<div>
<h2 class="ace-copy-paste-skip-this-tag">ยูบิลลี่ ไดมอนด์เตรียมจัดงานแสดงสินค้า-ลดราคาโอกาสครบรอบ 89 ปี พร้อมไฮไลต์ภายในงาน เพชรแฟนซี เยลโล่ คัลเลอร์ 70.97 กะรัต มูลค่า 300 ล้านบาท หวังกระตุ้นยอดขายโกยรายได้ก่อนปิดไตรมาส 2/61 ครึ่งปีหลังลงทุน 100 ล้านเปิดเพิ่ม 8-12 สาขา</h2>
</div>
อัญรัตน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JUBILE เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมจัดงานแสดงสินค้าในโอกาสที่บริษัทมีอายุครบรอบ 89 ปี “ยูบิลลี่ ไดมอนด์ มิดเยียร์ เอ็กซ์โป 2018: เดอะ 89 สปาร์คกลิ้ง ฟิโนมินอล” ระหว่างวันที่ 21-24 มิถุนายน 2561 ณ โรงแรมแบงค็อก แมริออท เดอะ สุรวงศ์ กรุงเทพฯ โดยนำสินค้ากว่า 2 หมื่นรายการจัดแสดงภายในงาน พร้อมโปรโมชันลดราคาสูงสุด 50% ราคาเริ่มต้นที่ 19,900 บาทต่อชิ้น

ภายในงานแบ่งออกเป็น 8 โซน แสดงสินค้าหลายรูปแบบ เช่น เครื่องประดับงานดีไซน์แบบที่มีชิ้นเดียวในโลก (The Masterpiece) เพชรกะรัต เพชรน้ำ 100 แหวนแต่งงานบ่าวสาว สร้อยคอเพชร เพชรจากแบรนด์ฟอร์เอเวอร์ มาร์ค ของกลุ่มบริษัท De Beers ซึ่งยูบิลลี่เป็นตัวแทนจำหน่ายในไทย

<figure><img style="width: 638px; height: 638px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/705229634118daf70369b2670c8935a2.png" alt="" width="638" height="638" /><figcaption> เพชรแฟนซี เยลโล่ คัลเลอร์ รูปไข่ ขนาด 70.97 กะรัต มูลค่า 300 ล้านบาท</figcaption></figure>

ไฮไลต์สำคัญสำหรับผู้ที่ชื่นชอบอัญมณี ยูบิลลี่จะจัดแสดงเพชรแฟนซี เยลโล่ คัลเลอร์ รูปไข่ ขนาด 70.97 กะรัต ซึ่งเป็นเพชรสีเหลืองเข้มขนาดใหญ่ที่หาได้ยากในโลก มูลค่าขาย 300 ล้านบาท ให้ได้ชมอย่างใกล้ชิด 

อัญรัตน์กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมผลประกอบการไตรมาส 1/61 บริษัทมีรายได้รวม 344.25 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อน 8% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ต้องการเติบโต 10% ตลอดปี 2561

อย่างไรก็ตาม สำหรับไตรมาส 2 นี้เชื่อว่างานยูบิลลี่ ไดมอนด์ มิดเยียร์ เอ็กซ์โป 2018 จะช่วยผลักดันยอดขายได้ โดยยอดขายภายในงานจะคิดเป็นสัดส่วน 40-45% ของเป้ายอดขาย Q2/61 

<figure><img style="width: 638px; height: 638px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/ec45a53f8f310a6052509ebd02a5e6f0.png" alt="" width="638" height="638" /><figcaption> อัญรัตน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน)</figcaption></figure>

ในขณะที่ครึ่งปีหลัง บริษัทเตรียมงบลงทุนกว่า 100 ล้านบาทเพื่อเปิดสาขาเพิ่มเติมทั้งแบรนด์ยูบิลลี่อีก 5-7 สาขา และแบรนด์ฟอร์เอเวอร์ มาร์ค อีก 3-5 สาขา กระจายสาขาทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งการเปิดสาขาใหม่จะทำให้รายได้ครึ่งปีหลังของบริษัทเติบโตได้ดีขึ้น

“สาขาปีนี้เปิดมากกว่าทุกปีเพราะเป็นจังหวะที่ห้างสรรพสินค้าใหม่ๆ ก่อสร้างเสร็จเพิ่มขึ้นทำให้เราได้พื้นที่” อัญรัตน์กล่าว

ด้านตลาดรวมการค้าปลีกเครื่องประดับอัญมณีของไทยซึ่งมีมูลค่ารวมราว 4 หมื่นล้านบาท ช่วงครึ่งปีแรก 2561 ซีอีโอยูบิลลี่มองว่าน่าจะเติบโตได้ราว 5% ด้วยภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังไปได้ดี และมีกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพชรในฐานะการลงทุนทางเลือกมากขึ้น ส่งเสริมให้ตลาดเพชรมีการเติบโต

