 130 รายการ และ M&amp;A Capital Partners 96 รายการ หุ้นบริษัทนี้วิ่งฉิวมาตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Tokyo เมื่อปี 2022 โดยมีราคาเพิ่มขึ้น 4 เท่าจนถึงเดือนเมษายน ปี 2023 ที่ Sagami กลายเป็นเศรษฐีพันล้านด้วยมูลค่าหุ้นที่เขาถืออยู่ 73% ในเวลานั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และขณะที่เราตีพิมพ์บทความนี้เขาก็ยังรักษาสถานภาพไว้ได้ แม้สัดส่วนหุ้นของเขาจะลดลงเหลือ 53% ก็ตาม เนื่องจากบริษัทนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และเขาตัดสินใจขายหุ้นไปส่วนหนึ่งเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยเอกสารที่บริษัทยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์ให้เหตุผลว่าเป้าหมายคือการเพิ่มสภาพคล่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สิ่งที่ทำให้ M&amp;A Research Institute ได้เปรียบคือการใช้อัลกอริทึม AI จับคู่ผู้ขายกับผู้ซื้อ การใช้ซอฟต์แวร์ของบริษัทแปลงงานเอกสารเป็นดิจิทัล โครงสร้างค่าธรรมเนียมที่เรียบง่าย และการจ้างคนเพิ่มอย่างดุเดือด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ผมไม่ได้คิดว่าโมเดลธุรกิจของเราสุดยอดอะไรมาก” ซีอีโอ Sagami กล่าว ณ สำนักงานใหญ่ของเขาในย่านธุรกิจ Marunouchi ที่คึกคักใน Tokyo เมื่อเดือนพฤษภาคม แต่เขาเสริมว่า “เราได้พัฒนาระบบที่แข็งแกร่งอย่างเหลือเฟือซึ่งคู่แข่งเลียนแบบยาก”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตัวอย่างเช่น ซอฟต์แวร์ขั้นตอนการทำงานของบริษัทนี้ผ่านการ “ปรับปรุงแก้ไขมาแล้วกว่า 10,000 ครั้ง” จนบรรดาคู่แข่งที่ยังทำงานธุรการด้วยมือกันอยู่นั้น “ไม่มีทางตามทันแน่นอน” Sagami ซึ่งเรียนรู้การเป็นวิศวกรซอฟต์แวร์ด้วยตนเองกล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลลัพธ์คือ M&amp;A Research Institute กล่าวว่า บริษัทสามารถทำข้อตกลงสำเร็จ 1 งานโดยใช้เวลาเฉลี่ยไม่ถึง 7 เดือน ซึ่ง Shinji Tanioka นักวิเคราะห์ของ Macquarie ใน Tokyo กล่าวทางอีเมลว่า เมื่อเทียบกับรายอื่นในอุตสาหกรรมนี้ เวลาในการทำข้อตกลง SME M&amp;A โดยเฉลี่ยคือ 10-12 เดือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Tanioka กล่าวว่า ที่ปรึกษาของบริษัทนี้แต่ละคนปิดดีลได้ประมาณ 2 เท่าของจำนวนที่คู่แข่งทำได้ต่อปี นักวิเคราะห์รายนี้เขียนในรายงานปี 2023 ว่า การที่บริษัทนำข้อมูลมาใช้เพิ่มผลิตภาพนั้น “เป็นการพลิกโฉมกระบวนการค้นหาและดำเนินการ M&amp;A ซึ่งเป็นงานหนัก”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เหตุผลอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้บริษัทนี้โตเร็วคือการจ้างคนเพิ่มอย่างดุเดือด Sagami ขยายทีมที่ปรึกษาเพิ่มขึ้น 1 ใน 3 เป็น 242 คนในช่วง 6 เดือนนับจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม และเขายังมีแผนจะเพิ่มคนเกือบ 3 เท่าเป็น 700 คนภายในสิ้นเดือนกันยายน ปี 2026 ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลจากรายงานผลประกอบการของคู่แข่ง ณ วันที่ 31 มีนาคม Nihon M&amp;A Center มีที่ปรึกษา 645 คน, Strike มี 241 คน และ M&amp;A Capital Partners มี 187 คน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อ M&amp;A Research Institute ได้ผู้ที่ต้องการจะขายกิจการแล้ว อัลกอริทึม AI จะจับคู่ผู้ขายกับผู้ที่มีแววว่าจะสนใจซื้อซึ่งมีรายชื่ออยู่ในฐานข้อมูลของบริษัท จากนั้นที่ปรึกษาซึ่งตามปกติแล้วจะทำหน้าที่เป็นตัวแทนให้ทั้งผู้ขายและผู้ซื้อในดีล SME M&amp;A ก็จะช่วยเจรจาและดำเนินการซื้อขายจนเสร็จสิ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เป้าหมายของ Sagami คือบริษัทที่มีรายได้ไม่เกิน 500 ล้านเยน (3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 2 ใน 3 ของการซื้อขายทั้งหมดที่เขาทำสำเร็จมาแล้วนับจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม โดยที่ผู้ขายเกินครึ่งหนึ่งมาจากภาคการผลิต การก่อสร้าง เทคโนโลยีสารสนเทศ และการค้าส่งและค้าปลีก ซึ่งในบรรดาข้อตกลงที่ผ่านมามีการขายบริษัทไอทีมูลค่า (รายได้) 200 ล้านเยนที่ไร้ผู้สืบทอดให้แก่บริษัทคู่แข่งมูลค่า (รายได้) 1.5 หมื่นล้านเยนด้วย ​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/asia/india-richest-2024" alt="10 อันดับ มหาเศรษฐีอินเดีย ประจำปี 2024">10 อันดับ มหาเศรษฐีอินเดีย ประจำปี 2024</a>​ <a href="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/aacc4ad9-cf41-40ba-9525-a190c83c31c1/september-2024" alt="คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกันยายน 2567 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกันยายน 2567 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure><a href="https://www.mebmarket.com/ebook-318681-Forbes-Thailand-September-2024" alt="https://www.mebmarket.com/ebook-318681-Forbes-Thailand-September-2024" data-image-link="image"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/8ZTkpQHrjidzpk2zyeAe.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="8ZTkpQHrjidzpk2zyeAe.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="300px,auto" data-rotate="" origin-size="320,420" data-image-link="https://www.mebmarket.com/ebook-318681-Forbes-Thailand-September-2024" style="width: 300px; height: auto;" data-index="0"></a></figure></div>

Shunsaku Sagami ผู้พลิกโฉมวงการ M&A

XM คว้ารางวัลโบรกเกอร์ระดับโลกอีกครั้ง การันตีมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง

<h2>ทีทีบี ส่ง ทีทีบี โบรกเกอร์ บุกธุรกิจประกันวินาศภัย วางแผนธุรกิจ 5 ปี ดันเบี้ยประกันจาก 3,900 ล้านบาท สู่ 13,200 ล้านบาท เติบโต 240% ชูผลิตภัณฑ์เด่นเน้นประกันภัยรถยนต์ ตอบโจทย์ลูกค้าที่มีรถให้มีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น ตั้งเป้าเป็นผู้นำโบรกเกอร์ประกันภัยรถยนต์ด้วยฐานลูกค้าทีทีบีที่มีรถยนต์กว่า 2.4 ล้านราย</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ฐากร ปิยะพันธ์ ผู้จัดการใหญ่ ทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า ทีทีบีมีกลยุทธ์ที่จะรุกด้าน Car Ecosystem ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์และครอบคลุมทุกความต้องการของคนมีรถ นำโดย “ทีทีบี ไดรฟ์” (ttb DRIVE) สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ รถแลกเงิน จำนำทะเบียนรถ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และที่ผ่านมาได้เปิดตัวบริการ “มาย คาร์” (My Car) บนแอป ทีทีบี ทัช (ttb touch) ที่ช่วยคนมีรถจัดการเรื่องสำคัญเกี่ยวกับรถยนต์ เช่น จ่ายสินเชื่อรถ ต่อภาษีรถยนต์ประจำปี ซื้อ พ.ร.บ หรือต่อประกันรถ หรือแม้แต่เช็กยอดคงเหลือและเติมเงินบัตรทางด่วน Easy Pass ได้เลยในแอปเดียว รวมถึงเปิดตัว “รถโดนใจ” (Roddonjai) แพลตฟอร์มออนไลน์ซื้อขายรถมือสองคุณภาพเยี่ยม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุดได้เปิดตัว “ทีทีบี โบรกเกอร์” (ttb broker) ที่จะเข้ามาช่วยรุกตลาดประกันภัยรถยนต์ เพื่อทำให้ลูกค้าที่มีรถยนต์มีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นแบบรอบด้าน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ภาพรวมธุรกิจประกันวินาศภัยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง คาดว่าปีนี้จะมีเบี้ยประกันภัยราว 286,200 ล้านบาท เป็นการจำหน่ายผ่านนายหน้า 192,000 ล้านบาท คิดเป็น 67% ทีทีบีได้เล็งเห็นโอกาสการเติบโตในธุรกิจนี้ จึงให้ ทีทีบี โบรกเกอร์ เป็นกำลังหลักในการบริการลูกค้าด้านประกันวินาศภัย โดยมุ่งเน้นไปที่ประกันภัยรถยนต์ และประกันที่เกี่ยวเนื่องกับรถยนต์ โดยมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าของธนาคารที่มีรถยนต์กว่า 2.4 ล้านราย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยจากข้อมูล พบว่า ในกลุ่มลูกค้าดังกล่าว มีเพียง 336,000 คันที่มีประกันรถยนต์กับธนาคาร หรือคิดเป็นเพียง 15% จึงเป็นโอกาสในการขยายธุรกิจให้เติบโตได้อีกมาก ยังไม่นับโอกาสจากฐานลูกค้าพันธมิตรดีลเลอร์และเต็นท์รถมากกว่า 4,500 แห่ง รวมถึงฐานลูกค้านิติบุคคลอีกราว 15,000 ราย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งเรามั่นใจว่าการมีฐานลูกค้าจำนวนมากกว่า 2.4 ล้านราย ประกอบกับจุดแข็งที่สร้างความได้เปรียบ และกลยุทธ์ที่จะสร้างการเติบโต จะทำให้ ทีทีบี โบรกเกอร์ ก้าวเป็นผู้นำโบรกเกอร์ประกันภัยรถยนต์ได้ตามเป้าหมาย”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เอกสิทธิ์ ศักดิ์ธนาคร กรรมการผู้จัดการ ทีทีบี โบรกเกอร์ กล่าวว่า ทีทีบี โบรกเกอร์มีเป้าหมายก้าวเป็น Top 3 บริษัทนายหน้าประกันชั้นนำของไทย ซึ่งภายหลังจากการรวมกิจการของทีเอ็มบี และธนาคารธนชาต ทำให้ ทีทีบี โบรกเกอร์ มีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยในปีนี้คาดการณ์ว่าจะมียอดเบี้ยประกันที่ 3,900 ล้านบาท เติบโตถึง 35% จากปีที่ผ่านมา <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/aAYuLnN6UPYdC2ecsHPv.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="aAYuLnN6UPYdC2ecsHPv.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ทีทีบี โบรกเกอร์ วางเป้าปี 2571 หรือ 5 ปีข้างหน้า จะมีเบี้ยประกัน 13,200 ล้านบาท หรือเติบโตราว 240% โดยจะถูกขับเคลื่อนผ่าน 5 กลยุทธ์ คือ การขยายฐานลูกค้าในกลุ่มบริษัท ดีลเลอร์ ผู้ผลิตรถยนต์ การขยายฐานลูกค้ากับกลุ่มลูกค้าของธนาคาร การขยายช่องทางขายทั้งในส่วนของออนไลน์และออฟไลน์ การใช้กลยุทธ์การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล หรือ Data-Driven และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าทั้งกลุ่มลูกค้าบุคคลและองค์กร”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ทีทีบี โบรกเกอร์สามารถสร้างความได้เปรียบด้วยจุดแข็ง 6 ด้าน ได้แก่ ด้าน Strategic Partnerships โดยมีพันธมิตรที่เป็นประกันภัยคู่ค้าชั้นนำมากถึง 37 บริษัท มาให้ลูกค้าเลือกความคุ้มครองที่คุ้มค่าที่สุด ด้าน Car Insurance &amp; Specialty Insurance Product ชูผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถยนต์ที่ครอบคลุมความต้องการของผู้ใช้รถ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่คุ้มครองพิเศษรองรับทั้งลูกค้าบุคคลและนิติบุคคล เช่น Cyber Insurance, Medical Malpractice Insurance&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน ttb broker platform ที่เพิ่มโอกาสให้คู่ค้า พันธมิตรสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ได้ทุกที่ทุกเวลา ด้าน Sales Channel ที่ครอบคลุมที่สุดผ่านทุกช่องทางต่างๆ ของทีทีบี ช่องทางทีทีบี โบรกเกอร์ และช่องทางพันธมิตร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน Customer Service ที่มีทีมงานและระบบที่พร้อมให้บริการลูกค้าอย่างมืออาชีพ และสุดท้าย ด้าน Payment Method ให้ลูกค้าสามารถแบ่งจ่าย 0% นาน 10 เดือนได้ทั้งบัตรเครดิต ttb และรูปแบบเงินสด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ชยรส ลือภูวพิทักษ์กุล หัวหน้าบริหารงานปฏิบัติการ ทีทีบี โบรกเกอร์ กล่าวว่า ทีทีบี โบรกเกอร์ มีผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า โดยมีสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ประกันรถยนต์ราว 61% ของพอร์ต​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/1qEmmU4QsjqbBUva8y6Z.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="1qEmmU4QsjqbBUva8y6Z.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> ​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยบริษัทมีความมั่นใจในจุดแข็งที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ทั้งค่าเบี้ยประกันที่สามารถเจรจาผ่านบริษัทประกันที่มีความสัมพันธ์อันดี และเมื่อรวมพลังกับทีทีบี ทำให้มีช่องทางขายที่เข้าถึงผู้บริโภคทั่วประเทศผ่านสาขาธนาคารกว่า 500 แห่ง แอป ทีทีบี ทัช ที่มีผู้ใช้งานกว่า 4.7 ล้านคน และพนักงานสินเชื่อรถยนต์อีกกว่า 1,000 คน ทั่วประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ บริษัทเองยังมีช่องทาง Telesales ที่มีพนักงานมากกว่า 400 คน และช่องทาง ttbbroker.com ทำให้ ทีทีบี โบรกเกอร์ เป็นนายหน้าประกันภัยรถยนต์ที่เข้าถึงผู้บริโภคทั่วประเทศ และมีช่องทางการขายมากที่สุดในตลาด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ เรายังมีผลิตภัณฑ์หลักที่โดดเด่น ได้แก่ ประกันรถยนต์มอเตอร์ 1 ซิงเกิ้ล เรท จัดเต็ม และ Family Fleet Motor ที่ให้ความคุ้มครองที่คุ้มค่า รวมทั้ง ประกันอะไหล่รถยนต์ ทีทีบี มอเตอร์ วอร์รันตี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ทีทีบี โบรกเกอร์ จะมาเชื่อมต่อ Car Ecosystem ทำให้ลูกค้าที่มีรถได้รับบริการแบบมืออาชีพ ตอบโจทย์ทุกความต้องการ มั่นใจได้ว่าจะได้ประกันภัยรถยนต์ที่คุ้มค่าที่สุดจากโบรกเกอร์ประกันภัยในเครือทีทีบี รวมไปถึงการแบ่งจ่ายหรือผ่อนชำระ และสามารถเลือกบริษัทประกันชั้นนำที่เป็นพันธมิตรได้มากถึง 37 บริษัท” เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/finance-and-investment/news/bki-9-months-2023-revenue" alt="BKI โตแข็งแกร่ง ทำกำไรงวด 9 เดือน ปี 2566 พุ่ง 2,546.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 217.3%">BKI โตแข็งแกร่ง ทำกำไรงวด 9 เดือน ปี 2566 พุ่ง 2,546.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 217.3%</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

