CRG ตั้งเป้ารายได้ปี 68 โต 17,900 ล้าน  พร้อมทุ่มงบ 1,200 ล้าน เตรียมขยายธุรกิจร้านอาหาร 140 สาขาใหม่

‘Hanam Pig’ ปิ้งย่างเบอร์ 1 เกาหลี อยู่ในฉากซีรีส์ Queen of Tears เตรียมเข้าไทยกลางปีนี้!

‘ศุภณัฐ สัจจะรัตนกุล’ Shinkanzen Sushi จากซูชินักศึกษา สู่อาณาจักรอาหารพันล้าน

<h2>เซ็นทรัล เรสเตอรองส์ กรุ๊ป หรือ CRG เตรียมเปิด ‘เคเอฟซี คีออส คอนเซ็ปต์ Quick &amp; Easy’ เจาะแนวรถไฟฟ้าทั้งใต้ดิน-บนดิน ยังควักอีก 300-400 ล้านบาท เดินหน้าเปิดสาขาใหม่-พลิกโฉมสาขาเก่า แต่ปรับเป้าโตจาก 12% เหลือ 8% </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปิยะพงศ์ จิตต์จำนงค์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส QSR &amp; Western Cuisine ผู้บริหารแบรนด์เคเอฟซี ภายใต้การบริหารโดย บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างพัฒนาเคเอฟซีโมเดลใหม่ๆ อีกหลากหลายโมเดลเพื่อการเข้าถึงลูกค้าที่ง่ายขึ้น และหนึ่งในโมเดลใหม่ที่จะเปิดตัวในไตรมาสที่ 3 นี้ ได้แก่ เคเอฟซี Quick &amp; Easy บนรถไฟฟ้าขนาดพื้นที่ 50 ตารางเมตร เน้นขายสินค้าในช่องทาง Takeaway เป็นหลัก จำหน่ายสินค้า 80% ของเมนูที่ขายในร้านเคเอฟซีทั่วไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราเริ่มเปิดร้านเคเอฟซี Transportation Hub Concept ครั้งแรกที่หมอชิต 3 เมื่อ 3 ปีก่อน สาขานี้มีแค่พื้นที่ครัว แต่ทำยอดขายได้ถึง 1 ล้านบาทต่อเดือน และจากการไปสำรวจตลาดเคเอฟซีที่เปิดตามสถานีรถไฟฟ้าที่สิงคโปร์ พบว่าได้รับการตอบรับดีมาก เราเลยต่อยอดจากที่หมอชิต 3 มาเปิด เคเอฟซี Quick &amp; Easy สาขาแรกในไตรมาส 3 ปีนี้” ปิยะพงศ์ กล่าว และว่า การเปิด เคเอฟซี Quick &amp; Easy คอนเซ็ปต์ บนรถไฟฟ้า BTS และ MRT จะเปิดโอกาสให้เคเอฟซีสามารถขยายตัวเข้าไปอยู่ในที่ที่ไม่เคยเข้าไปได้​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/w2Bq5cmZTX5BpskmPXmv.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="w2Bq5cmZTX5BpskmPXmv.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,494" style="" data-index="0"><figcaption><div>ปิยะพงศ์ จิตต์จำนงค์</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังจากเปิด เคเอฟซี Quick &amp; Easy คอนเซ็ปต์ แล้ว บริษัทจะใช้เวลา 6 เดือนประเมินสถานการณ์ ก่อนจะ roll out ไปยังทำเลใหม่ๆ ที่มีทราฟฟิกผ่านไปมาวันละ 40,000-50,000 คนต่อวัน โดยคาดว่าสาขาบนรถไฟฟ้าน่าจะทำรายได้ประมาณ 1.5 ล้านบาทต่อเดือน เทียบกับสาขา dine in ลาดพร้าวที่อยู่ราว 4 ล้านบาทต่อเดือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยเคเอฟซี Quick &amp; Easy จะมาเพิ่มความแข็งแกร่งของช่องทาง take away ซึ่งมียอดขายเป็น 40% ถือว่าสูงสุดของยอดเคเอฟซีในบริษัทซีอาร์จีทั้งหมด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ อีกโมเดลที่เคเอฟซีจะโฟกัสเป็นพิเศษในปีนี้คือ การทำให้ร้านสาขาเป็นร้านดิจิทัลมากขึ้น ปัจจุบันเคเอฟซีมี KFC digital kiosk อยู่ 14 สาขา และจะเพิ่มเป็น 35 สาขา ส่วนร้านที่มี digital menu board จะเพิ่มเป็น 70 สาขาภายในสิ้นปีนี้ จากที่มีอยู่ในปัจจุบัน 17 สาขา​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 497px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/uRwku8GQydHGcNVUwQ5Z.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="497px,320px" data-align="center" data-file-name="uRwku8GQydHGcNVUwQ5Z.jpg" data-file-size="0" origin-size="720,464" data-origin="497px,320px" style="width: 497px; height: 320px;" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ทั้งหมดนี้จะช่วยเปลี่ยนประสบการณ์ของลูกค้าจากที่ต้องสั่งอาหารที่หน้าเคาน์เตอร์ให้เป็นการสั่งผ่านตู้คีออสแทน ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าได้อย่างอิสระมากขึ้น ซึ่งเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ ซึ่งจะช่วยเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์เคเอฟซีให้ดูทันสมัยขึ้น ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมมุ่งสู่การเป็น Smart Restaurant อย่างเต็มรูปแบบ” ปิยะพงศ์กล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/jDoAHa1dVnrXoR49fgoF.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="jDoAHa1dVnrXoR49fgoF.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,939" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปิยะพงศ์เผยอีกว่า บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนอีก 300-400 ล้านบาทในปีนี้ เพื่อเปิดสาขาใหม่จำนวน 23 สาขา โดยเน้นเปิดในจังหวัดเมืองรอง และปรับปรุงสาขาเก่าอีก 35 สาขา โดย ณ 31 พ.ค. 2567 เคเอฟซีมีสาขาอยู่ 338 สาขา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุด ซีอาร์จีได้ปรับโฉมเคเอฟซีสาขาเซ็นทรัล ลาดพร้าว โดยชูคอนเซ็ปต์ “Colonel's Legacy” เพื่อร่วมฉลองครบรอบ 40 ปี KFC Thailand เคเอฟซี ในคอนเซ็ปต์ “Colonel's Legacy” ตกแต่งในสไตล์เรโทรด้วยกระเบื้องสีขาวสลับสีแดง / แถบริ้วลายขาว-แดง​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/uDHiwWcYPquhirFrzT3T.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="3" data-file-name="uDHiwWcYPquhirFrzT3T.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังมีการออกสินค้าใหม่ โปรโมชั่นที่เป็น Seasonal และการทำราคาให้สามารถเข้าถึงได้ในทุกระดับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้อาหารจะเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน ปิยะพงศ์บอกว่า เริ่มเห็นกำลังซื้อผู้บริโภคหดตัวลงตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปีนี้ เพราะเปิดเทอม ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น และรายใหม่ยังคงเข้ามาสู่ธุรกิจร้านอาหารอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น บริษัทได้ปรับเป้าหมายการเติบโตของเคเอฟซีในปีนี้ที่เคยตั้งไว้ 12% เป็น 8% จากรายได้ 7,050 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ภาพรวมเชนธุรกิจร้านอาหารในปี 2567 มีการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะผู้เล่นรายใหม่เพิ่มขึ้นในทุกปี และหากมองไปถึงกลุ่มเชนร้านอาหาร QSR พบว่ายิ่งท้าทายมากขึ้น เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปีที่ผ่านมา ทำให้กระทบราคาขาย ซึ่งขัดแย้งกับภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยที่มีกำลังบริโภคค่อนข้างหดตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังมีความท้าทายเรื่องหาพนักงานมารองรับการขยายตัว ส่วนเรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทเร็วๆ นี้ไม่ค่อยกังวลมาก เพราะผลกระทบไม่น่าจะมากเนื่องจากจ่ายค่าแรงเกิน 400 บาทเป็นส่วนมากอยู่แล้ว” ปิยพงศ์กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2566 ตลาดร้านอาหารประเภท QSR มีมูลค่าประมาณ 45,000 ล้านบาท เป็นเซ็กเม็นต์ไก่ 21,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นร้านอาหารประเภทอื่นๆ โดยคาดว่าตลาดรวมร้านอาหารประเภท QSR ปีนี้จะโตเพียง 3% เท่านั้น เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/tkn-pt-sukanda-djaya-may-2024" alt="อ่านกลยุทธ์ ‘เถ้าแก่น้อย’ เมื่อราคาสาหร่ายพุ่งเกือบ 50% พร้อมแผนบุกตลาดอินโดฯ ตั้งเป้าปี 67 ยอดขาย 600 ล้าน">อ่านกลยุทธ์ ‘เถ้าแก่น้อย’ เมื่อราคาสาหร่ายพุ่งเกือบ 50% พร้อมแผนบุกตลาดอินโดฯ ตั้งเป้าปี 67 ยอดขาย 600 ล้าน</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