<img style="width: 638px; height: 425px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/28c5769ac65857c762da5ec75ca2c50f.png" alt="" />

<figure><img style="width: 638px; height: 425px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/a96919b720b96e4241e2f5e89c832efb.png" alt="" width="638" height="425" /><figcaption> ตัวอย่างเครื่องประดับเพชรบางส่วนที่จะวางจำหน่ายภายในงานยูบิลลี่ เอ็กซ์โป 2018</figcaption></figure>

&nbsp;

Forbes Facts
<ul>
 	<li>ปัจจุบันยูบิลลี่มีสาขาจำหน่าย 125 สาขา และสาขาของแบรนด์ฟอร์เอเวอร์ มาร์คอีก 4 สาขา</li>
 	<li>อัญรัตน์ เปิดเผยว่า มูลค่าตลาดค้าปลีกเครื่องประดับอัญมณีของไทยอยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น ประเภทร้านเทรดดิชันนอล 2 หมื่นล้านบาท ประเภทร้านเคาน์เตอร์แบรนด์ในห้างฯ 7-8 พันล้านบาท และประเภทสินค้าขายในร้านทอง 9 พันล้านบาท โดยยูบิลลี่เป็นผู้นำตลาดในกลุ่มร้านเคาน์เตอร์แบรนด์มีมาร์เก็ตแชร์คิดเป็น 20%</li>
 	<li>จุดเด่นของเครื่องประดับยูบิลลี่คือสินค้านวัตกรรม เช่น การผลิตโดยใช้ Microscope Setting Techniques ช่วยให้การฝังเพชรในตัวเรือนมองไม่เห็นและไม่รู้สึกถึงหนามเตย หรือการดีไซน์เครื่องประดับ 1 ชิ้นให้สามารถใช้งานได้หลายรูปแบบด้วยการถอดแยกส่วนประกอบ ซึ่งทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่ากว่า</li>
</ul>

'ยูบิลลี่' เตรียมนำเพชรเม็ดงาม 300 ล้านบาทจัดแสดงในงานเอ็กซ์โปปี 2018

<h2>MQDC พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ คอนโดมิเนียม วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์นิวเจนเนอเรชั่น ทำเลติดสถานีรถไฟฟ้า MRT ลาดพร้าว พร้อมพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ 1,700 ตารางเมตร รับประกันโครงสร้างอาคารนาน 30 ปี มอบส่วนลดสูงสุด 5 แสนบาทตั้งแต่วันนี้ถึง 30 กันยายน 60</h2>
อัษฎา แก้วเขียว ประธานผู้อำนวยการ-วิสซ์ดอม บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า โครงการ วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว ถือเป็นโครงการที่เจาะกลุ่มเป้าหมายคนเมืองและคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต มีไลฟ์สไตล์ทันสมัย และพิถีพิถันในการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง โดยมี 5 ปัจจัยหลักที่ตอบโจทย์  ได้แก่

1.ทำเลโครงการ ติดสถานี MRT ลาดพร้าว ทางออกหมายเลข 1 หนึ่งก้าวจากรถไฟฟ้าอย่างแท้จริง และในอนาคต โครงการจะอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่จะเชื่อมต่อการคมนาคมเส้นลาดพร้าวไปยังสำโรงอีกด้วย โครงการยังตั้งอยู่บนถนนลาดพร้าว แยกรัชดา-ลาดพร้าว ซึ่งถือเป็นทำเลศักยภาพแห่งหนึ่งของกรุงเทพที่ใกล้กับสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่าง และสามารถเชื่อมต่อไปยั่งพื้นที่อื่นๆได้สะดวก-รวดเร็ว

2.รับประกันนานถึง 30 ปี ซึ่งถือเป็นผู้นำธุรกิจอสังหาฯ รายแรกที่กล้าให้การประกันคุณภาพยาวนานที่สุด โดยรับประกันด้านคุณภาพโครงสร้างอาคาร ใน 4   เรื่องหลัก  คือ รอยร้าว และกำลังคอนกรีต เสา คาน พื้น, เรื่องความแข็งแรงทั่วไปและการรั่วซึมของหลังคาและดาดฟ้า, การรั่วซึมของท่อน้ำในระบบประปาและสุขาภิบาล การรั่วของกระแสไฟฟ้า และ การใช้งานและการรั่วซึมของน้ำฝน ของบานวงกบ ประตู และหน้าต่าง
<img style="width: 680px; height: 407px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/a00648ffad5164db1b9ea7f88f724398.png" alt="" />

3.การออกแบบอย่างพิถีพิถัน ผสมผสานการวิจัยและพัฒนา เข้ากับการดีไซน์ และความใส่ใจในเรื่องการประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม ออกแบบตามมาตรฐาน “สถาบันอาคารเขียวไทย” (Thai Green Building Institute) เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้