“ทีทีบี” ส่ง “ทีทีบี โบรกเกอร์” บุกธุรกิจประกันวินาศภัย ตั้งเป้า 5 ปี โต 240%

<h2>ผลวิจัยจาก Finra และสถาบัน CFA เผย นักลงทุนกลุ่มวัยรุ่น Gen Z อาจเสี่ยงขาดทุนเพราะนิยมฟังข้อมูลประกอบการลงทุนที่ค้นหาเจอจากโซเชียลมีเดียมากกว่า โดยมีเพียง 30% เท่านั้นที่เลือกฟังคำแนะนำจากที่ปรึกษาทางการเงินหรือโบรกเกอร์ผู้เชี่ยวชาญ </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Finra Investor Education Foundation บริษัทในเครือของหน่วยงานเฝ้าระวังการกำกับดูแลตนเองของอุตสาหกรรมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และสถาบัน CFA ซึ่งดูแลการกำหนดนักวิเคราะห์ทางการเงินที่ได้รับการรับรอง เผยถึงผลงานวิจัยพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนรุ่นใหม่ หรือ Gen Z ที่เกิดระหว่างปี 1997 ถึง 2012 ว่า กลุ่มนักลงทุนดังกล่าว กลุ่มคน Gen Z มักจะมองหาเคล็ดลับการลงทุนบนโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์อื่น ๆ รวมถึงเพื่อนและครอบครัวแทนที่จะไปขอคำแนะนำ จากที่ปรึกษาหรือนายหน้าโบรกเกอร์การลงทุน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้มักเกิดความเสียหายต่อเงินต้นที่ใช้ลงทุน หรือ ตกเป็นเครื่องมือของนักลงทุนบางกลุ่มที่หวังผลด้านราคาในลักษณ์ที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่า "รายใหญ่หลอกแมงเม่าให้ช่วยลากเหรียญ" &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ financial-planning ยังได้เผยแพร่รายงานอ้างอิงพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนรุ่นใหม่ หรือ "Gen Z and Investing: Social Media, Crypto, FOMO and Family" จากฐานข้อมูลที่รวบรวมเมื่อเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยผลการสำรวจ Gen Z ที่มีอายุระหว่าง 18-25 ปี จำนวนทั้งสิ้น 2,782 คน จะมีเพียง 30% เท่านั้นที่มองหาคำแนะนำการลงทุนจากนักวางแผนการเงิน นอกนั้นจะเป็นการหาข้อมูลจากโซเชียลมีเดียมากที่สุด ถัดมาคือการหาข้อมูลหรือคำแนะนำจากครอบครัวหรือผู้ปกครอง และเพื่อน ตามลำดับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตามนักลงทุนรุ่นเยาว์ยังแสดงความชอบในการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin โดยจากการสำรวจ Gen-Z กว่า 55% กล่าวว่าพวกเขานำเงินไปลงทุนใน crypto เช่นเดียวกับ 57% ของคนรุ่นมิลเลนเนียล ประมาณ 4 ใน 10 ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งสองกลุ่มกล่าวว่าพวกเขาลงทุนในหุ้นรายตัว ซื้อกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนน้อยกว่าหนึ่งในสามซึ่งติดตามดัชนีเช่น S&amp;P 500 และได้รับการขนานนามว่าเป็นวิธีการกระจายการลงทุนที่มีต้นทุนต่ำ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ผู้ตอบแบบสำรวจนักลงทุน Gen Z ครึ่งหนึ่งกล่าวว่าพวกเขาถูกผลักดันให้ลงทุนด้วยความกลัวที่จะพลาดโอกาส หรือ FOMO และ 44% กล่าวว่ากลุ่มของพวกเขาประสบปัญหาทางการเงินมากกว่ากลุ่มที่มีอายุมากกว่า​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/yGYvAk8fGtALsHKkdjLB.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="yGYvAk8fGtALsHKkdjLB.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน Jack Heintzelman นักวางแผนการเงินที่ได้รับการรับรองจาก Boston Wealth Strategies ในเมืองนีดแฮม รัฐแมสซาชูเซตส์ กล่าวว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าสัญชาตญาณแรกของ Gen-Z และคนรุ่นมิลเลนเนียลเมื่อพวกเขากำลังค้นหาข้อมูลในหัวข้อใหม่คือการดูอินเทอร์เน็ต แต่ทั้งนี้มีนักวางแผนทางการเงินน้อยเกินไปในฟอรัมเช่น Twitter, Reddit และ TikTok ที่ให้คำแนะนำที่ดี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Heintzelman เองนั้น ปัจจุบันมีอายุ 26 ปีโดยช่วงอายุของเขา อยู่ในช่วงรอยต่อ Gen Z และรุ่นมิลเลนเนียล เขากล่าวว่าลูกค้าอายุน้อยจำนวนมาก ไม่ต้องการใช้ผู้จัดการความมั่งคั่งแบบเดียวกับที่พ่อแม่ของพวกเขาไปขอคำแนะนำ เขามีความมั่นใจสูง และมักมีความคิดที่ว่ามีความเชี่ยวชาญและเข้าถึงการใช้งานคุ้นเคยกับเทคโนโลยีมากกว่า กลุ่มนักวิเคราะห์การลงทุนมืออาชีพที่มีอายุมากกว่า และอาจมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีน้อยกว่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญไม่เพียงแต่ในการที่นักลงทุนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการลงทุนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวิธีการลงทุนด้วย จากผู้ตอบแบบสำรวจ Gen -Z จำนวน 65% กล่าวว่าพวกเขาใช้แอปเพื่อการลงทุน 55% ของคนรุ่นมิลเลนเนียลรายงานว่าทำเช่นเดียวกัน ในบรรดา Gen -X นั้น มีเพียง 38% เท่านั้นที่กล่าวว่าพวกเขาใช้แอพพลิเคชั่นเพื่ออำนวยความสะดวกในการลงทุน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม เกือบ 7 ใน 10 หรือ 69% ของนักลงทุน Gen-Z กล่าวว่าพวกเขามักจะเชื่อคำแนะนำจากผู้ที่สามารถ "อธิบายสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจน" อันดับถัดมา 53% กล่าวว่าพวกเขาเชื่อมั่นในข้อมูลที่ "เกี่ยวข้องกับฉัน" และมากกว่าครึ่งหรือ 52% กล่าวว่าพวกเขาเชื่อถือที่ปรึกษาที่แบ่งปันรายละเอียดเกี่ยวกับประสิทธิภาพทางการเงินของตนเอง อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/blancpain-%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2-%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88-ladybird-color-%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B9%8C" alt="Blancpain เผยเรือนเวลาคอลเล็กชั่นใหม่ “Ladybird Colors” สีสันหลากสไตล์">Blancpain เผยเรือนเวลาคอลเล็กชั่นใหม่ “Ladybird Colors” สีสันหลากสไตล์</a>​<hr class="__se__solid"><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

 ผลวิจัยเผย Gen Z เสี่ยงขาดทุนเพราะเชื่อโซเชียลมากกว่าโบรกเกอร์

<h2>“Benix" โบรกเกอร์ยุคดิจิทัลแห่งแรกในไทย จากการจับมือกันระหว่าง Humanica และ Fuchsia Venture Capital รวมทั้ง CXA Group ผสมผสานจุดแข็งด้านทรัพยากรบุคคล ธุรกิจนายหน้าประกันภัย และอินชัวร์เทคเอเชียก่อตั้งโบรกเกอร์แนวใหม่เป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ Employee Benefits และ Wellness ครบวงจรในยุคดิจิทัล</h2>
ปราโมทย์ ศักดิ์กำจร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบนนิกซ์ จำกัด เปิดเผยถึงการผนึกความร่วมมือครั้งสำคัญของบริษัท ฮิวแมนิก้า จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีเอ็กซ์เอ กรุ๊ป และ บริษัท ฟูเชีย เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด ซึ่งร่วมลงทุน 50 ล้านบาทก่อตั้ง บริษัท เบนนิกซ์ จำกัด (Benix) โบรกเกอร์แนวใหม่ยุคดิจิทัล บริการแพลตฟอร์มล้ำสมัยเพื่อบริหารจัดการสวัสดิการพนักงาน ผสานอีโคซิสเต็มต่างๆ เช่น การดูแลสุขภาพ Wellness รวมถึงคอมมูนิตี้ที่มีประโยชน์สำหรับพนักงานอย่างครบวงจร