CRG เตรียมเปิด KFC โมเดลใหม่ เจาะรถไฟฟ้าทั้งใต้ดิน-บนดิน พร้อมควักอีก 300-400 ล้านบาท เปิดสาขาใหม่เน้นเมืองรอง

<h2>เซ็นทรัล เรสตอรองส์ หรือ CRG ผู้นำแบรนด์อาหารชั้นนำ อาทิ เคเอฟซี อานตี้ แอนส์ และคัตสึยะ เผย 8 เทรนด์ธุรกิจอาหารที่ต้องจับตา รับมือความท้าทายเศรษฐกิจปีนี้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ณัฐ วงศ์พานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) เปิดเผยว่า ในปีนี้ธุรกิจร้านอาหารของประเทศไทยจะมีเทรนด์ตลาดและความท้าทายที่ต้องจับตามองใกล้ชิด 8 เรื่อง ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1.เทรนด์การเติบโตของธุรกิจอาหาร ที่คาดว่าจะโต 5-7 เปอร์เซ็นต์ เป็น 480,000 ล้านบาทในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ตลาดยังมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน เนื่องจากการฟื้นตัวช้า มีแรงกดดันจากหนี้ครัวเรือนสูง หรือการชะลอการใช้จ่ายเงินของภาครัฐ หรือความเสี่ยงจาก global recession เพราะเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกายังมีความเสี่ยง และผลกระทบจากสงคราม เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2.ในปีที่ผ่านมามีคู่แข่งจำนวนกว่าแสนรายเข้ามาในตลาดอาหารในปีที่ผ่านมา และคาดว่ายังมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาในตลาดอีกอย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3.สัดส่วนการกลับมาทานอาหารที่ร้านเริ่มกลับสู่จุดสมดุล โดยปัจจุบัน 80% ของลูกค้ารับประทานอาหารที่ร้านและ 20% เป็นช่องทางเดลิเวอรี่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4.การเผชิญกับปัญหาขาดแคลนแรงงาน เพราะการขยายสาขาของผู้ประกอบการทั้งรายเก่า-รายใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้องหันพึ่งพาแรงงานต่างด้าวมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;5.ไลฟ์ไซเคิลของร้านอาหารสั้นลง ผู้บริโภคมีความคาดหวังเพิ่มมากขึ้น และพร้อมทดลองแบรนด์ใหม่ๆ ทำให้แบรนด์ใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดได้เร็วขึ้น ผู้ประกอบการเดิมจึงต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว ด้วยการปรับเปลี่ยนรูปแบบร้าน และโมเดลใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;6.Solo economy trend&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;7.ความท้าทายในเรื่องต้นทุน การบริหารจัดการ ต้นทุนด้านแรงงาน และพลังงาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;8.จะมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในธุรกิจอาหารมากขึ้น ซึ่งทั้งร้านอาหารและลูกค้าต้องปรับตัวรับมือ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/esk8cupe6dgeTNT1nkTj.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="esk8cupe6dgeTNT1nkTj.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ว่าในปี 2567 จะมีความท้าทายหลายอย่างเกิดขึ้นในตลาด แต่บริษัทยังพบปัจจัยบวกอันเนื่องจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และส่งเสริมการท่องเที่ยวภาครัฐ ตลอดจนความนิยมรับประทานอาหารคนเดียวที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ที่อยากทดลองร้านอาหารแนวใหม่ หรือเมนูตามกระแสตลอดเวลา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทำให้บริษัทฯ เตรียมทุ่มงบอีก 1,000-1,200 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจในปีนี้ โดย 70% ของเงินลงทุนจะใช้เพื่อการเปิดสาขาใหม่อีก 100-120 สาขาในปีนี้ ส่วนอีก 20% และ 10% ของงบประมาณจะใช้ในการปรับโฉมสาขาเดิมและระบบไอทีตามลำดับ ตามแผนการตลาด ซีอาร์จีจะมีสาขาทั้งสิ้นมากกว่า 1,700 สาขาในสิ้นปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การขยายธุรกิจในปีนี้เป็นไปตามแผน 5 ปี (2567-2071) ที่บริษัทจะลงทุนทั้งหมด 6,000 ล้านบาท ขยายธุรกิจ และผลักดันให้จำนวนสาขาเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 แห่ง <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/cstiRspNNg7ChpWfiTu4.