Matt Garman ซีอีโอของ Amazon Web Services มองเห็นศักยภาพที่โดดเด่นของโรงงานปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็กเพื่อเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดสำหรับสหรัฐฯ ทำให้บริษัทกำลังทุ่มเดิมพันครั้งใหญ่ในธุรกิจพลังงานนิวเคลียร์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าอย่างมหาศาลจากการขยายตัวของศูนย์ปฏิบัติการข้อมูล (data center) ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนแค่ 3 รัฐรวมกันคิดเป็นเงินกว่า 5.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
Amazon และ Dominion Energy บริษัทยักษ์ใหญ่วงการพลังงานมูลค่า 4.9 หมื่นล้านเหรียญ (มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด) ได้ประกาศในเดือนตุลาคม 2024 ที่ผ่านมาว่า พวกเขาได้ลงนามข้อตกลงเพื่อร่วมกันศึกษาการพัฒนาโครงการ SMR ในรัฐ Virginia ซึ่งเป็นการผลิตไฟฟ้าด้วยเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบโมดูลาร์ขนาดเล็กที่มีความล้ำหน้าที่ใช้พื้นที่เพียงราว 10% ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบดั้งเดิม
นอกจากนี้ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ยังเปิดเผยแผนสนับสนุนเงินทุนในการพัฒนาและการก่อสร้างโรงไฟฟ้า SMR ใน Washington ร่วมกับ Energy Northwest ซึ่งเป็นองค์กรสาธารณูปโภคของรัฐบาล และ Amazon ได้เซ็นสัญญาข้อตกลงอีกฉบับกับ X-energy บริษัทผู้พัฒนาเตาปฏิกรณ์ SMR เพื่อนำมาใช้ในโครงการที่ร่วมมือกับ Energy Northwest พร้อมทั้งควักกระเป๋าลงทุน 500 ล้านเหรียญในบริษัทสตาร์ทอัพใน Maryland แห่งนี้ซึ่งก่อตั้งในปี 2009 โดย Kam Ghaffarian ผู้ประกอบการพันล้านที่ปลุกปั้นธุรกิจมาแล้วหลายแห่ง
ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว Amazon และ X-energy ตั้งเป้าผลิตพลังงานให้ได้มากกว่า 5 กิกะวัตต์เพื่อป้อนไฟฟ้าให้กับตลาดสหรัฐฯ ภายในปี 2039 ซึ่งกำลังการผลิตขนาดนี้เพียงพอสำหรับจ่ายพลังงานให้กับเมืองขนาดกลาง 1 เมือง เพื่อให้สอดรับกับความต้องการพลังงานที่ทะยานสูงขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์
“พลังงานนิวเคลียร์เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการขยายกำลังการผลิตเพื่อสนองความต้องการไฟฟ้าโลกที่ขยายตัว” Matt Garman ซีอีโอของ Amazon Web Services (AWS) กล่าวในการสนทนาผ่านวิดีโอ “เราต้องการพลังงานไฟฟ้าปริมาณมากขึ้นในโครงข่าย” และเสริมว่า SMR เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ “มีความเป็นไปได้มากที่สุด” ที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว

Garman ซึ่งเริ่มต้นทำงานกับ Amazon ในตำแหน่งนักศึกษาฝึกงานเมื่อปี 2005 และก้าวขึ้นเป็นซีอีโอคนที่ 3 ของ AWS ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมากล่าวว่า เขาคาดว่าพลังงานนิวเคลียร์จะเป็นฟันเฟืองสำคัญสำหรับการขยายธุรกิจศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลของบริษัทเพื่อรองรับความต้องการ ขณะที่ยังช่วยให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2040
Garman กล่าวว่า แม้เทคโนโลยี SMR นี้ยังใหม่ แต่ได้มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ใหม่ที่ล้ำสมัยมีความปลอดภัยมากกว่าโรงไฟฟ้าที่สร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1950 และ 1960 อย่างมาก
“ตลอดปีที่ผ่านมาเรามีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นเกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้าจากนิวเคลียร์” Garman กล่าว “ทั่วโลกจะต้องเผชิญกับความยากลำบากในการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมในอัตราที่รวดเร็วพอจะรองรับความต้องการ”