"เบนนิกซ์ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนและช่วยเหลือธุรกิจและกิจการของคนไทยให้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในฐานะองค์กรที่ดูแลและใส่ใจพนักงาน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพ ด้วยบริการรูปแบบใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์ ครอบคลุมตั้งแต่การช่วยจัดการต้นทุนด้านสวัสดิการพนักงานที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีจนถึงการนำสวัสดิการแบบยืดหยุ่นเข้ามาใช้ เพื่อให้พนักงานมีทางเลือกมากขึ้น โดยสิ่งสำคัญคือ การให้สวัสดิการที่ตอบโจทย์กับความต้องการของพนักงานที่หลากหลาย นอกเหนือจากสวัสดิการที่องค์กรจัดให้โดยตรงแล้ว เบนนิกซ์ยังคิดค้นผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่สามารถปรับให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคล ผลิตภัณฑ์และบริการด้าน Wellness ที่ช่วยให้พนักงานไปถึงเป้าหมายในการดำเนินชีวิต ทั้งด้านสุขภาพและการเงินได้ในระยะยาว"

<figure><img class="wp-image-37629 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/11/Benix09-002.jpg" alt="" width="600" height="400" /><figcaption> ปราโมทย์ ศักดิ์กำจร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบนนิกซ์ จำกัด</figcaption></figure>

สำหรับความแตกต่างของเบนนิกซ์อยู่ที่การยกระดับการบริหารจัดการด้านสวัสดิการพนักงาน ด้วยบริการที่ครอบคลุมครบถ้วน นับตั้งแต่การช่วยค้นหาแบบประกันกลุ่มที่เหมาะสม การให้คำปรึกษา สวัสดิการแบบยืดหยุ่นหรือ Flexi Benefit การเชื่อมต่อกับอีโคซิสเต็มด้านสุขภาพ การประกันภัย และการเงินที่ให้ประโยชน์กับพนักงาน รวมถึงการบริหารจัดการสำหรับบริษัทที่ทำ self-insured

ขณะที่เบนนิกซ์คำนึงถึงปัจจัยหลัก ได้แก่ พนักงานสามารถเข้าถึงบริการได้สะดวก และฝ่ายทรัพยากรบุคคลหรือ HR สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ผสมผสานและเพิ่มประสิทธิภาพในทุกการบริการ เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานที่สะดวกรวดเร็วและตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละบุคคลได้อย่างลงตัว พร้อมทั้งทำให้เรื่องสวัสดิการที่มีความซับซ้อนเป็นเรื่องง่ายและสะดวกขึ้นสำหรับองค์กร เพื่อให้องค์กรสามารถให้ความสำคัญกับการดูแลพนักงานอย่างเต็มที่

“นอกจากนี้ เรายังนำการวิเคราะห์ข้อมูลมาช่วยให้นายจ้างสามารถบริหารงานด้าน HR ได้ดีขึ้น โดยมีต้นทุนที่ต่ำลง ดังนั้น เบนนิกซ์ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงกับระบบ HR  จึงสามารถให้บริการด้านสวัสดิการของพนักงานได้อย่างครบถ้วน ทั้งการประกันกลุ่ม สวัสดิการแบบยืดหยุ่น การบริหารจัดการสวัสดิการสำหรับบริษัทที่ทำ self-insured  การตรวจสุขภาพ Wellness Portal และร้านค้าออนไลน์ ซึ่งตอบโจทย์ครบในที่เดียว”

<figure><img class="wp-image-37633 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/11/สุนทร-เด่นธรรม-001.jpg" alt="" width="400" height="500" /><figcaption> สุนทร เด่นธรรม ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮิวแมนิก้า จำกัด (มหาชน)</figcaption></figure>

ด้าน สุนทร เด่นธรรม ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮิวแมนิก้า จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการโซลูชั่น HR และ ERP ชั้นนำของไทยย้ำถึงการรวมความแข็งแกร่งและจุดเด่นของทั้ง 3 บริษัท ประกอบด้วย ฮิวแมนิก้า ผู้ให้บริการโซลูชั่น HR ที่ใหญ่ที่สุดของไทย ซีเอ็กซ์เอ กรุ๊ป อินชัวร์เทคที่ประสบความสำเร็จในประเทศสิงคโปร์ จีน และประเทศอื่นๆ ในทวีปเอเชีย และ ฟูเชีย เวนเจอร์ แคปิทัล บริษัทร่วมลงทุนของเมืองไทย กรุ๊ป โฮลดิ้ง ที่มีความรู้ ความชำนาญ และเป็นผู้นำในเครือข่ายธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย

"เราทุกคนตระหนักดีถึงปัญหาที่ทุกคนกำลังเผชิญ จากการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมและความท้าทายที่เกิดจากการดิสรัปต์ของธุรกิจใหม่ๆ รวมถึงการเกิดขึ้นของโรคระบาดที่ไม่มีใครคาดคิด อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าพนักงานคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุดที่จะนำพาองค์กรให้ก้าวผ่านปัญหาอุปสรรคต่างๆ เหล่านี้ไปได้ ซึ่งสวัสดิการและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะทำให้พนักงานมีความสุขและทุ่มเทที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตไปข้างหน้า เรามั่นใจว่าเบนนิกซ์ จะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย ผ่านนวัตกรรมและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก” สุนทร กล่าว

<figure><img class="wp-image-37632 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/11/สาระ-ล่ำซำ-001.jpg" alt="" width="400" height="500" /><figcaption> สาระ ล่ำซำ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทย กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด และกรรมการ บริษัท ฟูเชีย เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด</figcaption></figure>

ขณะที่ สาระ ล่ำซำ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทย กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด และกรรมการ บริษัท ฟูเชีย เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด แสดงความมั่นใจในโอกาสและศักยภาพการเติบโตของธุรกิจด้านสุขภาพและประกันภัยในประเทศ ซึ่งความร่วมมือที่เกิดขึ้นดังกล่าวจะช่วยให้เกิดการสร้างสรรค์คุณค่าที่เหนือกว่าผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่มีอยู่ในปัจจุบัน ด้วยจุดเด่นบริการ digital-first เพื่อส่งมอบบริการที่ดีที่สุดให้ผู้ใช้บริการและทำให้องค์กรเห็นถึงประโยชน์จากการลงทุนด้านสวัสดิการพนักงานได้อย่างชัดเจน ทั้งยังสามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสร้างความพึงพอใจให้กับพนักงานเพิ่มมากขึ้น

“สิ่งเหล่านี้จะช่วยผลักดันให้บริษัทประกันภัยและสถาบันการเงินสามารถพัฒนา ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ เพื่อส่งเสริมให้นายจ้างและพนักงานดูแลสุขภาพและปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้ดีต่อสุขภาพมากขึ้นผ่าน Incentive ต่างๆ นอกจากนี้ เบนนิกซ์ยังเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ใช้งาน และนำเสนอโซลูชั่นให้แก่องค์กร ซึ่งยังไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย” สาระกล่าวถึงประโยชน์โดยรวมที่จะเกิดขึ้น

<img class="alignnone size-full wp-image-37630" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/11/Benix11-01.jpg" alt="" width="600" height="400" />

ด้าน โรซาลีน เชา คู ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซีเอ็กซ์เอ กรุ๊ป ผู้บุกเบิกและผู้นำในด้านอินชัวร์เทคของเอเชีย ประกาศความพร้อมนำความเชี่ยวชาญด้านแพลตฟอร์มการบริหารจัดการสวัสดิการพนักงานร่วมมือกับพันธมิตรประเทศไทยเพื่อต่อยอดแพลตฟอร์มและนำเสนอบริการนวัตกรรมที่ครอบคลุมด้านการดูแลสุขภาพทั้งหมด ตั้งแต่การประกันภัย โทรเวชกรรม หรือ Telemedicine ระบบ e-pharmacy การให้คำปรึกษาโดยสถานพยาบาล ทันตกรรม การตรวจสุขภาพ ไปจนถึงบริการทางด้าน Wellness เช่น คลาสฟิตเนส และร้านอาหารเพื่อสุขภาพ