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="cstiRspNNg7ChpWfiTu4.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับปีที่ผ่านมาซีอาร์จีเปิดสาขาไปทั้งหมด 140 สาขา ด้วยเงินลงทุน 700-800 ล้านบาท แบ่งเป็น ไลท์มีล 60 สาขา เฮฟวี่ฟู้ดส์ 40 สาขา ร้านเครื่องดื่มและขนมหวาน 30 สาขา และที่เหลือ 15 สาขา เป็นร้านอาหารแบบด่วน ทำให้สาขาร้านอาหารภายใต้ซีอาร์จีในปีที่ผ่านมามีทั้งสิ้น 1,600 สาขา มีรายได้ 14,500 ล้านบาท เติบโตจากปี 2565 ถึง 13%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ณัฐกล่าวว่าในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 14% เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาเป็น 16,600 ล้านบาทในปีนี้ เพื่อให้บรรลุยอดขายที่ตั้งไว้ ในปีนี้บริษัทได้กำหนดแนวทางขับเคลื่อนธุรกิจ ภายใต้ยุทธศาสตร์ Empowering Excellence, Embracing และ Sustainability ประกอบด้วย 4 กลยุทธ์ คือ Grow, Drive, Build and Expedite&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Grow เป็นกลยุทธ์สร้างการเติบโตจากการขยายสาขาใหม่จากแบรนด์ในเครือที่มีศักยภาพ เช่น “เคเอฟซี” “อานตี้ แอนส์” “โอโตยะ” “คัตสึยะ” “ส้มตำนัว” “สลัดแฟคทอรี่” “ชินคันเซ็น ซูชิ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่แบรนด์ในเครืออื่นๆ จะเน้นการเพิ่มยอดขายของสาขาเดิม ด้วยการออกสินค้ารสชาติใหม่ โปรโมชั่นสุดคุ้มและโดนใจ รวมไปถึงวางแผนกลยุทธ์ กระตุ้นการขายในบางช่วงเวลา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่กลยุทธ์ Drive จะเน้นการบริหารจัดการต้นทุน และค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ลดการใช้พลังงาน, เน้นการลงทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุด และการบริหารกระแสเงินสด ตลอดจนการลงทุนให้มีความคล่องตัวมากขึ้น พร้อมนำเทคโนโลยีมาใช้บริหารจัดการร้านอาหารมากขึ้น ทั้งการสั่งอาหารผ่านคิวอาร์โค้ด การนำหุ่นยนต์มาให้บริการในร้าน การนำเครื่องมือใช้วิเคราะห์ลูกค้า เพื่อเข้าใจและตอบสนองกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำยิ่งขึ้น รวมถึงการวางแผนพัฒนาระบบการเสิร์ฟอาหารผ่านระบบสายพาน เป็นต้น <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/JF9op584wWScUGB1y3Yg.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="JF9op584wWScUGB1y3Yg.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กลยุทธ์ Build จะเน้นเสริมสร้างความแข็งแกร่ง และให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ และการร่วมทุนกับพาร์ทเนอร์ โดยจะเฟ้นหาแบรนด์ที่มีศักยภาพในการเติบโตเพิ่มอีก 2-3 แบรนด์ในปีนี้ ซึ่งน่าจะเป็นร้านอาหารประเภทชาบู สุกี้ และปิ้งย่าง ซึ่งซีอาร์จียังไม่มีอยู่ในพอร์ต แม้จะมีแบรนด์ธุรกิจอาหารอยู่ถึง 21 แบรนด์แล้วก็ตาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ธุรกิจร้านอาหารที่ซีอาร์จีเลือกร่วมทุนด้วย ต้องมีขนาดยอดขายปีละ 500 ล้านบาท และธุรกิจมีโอกาสเติบโตในตลาดได้มากกว่าเดิมอีก 3-4 เท่า และมีสาขามากพอที่ลูกค้าจะรู้จัก และที่สำคัญมากๆ เจ้าของธุรกิจนั้นๆ ต้องมี passion ไฟแรง ตั้งใจและพร้อมจะเติบโตไปพร้อมกับซีอาร์จี” ณัฐกล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับกลยุทธ์สุดท้ายคือ Expedite เป็นการผลักดันความยั่งยืนทุกมิติ มุ่งเน้นให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อม การประหยัดพลังงาน และการใช้พลังงานทดแทน การลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ในการดำเนินงานในรูปแบบของแผงโซลาร์เซลล์ และการลดปริมาณขยะอาหารที่เกิดจากการใช้วัตถุดิบในกระบวนการผลิตอาหาร เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/nara-group-partnered-with-grab" alt="&quot;นารากรุ๊ป&quot; รุกตลาดฟู้ดเดลิเวอรีครั้งแรก จับมือ &quot;แกร็บ&quot; ตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 23%">"นารากรุ๊ป" รุกตลาดฟู้ดเดลิเวอรีครั้งแรก จับมือ "แกร็บ" ตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโต 23%</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

