<h2>สร้างความฮือฮาให้แก่เหล่าบรรดานักลงทุน หลังบริษัท Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett ได้เทขายหุ้นล็อตใหญ่ของ Apple ออกมาอีกระลอกเป็นจำนวน 49.4% ส่งผลให้บริษัทนี้ทุบสถิติใหม่ในการถือครองเงินสดราวๆ 2.77 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวน่จะเป็นผลมาจากสไตล์การลงทุนของ Buffet ที่ไม่ต้องการให้หุ้นตัวใดตัวหนึ่งมีสัดส่วนในพอร์ตใหญ่มากเกินไป </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คลิปโฆษณา “The Underdogs: OOO (Out Of Office)⁣ ของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จากอเมริกาอย่าง Apple ต้องเจอกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเรื่องความเหมาะสมในการนำเสนอมุมมองที่ผิดเพี้ยนต่อประเทศไทยซึ่งใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำโฆษณาดังกล่าว&nbsp; ส่งผลให้ 2 สิงหาคม 2567 บริษัท Apple ได้ตัดสินใจลบคลิปวิดีโอพร้อมแถลงการณ์ขอโทษจากประเด็นดราม่าที่ร้อนแรงดังกล่าวในทันที​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/08/ASm5ZJXoW64525tpFFcE.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="ASm5ZJXoW64525tpFFcE.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หนึ่งวันถัดมา 3 สิงหาคม 2567 ก็มีกระแสข่าว่าบริษัท Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett (วอร์เรน บัฟเฟตต์) นักลงทุนมือฉมังระดับตำนานวัย 93 ปี ได้ตัดสินใจขายหุ้น Apple ทิ้งเกือบครึ่งหนึ่งที่มีอยู่ในพอร์ตถึง 49.4% จึงทำให้เหล่าบรรดานักลงทุนต่างจับตาว่าการตัดสินใจขายหุ้นครั้งนี้จะมีผลต่อหุ้น Apple หรือไม่ และเหล่าบรรดาชาวโซเชียลในไทยเองต่างก็สงสัยว่าทั้งสองเหตุการณ์นี้จะมีความเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า ซึ่งโดยปกติแล้ว Warren Buffett จะเน้นบริหารการเงินในรูปแบบการลงทุนระยะยาวและไม่ต้องการให้หุ้นตัวใดตัวหนึ่งมีสัดส่วนในพอร์ตใหญ่มากเกินไป โดยหลังจากขายหุ้น Apple ล่าสุดในล็อตนี้ไป บริษัทของเชามีกระแสเงินสดอยู่ในมือสูงถึง 2.77 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำนักข่าว CNBC ยังรายงานข้อมูลด้วยว่า Berkshire Hathaway คือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของ Apple Inc. โดยถือหุ้น Apple มูลค่า 8.42 หมื่นล้านเหรียญ และได้ขายหุ้น Apple ออกไปในไตรมาสแรกจำนวน 13% โดยให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องของภาษีหลังจากนั้นจึงได้เทขายหุ้นล็อตใหญ่ล่าสุดอีกครั้งในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาเป็นจำนวน 49.4% ถือเป็นการทุบสถิติใหม่ของเงินสดสำรองที่เพิ่มขึ้นเป็น 2.77 แสนล้านเหรียญ ตามที่กล่าวมาในข้างต้น และถึงแม้ว่าจะเทขายหุ้นออกมาเป็นจำนวนมากแล้วก็ตาม Berkshire Hathaway ก็ยังมีสัดส่วนหุ้น Apple อยู่ในพอร์ตมากที่สุดอยู่ดี​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/08/iboz2xMBzjzrU6WwjEFu.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="1" data-file-name="iboz2xMBzjzrU6WwjEFu.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตว่า การเทขายหุ้น Apple ในปีนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นของ Berkshire ในระยะยาว หากรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการเพิ่มภาษีจากกำไรจากการขายหุ้นในอนาคต เพื่ออุดช่องว่างงบประมาณที่ขาดดุล แต่เมื่อดูสัดส่วนของการขายครั้งนี้ก็อาจบ่งชี้ว่าได้ว่าน่าจะเป็นมากกว่าแค่เรื่องภาษีจริงๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ความเคลื่อนไหวด้านราคาหุ้นของ Apple นั้น ความกังวลว่าบริษัทจะล้าหลังในด้านนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือ AI ส่งผลให้ราคาหุ้นร่วงลงในไตรมาสแรก หลังจากนั้นจึงพุ่งขึ้นในไตรมาสที่ 2 โดยเพิ่มขึ้น 23% สู่ระดับที่ทุบสถิติใหม่ เนื่องจากผู้ลงทุนได้รับข้อมูลมากขึ้นเกี่ยวกับอนาคตของ AI&nbsp; แปลและเรียบเรียงจากบทความ: <a href="https://www.cnbc.com/2024/08/03/warren-buffetts-berkshire-hathaway-sold-nearly-half-its-stake-in-apple.html" alt="Warren Buffett’s Berkshire Hathaway sold nearly half its stake in Apple">Warren Buffett’s Berkshire Hathaway sold nearly half its stake in Apple</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/other/fti-herbs-factories-are-under-standard" alt="อุตสาหกรรมสมุนไพรไทยวิกฤต! ส.อ.ท. เผยโรงงาน 500 แห่งยังไม่ผ่านมาตรฐาน เสี่ยงถูกปิดตัว"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/motoring/scbeic-ev-motor-thailand-2024" alt="SCB EIC เผยตลาดรถยนต์ไทยแข่ง ‘หั่นราคา’ แม้ EV ใช้แล้วราคาร่วงแรง แต่ค่าใช้จ่ายรวมฯ ยังถูกกว่า">SCB EIC เผยตลาดรถยนต์ไทยแข่ง ‘หั่นราคา’ แม้ EV ใช้แล้วราคาร่วงแรง แต่ค่าใช้จ่ายรวมฯ ยังถูกกว่า</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