"นอกจากนั้น ยังสามารถนำข้อมูลขององค์กรด้านการดูแลสุขภาพและการรักษาโรค มาวิเคราะห์ต้นทุนและการดูแลสุขภาพให้ดีขึ้น เพราะเราต้องการให้พนักงานพึงพอใจกับสวัสดิการที่ได้รับจากองค์กร เรามั่นใจว่า ผู้ใช้บริการในไทยจะให้การตอบรับกับเบนนิกซ์เป็นอย่างดี” โรซาลีน ย้ำความมั่นใจในความร่วมมือสร้างความแตกต่างและการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต

&nbsp;

“Benix" โบรกเกอร์ยุคดิจิทัลแห่งแรกในไทย

<h2 class="p3">สตรีเหล็กวงการการเงิน Pollyanna Chu พบกับมรสุมของบริษัท Kingston Financial ในปีที่ผ่านมา หลังจาก SFC สอบสวนพบว่าบริษัทของเธอมีการกระจายกลุ่มผู้ถือหุ้นน้อยเกินไป และราคาหุ้นสูงขึ้นผิดปกติ พ่วงด้วยปัญหารายได้ธุรกิจกาสิโนใน Macau ที่ลดลง</h2>
Pollyanna Chu หลุดจากตำแหน่งสตรีที่ร่ำรวยที่สุดของฮ่องกงหลังจากหุ้นในบริษัท Kingston Financial ของเธอมีมูลค่าลดลงฮวบฮาบถึง 3 ใน 4 ในปีที่ผ่านมา อันเป็นผลจากคำเตือนของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดซื้อขายล่วงหน้า (Securities and Futures Commission หรือ SFC) ของฮ่องกงที่ออกมาเมื่อเดือนมกราคม 2018 ระบุว่า หุ้นของ Kingston มีผู้ถือหุ้นกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มผู้ลงทุนกลุ่มเล็กๆ มากเกินไป
ราคาหุ้นที่ตกต่ำของ Kingston ทำให้ทรัพย์สินของ Chu หายไปเกือบ 3 ใน 4 จากสินทรัพย์สุทธิ 1.2 หมื่นล้านเหรียญในปี 2018 เหลือเพียงประมาณ 3.3 พันล้านเหรียญ
Chu เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดและซีอีโอของ Kingston เธอได้สมญานามว่า “ราชินีแห่งสายลม” ด้วยบทบาทของบริษัท Kingston ในการช่วยเหลือลูกค้าให้เข้าครอบครองกิจการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของฮ่องกงที่เป็นบริษัทขนาดเล็กและไม่มีความเคลื่อนไหวมากนัก หรือที่เรียกกันว่าบริษัทลม (shell company) เท่ากับเป็นการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทางอ้อม (Back-door listing)
Chu และ Nicholas สามีของเธอ เปิดบริษัท Kingston เมื่อปี 1992 ดำเนินธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ในปี 2011 บริษัทควบรวมกิจการกับ Golden Resorts Group บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของ Lee Waiman บิดาของ Chu ผนวกเป็นองค์กรที่ดำเนินธุรกิจเกมใน Macau โรงแรม นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยเงินกู้ และยังเป็นการจดทะเบียนในตลาดทางอ้อมของ Kingston เองด้วย โดย Nicholas ยังคงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการต่อ


<figure><img class="size-full wp-image-8062" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/5c646372-1951-11e9-8ff8-c80f5203e5c9_1320x770_120855-e1558949713773.jpeg" alt="Pollyanna Chu" width="800" height="467" /><figcaption> (ที่ 2 จากซ้าย) Pollyanna Chu และ (ที่ 2 จากขวา) Nicholas Chu สามีของเธอ (PHOTO CREDIT: South China Morning Post)</figcaption></figure>
SFC สอบสวน Kingston หลังจากราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่าสามเท่าในช่วงระหว่างวันที่ 11 สิงหาคม 2017 และปลายเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน โดยไม่มีเหตุผลชัดเจนนอกไปจากรายงานที่ระบุว่ากำไรสุทธิครึ่งปีของบริษัทพุ่งขึ้นร้อยละ 22 ทำให้เดือนต่อมาราคาหุ้นดิ่งลงร้อยละ 22 
วันที่ 29 มกราคม ปี 2018 คณะกรรมการแถลงผลการสอบสวนพบว่า Chu และผู้ถือหุ้นอีก 19 คนถือครองหุ้นร้อยละ 92 ของจำนวนหุ้นที่ออกของ Kingston การถือหุ้นกระจุกตัวไม่ใช่เรื่องใหม่ในตลาดหุ้นฮ่องกง ตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา SFC ได้ออกคำเตือนแก่บริษัทราว 140 แห่ง โดยที่บางบริษัทได้รับคำเตือนมากกว่า 1 ครั้ง
Ronald Chan ผู้บริหารฝ่ายการเงินของ Kingston กล่าวว่า บริษัทจะหาทางขยายฐานผู้ถือหุ้นพร้อมๆ ไปกับการมองหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ นอกจากนี้ บริษัทจะยังพิจารณาการเดินสายประชาสัมพันธ์ (roadshow) เพื่อแสวงหาผู้ถือหุ้นรายใหม่
อย่างไรก็ตาม Kingston มีปัญหามากกว่าคำเตือนของ SFC รายได้จากกาสิโนใน Macau ลดลงร้อยละ 4 ในปีที่ผ่านมาเหลือ 474 ล้านเหรียญฮ่องกง (60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) แม้รายได้จากธุรกิจเกมใน Macau โดยรวมของบริษัทจะกระโดดขึ้นถึงร้อยละ 17


<figure><img class="size-full wp-image-8063" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/201604031242481325989660-e1558950016831.jpg" alt="" width="800" height="531" /><figcaption> Casino Casa Real กาสิโนแห่งหนึ่งใน 2 แห่งที่ Kingston บริหารอยู่บนเกาะ Macau (PHOTO CREDIT: mavenofmacau.com)</figcaption></figure>
ในฮ่องกงนั้น ธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์ของ Kingston ยังต้องเจอการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากโบรกเกอร์ทั้งแบบดั้งเดิมและโบรกเกอร์ออนไลน์จากจีน
ภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวลดลงยังอาจส่งผลกระทบต่อความมั่งคั่งของ Chu ช่วงไม่กี่ปีมานี้เธอทดลองลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และเมื่อเดือนพฤษภาคมปีก่อนได้เข้าร่วมในข้อตกลงซื้อ Center อาคารสูง 48 ชั้นในฮ่องกงมูลค่า 5.2 พันล้านเหรียญจาก CK Asset Holdings ของ Li Ka-shing ข้อตกลงดังกล่าวได้รับการสนับสนุนวงเงินกู้ร่วมซึ่งจะครบอายุสัญญาเดือนพฤศจิกายน
“ถ้าพวกเขาขายสินทรัพย์หรือหาผู้สนับสนุนทางการเงินรายใหม่ไม่ได้ พวกเขาจะต้องขายในราคาต่ำกว่าที่ซื้อมาเมื่อสิ้นสุดระยะ 18 เดือน” Jacinto Tong ซีอีโอของ Gale Well Group บริษัทลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์กล่าว
ทั้งนี้ ความร่ำรวยของ Pollyanna Chu ที่ลดลง ทำให้อันดับเศรษฐีของเธอปีนี้ร่วงลงไปอยู่ในอันดับที่ 28 ในทำเนียบบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของเกาะฮ่องกง
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/world/%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1-10-%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A8.html">10 อันดับ มหาเศรษฐีฮ่องกง ที่มั่งคั่งที่สุดแห่งปี 2019</a></li>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/world/walter-kwok-%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2.html">เรื่องราวของเศรษฐินีที่รวยที่สุดในฮ่องกงคนใหม่ หลังการจากไปของ Walter Kwok สามีของเธอ</a></li>
</ul>
&nbsp;
รายงานโดย Shu-Ching Jean Chen และ Robert Olsen


