&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากต้นปี 2566 บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI ประกาศแผน B To The Top เปิดโครงการใหม่สูงที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท หรือ All Time Highจำนวน 20 โครงการ 22,500 ล้านบาท กระจายตัวครบทุกเซ็กเมนท์ ครอบคลุมพื้นที่ 10 จังหวัดทั่วประเทศ นับเป็นการประกาศแผนการดำเนินงานที่น่าจับตาอย่างยิ่ง ในครึ่งปีแรกบริทาเนียสามารถทำยอดขาย (พรีเซล) ไปกว่า 5,385 ล้านบาท เผยผลตอบรับตลาดบ้านจัดสรรต่างจังหวัดเป็นที่น่าพอใจ หลังส่งโครงการประเดิมแบบ “ชิมลาง” ขณะที่ครึ่งปีหลัง เตรียมบุกหนักอย่างเต็มที่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุรินทร์ สหชาติโภคานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI ผู้พัฒนาบ้านจัดสรรภายใต้แนวคิด “CRAFT a life you love” ดีที่สุดคือใช้ชีวิตในแบบที่รัก เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 บริษัทฯ สร้างยอดขายหรือพรีเซลสะสม 5,385 ล้านบาท เติบโต 8% โดยได้เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ไปแล้ว 4 โครงการ กระจายตัวใน 4 จังหวัด ได้แก่ บริทาเนีย มะลิวัลย์ (ขอนแก่น) บริทาเนีย อยุธยา (พระนครศรีอยุธยา) บริทาเนีย เทพารักษ์-ศรีนครินทร์ (สมุทรปราการ) และบริทาเนีย บางนา กม.39 (ฉะเชิงเทรา) คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมประมาณ 5,000 ล้านบาท แย้มผลตอบรับตลาดบ้านจัดสรรในต่างจังหวัดเกินความคาดหวังและเป็นที่น่าพอใจ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ครึ่งปีแรกเราเปิดโครงการใหม่จำนวนไม่มากด้วยหลากหลายเหตุผล 1.เราต้องการโฟกัสทำเลใหม่ๆ ที่บริทาเนียเข้าไปปักหมุดขยายตลาดเป็นครั้งแรก 2.ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและเติบโตได้ดีกว่าครึ่งปีแรก จากภาคธุรกิจการท่องเที่ยวฟื้นตัวเต็มที่ มีรัฐบาลใหม่เข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงอาจมีนโยบายสนับสนุนหรือมาตรการที่ช่วยกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ และ 3.ครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะไตรมาส 4 มักเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผู้บริโภคพร้อมจับจ่ายใช้สอยมากกว่าครึ่งปีแรกด้วยหลากหลายปัจจัย” สุรินทร์ กล่าว &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ครึ่งปีหลังของปี 2566 บริทาเนียเตรียมเปิดตัวบ้านจัดสรรโครงการใหม่แบบ “จัดหนักจัดเต็ม” จำนวน 16 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมกว่า 17,500 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ครบทุกแบรนด์ ทุกเซ็กเมนท์ ทุกระดับราคา ตั้งแต่ 2.5-50 ล้านบาท กระจายบุกรอบกรุง โฟกัสฝั่ง “กรุงเทพฯตะวันตก” 9 โครงการ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุรินทร์ กล่าวอีกว่า บริทาเนีย ถือเป็น “จ้าวทำเล” ของบ้านจัดสรรฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ ที่ผ่านมาโครงการได้รับการตอบรับที่ดีมาโดยตลอด และตั้งแต่มีแผนขยายไปฝั่งตะวันตกตั้งแต่ปี 2564 ก็ได้ตอบการตอบรับที่ดีอย่างล้นหลามเช่นกัน โดยผลความสำเร็จในครึ่งปีแรกของปี 2566 สามารถปิดการขาย (Sold Out) ไปได้เพิ่ม 2 โครงการ คือ โครงการแกรนด์ บริทาเนีย บางนา กม.12 และ โครงการบริทาเนีย คูคต สเตชั่น สำหรับในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ บริษัทจะกระจายบุกทุกทำเลศักยภาพ โดยเฉพาะตลาดทำเลฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/Wi63XmtNG78hcGuCi8mF.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="Wi63XmtNG78hcGuCi8mF.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="2048,1161"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราเริ่มบุกฝั่งตะวันตกมาตั้งแต่ปี 2564 ทั้งในกรุงเทพฯ และนนทบุรี เราเห็นความต้องการบ้านจัดสรรในฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกระดับราคา ทำให้เรามีแผนเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยในฝั่งตะวันตกในปีนี้ครอบคลุมครบทั้ง 4 แบรนด์ จำนวนถึง 9 โครงการ ได้แก่ 1.