บริษัท Berkshire ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ทุบสถิติใหม่ถือเงินสด 2.77 แสนล้านเหรียญ หลังเทขายหุ้น Apple 49% 

<h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ออมเดีย (Omdia) ได้เผยแพร่รายงานสำรวจแนวโน้มตลาดยานยนต์ฉบับล่าสุด โดยคาดการณ์เอาไว้ว่า รถยนต์อัจฉริยะ (connected car) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 18% ในปี 2566 ขณะที่ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่างกูเกิล (Google) และแอปเปิ้ล (Apple) กำลังวางแผนทำรายได้จากตลาดดังกล่าวในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า </h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลการวิจัยของออมเดียยังเผยให้เห็นว่า รถยนต์อัจฉริยะกว่า 900 ล้านคันจะออกสู่ท้องถนนในช่วงต้นทศวรรษหน้า มากกว่าจำนวนอุปกรณ์ที่ผู้บริโภคยังใช้งานอยู่อย่างกล่องรับสัญญาณโทรทัศน์และแท็บเล็ต ยานพาหนะเหล่านี้จะประกอบด้วยหน้าจอจำนวนมากบริเวณด้านหน้าและด้านหลังของห้องโดยสาร ซึ่งมีขนาดกว้างขึ้นทุกปีเพื่อรองรับบริการวิดีโอและเกม &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่างกูเกิลและแอปเปิ้ล มีแผนขยับขึ้นเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในวงการยานยนต์เนื่องจากมีข้อได้เปรียบด้านโซลูชันซอฟต์แวร์ภายในรถ อย่างที่เคยปรากฏให้เห็นกับผลิตภัณฑ์กลุ่มอื่นๆ ขณะที่อเมซอน (Amazon) กำลังนำโซลูชันความบันเทิงยอดนิยมอย่างไฟร์ ทีวี (Fire TV) มาไว้ในยานยนต์ด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ผู้รับจ้างผลิตรถยนต์ (OEM) จึงกำลังพัฒนาโซลูชันซอฟต์แวร์ของตนเอง เพื่อให้ผู้ขับขี่ยังคงอยู่ในระบบนิเวศของตนเอง ทำให้พวกเขาควบคุมประสบการณ์ของผู้บริโภคทั้งหมดได้ทั้งในตัวรถและผ่านซอฟต์แวร์ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า การจำหน่ายรถยนต์ทั้งหมดจะมีการเชื่อมต่อเป็นคุณสมบัติมาตรฐาน ที่ช่วยให้ใช้บริการและสมัครสมาชิกภายในห้องโดยสารรถยนต์ได้ ขณะที่อุตสาหกรรมกำลังมุ่งความสนใจไปที่การสร้างรายได้ซ้ำผ่านธุรกิจรูปแบบใหม่ นอกจากนี้ กลยุทธ์การสร้างรายได้ที่มีอยู่ยังเน้นไปที่การสมัครสมาชิกเสริม ไม่ว่าจะเป็นบริการเกมบนคลาวด์ไปจนถึงระบบอุ่นที่นั่ง หรือแม้แต่ตัวรถเอง &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เดวิด เท็ตต์ (David Tett) นักวิเคราะห์หลักของออมเดีย พูดถึงแนวโน้มของตลาดว่า "ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับความเต็มใจของผู้บริโภคในการจ่ายเงินเพิ่มเพื่อรับบริการเสริมในรถยนต์ยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาคำนึงถึงความคุ้มค่าระหว่างการเดินทางในแต่ละครั้งซึ่งคิดเป็นระยะเวลาเฉลี่ยเพียง 15-30 นาที อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นการยากในการสร้างรายได้จากบริการเหล่านี้ แต่คาดว่าบริการรูปแบบนี้จะเปิดโอกาสเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งหมายความว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจำนวนมากกำลังมองธุรกิจยานยนต์เป็นพื้นที่สำคัญสำหรับการเติบโตในอนาคต" <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 100%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 100%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/YnpNyW76rhWb2f1SLvcZ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="YnpNyW76rhWb2f1SLvcZ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="100%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="100," style="width: 100%;" data-index="0" origin-size="598,321"></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/70766" alt="GenAI จะยกระดับชั้นเชิงของผู้โจมตีอย่างแน่นอน แล้วคุณจะตอบสนองอย่างไร?">GenAI จะยกระดับชั้นเชิงของผู้โจมตีอย่างแน่นอน แล้วคุณจะตอบสนองอย่างไร?</a> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