ทั้ง Amazon และ Dominion ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดทางการเงินเกี่ยวกับข้อตกลงของพวกเขา Robert Blue ซีอีโอของ Dominion กล่าวในแถลงการณ์ว่า ความร่วมมือกับ Amazon จะทำให้บริษัทสามารถพัฒนา SMR “โดยมีผลกระทบด้านค่าบริการต่อผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทครัวเรือนน้อยที่สุด พร้อมทั้งลดความเสี่ยงในการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างมีนัยสำคัญ”
Virginia นับเป็นหนึ่งในเมืองที่มีศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลกระจุกตัวอย่างหนาแน่นติดอันดับโลก เพียงทางตอนเหนือของรัฐก็มีศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลเปิดให้บริการมากกว่า 100 แห่งในปัจจุบัน ทำให้ความต้องการพลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ของ Dominion ซึ่งประจำอยู่ที่ Richmond เผยว่า ปริมาณความต้องการพลังงานไฟฟ้าจากศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลใน Virginia เพิ่มขึ้นเท่าตัวในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4 เท่าในอีก 15 ปีข้างหน้า

นอกจากนี้ Virginia ยังเป็นรัฐที่ Dominion และ Amazon กำลังวางแผนสร้างโรงงาน SMR บริเวณใกล้กับโรงไฟฟ้า North Anna ของบริษัทยักษ์ใหญ่ธุรกิจพลังงานที่เปิดดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งตั้งอยู่ในเขต Louisa รัฐ Virginia โดยรวมแล้วบริษัทตั้งเป้าผลิตไฟฟ้าอย่างน้อย 300 เมกะวัตต์เพื่อป้อนให้รัฐแห่งนี้ โดยเฉลี่ยศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลมีอัตราการใช้ไฟฟ้าแห่งละ 32 เมกะวัตต์ ซึ่งเทียบเท่ากับพลังงานสำหรับจ่ายให้ครัวเรือน 6,000 หลัง ส่วนศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลที่รองรับเทคโนโลยี AI ใช้พลังงานไฟฟ้าราว 80 เมกะวัตต์
แอปพลิเคชัน AI จะทำให้ความต้องการไฟฟ้าโดยรวมของศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลเพิ่มขึ้น 160% ตามข้อมูลจากรายงานของ Goldman Sachs ซึ่งประเมินว่า การค้นหาผ่าน ChatGPT ต้องการไฟฟ้ามากกว่าการค้นหาผ่าน Google เกือบ 10 เท่า ข้อมูลจาก Wall Street Journal เผยว่า ความต้องการพลังงานสูงมากจนลูกค้าที่เป็นผู้ให้บริการศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลอาจต้องรอจนถึงทศวรรษหน้าก่อนจะได้รับไฟฟ้าตามปริมาณที่ต้องการ ส่วนลูกค้าบางรายจะได้รับพลังงานน้อยกว่าที่คาดหวังไว้
“ไม่ใช่เรื่องเกินจริงหากจะบอกว่าการตอบสนองความต้องการพลังงานไฟฟ้าเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง” Vine จาก Center for Climate and Energy Solutions กล่าว “นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”
ในขณะเดียวกัน Amazon กำลังประสบปัญหาในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเช่นเดียวกับบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ตามรายงานด้านความยั่งยืนฉบับล่าสุดของบริษัทระบุว่า ในปี 2023 ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของบริษัทลดลงเกือบ 3% มาอยู่ที่เกือบ 69 ล้านเมตริกตัน ทว่าปริมาณการปล่อยก๊าซของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ประเด็นนี้ทำให้ SMR ดูเป็นเทคโนโลยีทางเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่ไร้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ขยายขนาดกำลังการผลิตในระดับใหญ่ได้ และสามารถผลิตไฟฟ้าตลอด 24 ชั่วโมง