CRG เผย 8 เทรนด์ธุรกิจอาหารน่าจับตา รับมือความท้าทายเศรษฐกิจปีนี้

<h2>&nbsp;The 1 (เดอะ วัน) ผู้นำด้านดิจิทัลไลฟ์สไตล์และลอยัลตี้ในฐานะ Center of Life Platform อันดับ 1 ของไทย ภายใต้กลุ่มเซ็นทรัล จับมือ เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป ผู้นำด้านธุรกิจร้านอาหารระดับประเทศ ร่วมสานต่อศักยภาพ Central Group Synergy มอบประสบการณ์พิเศษกว่าใครภายใต้ “The 1 ให้ทุกสิทธิ์เป็นเรื่องพิเศษ”&nbsp;</h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เพียงเป็นสมาชิก The 1 และดาวน์โหลด The 1 APP สามารถสะสมและแลกคะแนนใช้แทนเงินสดโดยไม่ต้องรอโปรโมชั่น ณ 16 แบรนด์อาหารดังภายใต้เครือเซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป ทุกสาขาทั่วประเทศไทย ได้แก่ มิสเตอร์ โดนัท, อานตี้ แอนส์, โคล สโตน ครีมเมอรี่, อาริกาโตะ ,บราวน์ คาเฟ่, เปปเปอร์ ลันช์, ชาบูตง ราเมน, โยชิโนยะ, โอโตยะ, เทนยะ, คัตสึยะ, เทอเรสซ์ ณ บางกอก, อร่อยดี, เกาลูน, สลัดแฟคทอรี่ และ ส้มตำนัว รับสิทธิ์ได้ทั้งหน้าร้านและเดลิเวอรี่ผ่าน 1312 ฟู้ดฮันท์ เดลิเวอรี่ สำหรับสมาชิก The 1 เท่านั้น! รับความพิเศษกว่าใครบน The 1 APP ได้ทันทีแบบไม่ต้องแลกคะแนน อาทิ ส่วนลด 10% และเมนูราคาพิเศษเฉพาะสมาชิก เมนูฟรี ซื้อ 1 ฟรี 1 และสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย ดาวน์โหลด The 1 APP ได้ที่ https://offers.onelink.me/H3Sq/d6gcyftr &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กวิน ตั้งอุทัยศักดิ์&nbsp;Managing Director The 1 กล่าวว่า “ด้วยความตั้งใจที่จะมอบประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ที่ดีที่สุดให้กับสมาชิก The 1 เราจึงมุ่งขยายสิทธิประโยชน์ให้หลากหลายและพิเศษยิ่งขึ้นในทุกๆ วัน โดยเฉพาะในหมวดร้านอาหารและเครื่องดื่มที่เรียกได้ว่าเป็นที่นิยมอันดับหนึ่งตลอดกาลโดยได้รับการแลกสูงสุดกว่า 31% จากการแลกดีลบน The 1 APP ทั้งหมดและยังคงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในครั้งนี้ The 1 ยินดีที่ได้ทางเซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป ผู้นำในกลุ่มธุรกิจเชนร้านอาหาร Top 3 ของไทย ร่วมมอบสิทธิ์ให้สมาชิกได้สะสมคะแนนผ่านการใช้จ่ายใน 16 ร้านอาหาร รวมกว่า 1,188 สาขาทั่วไทย ซึ่งครอบคลุมทั้งแบรนด์ไทย-เทศนานาชนิด ไม่เพียงเท่านั้น ตลอดทั้งปี ยังมีสิทธิประโยชน์ที่สมาชิกสามารถกดรับสิทธิ์ผ่าน The 1 APP โดยไม่ต้องแลกคะแนนใดๆ เรียกได้ว่าเป็นสิทธิ์เฉพาะสมาชิก The 1 ที่จะทำให้ทุกวันมีแต่เรื่องพิเศษ” &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ณัฐ วงศ์พานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (ซีอาร์จี) เปิดเผยว่า “ซีอาร์จีเชื่อมั่นในการผนึกพันธมิตรเพื่อสร้างการเติบโตร่วมกัน พร้อมที่จะก้าวข้ามทุกข้อจำกัด และเปิดรับความเป็นไปได้ใหม่ๆ อยู่เสมอ รวมไปถึงการยกระดับความร่วมมือกับ The 1 ในครั้งนี้ เพื่อมอบสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รวมถึงการสะสมคะแนน The 1 และนำมาแลกใช้เป็นเงินสด หรือสิทธิพิเศษต่างๆ จะสามารถสร้างความประทับใจ และเป็นผลดีในระยะยาวต่อร้านอาหารในเครือซีอาร์จีทั่วประเทศ นอกจากนี้ ในเดือนกันยายน 2566 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ซีอาร์จี เตรียมส่งแคมเปญใหญ่ เพื่อเป็นการชวนฉลองเนื่องในโอกาสครบรบ 45 ปี ที่จะทำให้ทุกมื้อของสมาชิกทั้งอิ่มอร่อยและคุ้มค่ามากยิ่งกว่าที่เคย โดยสามารถติดตามได้ผ่าน www.facebook.com/CentralRestaurantsGroup” &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;The 1 ให้ทุกสิทธิ์ เป็นเรื่องพิเศษ! สมาชิก The 1 สามารถสะสมคะแนนใช้แทนเงินสดได้โดยไม่ต้องรอโปรโมชัน สำหรับทุกการใช้จ่ายที่ร้านอาหารดังภายใต้เครือเซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป ทุกสาขาทั่วประเทศไทยแล้ววันนี้ เพียงบอกเบอร์โทรศัพท์ที่ลงทะเบียน The 1 ไว้ก่อนชำระเงิน หรือเชื่อมต่อบัญชีกับ The 1 เพียงครั้งเดียว เมื่อสั่งอาหารผ่าน 1312 FoodHunt Delivery ที่ www.foodhunt.com หรือ ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Foodhunt https://bit.ly/3NXemPy โดยสมาชิกจะได้รับ 1 คะแนนทุกๆ การใช้จ่าย 25 บาท นอกจากนี้ สมาชิก The 1 ยังสามารถกดรับสิทธิ์พิเศษเพิ่มเติมบน The 1 APP โดยไม่ต้องใช้คะแนนได้ ตั้งแต่วันนี้-31 ธันวาคม 2566 ดังนี้ &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;•	สิทธิ์รับส่วนลด 10% ที่ร้านเปปเปอร์ ลันช์, ชาบูตง ราเมน,โยชิโนยะ, โอโตยะ, เทนยะ, เทอเรสซ์ ณ บางกอก, อร่อยดี และส้มตำนัว &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;•	สิทธิ์รับเมนูราคาพิเศษ อาทิ มิสเตอร์ โดนัท รับสิทธิ์ซื้อโดนัท 6 ชิ้น ราคาพิเศษเพียง 100 บาท (จากราคาปกติ 174 บาท) และซื้อโดนัท 8 ชิ้น ราคาพิเศษเพียง 129 บาท (จากราคาปกติ 232 บาท) อานตี้ แอนส์ รับเซ็ต Pizza Petzel, Sweet Pretzel และ Lemonade 16 oz ในราคาพิเศษ 159 บาท (จากราคาปกติ 193 บาท) โคล สโตน ครีมเมอรี่ รับสิทธิ์ซื้อ Signature Creation ขนาด