ปี 66 รถยนต์อัจฉริยะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 18% ขณะที่ยักษ์ใหญ่เทคฯ Google-Apple เล็งทำรายได้จากตลาด

<h2>Forbes Global 2000 ครั้งที่ 20 ประจำปี 2022 จัดอันดับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ที่สุดของโลก จากการประเมินสินทรัพย์ มูลค่าตลาด รายได้ และกำไร </h2>
<figure><img class="wp-image-62663" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/DpVvh9lX4AAC2TZ-1024x538.jpg" alt="10 บริษัทสหรัฐฯ Global 2000" width="720" height="378" /><figcaption> Warren Buffet ซีอีโอ Berkshire Hathaway</figcaption></figure>

ท่ามกลางสภาวะที่มีความผันผวน ความไม่แน่นอน ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ อันเนื่องมาจากการระบาดใหญ่ทั่วโลกและความขัดแย้งระหว่างประเทศ บริษัทหลายแห่งในสหรัฐอเมริกายังคงรักษาอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องได้เนื่องเป็นอย่างดี นำโดย Berkshire Hathaway ของมหาเศรษฐี Warren Buffet วัย 91 ปีและ Charlie Munger วัย 98 ปี ซึ่งกวาดกำไรกว่า 9 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนมากถึงร้อยละ 53 แซงหน้า JPMorgan Chase ของ Jamie Dimon ขึ้นแท่น “บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ที่สุดของโลก”

ด้าน JPMorgan Chase รั้งอันดับ 2 ของบริษัทสหรัฐฯ และอันดับ 4 ในทำเนียบ Global 2000 รองจาก ICBC และ Saudi Aramco หลังมูลค่าหู้นปรับตัวลงกว่าร้อยละ 15 ในปีนี้ กระทั่งปิดที่ 126.81 เหรียญในวันที่ 22 เมษายน

ตามมาด้วย Amazon ซึ่งขึ้นมาครองอันดับ 3 จากอันดับ 5 ในปีก่อน และอันดับ 13 ในปี 2020 โดยได้รับอานิสงส์จากการช็อปปิ้งออนไลน์ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยรายได้ที่เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 22 อยู่ที่ประมาณ 4.7 แสนล้านเหรียญ นำโดยหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ยอดนิยมจำพวกสินค้าตกแต่งบ้าน ความงาม และงานอดิเรก

ด้าน Apple, Bank of America, Alphabet, Microsoft และ Wells Fargo ยังคงเป็นหนึ่งใน 10 บริษัทมหาชนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ขณะที่ Walmart ผู้ค้าปลีกยักษ์ใหญ่ตกจากอันดับ 9 มาอยู่ที่อันดับ 13 แต่ยังคงครองอันดับ 1 ในด้านยอดขายทั่วโลก เช่นเดียวกับ Citigroup ที่ร่วงจากอันดับ 8 มาอยู่ที่อันดับ 15 หลังถูกแทนที่โดย ExxonMobil ผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซและ Verizon ผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สาย

<img class="alignnone wp-image-62671" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/Global-2000-US-COM.jpg" alt="" width="720" height="418" />

สำหรับการกลับมาทวงคืนตำแหน่งของ ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ในอันดับ 8 ประจำปีนี้ ได้รับอานิสงส์มาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 57 จากปีก่อน สู่ระดับ 2.8 หมื่นล้านเหรียญ หลังขาดทุนกว่า 2.2 หมื่นล้านเหรียญในปี 2021 ซึ่งในปีนี้สามารถชดเชยด้วยกำไรกว่า 2.3 หมื่นล้านเหรียญเป็นที่เรียบร้อย

ในขณะที่กลุ่มบริษัทโทรคมนาคม AT&amp;T ยังคงประสบชะตากรรมที่คล้ายคลึงกับในปีที่ผ่านมา โดยตกลงจากอันดับ 5 มาอยู่ที่อันดับ 106 ในทำเนียบปีนี้ ทว่าคู่แข่งหลักอย่าง Verizon ยังคงสามารถผลงานได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยรายได้ที่เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 5 เป็น 1.34 แสนล้านเหรียญประกอบกับสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นราวร้อยละ 16 จากปีก่อน 