อาทิ รูปแบบและการจัดวางพื้นที่ภายในห้องพักสอดคล้องกับหลักสรีระศาสตร์ของมนุษย์เพื่อความสะดวกสบายสำหรับทุกกิจกรรม อยู่สบายและไม่รู้สึกอึดอัด การวางตำแหน่งไฟ ตำแหน่งแอร์ที่ส่งเสริมสุขภาพที่ดีของผู้อยู่อาศัย ทิศทางการวางตำแหน่งตัวตึกสอดคล้องกับทิศทางแสงอาทิตย์และทิศทางลม การจัดวางห้องพักซึ่งเริ่มต้นที่ชั้น 5 เพิ่มความเป็นส่วนตัวและห่างไกลจากเสียงรบกวน มีการออกแบบสวนและแนวต้นไม้ช่วยบังแนวเสียงและฝุ่นละอองในอากาศที่จะพัดเข้าสู่ตัวอาคาร เป็นต้น

4.กิจกรรมและบริการเพื่อลูกค้า เป็นกิจกรรมที่ตอบสนองคนรุ่นใหม่ (New Generation) ที่มีกิจกรรมหลากหลายรูปแบบทั้งด้านองค์ความรู้ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตการทำงาน Entertainment สุขภาพ Networking, knowledge sharing และอื่นๆ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ใส่ใจการอยู่อาศัยจริงของคนในคอนโดฯ เช่น พื้นที่สำหรับล้างรถ ที่ชงชากาแฟที่ล็อบบี้ เตาบาร์บีคิว เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญพร้อมที่อบผ้า อุปกรณ์ปฐมพยาบาล First aid kit, อุปกรณ์ซ่อมบำรุงที่ลูกค้าใช้ได้ง่ายๆ

<img style="width: 680px; height: 505px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/3b50d132e3304ba29f9b0d2186cd8bbd.png" alt="" />

5.เสริมทัพด้วย Zero Defects Delivery เป็นการรับประกันว่าลูกค้าสามารถตรวจรับห้องได้ด้วยความพึงพอใจสูงสุด ด้วยการใช้ technology ต่างๆมาช่วยตั้งแต่ขั้นตอนแรก เช่น การออกแบบเพื่อลดสิ่งที่จะก่อให้เกิด defects ตั้งแต่แรกและด้วยการนำ BIM (Building Information Model) มาใช้เพื่อขึ้นรูปแบบ 3 มิติก่อนสร้างจริง พร้อมทั้งขั้นตอนการควบคุมและตรวจสอบคุณภาพงานก่อสร้างในทุกขั้นตอนโดยทีม MQDC ลดงาน re-work ที่อาจจะกระทบงานตกแต่งอื่นๆ การติดตามงานแก้ไข ด้วยโปรแกรม "Novade” ซึ่งเป็นโครงการแรกของประเทศไทยที่นำโปรแกรมนี้มาใช้ในการตรวจ defects

โครงการวิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว มูลค่าโครงการ 2,700 ล้านบาท มียอดขายแล้วกว่า 90% และโครงการสร้างเสร็จสมบูรณ์พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ และ MQDC จะจัดกิจกรรมกระตุ้นการขายอีกครั้งในวันที่ 2 กันยายน 2560 เปิดชมห้องตัวอย่าง 7 แบบที่โครงการร่วมกับแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ CK Furniture ในการสร้างสรรค์แบบห้องเป็นไอเดียสำหรับแต่งห้องชุดให้กับลูกค้า พร้อมมีโปรโมชันพิเศษแพคเกจตกแต่งห้องจาก CK Furniture อีกด้วย

<figure><img style="width: 340px; height: 510px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/28fe63a22c74c41adf3a98743f8064b1.png" alt="" width="340" height="510" /><figcaption> อัษฎา แก้วเขียว ประธานผู้อำนวยการ-วิสซ์ดอม บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) </figcaption></figure>

นอกจากนี้ อัษฎา ยังกล่าวถึงภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และภาพรวมธุรกิจในครึ่งปีแรก 2560 ว่า ภาพสรุปของอสังหาฯในกรุงเทพ ครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีการขยายโครงการใหม่ต่อเนื่องจากหลายปัจจัย อาทิ การลงทุนโครงการรถไฟฟ้าหลายสายของภาครัฐ โดยที่ตลาดคอนโดมิเนียมเป็นตลาดหลักที่ใหญ่ที่สุดประมาณ 60% ของตลาดอสังหาฯรวม

การขยายตัวของภาคอสังหาฯ ส่งผลให้ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก ส่งผลโดยตรงต่อราคาที่อยู่อาศัย จากสภาวะปัจจุบันโอกาสในการเกิดโครงการในใจกลางเมืองจึงลดลง แต่การเปิดโครงการมีมากขึ้นบริเวณส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าต่างๆ

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events