<hr />

<a href="https://bit.ly/2GB6P6G">คลิกเพื่ออ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับ เมษายน 2562 ในรูปแบบ e-Magazine</a>

<a href="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/bf9cd13b-9952-4a4d-b7b9-70f6777699d3/april-2019"><img class="alignnone wp-image-7213" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/05/COVER-71-350.jpg" alt="" width="250" height="357" /></a>

ราชินีแห่งสายลม “Pollyanna Chu” หลุดจากตำแหน่งสตรีที่รวยที่สุดของฮ่องกง

KTBST ปี’62 วางเป้ารายได้โต 1,300 ล้านบาท เตรียมไฟลิ่งเข้า SET

<h2>ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ นายหน้าซื้อขายเช่าอสังหาฯ บุกเปิดสาขาในไทย วางแผนเจาะตลาดอสังหาฯ ระดับกลางบนจนถึงซูเปอร์ลักชัวรี ชูจุดแข็งแบรนด์เก่าแก่ 270 ปีจากสหรัฐฯ และเครือข่ายผู้ซื้อจาก 72 ประเทศทั่วโลก ดึง ‘ชัญญา แซ่เตีย’ นั่งตำแหน่งซีโอโอ เชื่อมโยงสารพัดดีเวลอปเปอร์ไทย</h2>
Michael Valdes รองประธาน Sotheby’s International Realty เปิดเผยว่า Sotheby’s ซึ่งเป็นโรงประมูลที่ก่อตั้งขึ้นใน New York ตั้งแต่ปี 1744 ได้ขยายมาสู่ธุรกิจนายหน้าซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในปี 1976 และปัจจุบันได้ขยายสาขาไป 72 ประเทศทั่วโลกในลักษณะแฟรนไชส์ โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกนี้ Sotheby’s ได้ให้แฟรนไชส์แก่ List Group ประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้บริหาร

Hirashi Kitami ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ List Sotheby’s International Realty ผู้บริหารแฟรนไชส์กล่าวว่า List Sotheby’s มีสำนักงานใหญ่ที่เมือง Yokohama ประเทศญี่ปุ่น เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 1991 ก่อนจะเริ่มขยายไปในประเทศอื่นๆ ในปี 2010 ปัจจุบันมีฐานตลาดในญี่ปุ่น ฮาวาย ฮ่องกง สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และไทยเป็นประเทศที่ 6 ที่บริษัทตัดสินใจเข้ามาตั้งสาขา ส่วนปีหน้านั้นบริษัทจะขยายไปยังเวียดนามและอินโดนีเซีย

“เราเข้ามาทำธุรกิจในไทยเพราะมองว่าไทยกับญี่ปุ่นมีสัมพันธ์อันดีมานานทำให้การลงทุนทำได้ง่าย อีกทั้งเศรษฐกิจไทยก็กำลังอยู่ในช่วงเติบโตดี รวมถึงประเทศไทยเป็นแหล่งลงทุนของภาคการผลิตของบริษัทญี่ปุ่นจำนวนมากอยู่แล้วโดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ จึงมองว่าอนาคตหากจะมีการ synergy กันระหว่างบริษัทก็มีความเป็นไปได้มากกว่าประเทศอื่น” Kitami กล่าว

<figure><img style="width: 638px; height: 362px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f5c5af735d5cb9a8aa75cad7c7c9b19f.jpg" alt="" width="638" height="362" /><figcaption> (จากซ้าย) Michael Valdes, Hirashi Kitami และ Quang Do</figcaption></figure>

โดยการเข้ามาก่อตั้งบริษัทในไทยนั้น List Sotheby’s มีการร่วมทุนกับ Quang Do นักธุรกิจชาวเวียดนามที่มีฐานธุรกิจในไทย ก่อตั้งเป็น บริษัท ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลตี้ (ประเทศไทย) จำกัด ทุนจดทะเบียน 108 ล้านบาท

“คนไทยมีรสนิยมที่ดีขึ้นมาก เทรนด์อสังหาฯ ในไทยมีการตกแต่งอย่างสวยงามขึ้นซึ่งจะช่วยดึงดูดกลุ่มลูกค้าความมั่งคั่งสูงได้” Quang Do กรรมการบริหาร ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ฯ (ประเทศไทย) กล่าว

&nbsp;
<h2>เจาะอสังหาฯ ลักชัวรีห้องละ 10 ล้านบาท</h2>
สำหรับการบริหารในไทยนั้น ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ฯ (ประเทศไทย) ดึงมือบริหาร ชัญญา แซ่เตีย นั่งตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ชัญญาเป็นผู้บริหารที่ทำงานในวงการอสังหาฯ ไทย 23 ปี เคยร่วมงานกับบริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด, กลุ่มทีซีซี ของตระกูลสิริวัฒนภักดี, บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด โบรกเกอร์ในเครือแสนสิริ, บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน), บริษัท ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) และล่าสุดเธอคือประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) จากประสบการณ์ทำงานทั้งหมดทำให้ชัญญามีศักยภาพและสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับนักพัฒนาจัดสรรในไทย

ชัญญากล่าวว่า การดำเนินงานของ ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ฯ (ประเทศไทย) จะแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ ส่วนธุรกิจซื้อขายปล่อยเช่าอสังหาฯ ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ คิดเป็นสัดส่วน 50% และอีกส่วนคือ ธุรกิจที่ปรึกษาโครงการ 50%

<img style="width: 638px; height: 459px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/81956c9492a20819bdb9907f9b73b99b.jpg" alt="" />

โดยบริษัทจะเน้นเฉพาะอสังหาฯ ระดับกลางบนจนถึงซูเปอร์ลักชัวรี ได้แก่ คอนโดมิเนียมระดับกลางบนราคา 1.2-2 แสนบาทต่อตร.ม. ระดับลักชัวรีราคา 2-3 แสนบาทต่อตร.ม. และระดับซูเปอร์ลักชัวรีราคา 3 แสนบาทต่อตร.ม. หรือราคาต่อยูนิตจะเฉลี่ยที่ 10 ล้านบาทต่อยูนิต เน้นการขายห้องชุด 2 ห้องนอน เพ้นท์เฮาส์ และ 1 ห้องนอนขนาดใหญ่เป็นหลัก เพื่อจับกลุ่มลูกค้าบุคคลความมั่งคั่งสูงที่ต้องการซื้ออสังหาฯ สำหรับอยู่อาศัยเอง

ชัญญาแจกแจงว่า ในปีแรกนี้หวังลูกค้าคนไทย 70% และต่างชาติ 30% ได้แก่กลุ่มชาวญี่ปุ่น ฮ่องกง จีน และสแกนดิเนเวีย ขณะที่ปี 2019 คาดว่าลูกค้าต่างชาติจะเริ่มเพิ่มสัดส่วนเป็น 40% เนื่องจากบริษัทวางแผนจะเปิดตลาดเพิ่มใน จ.ภูเก็ต เกาะสมุย และจ.เชียงใหม่ อันเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ต่างชาติให้ความสนใจ

&nbsp;
<h2>ดันพอร์ตขายในมือถึง 6 พันล้านใน 2 ปี</h2>
ด้านพอร์ตอสังหาฯ ในมือและเป้ารายได้ ชัญญากล่าวว่า ขณะนี้ ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ฯ (ประเทศไทย) มีพอร์ตอสังหาฯ ขายที่รับเป็นโบรกเกอร์จำหน่ายแล้ว 200 ล้านบาทจากดีเวลอปเปอร์ 5-6 ราย ได้แก่ แสนสิริ, เนอวานา, พฤกษา, เอสซี แอสเสท และอีสเทอร์น สตาร์ และวางเป้าว่าจะเพิ่มพอร์ตเป็น 600 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่เป้าปี 2019 จะเพิ่มพอร์ตขายเป็น 2.7 พันล้าน และ 6 พันล้านภายในปี 2020

<figure><img style="width: 638px; height: 425px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/efea3504632ec2abb42dca2543c02774.jpg" alt="" width="638" height="425" /><figcaption> ชัญญา แซ่เตีย</figcaption></figure>