Like it เพียง 99 บาท (จากราคาปกติ 129 บาท) และรับสิทธิ์ซื้อไอศกรีมเค้ก 4 นิ้ว ราคาพิเศษเพียง 399 บาท (จากราคาปกติ 459 บาท) อาริกาโตะ รับสิทธิ์ซื้อเครื่องดื่มกาแฟเย็น ขนาด 22 ออนซ์ 2 แก้ว เพียง 90 บาท (จากราคาปกติ 100-110 บาท) และซื้อเครื่องดื่มชาเขียวเย็น ขนาด 16 ออนซ์ 2 แก้ว เพียง 90 บาท (จากราคาปกติ 100-110 บาท) ที่ อาริกาโตะ สาขาในมิสเตอร์ โดนัท, เทนยะ ข้าวหน้าทะเลรวมเทมปุระ + ชีสเทมปุระ เพียง 219 บาท จาก 258 บาท คัตสึยะ ฟรี อัพไซส์ เมื่อสั่งเมนูคัตสึด้งไก่ราดไข่ หรือ คัตสึด้งไก่ ราดซอส ราคา 139 บาท (จากราคาปกติ 169 บาท) สลัดแฟคทอรี่ ชุดสลัดอกไก่ย่างงาญี่ปุ่นและซุปฟักทอง เพียง 199 บาท (จากราคาปกติ 230 บาท) &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;•	พิเศษสำหรับสมาชิก The 1 Exclusive! รับสิทธิ์ Exclusive Extra Dish ซื้อ 1 รับอีก 1 กับเมนูฮิตจากร้านดัง ลงทะเบียนรับสิทธิ์ฟรีบน The 1 APP ได้ทุกเดือน อาทิ อานตี้ แอนส์ ซื้อ 1 แถม 1 Savory Pretzel (มูลค่า 35 บาท) โคล สโตน ครีมเมอรี่ ซื้อ 1 แถม 1 Sundae (Regular Size) (มูลค่า 99 บาท) โอโตยะ รับฟรี! ไอศกรีมในนํ้าเต้าหู้ หรือ พุดดิ้งนมรสคินาโกะ มูลค่า 79 บาท เมื่อสั่งหมูสามชั้นหมักซอสโชยุโคจิย่างถ่าน (Set) หรือ หมูสามชั้นหมักซอสโชยุโคจิ (Set) เทอเรสซ์ ณ บางกอก รับฟรี! ข้าวผัดน้ำพริกลงเรือ ปลาฟู มูลค่า 189 บาท เมื่อสั่งเมนูข้าวมันส้มตำ-หมูทอด ราคา 189 บาท เฉพาะทานที่ร้านเท่านั้น ส้มตำนัว รับฟรียำวุ้นเส้น เมื่อสั่งเมนูสั่งต้มยำเห็ดรวม ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/M7TGxVkEELeU3jFyq8Eq.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="M7TGxVkEELeU3jFyq8Eq.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="6000,4000"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พิเศษอีกขั้น! สมาชิก The 1 แลกคะแนนบน The 1 APP เริ่มต้น 250 คะแนน เพื่อรับขนมหรือเครื่องดื่มฟรี หรือแลก 600 คะแนนรับส่วนลด 100 บาท ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นในเครือเซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป ทุกสาขาทั่วไทย ดังนี้ &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;•	มิสเตอร์ โดนัท แลก 680 คะแนน รับฟรี โดนัท 4 ชิ้น (ชิ้นละ 29 บาท) มูลค่า 116 บาท, แลก 480 คะแนน รับฟรี พอน เดอ ริง 3 ชิ้น (ชิ้นละ 29 บาท) มูลค่า 87 บาท *สามารถกดรับสิทธิ์และใช้สิทธิ์ได้ในวันที่ 1 ก.พ. 66 - 31 ธ.ค. 66 &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;•	อานตี้ แอนส์ แลกเพียง 250 คะแนน รับฟรี Savory Pretzel 1 ชิ้น มูลค่า 35 บาท, แลกเพียง 390 คะแนน รับฟรี Sweet Stix 1 กล่อง มูลค่า 49 บาท, แลก 700 คะแนน รับฟรี Almond Pretzel และ Lemonade 22 oz. มูลค่า 104 บาท, แลกเพียง 490 คะแนน รับฟรี Cheesy Chicken Bites 1 กล่อง มูลค่า 62 บาท, แลก 550 คะแนน รับฟรี Mini Pretzel Dog 1 กล่อง มูลค่า 69 บาท, แลก 470 คะแนน รับฟรี Lemonade 22 oz. 1 แก้ว มูลค่า 59 บาท *สามารถกดรับสิทธิ์และใช้สิทธิ์ได้ในวันที่ 20 ม.ค. - 31 ธ.ค. 66 &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;•	โคล สโตน ครีมเมอรี่ แลก 300 คะแนน รับสิทธิ์ซื้อ Sundae Size Regular 1 ถ้วย เพียง 49 บาท จาก ปกติ 99 บาท, แลก 600 คะแนน รับฟรี Lucky Cone 1 โคน มูลค่า 85 บาท *สามารถกดรับสิทธิ์และใช้สิทธิ์ได้ในวันที่ 20 ม.ค. - 31 ม.ค. 67 &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;•	อาริกาโตะ แลก 250 คะแนน รับฟรี เครื่องดื่มเย็นขนาด 22 oz. 1 แก้ว มูลค่า 50 บาท เฉพาะเมนูที่ร่วมรายการ *สามารถกดรับสิทธิ์และใช้สิทธิ์ได้ในวันที่ 20 มี.ค. 66 - 31 ธ.ค. 66 &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;•	บราวน์ คาเฟ่ แลก 500 คะแนน รับฟรี Brown Royal Premium Milk Tea หรือ Brown Sugar Pearl with Milk 1 แก้ว มูลค่า 70 บาท *สามารถกดรับสิทธิ์และใช้สิทธิ์ได้ในวันที่ 15 มี.ค. - 31 ธ.ค. 66 &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;•	เปปเปอร์ ลันช์, ชาบูตง ราเมน, โยชิโนยะ, โอโตยะ, เทนยะ และคัตสึยะ แลกเพียง 600 คะแนน รับส่วนลด 100 บาท สำหรับเมนูราคาปกติ *สามารถกดรับสิทธิ์และใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันนี้-31 ธ.ค. 66&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดาวน์โหลด The 1 App เพื่อติดตามข่าวสาร โปรโมชั่นและสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ทั้งบน App Store, Play Store และ Huawei AppGalleryhttps://offers.onelink.me/H3Sq/d6gcyftr &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%8D-robinson-happy-mothers-day-%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%B1%E0%B8%81" alt="โรบินสัน เปิดแคมเปญ “ROBINSON HAPPY MOTHER’S DAY” กระตุ้นตลาดค้าปลีกวันแม่คึกคัก">โรบินสัน เปิดแคมเปญ “ROBINSON HAPPY MOTHER’S DAY” กระตุ้นตลาดค้าปลีกวันแม่คึกคัก</a> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