“เรายังคงมองว่าเศรษฐกิจทั่วโลกจะฟื้นตัวได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยก็ในระยะสั้นอันใกล้นี้” Jamie Dimon แห่ง JPMorgan กล่าวระหว่างรายงานผลประกอบการประจำปี “งบดุลของผู้บริโภคและธุรกิจ รวมถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ท่ามกลางความท้าทายทางการเมืองและเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ปัญหาห่วงโซ่อุปทาน และสงครามในยูเครน”

พบกับ 10 บริษัทสหรัฐฯ จากการจัดอันดับ Global 2000 ประจำปี 2022 ณ วันที่ 22 เมษายน 2022

<img class="alignnone size-full wp-image-62674" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/BH.png" alt="" width="300" height="250" />

อันดับ 1

Berkshire Hathaway Inc. Class B

รายได้: 2.76 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ

กำไร: 8.98 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ

สินทรัพย์: 9.58 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

มูลค่าตลาด: 7.41 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

<img class="alignnone size-full wp-image-62675" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/JP.png" alt="" width="300" height="250" />

อันดับ 4

JPMorgan Chase &amp; Co.

รายได้: 1.24 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

กำไร: 4.21 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ 

สินทรัพย์: 3.95 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ 

มูลค่าตลาด: 3.74 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

<img class="alignnone size-full wp-image-62676" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/Amazon.com-Inc_.png" alt="" width="300" height="250" />

อันดับ 6

Amazon.com, Inc.

รายได้: 4.69 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

กำไร: 3.33 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ 

สินทรัพย์: 4.20 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

มูลค่าตลาด: 1.46 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ 

<img class="alignnone size-full wp-image-62677" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/Apple-Inc_.png" alt="" width="300" height="250" />

อันดับ 7

Apple Inc.

รายได้: 3.78 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

กำไร: 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

สินทรัพย์: 3.81 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

มูลค่าตลาด: 2.64 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ 

<img class="alignnone size-full wp-image-62678" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/Untitled-1.png" alt="" width="300" height="250" />

อันดับ 9

Bank of America Corporation

รายได้: 9.68 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ 

กำไร: 3.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ 

สินทรัพย์: 3.23 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ 

มูลค่าตลาด: 3.03 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ

<img class="alignnone wp-image-62679 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/Alphabet.png" alt="10 บริษัทสหรัฐฯ Global 2000" width="300" height="250" />

อันดับ 11

Alphabet Inc. Class A

รายได้: 2.57 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

กำไร: 7.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ 

สินทรัพย์: 3.59 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

มูลค่าตลาด: 1.58 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ

<img class="alignnone wp-image-62680 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/Microsoft-Corporation.png" alt="10 บริษัทสหรัฐฯ Global 2000" width="300" height="250" />

อันดับ 12 

Microsoft Corporation

รายได้: 1.84 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

กำไร: 7.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ 

สินทรัพย์: 3.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

มูลค่าตลาด: 2.05 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ

<img class="alignnone wp-image-62681 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/Exxon-Mobil-Corporation.png" alt="10 บริษัทสหรัฐฯ Global 2000" width="300" height="250" />

อันดับ 15 

Exxon Mobil Corporation

รายได้: 2.8 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

กำไร: 2.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ 

สินทรัพย์: 3.38 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

มูลค่าตลาด: 3.59 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

<img class="alignnone wp-image-62682 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/Wells-Fargo-Company.png" alt="10 บริษัทสหรัฐฯ Global 2000" width="300" height="250" />

อันดับ 18 

Wells Fargo &amp; Company

รายได้: 8.41 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ 

กำไร: 2.05 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ 

สินทรัพย์: 1.93 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ 

มูลค่าตลาด: 1.76 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ

<img class="alignnone wp-image-62683 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/05/Verizon-Communications-Inc_.png" alt="10 บริษัทสหรัฐฯ Global 2000" width="300" height="250" />

อันดับ 19 

Verizon Communications Inc.

รายได้: 1.34 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

กำไร: 2.15 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ 

สินทรัพย์: 3.66 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

มูลค่าตลาด: 2.18 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ

แปลและเรียบเรียงจากบทความ Global 2000: Berkshire Hathaway Takes Down JPMorgan As America’s Largest Company โดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม:<a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/europe/30-under-30-europe-2022-หนุ่มสาวดาวรุ่งจา.html"> “30 Under 30 Europe 2022” หนุ่มสาวดาวรุ่งจากอุตสาหกรรมค้าปลีกและอี-คอมเมิร์ซ</a>
<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a style="color: #003300;" href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

10 บริษัทสหรัฐฯ จากการจัดอันดับ Global 2000 ประจำปี 2022

<h2>ปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข หนึ่งในสาวกคอมพิวเตอร์ของ Apple ที่ขณะนั้นยังไม่ติดตลาดแบบปัจจุบัน บวกกับจังหวะที่บริษัทอเมริกันแห่งนี้มองหาพันธมิตรช่วยขยายสินค้าในตลาดค้าปลีกในไทย จึงเป็นโอกาสสบช่องเปิด iStudio และเปิดร้าน .Life เพิ่มต่อมา</h2>
ราว 19 ปี ที่แล้ว ปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข ในวัย 30 กว่าๆ นั่งมองดูผู้คนเดินไปมาอยู่ ณ บริเวณสยาม แหล่งช็อปปิ้ง ชั้นนำของเมืองไทย จากนั้นไม่นาน เขากระโดดขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอสซึ่งเปิดบริการได้เพียงปีเดียวและมีจำนวนผู้โดยสารใช้เดินทางไม่มาก เขามุ่งหน้าสู่เส้นทางสุขุมวิท พร้อมกวาดสายตามองภูมิทัศน์แนวรถไฟฟ้าสองข้างทางอย่างครุ่นคิด เหมือนกำลังหาคำตอบอะไรสักอย่าง

เขาทำพฤติกรรมแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนวันหนึ่ง ก็ได้ให้คำตอบให้กับตัวเองว่า การเปลี่ยนแปลงทางภูมิทัศน์ในใจกลางเมืองหลวง โดยเฉพาะการผุดขึ้นของศูนย์การค้าหลายแห่ง จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของ “ไลฟ์สไตล์” ของผู้บริโภคอย่างสิ้นเชิง

เมื่อได้คำตอบเช่นนั้นและเชื่อมั่นว่าสินค้าคอมพิวเตอร์จะทวีบทบาทสำคัญในอนาคต เขาจึงตัดสินใจเปิดร้าน Apple Centre ขนาด 56 ตารางเมตร ที่สยามดิสคัฟเวอรี่ ในปี 2540 ร่วมกับเพื่อนๆ อีก 4 คน ลงขันคนละ 1 ล้านบาท หลังจากที่มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งบอกว่า Apple กำลังมองหาพันธมิตรในไทย เพื่อเปิดตลาดค้าปลีกด้วยความที่เป็นคนรักและรอบรู้เรื่องของคอมพิวเตอร์ Apple อย่างลึกซึ้งคนหนึ่ง

“ผมนั่งดูคนที่สยามและนั่งรถไฟฟ้าตลอดวัน ผมเชื่อว่าไลฟ์สไตล์คนเปลี่ยนแน่นอน คนน่าจะมาช็อปปิ้งที่ไลฟ์สไตล์มอลล์มากกว่าไอทีมอลล์ ผม follow ลูกค้าว่า เขาใช้ชีวิตอย่างไร” ปรเมศร์ ที่ปัจจุบัน อายุ 52 ปี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคอปเปอร์ ไวร์ด จำกัด (มหาชน) (CPW) เจ้าของร้าน iStudio และ .Life (ดอทไลฟ์) กล่าว

ส่วนหนึ่งของความสำเร็จคือการที่ปรเมศร์ยินดีให้คำปรึกษาทุกอย่างเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ Apple อย่างเป็นมิตร บางครั้งถึงกับยอมสละเวลาไปบ้านผู้ใช้งานด้วยตนเองเพื่อช่วยแก้ปัญหา ซึ่งต่อมาคนกลุ่มนี้ได้มาเป็นลูกค้ากับร้านของเขา เมื่อนานเข้า กลุ่มคนใช้คอมพิวเตอร์ Apple ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เป็นเหมือน “ชุมชน” เล็กๆ ที่ปรเมศร์มองว่านี่เป็นโอกาสสำหรับธุรกิจในอนาคต

“10 ปีแรกลำบากมาก ไม่มีเงินเยอะไม่ได้ขอพ่อแม่...เงินที่ได้ก็มาลงทุนต่อธุรกิจเป็น 10 ปี มีเงินเท่าไรก็ลงทุนต่อ ปันผลน้อยมาก คนบริหารและคนลงทุนก็เหนื่อยเป็น 10 ปีแล้ว ขายเป็น 100 ล้านไม่ได้จับเงิน” เขาพูดพลางพร้อมหัวเราะ

<img class="alignnone size-full wp-image-26910" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/02/life.jpg" alt="" width="600" height="415" />

ปัจจุบัน CPW มีร้านค้าปลีกจำนวน 40 สาขา ได้แก่ร้าน .Life 20 สาขา เป็นศูนย์รวมสินค้ากลุ่มดิจิทัลไลฟ์สไตล์ มีสินค้ามากกว่า 2,000 รายการ ภายใต้แบรนด์จากทั่วโลกกว่า 200 ราย และ Apple brand shop รวม 15 สาขา ภายใต้แบรนด์ iStudio by copperwired ร้าน Ai_ และ U-Store by copperwired รวมทั้งมีศูนย์บริการซ่อมภายใต้แบรนด์ iServe 5 สาขา

ยังอยู่แค่ “ตีนเขา”

ปรเมศร์บอกว่ามีคนถามมากว่าบริษัทจะโตไปถึงไหน แต่เขาก็บอกว่าไม่เคยมีเป้าเป็นพันล้านหรือเพิ่มจำนวนร้านเป็นเท่าไรเพราะต้องการจะทำวันนี้ให้ “ดีที่สุด” เพื่อให้ผลออกมาดีที่สุด และผลนั้นก็จะเป็นตัวกำหนดอนาคตต่อไป และถ้ามี “โอกาส” ให้โตก็จะโต

