AWS และภารกิจลงทุน ‘โรงไฟฟ้านิวเคลียร์’ ขุมพลังสะอาดแห่งอนาคต

 ยกระดับ APAC ให้แข่งขันได้ในเศรษฐกิจดิจิทัล

Amazon Web Services เผยแนวคิดให้ธุรกิจอยู่รอด

<h2 class="p1">Jeff Bezos ผู้ก่อตั้ง Amazon ประกาศว่า เขาจะลงจากตำแหน่งซีอีโอของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซรายใหญ่ของโลก ที่มีมูลค่าหุ้นปรับตัวมากถึงร้อยละ 67 ในช่วงโควิด-19 และจะดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารแทน โดยการเปลี่ยนแปลงจะมีผลในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2021 นี้</h2>
<figure><img class="wp-image-41001" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/bezos.jpg" alt="Jeff Bezos" width="720" height="480" /><figcaption> Jeff Bezos ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Amazon</figcaption></figure>
สำหรับผู้ที่จะเลื่อนขั้นมารับตำแหน่งซีอีโอของ Amazon แทน คือ<a href="https://www.forbes.com/sites/rachelsandler/2021/02/02/what-you-need-to-know-about-andy-jassy-amazons-new-ceo/?sh=7258ca171ead"> Andy Jassy </a>ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งซีอีโอของ Amazon Web Services บริษัทคลาวด์ในเครือ Amazon ที่พิสูจน์ตัวเองมาแล้วจากการทำธุรกิจให้กำไรมหาศาล ชดเชยปีกของอี-คอมเมิร์ซที่ขาดทุนมาตลอด
โดยใน<a style="color: #333333;" href="https://www.aboutamazon.com/news/company-news/email-from-jeff-bezos-to-employees">จดหมายที่แจ้งถึงพนักงาน</a> Jeff Bezos ระบุว่า เขาวางแผนที่จะหันไปโฟกัสที่ธุรกิจอื่นและโปรเจกต์ใหม่ๆ ของเขา อย่าง “กองทุนช่วยเหลือคนไร้บ้านและคนยากจน Day 1 Fund, กองทุนด้านสิ่งแวดล้อม Bezos Earth Fund, บริษัทอวกาศ Blue Origin, หนังสือพิมพ์ The Washington Post และความสนใจด้านอื่นๆ”
การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ Amazon รายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ที่มีมูลค่ามากถึง 1.25 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ทางบริษัทสร้างรายได้มากกว่า 1 แสนล้านเหรียญในไตรมาสเดียว ทั้งยังมีกำไรมากถึง 7.2 พันล้านเหรียญ มากกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้วถึง 2 เท่า
ล่าสุด<a style="color: #333333;" href="https://www.forbes.com/profile/jeff-bezos/?sh=45613b3a1b23"> Forbes </a>ประเมินมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของ Bezos ว่ามีมูลค่าอยู่ที่ 1.964 แสนล้านเหรียญ โดยมีรายได้หลักมาจากสัดส่วนการถือครองหุ้นใน Amazon อยู่ร้อยละ 11.1 ซึ่งมีมูลค่าบริษัท ณ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2021 มากกว่า 1.6 ล้านล้านเหรียญ