เบลกราเวีย นครอินทร์, 2.เบลกราเวีย พุทธมณฑล สาย 3, 3.แกรนด์ บริทาเนีย ทวีวัฒนา, 4.แกรนด์ บริทาเนีย ชัยพฤกษ์ - แจ้งวัฒนะ, 5.บริทาเนีย เวสต์เกต, 6.บริทาเนีย เมืองทอง-แจ้งวัฒนะ, 7.บริทาเนีย ราชพฤกษ์, 8.ไบรตัน ราชพฤกษ์-กาญนาภิเษก และ 9.ไบรตัน ราชพฤกษ์ 345 เชื่อว่าจะตอบโจทย์ผู้บริโภคในทุกเซ็กเมนท์ได้อย่างครบถ้วน” &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่ฝั่งอื่นๆ ของกรุงเทพฯ กระจายตัวไปฝั่งละ 1-3 โครงการ เริ่มจากฝั่งตะวันออก3 โครงการ ได้แก่ 1.บริทาเนีย บางนา-เทพารักษ์, 2.บริทาเนีย ศรีวารี, 3.บริทาเนีย สุขุมวิท-แบริ่ง ฝั่งใต้ 2 โครงการ 1.แกรนด์ บริทาเนีย วงแหวน-ประชาอุทิศ, 2.บริทาเนีย ประชาอุทิศ 90 นอกจากนี้ ยังมีบุกต่างจังหวัดเพิ่มเติมอีก 2 โครงการ คือ 1.แกรนด์ บริทาเนีย ระยอง, 2.บริทาเนีย โฮม บางนา-บางปะกง พิถีพิถัน “งานคราฟท์” กับการออกแบบสไตล์อังกฤษกับหลากทำเล &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริทาเนีย ยังคงคอนเซ็ปต์การออกแบบสไตล์อังกฤษ พิถีพิถันเลือกสไตล์สถาปัตยกรรมจากเมืองต่างๆ มาผสานเข้ากับเอกลักษณ์ของแต่ละทำเล ต่อยอดแนวคิด “CRAFT a life you love” โครงการแต่ละทำเลจึงมีองค์ประกอบที่มีส่วนโค้ง ช่องเปิด ช่องหน้าต่าง กรอบบัว เสาอาคาร ตลอดจนโทนสีที่ให้ความรู้สึกเหนือกาลเวลา นอกจากนี้ ทุกส่วนของบ้าน ยังคงตั้งใจคราฟท์บนหลักการ สร้าง Crafted Design for All Generations เพื่อให้บ้านเป็นพื้นที่ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในแบบที่รักของทุกคนในครอบครัว มีฟังก์ชันภายในบ้านที่คำนึงถึงความเป็นอยู่ที่ดี (Wellness) &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เรากระจายบุกหลายทำเลพร้อมกัน แต่ทุกทำเลจะมีจุดร่วมคือ 1.เราเลือกที่ตั้งของโครงการอย่างตั้งใจ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตทำเลนั้นๆ และการเชื่อมโยงสู่พื้นที่อื่นๆ จริงๆ 2.การออกแบบอย่างพิถีพิถัน ใส่ใจ Customer Insight และ 3.ระดับราคาที่สอดคล้องกับความต้องการของทำเล เราเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ทีมงานของเราตั้งใจศึกษาและทำการบ้าน จะสามารถเติมเต็มคุณค่าและคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง” นายสุรินทร์ กล่าว <div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/5zmXKW1fwdNXSvUWmyW4.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="5zmXKW1fwdNXSvUWmyW4.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="2048,1161"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับบริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เป็นผู้พัฒนาบ้านจัดสรรภายใต้วิสัยทัศน์ CRAFT a life you love พัฒนาทั้งบ้านเดี่ยว บ้านซีรีส์ใหม่ ทาวน์โฮม ครอบคลุมผู้บริโภคทุกเซ็กเมนท์ ภายใต้ 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ 1.เบลกราเวีย (Belgravia) บ้านเดี่ยวลักชัวรี ระดับราคา 20-50 ล้านบาท 2.แกรนด์ บริทาเนีย (Grand Britania) บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับ High-End ราคา 8-20 ล้านบาท 3.บริทาเนีย (Britania) บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ระดับ Mid-end ราคา 4-8 ล้านบาท และ 4.ไบรตัน (Brighton) บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ระดับเริ่มต้น (Entry) ราคา 2.5-4 ล้านบาท โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/2566 พัฒนาโครงการมาแล้วทั้งสิ้น 34 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการสะสม 41,456 ล้านบาท &nbsp; &nbsp; อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/70527" alt="&quot;นิรันดร์ ประวิทย์ธนา&quot; ปั้น Avantis เปิดโมเดลลงทุนอสังหาฯดิจิทัลหมื่นล้าน">"นิรันดร์ ประวิทย์ธนา" ปั้น Avantis เปิดโมเดลลงทุนอสังหาฯดิจิทัลหมื่นล้าน</a>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