The 1 ร่วมกับ ซีอาร์จี มอบสิทธิ์สะสมและแลกคะแนน The 1 ได้ ทุกร้านอาหารในเครือกว่า 16 แบรนด์ ทุกสาขาทั่วประเทศ

CRG กางยุทธศาสตร์ “GREATER WE: ซีอาร์จีจะยิ่งใหญ่กว่าเดิม” เสริมแกร่งอาณาจักรร้านอาหาร

<h3>เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป CRG ขนทัพแบรนด์อาหารไทย-จีน “ไทยเทอเรส  อร่อยดี  เกาลูน  ส้มตำนัว” เปิดแผนรุกลงสนามเดลิเวอรี่ครึ่งปีหลังงัดกลยุทธ์การตลาดแบบนิวนอร์มอลให้สอดคล้องกับสถานการณ์ พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจเร่งการเติบโตยุคโควิด-19</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-49920" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/ธนพล-ธรรพสิทธิ์.jpg" alt="" width="600" height="333" />

ธนพล ธรรพสิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส กลุ่ม Thai &amp; Chinese Cuisine บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของ Thai &amp; Chinese Cuisine ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 มีการเติบโตขึ้นร้อยละ 10 โดยตัวเลขรายได้ในปี 2653 อยู่ที่ประมาณ 270 ล้าน ซึ่งการเติบโตมาจากการพัฒนาโมเดลใหม่เพิ่มเติม เช่น Kiosk รวมถึงการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ธุรกิจร้านอาหารประเทศไทยยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่องจากผลกระทบของการระบาดโควิด-19 ที่มีผลให้สภาพแวดล้อมธุรกิจร้านอาหารต้องปรับตัวเพื่อรับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ทั้งจากมาตรการการควบคุมการระบาดของภาครัฐ และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ได้รับผลจากการปรับตัวของการจ้างงานเช่นเดียวกัน พร้อมคาดการณ์ว่า ธุรกิจร้านอาหารที่มีมูลค่าประมาณ 4  แสนล้านบาทจะขยายตัวเพียงราวร้อยละ 1.4 - 2.6

ดังนั้น จากปัจจัยที่มีผลกระทบกับธุรกิจอาหารในภาพรวมนำมาสู่การปรับตัวของภาคธุรกิจเพื่อให้เกิดการแข่งขันได้ โดยในส่วนของ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด หรือ ซีอาร์จี (CRG)  ได้ดำเนินการปรับโครงสร้างของการบริหาร และปฏิบัติงานมุ่งเน้นในการบริหารจัดการในแต่ระบบให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น  ไม่ว่าจะเป็น ด้านแผนการบริหารจัดการต้นทุน กลยุทธ์การตลาด การสื่อสารประชาสัมพันธ์ และการส่งเสริมการขาย

สำหรับแผนการบริหารจัดการต้นทุน เช่น การพัฒนาทักษะพนักงาน (Multi-Function) โดยดึงศักยภาพของพนักงานให้สามารถทำได้หลายหน้าที่ รวมถึงด้านการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบ โดยเฉพาะการควบคุมความสูญเสียและการจัดหาพื้นที่ทำ Delivery ตลอดจนการเจรจาค่าเช่าที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้การบริหารจัดการต้นทุนและการดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