<figure><img class="wp-image-40999" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/andy-sassy.jpg" alt="Andy Jassy " width="720" height="405" /><figcaption> Andy Jassy ซีอีโอคนใหม่ของ Amazon</figcaption></figure>
ในปี 1994 Bezos เริ่มธุรกิจ Amazon.com ร้านขายหนังสือออนไลน์ในโรงจอดรถที่ Seattle โดยไม่มีใครคาดคิดว่าบริษัทแห่งนี้จะสามารถปฏิวัติอุตสาหกรรมเทคโนโลยีได้ ซึ่งภายหลังจากนั้น 30 ปี เขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นด้วยการต่อยอดธุรกิจไปสู่การให้บริการคลาวด์ วิดีโอสตรีมมิ่ง ร้านค้า และกิจการต่างๆ จนกลายเป็นธุรกิจรายใหญ่ระดับโลก
นอกจากความสำเร็จด้านชีวิตการทำงานแล้ว ในปี 2019 มหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งอันดับ 1 ของโลกผู้นี้ ยังได้ประกาศแยกทางกับภรรยา MacKenzie Scott หลังจากใช้ชีวิตคู่ร่วมกันนานถึง 25 ปี ภายใต้ข้อตกลงที่เขาจะแบ่งหุ้น AMZN ร้อยละ 4 หรือคิดเป็นมูลค่าราว 3.5 หมื่นล้านเหรียญให้กับอดีตภรรยา
ไม่เพียงเท่านี้ ในเดือนมกราคม 2020 Bezos ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะบริจาคเงิน 1 หมื่นล้านเหรียญ หรือร้อยละ 10 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของเขา ณ เวลานั้น เพื่อช่วยแก้ปัญหาสภาพอากาศ ผ่านทางกองทุนด้านสิ่งแวดล้อม<a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/sites/sergeiklebnikov/2020/02/17/jeff-bezos-pledges-to-fight-climate-change-with-10-billion-earth-fund/?sh=68a18de8523b"> Bezos Earth Fund </a>ของเขา
“ถ้าคุณทำในสิ่งที่ถูก คุณจะใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีในการทำให้นวัตกรรมใหม่เหล่านั้นกลายเป็นเรื่องธรรมดา” Bezos กล่าวพร้อมเสริมว่า “การแสดงความประหลาดใจ ก็เหมือนกับคำชมที่ดีที่สุดสำหรับนักนวัตกร ในทำนองเดียวกันผลประกอบการของเราก็เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงผลลัพธ์ในระยะยาวของสิ่งที่เราได้พัฒนามาตลอด ซึ่ง ณ เวลานี้ ผมมอง Amazon ในฐานะบริษัทที่มีนวัตกรรมที่ดีที่สุด และนี่คงจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้วที่จะมีการเปลี่ยนผ่าน”
แปลและเรียบเรียงจากบทความ Jeff Bezos To Step Down As Amazon CEO เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/other/amazon-air-%e0%b9%80%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%8b%e0%b8%b7%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b9%80%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%9a%e0%b8%b4%e0%b8%99.html">Amazon เข้าซื้อเครื่องบินจาก Delta และ WestJet รองรับการขนส่งสินค้าออนไลน์</a>

Jeff Bezos วางแผนจะทำอะไรหลังลงจากตำแหน่งซีอีโอ Amazon

<h2 class="p1">ก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 ของการตั้งสำนักงานในไทยของบริษัท อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด หรือ AWS บริษัทในเครือ Amazon.com ซึ่งไม่เพียงพาสื่อมวลชนเยี่ยมชมสำนักงานแห่งใหม่ที่ตั้งอยู่ในอาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ และมีพื้นที่ใหญ่กว่าเดิมเกิน 10 เท่า แต่ AWS ยังเปิดเผยแนวคิดของบริษัทสู่การเป็นองค์กรที่มีวัฒนธรรมด้านนวัตกรรม (Culture of Innovation) ด้วย</h2>
ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้เป็นปีที่ 14 ที่บริษัทเทคโนโลยีอย่าง AWS เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงและประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูกค้าและผู้ใช้งาน
“2-3 ปีแรกลูกค้าของเราเป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่ล้วนเข้ามาดิสรัปต์อุตสาหกรรมของตัวเอง ซึ่งทำให้บริษัทใหญ่ๆ ต้องหันกลับมามองถึงความสามารถในการพัฒนาและสร้างเทคโนโลยีของสตาร์ทอัพ และเริ่มเข้ามาใช้บริการกับเรา”
“ลูกค้าคนแรกของ AWS คือ Amazon ซึ่งเราจะเห็นว่าที่ผ่านมามีการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ โดยเราไม่ได้สร้างประสบการณ์แก่ผู้ใช้งานเฉพาะบนเว็บไซต์เท่านั้น แต่นวัตกรรมของเรายังรวมไปถึงการบริหารจัดการเพื่อลดต้นทุน เช่น การพัฒนาหุ่นยนต์เข้าไปใช้ในคลังสินค้าของ Amazon ที่นำ machine learning มาใช้ในระบบจัดเก็บสินค้าบนเชลฟ์ ทำให้การจัดส่งทำได้รวดเร็วขึ้น จนปัจจุบันสามารถส่งสินค้าได้ภายใน 1 ชั่วโมง”
ดร.ชวพล กล่าวว่า เราเชื่อว่าการนวัตกรรมไม่ได้เกิดจาก one time exercise แต่ต้องเป็นกระบวนการที่อยู่ในการทำงานและวิธีคิดของเราทุกวัน โดยธรรมชาติเราคิดสร้างนวัตกรรมของเราทุกวัน และถึงแม้นวัตกรรมจะมีมากมายหลายประเภท แต่สำหรับเรา นวัตกรรมที่ดีที่สุดคือนวัตกรรมที่สามารถทำให้ลูกค้าต่อยอดความคิดและสร้างความฝันได้