เครื่องปฏิกรณ์ขนาดเล็กนวัตกรรมล้ำสมัยซึ่งใช้เทคโนโลยีหลากหลายประเภทและมีกำลังการผลิตไฟฟ้าสูงสุดถึง 300 เมกะวัตต์ต่อโมดูลสามารถสร้างขึ้นในบริเวณใกล้กับศูนย์ปฏิบัติการข้อมูล และขยายกำลังการผลิตได้รวดเร็วด้วยระบบโครงสร้างแบบสำเร็จรูปเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น
อีกหนึ่งปัจจัยที่ผลักดัน AWS ในการเปิดรับโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์คือ การจับมือเป็นพันธมิตรกับบริษัทด้านสาธารณูปโภคของรัฐอย่าง Energy Northwest ที่อยู่ใน Washington ซึ่งกำลังวางแผนที่จะสร้างโรงไฟฟ้า SMR ใกล้กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Columbia Generating Station ในเมือง Richland รัฐ Washington โดยใช้เตาปฏิกรณ์ที่ออกแบบโดย X-energy
ทั้งนี้ Greg Cullen รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายบริการพลังงานและการพัฒนาจาก Energy Northwest กล่าวว่า บริษัทร่วมมือกับสตาร์ทอัพแห่งนี้ครั้งแรกเมื่อปี 2020 หลังจากที่รัฐ Washington ผ่านกฎหมาย Clean Energy Transformation Act ที่กำหนดให้รัฐต้องเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด 100% ภายในปี 2045
Cullen คาดหวังว่าโครงการโรงไฟฟ้าใน Washington จะพร้อมเปิดดำเนินการในช่วงต้นทศวรรษที่ 2030 ภายใต้ส่วนหนึ่งของข้อตกลง Amazon มีสิทธิ์ซื้อไฟฟ้าจากเครื่องปฏิกรณ์ 4 โมดูลแรกคิดเป็นประมาณ 320 เมกะวัตต์ ขณะที่ Energy Northwest สามารถเลือกสร้างเตาปฏิกรณ์ได้เพิ่มเติมสูงสุดอีก 8 โมดูล คิดเป็นกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 960 เมกะวัตต์
จากข้อตกลงที่ Amazon จับมือกับ X-energy ทั้งสองบริษัทคาดว่าจะสร้างโรงไฟฟ้ากำลังการผลิต 5 กิกะวัตต์ในช่วง 15 ปีข้างหน้า ซึ่งรวมถึงโครงการที่ร่วมมือกับ Energy Northwest ทั้งนี้ Sell จาก X-energy กล่าวว่า การผลิตไฟฟ้าในปริมาณดังกล่าวหมายถึงบริษัทต้องสร้างโรงไฟฟ้า 4-5 แห่ง โดยที่แต่ละแห่งมีขนาดใกล้เคียงกับโครงการของ Energy Northwest ในพื้นที่ที่มีการกระจุกตัวของศูนย์ปฏิบัติการข้อมูล เช่น Virginia หรือ Pennsylvania
นอกจากนี้ Amazon กำลังประเมินทางเลือกที่จะพึ่งพาไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่มีอยู่เดิมเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลของตนเช่นกัน เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2024 AWS ตกลงซื้อศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลขนาด 960 เมกะวัตต์ในรัฐ Pennsylvania จาก Talen Energy มูลค่า 650 ล้านเหรียญ ภายใต้ส่วนหนึ่งของข้อตกลง AWS จะซื้อไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ด้วยราคาคงที่จากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Susquehanna ของ Talen ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 6 ในสหรัฐฯ
ขณะที่ Amazon และบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ กำลังพิจารณาที่จะพึ่งพาไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบดั้งเดิม แต่เทคโนโลยีใหม่อย่าง SMR มีความยืดหยุ่นมากกว่า “เรามองว่าเรื่องนี้ไม่ใช่การดำเนินการที่จะจบในครั้งเดียว” Garman กล่าว “และนี่เป็นแนวคิดส่วนหนึ่งของ SMR ที่จะสามารถสร้างและติดตั้งได้ทุกที่ทั่วโลกที่คุณต้องการ”
เรื่อง: Amy Feldman เรียบเรียง: นวตา สันติวัฒนา
ภาพ: Josh Edelson for AWS
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Scott Wu ผู้ทำลายวงการเขียนโค้ด