นอกจากนั้น บริษัทยังให้ความสำคัญกับการเดินหน้ากลยุทธ์การตลาดเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แบรนด์เป็นส่วนหนึ่งของผู้บริโภค พร้อมสร้างประสบการณ์ความประทับใจและความผูกพันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ด้วยการทำการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์บนฐานข้อมูล (Data – Driven Everything) เพิ่มขีดความสามารถในแนวรุกของตลาดออนไลน์จากจำนวนลูกค้าที่สั่งอาหารออนไลน์ในปัจจุบันมากกว่าร้อยละ 90 ทั้งช่องทาง Google trend, Tiktok, Twitter เป็นต้น

<img class="alignnone size-large wp-image-49921" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/2.เมนู-Takeaway-Delivery-จากอร่อยดี.jpg" alt="" width="350" height="532" />

ขณะเดียวกันยังเลือกใช้ผู้นำเทรนด์ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการบริโภคคนรุ่นใหม่ที่รับรู้จากสื่อออนไลน์เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น การสื่อสารเมนูใหม่ๆ ผ่าน KOLs, Food Influencer จึงมีผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง พร้อมยังคงจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย โดยเน้นเรื่องความแตกต่าง โปรโมชั่น ราคา และภาพลักษณ์ของสินค้าให้เข้าถึงลูกค้ามากที่สุด

“ทุกแบรนด์ต้องเร่งปรับตัว และปรับกลยุทธ์ให้รวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขยายช่องทางการขาย โมเดลใหม่ เช่น บริการเดลิเวอรี่ รวมถึงการพัฒนาเมนู ราคา และโปรโมชั่นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค”

ธนพลย้ำถึงความสำคัญของการปรับโครงสร้างของการบริหารงานระบบและการปรับเปลี่ยนส่วนของพื้นที่ร้านและทำเลที่ตั้งร้านเพื่อให้เหมาะกับสัดส่วนการขายและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งในภาพรวมมีการแบ่งสัดส่วนช่องทางการจัดจำหน่ายเอาไว้อย่างชัดเจนทั้ง ช่องทาง การนั่งทานที่ร้านและซื้อกลับบ้าน (Dine In &amp; Take away) และ เดลิเวอรี่ (Delivery)

ดังนั้น ในปี 2564 บริษัทจึงปรับสัดส่วนการนั่งรับประทานอาหารที่ร้านและซื้อกลับบ้านลงจากร้อยละ 70 ในปีก่อนหน้าเป็นร้อยละ 60 และช่องทางการขายเดลิเวอรีเพิ่มจากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 40 พร้อมปรับเปลี่ยนภาพรวมการขายและรูปแบบของสาขาให้สอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์ของภาพรวมธุรกิจอาหาร การควบคุมการระบาดโควิด-19  และพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใช้เวลาทำงานและอยู่ที่บ้านมากกว่า

“เดลิเวอรี่จะเติบโตอย่างมากต่อจากนี้ โดยเป็นการโตได้มากเป็นเท่าตัว ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการปรับตัว และการพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ ๆ เช่น Fantastic 4 การสั่งอาหารที่ทำได้ครบจบในแอปเดียว ทั้งยังมีการเพิ่มเมนู Take away และเน้นสัดส่วนการขายเดลิเวอรี่มากขึ้น การเพิ่มโลเคชั่นหาพื้นที่ Cloud Kitchen รองรับการขายเดลิเวอรี่ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง รวมถึงการพัฒนากลยุทธ์การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยดาต้าทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ พร้อมอาวุธสำคัญช่วงครึ่งปีหลังจากแบรนด์ล่าสุด “ส้มตำนัว” ที่จะเข้ามาเสริมทัพแบรนด์ในกลุ่มและขยายฐานลูกค้าให้หลากหลาย โดยเน้นสัดส่วนการขายช่องทางดลิเวอรี่เป็นหลัก”

ทั้งนี้ ในปัจจุบันบริษัทมีสาขาร้านอาหารจำนวน 67 สาขา โดยทุกสาขาตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครแบ่งเป็น แบรนด์ไทยเทอเรส จำนวน  17 สาขา  อร่อยดี  33 สาขา  เกาลูน  10 สาขา ส้มตำนัว  7 สาขา รวมทั้ง แบรนด์ โตเกียว โบวล์  (Tokyo Bowl) ซึ่งเป็น Virtual Brand อีก 50 สาขา

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/gs-retail-%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b8%a5-yogiyo-%e0%b9%80%e0%b8%aa%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%a1%e0%b8%97%e0%b8%b1%e0%b8%9e%e0%b8%84%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%9b%e0%b8%a5%e0%b8%b5.html">GS Retail ปิดดีล Yogiyo เสริมทัพค้าปลีก ชิงส่วนแบ่งในตลาดส่งอาหารเกาหลีใต้</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a> 

&nbsp;

CRG เดินเกมรุกเดลิเวอรีโค้งสุดท้ายปี 64

<h2>CRG จัดเต็มงัดแผนธุรกิจชุดใหญ่ “CRG 2021: TRANSFORM FOR THE FUTURE” รับเศรษฐกิจพลิกฟื้น กำลังซื้อเติบโต ลุย 5 กลยุทธ์หลักตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ลูกค้า ผนึกกำลัง (Synergy) โชว์จุดแข็ง 16 แบรนด์ร้านอาหารในเครือ</h2>
Highlight
- CRG ผนึกกำลังร้านอาหาร 16 แบรนด์ ชูจุดขายใหม่ Shop in Shop - Cross Sale
- ขยายสาขาโมเดลใหม่ ส่ง Mobile Box Model บุกปั๊มน้ำมัน
- เดินหน้าขยายดีลิเวอรี่ ปูพรม Cloud Kitchen ตั้งเป้า 50 แห่ง

