<h2>สื่อต่างประเทศรายงานว่า Carrefour เชนซูเปอร์มาร์เก็ตสัญชาติฝรั่งเศส ได้ประกาศหยุดขายสินค้าของ PepsiCo ในสาขาใน 4 ประเทศยุโรป โดยให้เหตุผลว่าบริษัทอาหารอย่าง PepsiCo นั้นขึ้นราคาสินค้ามากเกินไป</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม 2024 ที่ผ่านมา ชั้นวางสินค้าของ Carrefour ในฝรั่งเศส, อิตาลี, สเปน และเบลเยียม จะมีป้ายบอกว่าทางร้านจะไม่สต็อกผลิตภัณฑ์ของ PepsiCo เช่น น้ำอัดลม Pepsi, มันฝรั่งทอดกรอบของ Lay’s และ Doritos และซีเรียลแบรนด์ Quaker “เนื่องจากการขึ้นราคาที่ไม่อาจยอมรับได้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ บางแบรนด์ในกลุ่ม PepsiCo เช่น Cheetos และ 7Up ไม่มีวางขายใน Carrefour ที่ชานเมืองปารีสแล้ว ส่วนแบรนด์อื่นๆ เช่น Pepsi ยังคงมีวางอยู่บนชั้น ถัดจากป้ายประกาศดังกล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/MY1mgiRr1wJ2Abmyh4Ws.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="MY1mgiRr1wJ2Abmyh4Ws.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของ Carrefour ได้รับเสียงสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากผู้บริโภค โดยที่สาขาหนึ่งในปารีส ลูกค้าต่างส่งเสียงเชียร์การเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นจำนวนมาก Edith Carpentier กล่าวกับ Reuters ว่า “นี่ไม่ทำให้ฉันประหลาดใจเลย ฉันคิดว่าต่อไปสินค้าจะขายไม่ได้จนเหลืออยู่บนชั้นมากมายด้วยซ้ำ เพราะมันแพงเกินไป และเป็นสิ่งที่เราเลี่ยงที่จะไม่ซื้อได้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่บริษัทสัญชาติอเมริกันอย่าง PepsiCo ระบุในเดือนตุลาคม 2023 ว่า บริษัทวางแผนที่จะขึ้นราคา “เล็กน้อย” ในปีนี้ เนื่องจากดีมานด์ยังคงเพิ่มขึ้นท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปีที่ผ่านมา ผู้ค้าปลีกในหลายประเทศ รวมถึงเยอรมนีและเบลเยียม ประกาศว่าได้หยุดคำสั่งซื้อจากบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคเนื่องจากราคาที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการเจรจาที่สืบเนื่องมาจากปัญหาภาวะเงินเฟ้อ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Carrefour เป็นหนึ่งในผู้ค้าปลีกที่กระตือรือร้นที่สุดในการท้าทายบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคและบริษัทอาหารรายใหญ่ในเรื่องราคา โดยเมื่อปีที่แล้ว บริษัทข้ามชาติสัญชาติฝรั่งเศสเริ่มแคมเปญ "shrinkflation" โดยติดคำเตือนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กลง แต่ราคาเดิม หรือสรุปแล้วเป็นการขึ้นราครอีกวิธีหนึ่งนั่นเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ถือเป็นเรื่องปกติในยุโรปที่ฝรั่งเศสจะออกมาควบคุมภาคการค้าปลีกอย่างเข้มงวด โดยบังคับให้ซูเปอร์มาร์เก็ตต้องเจรจาราคากับผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มปีละครั้ง เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมการเกษตร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่การเจรจารอบสุดท้ายเมื่อต้นปีที่แล้ว ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของวิกฤติเงินเฟ้อ และราคาสินค้าสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้บรรดาซูเปอร์มาร์เก็ตต้องเจรจาลดราคาสินค้ากับแบรนด์ต่างๆ ในครั้งนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;James Walton หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Institute of Grocery Distribution กล่าวว่า “ซูเปอร์มาร์เก็ตในฝรั่งเศสพร้อมมากที่จะบอกลาแบรนด์ต่างๆ หากพวกเขาไม่ชอบข้อตกลงที่พวกเขาได้รับ แน่นอนว่านั่นเป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะไม่มีใครชนะได้หากสินค้าที่ผู้คนต้องการไม่มีอยู่บนชั้นวาง”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ที่มา: <a target="_blank" href="https://www.theguardian.com/world/2024/jan/04/carrefour-pulls-pepsico-products-four-eu-countries-price-hikes" alt="https://www.theguardian.com/world/2024/jan/04/carrefour-pulls-pepsico-products-four-eu-countries-price-hikes">https://www.theguardian.com/world/2024/jan/04/carrefour-pulls-pepsico-products-four-eu-countries-price-hikes</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/world/global-world/why-starbucks-is-so-expensive" alt="เปิดแก้วกาแฟส่องดู Starbucks ทำไมถึงแพง?">เปิดแก้วกาแฟส่องดู Starbucks ทำไมถึงแพง?</a><a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/world/global-world/why-starbucks-is-so-expensive" alt="ปิดแก้วกาแฟส่องดู Starbucks ทำไมถึงแพง?"></a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Carrefour ประกาศหยุดขายสินค้าของ PepsiCo ใน 4 ประเทศยุโรป เหตุ PepsiCo ขึ้นราคาสินค้ามากเกินไป