พอร์ตสินค้าที่เพิ่มขึ้นนี้ ประกอบกับธุรกิจที่ปรึกษาโครงการทั้งงานขายและการช่วยบริหารโครงการครบวงจร จะทำให้รายได้ของลิสต์ ซอเธอบี้ส์ฯ (ประเทศไทย) เพิ่มขึ้นตาม จากปีนี้วางเป้ารายได้ 18 ล้านบาท ปี 2019 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 82 ล้านบาท และ 182 ล้านบาทในปี 2020

“เมื่อปีก่อนในตลาดมีสต๊อกคอนโดฯ ระหว่างสร้างเหลือขายกว่า 2 หมื่นยูนิต ซึ่ง 10% ของจำนวนนี้เป็นสินค้าระดับบน ถือว่าเป็นจำนวนที่เหลือมากกว่าปกติ เป็นจังหวะโอกาสที่ดีของเอเย่นต์อย่างเราที่จะได้เข้ามาช่วยทำการขาย และคอนโดฯ ของไทยก็เป็นที่สนใจของต่างชาติอยู่แล้วด้วยราคาที่ถูกกว่ามากหากเทียบกับฮ่องกงหรือเมืองใหญ่ในจีน ทั้งยังตกแต่งอย่างเต็มที่ ใช้ดีไซเนอร์จากต่างประเทศ”

ชัญญาเสริมด้วยว่า สำหรับลิสต์ ซอเธอบี้ส์ฯ (ประเทศไทย) ยังมีจุดเด่นที่แบรนด์ที่แข็งแกร่ง และสามารถเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ซื้อและอสังหาฯ ที่เปิดขายได้ 72 ประเทศทั่วโลกผ่านระบบไอที ทำให้มีโอกาสการขายที่มากกว่า รวมถึงการจับกลุ่มระดับบนเท่านั้นทำให้บริษัทให้บริการได้เหมาะสมกับลูกค้า

โบรกเกอร์ ‘ลิสต์ ซอเธอบี้ส์’ จับจังหวะซัพพลายอสังหาฯ ระดับบนล้นตลาดเปิดสาขาในไทย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ตั้ง PLUS Experience Development Center หน่วยงานพัฒนาบุคลากรเชิงรุกตอบสนองลูกค้าหลากหลายเชื้อชาติมากขึ้น รองรับความเป็นสากลของประเทศไทย คาดอีก 2 ปี มีห้องชุดสร้างเสร็จเข้าสู่ตลาดอีก 9 หมื่นยูนิต พบ 33% เป็นห้องชุดระดับลักซัวรี่ราคามากกว่า 1.3 แสนบาท/ตร.ม. ชี้เป็นโอกาสธุรกิจบริการจัดการที่พักอาศัย

พรรณวดี โพธิหน่อทอง รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายบริหารอาคารที่พักอาศัย (คอนโดมิเนียมและโครงการต่างจังหวัด) บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันทิศทางของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยได้เติบโตอย่างมาก และได้พัฒนาออกมาในรูปแบบที่รองรับผู้อยู่อาศัยระดับสากลมากขึ้น รองรับกระแสการเชื่อมต่อของโลกไร้พรมแดน ทำให้มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มาจากหลากหลายชาตินอกเหนือจากชาวไทย โดยเฉพาะ ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน จีนและญี่ปุ่น

กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่หลากหลายขึ้นนี้ ส่งผลให้งานบริหารอาคารที่พักอาศัยต้องปรับตัวและพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมการอยู่อาศัยเข้ามามีบทบาทกับการดำเนินชีวิตของผู้คนค่อนข้างมาก

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จึงมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเสริมการให้บริการที่รวดเร็วและง่ายต่อการใช้งาน ดังเช่นการใช้แอพพลิเคชั่น Home Service Application มาช่วยในการสื่อสารกับผู้อาศัยในการแจ้งข้อมูลต่างๆ  โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นผู้ให้บริการงานบริหารอาคารที่พักอาศัยที่ดีที่สุดอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ พลัสฯ ยังมีนโยบายเพื่อรองรับการพัฒนาบุคลากรในส่วนงานการบริหารอาคารเชิงรุกอย่างเข้มข้น ล่าสุดได้พัฒนาหน่วยงานที่เรียกว่า PLUS Experience Development Center เป็นหน่วยงานเฉพาะด้านในการจัดทำหลักสูตรสร้างทักษะการบริการที่เป็นเลิศ พัฒนาความเชี่ยวชาญในสายงาน ซึ่งมีโครงการนำร่องด้วยการร่วมมือกับสถาบัน Jeeves Training สถาบันชั้นนำระดับโลกที่ออกแบบและฝึกอบรมการให้บริการ  Butler ในโรงแรมและโครงการที่พักอาศัยชั้นนำระดับไฮเอนด์ มาสร้างประสบการณ์และฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของพลัสฯ เพื่อยกระดับการให้บริการแก่ผู้พักอาศัยในโครงการระดับลักซัวรี่ที่พลัสฯ บริหาร

และพลัสฯ ยังให้ความสำคัญกับบุคลากรโดยการวางแผนการเจริญเติบโตระยะยาวของพนักงาน เพื่อสร้างคุณค่าและพัฒนาความผูกพันที่มีต่อองค์กรและลูกค้า (Engagement Culture)  ตลอดจนเพื่อให้เข้าใจและเข้าถึงความต้องการของลูกค้า พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่ดี จากแผนการพัฒนาครั้งนี้จะนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการแต่ละแห่งต่อไป

ปัจจุบันพลัสฯ เป็นผู้ให้บริการด้านบริหารอาคารที่พักอาศัยชั้นนำติด 1 ใน 5 ของตลาด โดยดูแลโครงการทั้งสิ้น 157 โครงการ เป็นโครงการระดับลักซัวรี่ราว 25% ซึ่งพลัสฯ เป็นผู้ให้บริการไทยที่มีหน่วยงานดูแลลูกค้าต่างประเทศโดยเฉพาะ (กลุ่มลูกค้าชาวจีน ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น และสิงคโปร์) โดยทีมพิเศษนี้สามารถให้คำปรึกษารอบด้าน ในการบริหารทรัพย์สินให้พร้อมใช้งานและมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น โดยให้คำปรึกษาทั้งด้านการคำนวณทิศทางราคาอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต ดูแลจัดการด้านการปล่อยเช่า การหาผู้เช่าให้กับลูกค้า รวมถึงช่วยประสานงานกับเอเจนซี่ในต่างประเทศ ในรูปแบบ One Stop Service

“ภาพรวมการตลาดในปัจจุบันยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จะพบว่าผู้ประกอบการต่างๆ มีนโยบายทางการตลาดเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อทั้งในเอเชีย อเมริกา และยุโรปทำให้มีโครงการอาคารที่พักอาศัยที่จะเกิดขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก โดยในช่วง 2 ปีต่อจากนี้คาดว่าจะจะมีห้องชุดสร้างเสร็จเข้าสู่ตลาดกว่า 9 หมื่นยูนิต เป็นโครงการระดับลักซัวรี่ที่ราคามากกว่า 1.3 แสนบาทต่อตารางเมตร ถึง 3 หมื่นยูนิต หรือคิดเป็น 33% นับเป็นโอกาสของธุรกิจงานบริหารอาคารที่พักอาศัยเช่นกัน

หากวิเคราะห์ทางด้านการแข่งขันของอุตสาหกรรมงานบริหารอาคารที่พักอาศัยในปัจจุบัน พบว่ามาจากผู้ให้บริการ 2 กลุ่ม คือ บริษัทต่างชาติที่มาเปิดสาขาในเมืองไทย และบริษัทของคนไทย ซึ่งปัจจุบันมาตรฐานการบริหารจัดการมีความใกล้เคียงกันเนื่องจากเทคโนโลยีและการรับรู้ข่าวสารข้อมูลจากสื่อต่างๆ ทำให้การแข่งขันมุ่งเน้นการให้บริการที่ครอบคลุม มีมาตรฐาน และสามารถตรวจสอบได้ นอกจากนี้ยังเริ่มมีผู้เล่นรายย่อยใหม่ๆ มากขึ้นโดยเน้นกลยุทธ์ทางด้านราคาค่าบริการ อาจตอบโจทย์บางโครงการที่มีงบประมาณจำกัด แต่ในระยะยาวมูลค่าของโครงการจะลดลง ไม่มีความยั่งยืน  ซึ่งผู้เล่นรายย่อยจะต้องพัฒนาความสามารถเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีมากขึ้นเพื่อให้ได้มาตรฐานระดับสากล รวมถึงตอบโจทย์ความต้องการการบริการที่รวดเร็ว ตามแนวโน้มความหลากหลายของลูกค้าที่มีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง” พรรณวดีกล่าว