อย่างไรก็ตาม ปรเมศร์บอกว่า อนาคตของบริษัทยังสดใส ณ ขณะนี้ธุรกิจยังอยู่ที่แค่ระดับ “ตีนเขา” เนื่องจากยังมีโอกาสการเติบโตอีกมากมาย ตามการเปลี่ยนแปลงของประเทศ ที่กำลังจะเข้าสู่ยุคดิจิทัลรวมถึงประเทศไทยจะก้าวสู่เทคโนโลยีด้วยเทคโนโลยี 5G นอกจากนี้ ยังไม่นับรวมการอุบัติขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ๆ จาก IoT และ AI และนี่คือ โอกาสของตลาดสินค้าดิจิทัลไลฟ์สไตล์อย่าง .Life และร้าน iStudio by copperwired

“ที่บอกว่าธุรกิจอยู่ตีนเขา เป็นเพราะคนยังไม่รู้จักเทคโนโลยีอีกมาก สินค้าเดี๋ยวนี้มีทั้งเพื่อการกีฬา สุขภาพ การดูแลบ้าน...อย่างตอนนี้ธุรกิจต่อเนื่อง IoT ยังมีน้อยมากและมือถือเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง”

<img class="alignnone wp-image-26907 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/02/ผลประกอบการ-คอปเปอร์-ไวดด์.jpg" alt="ปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข " width="600" height="367" />

ดังนั้น ณ เวลานี้ ปรเมศร์จึงวุ่นวายกับการสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าได้ประทับใจกับร้าน iStudio by copperwired และ .Life ให้มากที่สุด โดยใส่ใจทุกรายละเอียดไม่ว่าจะการดีไซน์ การจัดแสงในร้าน หรือการโซนนิ่งสินค้า รวมถึงพนักงาน ที่เขาเน้นควบคู่กันไป พวกเขาต้องมีคุณสมบัติจิตใจรักบริการ มีความรู้เกี่ยวกับสินค้านั้นๆ และมีการสื่อสารกับลูกค้าในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปัจจุบันบริษัทมีพนักงานราว 320 คนไม่เพียงพนักงาน ตัวของปรเมศร์เองก็ต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน ดังนั้นเขาจะตื่นแต่เช้าเพื่ออ่านข่าว ติดตามข่าวสารเทคโนโลยีใหม่ๆ จากทั่วโลก พร้อมกับเปรยว่า ไม่อยากแก่แล้วแก่เลย ทุกวันนี้เขาสนุกกับงานมาก แยกไม่ออกว่างานหรืองานอดิเรก เพราะเป็นงานที่ชอบและรัก “ผมทำอะไร ผมจะรักในสิ่งที่ทำ แต่ถ้าเราได้ทำในสิ่งที่เรารักด้วย สองอย่างรวมกัน มันมีความสุข” เขากล่าวทิ้งท้าย อย่างยิ้มๆ

ภาพ: จันทร์กลาง กันทอง

<hr />

<a href="https://bit.ly/39j1ZrV">คลิกอ่านฉบับเต็ม "ปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข ผู้ไม่เคยหยุดฝัน ปั้น CPW" ได้ที่ นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับมกราคม 2563 ได้รูปแบบ e-magazine</a>

<img class="alignnone wp-image-25422" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/12/FB080-EBOOK-RES150_Page_001.jpg" alt="" width="300" height="394" />

ปรเมศร์ เหรียญเจริญสุข ผู้ไม่เคยหยุดฝัน ปั้น CPW

<h2 class="p1">Apple ประกาศเปิดตัว Mac Pro รุ่นใหม่ ในงาน Worldwide Developers Conference เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (ตามเวลาท้องถิ่น) กับการก้าวไปสู่อนาคตที่หวังพึ่งพา iPhone น้อยลง</h2>
โดย Mac Pro รุ่นใหม่ นั้นมีดีไซน์แบบทาวเวอร์ มีราคาเริ่มต้นที่ 5,999 เหรียญ ขณะที่จอรุ่นใหม่อย่าง Pro Display XDR มีราคาอยู่ที่ 4,999 ส่วนขาตั้งจอ Pro Stand มีราคาอยู่ที่ 999 เหรียญ ซึ่งรวมทุกอย่างด้วยกันแล้ว จะทำให้ Mac ที่ทรงพลังที่สุดในปัจจุบันจะมีราคาราว 12,000 เหรียญ
Mac Pro รุ่นใหม่สีเงินวาวที่มองภายนอกเหมือนเครื่องขูดชีสนี้ คือกลยุทธ์ของ Apple ที่ใช้สู้กับตลาด iPhone ที่หดตัวลง โดยเฉพาะในประเทศจีน หลังยอดขายสมาร์ทโฟนของ Apple ในช่วงต้นปี 2019 ที่สิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา ลดลง 17%  ซึ่งทำให้รายได้ของ Apple ลดลง 5% มาอยู่ที่ 5.8 หมื่นล้านเหรียญ