"บริทาเนีย" เตรียมจัดหนักครึ่งปีหลัง เปิด 16 โครงการใหม่ รุกกรุงเทพฯตะวันตก

Forbes Thailand พูดคุยกับ ศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ แม่ทัพหญิงแกร่งดีกรีสถานปนิกแห่ง BRI เดินหน้าสร้าง S-Curve ใหม่ให้ ORI ผ่านการนำเสนอบ้านที่จะเป็น “co-happy space” ของทุกคน

https://youtu.be/nr9fWsHzbG4

&nbsp;

<hr />

รับชมบทสัมภาษณ์ของบุคคลที่น่าสนใจ กดติดตามแชลเนลวิดีโอของเราบนยูทูบได้ที่ <a href="https://www.youtube.com/user/ForbesThai">Forbes Thailand Magazine</a>

ศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ นำทัพ BRI สร้าง New S-Curve ให้ ORI (Video)

<h2>บมจ.บริทาเนีย หรือ BRI รับผลเชิงบวกจากความกังวลโอมิครอนดันความต้องการซื้อบ้านจัดสรรเพิ่มขึ้น เพื่อตอบสนองวิถีชีวิตแบบ New Normal พร้อมเติบโตต่อเนื่องหลังรัฐบาลประกาศมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนอง คาดช่วยกระตุ้นตลาดคึกคัก</h2>
<img class="alignnone size-full wp-image-56468" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/12/บริทาเนีย_1201.jpg" alt="" width="600" height="400" />

ศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI  เปิดเผยว่า หลังจากที่นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน ได้วางเป้าหมายสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งจากการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 และแผนงานทยอยเปิดตัวโครงการอย่างต่อเนื่องในปี 2565

ขณะเดียวกันบริษัทยังวางกลยุทธ์การดำเนินงานมุ่งเน้นกลยุทธ์ Blue Ocean โดยขยายการพัฒนาโครงการในตลาดใหม่หรือทำเลใหม่ เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายในตลาดที่ยังมีการแข่งขันไม่รุนแรง และได้นำนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ในการออกแบบและบริการแก่ลูกค้า เพื่อสร้างความแตกต่างและประสบการณ์อยู่อาศัยที่ดีแก่ลูกบ้าน ส่งผลให้บริษัท สามารถปิดการขายโครงการภายในระยะเวลาเฉลี่ย 1 ปีครึ่ง ถึง 2 ปี