พลัสฯ ตั้งศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคลากรตอบรับตลาดต่างชาติ คาดอีก 2 ปีคอนโดฯ สร้างเสร็จเพิ่มอีก 9 หมื่นยูนิต

<h2>ดิ เอเจ้นท์ เอเย่นต์อสังหาฯในเครืออนันดาฯ จับมือเบิร์กลีย์ กรุ๊ป นักพัฒนาจัดสรรจากอังกฤษ เปิดขายคอนโดฯ London ชูจังหวะเงินปอนด์อ่อนค่าเป็นโอกาสทำกำไร ด้านการขายอสังหาฯภายในประเทศ ชี้ปี 2560 นักลงทุนต่างชาติแห่ซื้อเกินคาดหมาย</h2>
อัณณพ วงศ์ชุมพิศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่และผู้บริหารสูงสุด บริษัท ดิ เอเจ้นท์ (พร็อพเพอร์ตี้ เอ๊กซ์เพิร์ท) จำกัด บริษัทเอเย่นต์ซื้อขายปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ในเครือบมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดเผยว่า ปีนี้ดิ เอเจ้นท์ร่วมมือกับพันธมิตร เบิร์กลีย์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯจากประเทศอังกฤษ นำโครงการ Royal Arsenal Riverside ทำเลในโซน 4 ของกรุง London ราคาเริ่มต้นประมาณ 17 ล้านบาท สำหรับห้องชุดพื้นที่ใช้สอย 40 ตร.ม. สิทธิการเช่า 999 ปี เสนอขายให้กับลูกค้าชาวไทย

<figure><img style="width: 340px; height: 452px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/2909b3acd96adab8ed3afa414e04cf3a.png" alt="" width="340" height="452" /><figcaption> อัณณพ วงศ์ชุมพิศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่และผู้บริหารสูงสุด บริษัท ดิ เอเจ้นท์ (พร็อพเพอร์ตี้ เอ๊กซ์เพิร์ท) จำกัด</figcaption></figure>

โดยอัณณพกล่าวว่า บริษัทเลือกการลงทุนอสังหาฯต่างประเทศที่อังกฤษมานำเสนอต่อลูกค้า เนื่องจากมีปัจจัยบวกที่ส่งให้อังกฤษเป็น Safe Heaven หรือแหล่งลงทุนที่ปลอดภัยไม่ขาดทุนหลายประการ เช่น เป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาค, ศูนย์กลางทางการศึกษาชั้นนำ, แหล่งท่องเที่ยวอันดับต้นของโลก, อุปสงค์ที่อยู่อาศัยสูงกว่าอุปทานเท่าตัว เฉพาะใน London ในปี 2558 มีดีมานด์สูง 49,000 ยูนิต ขณะที่ซัพพลายมี 21,379 ยูนิต ทำให้ตลาดปล่อยเช่ามีโอกาสได้ผู้เช่าอย่างต่อเนื่องสูง

ทั้งนี้ เมื่อปี 2559 อังกฤษมีราคาเฉลี่ยอสังหาฯ 9.96 แสนบาท/ตร.ม. อัตราผลตอบแทนการปล่อยเช่าสุทธิ (net rental yield) 3.21% ต่อปี และมีส่วนต่างการเติบโตของราคา (capital gain) รอบ 5 ปี 21.55% อย่างไรก็ตาม เป็นการคิดจากค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ ส่วนโครงการ Royal Arsenal Riverside ที่นำเสนอมีราคาเฉลี่ย 4-5 แสนบาท/ตร.ม.เท่านั้น ทำให้มีช่องว่างการเติบโตราคาที่สูงกว่า โดยในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา พื้นที่บริเวณโครงการมีการเติบโตราคาเฉลี่ย 7.2% ต่อปี

<figure><img style="width: 680px; height: 662px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/a7e99657d3cd4708e00ed44f794aeae4.png" alt="" width="680" height="662" /><figcaption> โครงการ Royal Arsenal Riverside มิกซ์ยูสริมน้ำ นอกจากที่อยู่อาศัยจำนวน 2-3 พันยูนิตแล้ว ยังมีพื้นที่รีเทลต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า Sainsbury's , Tesco</figcaption></figure>

นอกจากนี้ จังหวะการลงทุนขณะนี้ยังถือเป็นโอกาสที่ดีของชาวไทย เนื่องจากค่าเงินปอนด์ที่อ่อนลง 20% หลังจากประกาศลาออกจากสมาชิกสหภาพยุโรป (Brexit) ปัจจุบันอยู่ที่ 43-45 บาทต่อ 1 ปอนด์ ซึ่งอัณณพคาดว่าแนวโน้มค่าเงินน่าจะปรับขึ้นหลังจากกระบวนการ Brexit เรียบร้อยในปี 2561 จะทำให้นักลงทุนไทยได้กำไรเพิ่มขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยน

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าฟังการสัมมนาการลงทุนอสังหาฯใน London และแนะนำโครงการ Royal Arsenal Riverside ได้ในวันที่ 20 สิงหาคมนี้ ณ โรงแรมสยามเคมปินสกี้

&nbsp;
<h2>อสังหาฯไทยฮอตนักลงทุนจีนแห่ซื้อ</h2>
อัณณพ กล่าวต่อว่า ปี 2560 บริษัทตั้งเป้ารับรู้รายได้ 217 ล้านบาท เติบโต 10-15% จากปีก่อน สำหรับการดึงลูกค้าต่างประเทศเข้าซื้ออสังหาฯในไทย พบว่าปีนี้ลูกค้าต่างชาติให้ความสนใจเกินความคาดหมาย จากเป้ายอดขายมูลค่าทรัพย์สินรวมทั้งลูกค้าไทยและต่างชาติตลอดปี 9,000 ล้านบาท ช่วง 7 เดือนแรกมียอดขายจากลูกค้าต่างชาติไปแล้วกว่า 4,000 ล้านบาท เทียบกับปี 2559 ที่มียอดขายทั้งปี 7,800 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากลูกค้าต่างชาติ 1,000 ล้านบาทเท่านั้น

<figure><img style="width: 680px; height: 518px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d9e5a18fad0127a910813d55bf48abfa.png" alt="" width="680" height="518" /><figcaption> เปรียบเทียบการลงทุนอสังหาฯใน 6 ประเทศ</figcaption></figure>

โดยผู้ซื้อต่างชาติมีกลุ่มลูกค้าหลักคือไต้หวัน 35% ฮ่องกง 20% สิงคโปร์ 15% และประเทศอื่นๆ เช่น จีนแผ่นดินใหญ่ มาเลเซีย อีก 30% ซึ่งให้ความสนใจอสังหาฯไทยมากขึ้น ด้วยราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียมไทย 1.38 แสนบาท/ตร.ม. ต่ำกว่าประเทศอื่นมาก ขณะที่อัตราผลตอบแทนปล่อยเช่าสูง 5.13% และราคามีโอกาสเติบโต

สำหรับ ดิ เอเจ้นท์ กำลังเพิ่มบริการเพื่อตอบสนองลูกค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ เช่น Tenancy Management บริการดูแลการปล่อยเช่าแบบครบวงจร, Bangkok Sky Drone ภาพถ่ายจากโดรนในบริเวณที่ตั้งอสังหาฯ ซึ่งทำให้เห็นทัศนียภาพและสิ่งแวดล้อมรอบข้างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นอาคารใกล้เคียง ร้านค้า สภาพพื้นที่ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events