<h2>Bernard Arnault มหาเศรษฐีอันดับ 3 ของโลก เจ้าของอาณาจักรสินค้าลักชัวรีจากฝรั่งเศส ขายหุ้นที่เหลือใน Carrefour เชนซูเปอร์มาร์เก็ตของฝรั่งเศส ซึ่งเขาได้เข้าลงทุนเป็นระยะเวลากว่า 14 ปี </h2>
<img class="alignnone wp-image-50551" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/09/https-specials-images.forbesimg.com-imageserve-612f98f3990559dec5bf0df2-Bernard-Arnault-1960x0.jpgfitscale.jpg" alt="Bernard Arnault " width="720" height="510" />

เมื่อวันอังคารที่ 31 สิงหาคม 2021 <a style="color: #008000;" href="https://www.carrefour.com/en/actuality/2021/sale-carrefour-shares-agache">Financiere Agache</a> บริษัทโฮลดิ้งของ Bernard Arnault ขายหุ้นร้อยละ 5.5 ใน <a style="color: #008000;" href="https://www.forbes.com/2007/03/07/carrefour-chairman-arnault-markets-equity-cx_po_0307markets18.html?sh=1173f92c55f8">Carrefour</a> ที่ราคาประมาณ 19 เหรียญสหรัฐฯ ต่อหุ้น หรือราว 850 ล้านเหรียญก่อนหักภาษี

อย่างไรก็ดี การลงทุนดังกล่าวยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นการลงทุนที่ให้ผลกำไรหรือไม่  

ในเดือนมีนาคม 2007 Groupe บริษัทแม่ของ Agache ได้เข้าถือหุ้นร้อยละ 9.8 ร่วมกับบริษัทด้านการลงทุน Colony Capital และ Axon Capital ในราคาประมาณ 4.3 ถึง 5 พันล้านเหรียญในขณะนั้น 

ทว่าหุ้นส่วนได้ออกจากข้อตกลงในเดือนมกราคม 2017 ขณะที่ Arnault ผู้ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 8.7 ที่มูลค่าประมาณ 1.6 พันล้านเหรียญ Arnault เดินหน้าซื้อหุ้นเพิ่มใน Carrefour ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งเลือกรับเงินปันผลของบริษัทในรูปแบบของหุ้นแทนเงินสด

อย่างไรก็ดี หุ้น Carrefour ร่วงลงเกือบร้อยละ 60 ระหว่างเดือนมีนาคม 2007 ถึงมกราคม 2017 และลดลงอีกร้อยละ 26 ตั้งแต่นั้นมา ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดค้าปลีกฝรั่งเศส 

ในปี 2019 Arnault ลาออกจากบอร์ดบริหารของ Carrefour และมอบตำแหน่งให้กับ Alexandre ลูกชายของเขา

เขาเริ่มขายหุ้นที่มีอยู่ใน Carrefour ในเดือนกันยายน 2020 จำนวน 25 ล้านหุ้นในราคาเกือบ 410 ล้านเหรียญ ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของเขาลดลงเหลือร้อยละ 5.5 จาก 8.6 

การออกจาก Carrefour ครั้งนั้นเกิดขึ้น 8 เดือนหลังจากที่บริษัทไฮเปอร์มาร์เก็ตยกเลิกการเจรจาเพื่อขายกิจการที่มูลค่า 2 หมื่นล้านเหรียญให้กับ Alimentation Couche-Tard บริษัทค้าปลีกสัญชาติแคนาดา ซึ่งก่อตั้งโดยมหาเศรษฐี Alain Bouchard, Jacques D'Amours และ Richard เนื่องจากได้รับการคัดค้านจากรัฐบาลฝรั่งเศส

ด้วยเหตุนี้ การขายหุ้นครั้งนี้จึงถือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของ Arnault ผู้ซึ่งมีทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 2.9 หมื่นล้านเหรียญในปี 2012 โดยส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากหุ้นของกลุ่มบริษัท LVMH ที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงวิกฤตโควิด-19 จนส่งผลให้ Arnault ที่ถือหุ้นร้อยละ 47 ในบริษัท ครองตำแหน่งบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิสูงถึง 2.01 แสนล้านเหรียญในเดือนสิงหาคม 2021 

นอกจากนี้ ในเดือนพฤษภาคม 2020 Arnault ยังนำบริษัทไพรเวทอิควิตี้ L Catterton เข้าซื้อหุ้นกู้ 400 ล้านเหรียญใน Norwegian Cruise Line ผู้ให้บริการเรือสำราญ และหลังจากนั้น 10 เดือนต่อมาในเดือนมีนาคม 2021 ก็ได้ขายคืนให้กับบริษัทดังกล่าวที่มูลค่ามากกว่า 1 พันล้านเหรียญ ส่งผลให้ Arnault และหุ้นส่วนของเขาได้รับกำไร 600 ล้านเหรียญ

ล่าสุด Forbes ประเมินมูลค่าสุทธิของ Arnault อยู่ที่ 1.84 แสนล้านเหรียญ 

แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ Bernard Arnault’s Bad Bet: World’s Third Richest Person Finally Unloads Stake In French Retailer Carrefour เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/asia/tang-xiaoou-ศาสตราจารย์ชาวจีน-เตร.html">Tang Xiaoou ศาสตราจารย์ชาวจีน เตรียมนำบริษัท AI อายุ 7 ปี เข้าทำ IPO</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events