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/it/%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%AF-%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87-apple.html">หุ้นสหรัฐฯ ร่วง หลัง Apple หั่นเป้ารายได้ เหตุยอดขาย iPhone ในจีนลด สะท้อนเศรษฐกิจโลกชะลอตัว</a></li>
</ul>
โดย Apple ได้แต่หวังว่าตลาดใหญ่อย่างจีนจะดีขึ้นอีกครั้ง หลังชะลอตัวต่อเนื่องใน 2 ไตรมาสที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มมากขึ้น บริษัทฯ จึงจำเป็นต้องหาขุมพลังใหม่มาใช้ผลักดันการเติบโตของยอดขาย ซึ่งหนึ่งในความหวังของ Apple คือ Mac Pro ตัวใหม่ที่คาดว่าจะวางขายในฤดูใบไม้ร่วงนี้


<figure><img class="wp-image-8443 " src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/apple03.jpg" alt="" width="748" height="420" /><figcaption> Mac Pro รุ่นใหม่ พร้อมจอ Pro Display XDR และขาตั้งจอรุ่นใหม่</figcaption></figure>
หนึ่งในสิ่งที่ Apple จะพูดถึงทุกครั้งในงาน WWDC คือเวอร์ชั่นใหม่ของระบบปฏิบัติการ iOS ที่ใช้สำหรับโทรศัพท์มือถือ ซึ่งครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน โดยระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่คือ iOS 13 จะช่วยให้การเข้าแอพพลิเคชั่นเร็วขึ้น 2 เท่า และสามารถปลดล็อคด้วย Face ID เร็วขึ้น 30% เพิ่มหมวด Dark Mode ปรับปรุง Photos และ Maps ให้สวยงามและอัจฉริยะมากขึ้น เป็นต้น
นอกจากนี้ Apple ยังเปิดตัวระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่สำหรับคอมพิวเตอร์ Mac อย่าง macOS Catalina และระบบปฏิบัติการใหม่ที่ใช้สำหรับ iPad เท่านั้น
นอกเหนือไปจากการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบปฏิบัติการแล้ว Apple ยังเปิดตัวระบบรักษาความปลอดภัยที่เรียกว่า Sign in with Apple ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถใช้ Apple ID ลงชื่อเข้าใช้งานเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่นต่างๆ ได้อย่างปลอดภัย


<figure><img class=" wp-image-8442" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/06/apple02.jpg" alt="" width="739" height="504" /><figcaption> โฉมหน้าระบบปฏิบัติการ iOS 13</figcaption></figure>
ขณะเดียวกัน Apple ยังเปิดตัว HomeKit Secure Video ที่วิดีโอจากกล้องวงจรปิดจะไม่อัพขึ้นระบบคลาวด์โดยตรง แต่เชื่อมต่อผ่านคอมพิวเตอร์อื่นเช่น tvOS เพื่อเข้ารหัสวิดีโอไว้ล่วงหน้าก่อนจะอัพโหลดวิดีโอขึ้น iCloud
Apple ยังเปิดตัวแพลตฟอร์ม AR ใหม่อย่าง ARKit 3.0 ที่ผู้ใช้งานสามารถเข้าสู่เกม AR อย่าง Minecraft Earth ด้วย iPhone ทั้งนี้ สำหรับเทคโนโลยี AR เป็นสิ่งที่ Apple ให้ความสำคัญในอนาคต ซึ่ง Tim Cook ซีอีโอของ Apple เคยให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2017 ว่า แนวโน้มสำคัญสำหรับ iPhone ก็คือเทคโนโลยี AR
นอกจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์และฟีเจอร์ใหม่ๆ แล้ว Apple ยังประกาศปิดฉาก iTunes โดยแยกออกมาเป็น 3 แอพพลิเคชั่น คือ Apple Music, Apple TV และ Apple Podcasts เพื่อปรับให้เข้ากับการฟังเพลง และพฤติกรรมการดูโทรทัศน์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยผู้ใช้ยังสามารถจ่ายเงินและดาวน์โหลดเพลงผ่านแอพพลิเคชั่น Music รวมถึงซื้อหนังและดาวน์โหลดรายการทีวีผ่านแอพพลิเคชั่น Apple TV
อย่างไรก็ตาม จากที่สื่อหลายสำนักรายงานว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา เตรียมตรวจสอบบริษัทยักษ์ใหญ่ทางเทคโนโลยีอย่าง Apple, Google, Facebook และ Amazon ว่าผูกขาดทางการค้าจริงหรือไม่ ส่งผลให้หุ้นของ Apple ปิดตลาดด้วยการลดลง 1%
&nbsp;

&nbsp;