<figure><img class="size-full wp-image-14899" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/aws03.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> สำนักงานแห่งใหม่ของอะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) ที่มีพื้นที่มากกว่าเดิมเกิน 10 เท่า</figcaption></figure>
“วิสัยทัศน์ของเราคือต้องการเป็นบริษัทที่ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer centric) ทุกอย่างเริ่มที่ลูกค้า ซึ่งแนวคิดนี้เริ่มจากจดหมายที่ Jeff Bezos ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Amazon.com Inc เขียนถึงผู้ถือหุ้นเป็นครั้งแรกในปี 1997 ซึ่งเป็นปีที่ Amazon จะเข้าระดมทุนในตลาดเป็นครั้งแรก”
จดหมายฉบับนั้นมีการกล่าวถึง Day 1 ซึ่งกลายมาเป็นปรัชญาของบริษัทที่ต้องการย้ำเตือนตัวเองว่าให้ทุกวันเป็นเหมือนวันทำธุรกิจวันแรกเสมอ และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังเชื่ออยู่ว่าวันนี้คือ Day 1 บนความตั้งใจที่จะพัฒนาให้นวัตกรรมเกิดขึ้นได้ทุกวัน โดยอาศัยความเชื่อที่เป็นกุญแจสำคัญ 4 ข้อด้วยกัน คือ