นอกจากนั้น บริษัทยังให้ความสำคัญกับการออกแบบบ้านและบริการภายใต้แนวคิด Human Centric หรือยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง โดยทำการศึกษา วิเคราะห์ความต้องการพื้นฐาน รวมถึงปัญหาต่างๆ ของผู้อยู่อาศัย (Customer Pain Point) เพื่อออกแบบบ้านและนำเสนอบริการที่สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบันและตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัยทุกเพศทุกวัย (Universal Design) รวมถึงพัฒนานวัตกรรมการออกแบบโครงการที่อยู่อาศัยทั้งด้านความต้องการที่แท้จริง ระบบรักษาความปลอดภัย พื้นที่ส่วนกลาง และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เสมือนมีผู้ดูแลส่วนตัว ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและทำให้บริษัทเป็นผู้นำตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบในอนาคต

“แม้ว่าปัจจุบันเริ่มมีความกังวลกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน จะส่งผลกระทบกับภาพรวมเศรษฐกิจ แต่เรามองว่าเป็นผลเชิงบวกต่อความต้องการซื้อบ้านจัดสรร โดยในปี 2565 บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่อีก 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 10,800 ล้านบาท ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อตอบสนองดีมานด์ที่อยู่อาศัย”

ศุภลักษณ์ กล่าวถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนในไทยและอีกหลายประเทศ ซึ่งแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้รัฐบาลตัดสินใจปิดระบบการรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศรายใหม่ที่ต้องการเดินทางเข้าประเทศไทยเป็นการชั่วคราวนำมาสู่ความกังวลว่าอาจเกิดการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวได้ส่งผลเชิงบวกต่อบริษัทฯ และภาพรวมตลาดบ้านจัดสรร ทำให้ผู้บริโภคเกิดความต้องการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบ เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮมเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีฟังก์ชันการใช้งานภายในที่แบ่งแยกเป็นสัดส่วน มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางกว่าเมื่อเทียบกับคอนโดมิเนียมในระดับราคาที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งตอบสนองการใช้ชีวิตแบบ New Normal ได้เป็นอย่างดี

นอกจากนั้น ศุภลักษณ์ยังคาดการณ์ภาพรวมตลาดบ้านจัดสรรในปี 2565 มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนจากร้อยละ 2 และค่าจดจำนองจากร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.01 สำหรับที่อยู่อาศัยที่มีราคาประเมินและวงเงินจดจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยจะมีผลบังคับใช้นับจากวันที่ประกาศกฎกระทรวงในราชกิจจานุเบกษา ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ซึ่งจะส่งผลดีต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในกลุ่มระดับราคาดังกล่าว

ทั้งนี้ การพัฒนาโครงการในช่วงที่ผ่านมาของบริษัทมุ่งเน้นในทำเลพื้นที่รอบนอกของกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่มีอัตราการเติบโตของประชากรสูง อยู่ใกล้ระบบขนส่งมวลชน ใกล้ทางด่วนหรือถนนสายหลัก แวดล้อมด้วยสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ รวมถึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการในพื้นที่เขตนิคมอุตสาหกรรมหรือเป็นพื้นที่พัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เนื่องจากเป็นแหล่งงานที่สำคัญซึ่งจะสนับสนุนให้เกิดความต้องการด้านที่อยู่อาศัย โดยบริษัทได้วางแผนขยายทำเลพัฒนาโครงการให้ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา ระยอง พระนครศรีอยุธยา นครปฐม สมุทรสงคราม อุดรธานี เป็นต้น

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/property/%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b8%b8%e0%b8%9b%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%a7%e0%b8%a1-%e0%b8%95%e0%b8%a5%e0%b8%b2%e0%b8%94%e0%b8%ad%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%ab%e0%b8%b2%e0%b8%af.html">สรุปภาพรวม “ตลาดอสังหาฯ” ปี 2564 กับอีกหนึ่งปีที่ท้าทาย</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events