แปลและเรียบเรียงโดย กนกวรรณ มากเมฆ / Online Content Creator

&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://asia.nikkei.com/Business/Companies/Apple-unveils-6-000-new-Mac-Pro-as-it-reduces-iPhone-dependence">Apple unveils $6,000 new Mac Pro, as it reduces iPhone dependence</a></li>
 	<li><a href="https://edition.cnn.com/2019/06/03/tech/itunes-apple-wwdc/index.html">RIP iTunes as we know it. Apple breaks up iconic music platform</a></li>
</ul>

Apple เปิดตัว Mac Pro รุ่นใหม่ กับการก้าวไปสู่อนาคตที่หวังพึ่งพา iPhone น้อยลง

<h2 class="p1">Apple Inc บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของโลก ปรับลดคาดการณ์รายได้ในไตรมาสเเรกของบริษัทปีนี้ ด้วยยอดขาย iPhone ที่ลดลงอย่างมากในจีน สะท้อนภาพรวมทางเศรษฐกิจโลกที่เริ่มชะลอตัว จากความไม่แน่นอนของสงครามการค้าระหว่างจีนเเละสหรัฐฯ</h2>
ความเคลื่อนไหวของ Apple ครั้งนี้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นในสหรัฐฯ ปิดร่วงตามตลาดโลกในการซื้อขายเมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา โดยหุ้นของ Apple ปิดตลาดร่วงหนักเกือบร้อยละ 10 ที่ 142.19 เหรียญต่อหุ้น หลังบริษัทเพิ่งประกาศปรับลดคาดการณ์รายได้ประจำไตรมาสแรกของปีงบการเงิน 2019 ที่ 8.4 หมื่นล้านเหรียญ จากเดิมที่คาดการณ์ยอดขายไว้ที่ 8.9-9.3 หมื่นล้านเหรียญ
Tim Cook ซีอีโอของ Apple ระบุในจดหมายถึงเหล่าผู้ถือหุ้นว่า ความต้องการสินค้าของบริษัทในตลาดสำคัญของ Apple ไม่ได้เป็นอย่างที่คาดไว้ โดยเฉพาะในจีนที่มียอดขายลดลงอย่างหนัก ทั้งสินค้ากลุ่ม iPhone, Mac และ iPad สะท้อนถึงผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่กำลังดำเนินอยู่ขณะนี้
สำหรับการปรับลดรายได้ลงในช่วงที่เพิ่งสิ้นสุดไตรมาสเช่นนี้ เกิดคำถามต่อบริษัทชั้นนำของอเมริกาว่ากำลังถูกรัฐบาลจีนเเละผู้บริโภคชาวจีนลงโทษ เเล้วหันไปสนับสนุนบริษัทคู่เเข่งสัญชาติจีนอย่าง Huawei จากข้อพิพาทที่รัฐบาลของประธานาธิบดี Donald Trump เเห่งสหรัฐฯ กำลังเตรียมจะสั่งเเบนการซื้ออุปกรณ์โทรคมนาคมของ Huawei  เเละ ZTE เนื่องจากเกรงว่าอาจมีอุปกรณ์ในการจารกรรมข้อมูลชาวอเมริกัน รวมถึงประเด็นการจับกุมผู้บริหารระดับสูงซึ่งเป็นทายาทของผู้ก่อตั้ง Huawei ในแคนาดา ตามคำร้องขอของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ อีกด้วย
โดย Cook ให้สัมภาษณ์กับ<a href="https://www.cnbc.com/video/2019/01/02/apple-tim-cook-revenue-stocks.html"> CNBC</a> ว่า สินค้าของ Apple ไม่ได้เป็นเป้าหมายของรัฐบาลจีน แต่ผู้บริโภคบางคนอาจจะเลือกที่จะไม่ซื้อ iPhone หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ภายใต้เเบรนด์  Apple เนื่องจากเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน
“ปัญหาที่ใหญ่กว่าคือการที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ความตึงเครียดทางการค้าที่จะสร้างความกดดันเพิ่มขึ้น”   ซีอีโอ Apple กล่าว
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายเห็นว่า การที่บริษัทยังคงยึดหลักการที่จะขายสินค้าในราคาแพงต่อไปก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลให้มียอดขายที่ลดลงด้วย ท่ามกลางการเเข่งขันที่รุนเเรงทั้งด้านคุณภาพเเละราคาในตลาดสมาร์ทโฟน
ทั้งนี้ การส่งสัญญาณเตือนจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของโลกอย่าง Apple ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยครั้งก่อนหน้านี้คือไตรมาส 4 ของปี 2008 ในช่วงวิกฤตการเงินสหรัฐฯ
&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.reuters.com/article/us-apple-forecast/apple-cuts-sales-forecast-as-china-sales-weaken-iphone-pricing-in-focus-idUSKCN1OW1O6">Apple cuts sales forecast as China sales weaken; iPhone pricing in focus</a></li>
 	<li><a href="https://www.cnbc.com/2019/01/02/apple-warns-on-q1-results.html">Apple slashes revenue guidance, says iPhone sales are weak in China- shares tank</a></li>
</ul>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events