<ol>
 	<li>Customer obsession: หลายองค์กรเลือกอย่างอื่นที่ไม่ใช่ลูกค้า แต่ที่ Amazon เราเลือกลูกค้าก่อนเสมอ</li>
 	<li class="p1">Long Term Thinking: การมีขอบเขตมุมมองในระยะยาวที่เหนียวแน่นมั่นคง แต่ก็ไม่กลัวที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการเพื่อให้ไปสู่เป้าหมายนั้นได้</li>
 	<li class="p1">Willing to fail: พร้อมที่จะล้มเหลว เพราะเรามองว่าการล้มเหลวไม่ใช่เรื่องแย่ หากเราเรียนรู้จากมัน เพราะหากไม่เคยล้มเหลวเลย แปลว่าเราไม่เคยลงมือทดลองทำ และ “การทดลอง” ก็ย่อมมีความเสี่ยงที่จะล้มเหลวเสมอ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องเรียนรู้จากความล้มเหลวนั้นได้ด้วย</li>
 	<li class="p1">Willing to be misunderstood: พร้อมที่จะถูกเข้าใจผิดจากคนอื่น จากการที่กล้าจะทำอะไรใหม่ๆ</li>
</ol>
<figure><img class="size-full wp-image-14898" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/08/aws02.jpg" alt="" width="720" height="480" /><figcaption> ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด</figcaption></figure>
ดร.ชวพลกล่าวอีกว่า การสร้างนวัตกรรมให้เกิดขึ้นได้ทุกวันนั้นอาศัยวิธีการจัดการ 4 ส่วน คือ
-วิธีการ (mechanism) : ซึ่งวิธีการที่ Amazon เอามาใช้ทุกวันคือ working backward หรือกระบวนการทำงานแบบย้อนกลับหลัง ซึ่งรวมถึงการเขียนข่าวประชาสัมพันธ์ถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการล่วงหน้า เป็นการสร้างเป้าหมายและวัตถุประสงค์ เพื่อให้มั่นใจว่าเราคิดแทนลูกค้าแล้วนั่นเอง
-สถาปัตยกรรม (architecture) : เนื่องจากที่ AWS เราต้องการคนที่เป็น builder ซึ่งหมายถึงคนที่ทั้งคิดและทำด้วย ดังนั้น เราจึงพยายามออกแบบเครื่องมือที่ไม่ต่างจากการต่อเลโก้ ที่จะทำให้คนที่มีไอเดียสามารถต่อยอดไปสู่นวัตกรรมต้นแบบได้อย่างรวดเร็วขึ้น
-วัฒนธรรม (culture) : สิ่งที่ขับเคลื่อนองค์กรอย่าง Amazon และ AWS คือ leadership principle หรือหลักการชี้นำในการปฏิบัติที่ถูกสร้างขึ้นมาให้ใช้ในทุกกระบวนการทำงาน ซึ่งรวมไปถึงการว่าจ้างและการประเมินพนักงานด้วย
โดยหลักการชี้นำของเราบางข้อ เช่น ส่งเสริมให้คนเห็นต่างโดยใช้ข้อมูล เพราะความเห็นต่างช่วยให้เห็นไอเดียใหม่ๆ ซึ่งทำให้เกิดความสร้างสรรค์ในองค์กร, การตัดสินใจที่ควรทำคือเมื่อมีข้อมูลประมาณ 70% (Bias for 70%) เพราะหากรอให้ได้ข้อมูลมากถึง 90% ก็อาจช้าเกินไปได้ เป็นต้น
-องค์กร (Organization) : เรายังจัดโครงสร้างทีมโดยอาศัยทฤษฎี “ทีมพิซซ่า 2 ถาด” ซึ่งโดยทั่วไปหมายถึงเป็นทีมที่สามารถทานพิซซ่าได้ 2 ถาดพอดี หรือมีคนจำนวน 4-10 คน ทีมใดที่มีคนมากกว่า 11 คนจะเพิ่มความล่าช้าเป็นทวีคูณ
“2 ปีก่อน AWS เป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าถึง 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ ส่วนปัจจุบันเราเป็นผู้นำตลาดโดยมีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 52% ดังนั้นการที่เราจะเติบโตแบบต่อเนื่องและเร็วกว่าตลาดได้ถือเป็นเรื่องที่เกิดยากมาก สิ่งสำคัญคือการที่เรายังย้ำเสมอว่าวันนี้เป็น Day 1 ไม่เคยเป็น Day 2 เพราะจะทำให้เราช้าลง ยิ่งเราเป็นผู้นำตลาดเรายิ่งต้องเร็วขึ้น” ดร.ชวพล กล่าวทิ้งท้าย
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/people/cover-story/jeff-bezos-amazon-%e0%b9%82%e0%b8%95%e0%b9%81%e0%b8%9a%e0%b8%9a%e0%b9%84%e0%b8%a3%e0%b9%89%e0%b8%82%e0%b8%b5%e0%b8%94%e0%b8%88%e0%b8%b3%e0%b8%81%e0%b8%b1.html">Jeff Bezos ขับเคลื่อน AMAZON โตแบบไร้ขีดจำกัด</a></li>
</ul>
&nbsp;

รายงานโดย กนกวรรณ มากเมฆ / Online Content Creator

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events