ณัฐ วงศ์พานิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (Central Restaurants Group Co., Ltd) หรือ “ซีอาร์จี (CRG)” เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมรุกธุรกิจพลิกฟื้นการเติบโตในปี 2564 หลังจากรัฐบาลเดินหน้าแผนกระจายวัคซีนโควิด-19 อย่างทั่วถึงและประเทศไทยมีสัญญาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจชัดเจนมากขึ้น ทั้งในแง่กำลังซื้อและความเชื่อมั่นในการจับจ่ายของผู้คน โดยซีอาร์จีกำหนดยุทธศาสตร์เดินหน้าชุดใหญ่ภายใต้แผน CRG 2021: TRANSFORM FOR THE FUTURE สู่เป้าหมายการเป็นเครือข่ายร้านอาหารที่ก้าวข้ามทุกข้อจำกัด

<img class="alignnone size-full wp-image-43498" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/CRG_003.jpg" alt="" width="600" height="428" />

ชู 5 กลยุทธ์หลัก 

ทั้งนี้บริษัทจะมุ่งเน้น 5 กลยุทธ์หลัก ประกอบด้วย กลยุทธ์การขยายช่องทางการตอบโจทย์ลูกค้าอย่างหลากหลายและครบถ้วนใน 1 มื้อ (New Way to Serve the Customers) อาศัยจุดแข็งด้านเครือข่ายร้านอาหารทั้ง 16 แบรนด์ จำนวนสาขามากกว่า 1,100   สาขา พนักงานมากกว่า 10,000 คน และเมนูที่มีมากกว่า 800 เมนู รองรับความต้องการของลูกค้าทุกรูปแบบ ทุกกลุ่มอายุ และทุกไลฟ์สไตล์

โดยเฉพาะรูปแบบร้านแนวใหม่ Shop in Shop ซึ่งนำร่องเปิดเคาน์เตอร์อาริกาโตะร่วมกับร้านมิสเตอร์ โดนัท และกลยุทธ์ Cross Sale ของทุกแบรนด์ในเครือ เช่น นำเมนูจาก บราวน์ คาเฟ่ (Brown Café) ขายในร้านคัตสึยะเพื่อเพิ่มทางเลือกใหม่ ๆ และตอบโจทย์ลูกค้าได้ครบถ้วนมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะขยายสาขาที่มีบริการ Cross Sale ได้มากกว่า 400 สาขา

การผนึกกำลังกันของแบรนด์ในเครือเพื่อพัฒนาสินค้าและบริการ อาทิ ล่าสุดแบรนด์ไทยเทอเรส และ อร่อยดี นำร่องขานรับนโยบายปลด ล็อกกัญชา ร่วมกันพัฒนาเมนูอาหารมากกว่า 10 เมนู ที่ปรุงจากใบกัญชาออร์แกนิกที่สั่งซื้อจาก วิสาหกิจชุมชนผัก พืชสมุนไพรและพืชพลังงาน ตำบลพนมรอก จ.นครสวรรค์ ที่ได้รับมาตรฐาน ควบคุมคุณภาพการปลูกทุกขั้นตอน จึงมั่นใจได้ในคุณภาพใบกัญชาที่สดใหม่ ปลอดภัย และมีคุณภาพดี รวมทั้งมีแผนขยายไปยังแบรนด์อื่น ๆ ในเครือซีอาร์จีต่อไป

กลยุทธ์การขยายสาขาโมเดลใหม่ที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์ลูกค้า (New Way to Expand) และเน้นการมองหาพื้นที่ใหม่ ๆ โดยเฉพาะปีนี้เตรียมเปิดตัว Mobile Box Model ในสถานีบริการน้ำมันและมินิคีย์ออส (Mini Kiosk) ต่อจากโมเดลร้านเดลโก้ (Delco) ที่เปิดตัวก่อนหน้านี้และขยายสาขาได้คล่องตัว เข้าถึงกลุ่มลูกค้าในสถานที่และแหล่งชุมชนต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ

กลยุทธ์เดินหน้าบริการดีลิเวอรี่และคลาวด์คิทเช่น (Delivery &amp; Cloud Kitchen) โดยวางเป้าหมายจะขยายจุดบริการ  ดีลิเวอรี่ครอบคลุมมากที่สุด ส่วนคลาวด์คิทเช่นจะขยายครบ 15 แห่งภายในปีนี้ และปูพรมทั่วประเทศอย่างน้อย 50 แห่ง ภายในปี 2566 มีการจับมือกับพาร์ตเนอร์รายใหม่ๆ เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งในทุกด้าน

กลยุทธ์การรุกช่องทางออนไลน์และเจาะกลยุทธ์ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งมากขึ้น (Go Digital &amp; Omnichannel) มุ่งโฟกัส O2O หรือ Online to Offline (ออนไลน์ทูออฟไลน์) เพิ่มช่องทางการจำหน่ายผ่าน  อีคอมเมิร์ซและระบบแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ชั้นนำต่างๆ เช่น JD Central, Shopee และ LAZADA

ส่วนกลยุทธ์สุดท้ายเป็นแผนรุกขยายแบรนด์ใหม่ ร้านอาหารแนวใหม่และธุรกิจใหม่ (New Brand &amp; Business) โดยปีนี้ ซีอาร์จีจะมีแบรนด์ร้านอาหารใหม่เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2-3 แบรนด์ และยังเปิดกว้างความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์รายใหม่ เพราะถือเป็นยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจที่สามารถฝ่าวิกฤตโควิดและประสบความสำเร็จ ทั้งการผลักดันยอดขายปีที่ผ่านมาเติบโตมากกว่า 2 เท่า แบบ win-win ทั้งสองฝ่าย

“ปีที่ผ่านมา ซีอาร์จี มีพาร์ตเนอร์รายใหม่และประสบความสำเร็จมาก อย่าง Salad Factory สามารถผลักดันยอดขายผ่านช่องทางดีลิเวอรี่เติบโตสูงถึง 400% และในปีนี้ตั้งเป้าผลักดันยอดขายรวมเติบโต 2 เท่า รวมทั้งจับมือกับ OR ขยายเครือข่ายร้านกาแฟคาเฟ่อะเมซอนในประเทศเวียดนาม ล่าสุดเปิดสาขาแล้ว 5 แห่ง ภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือนนับจากสาขาแรกเมื่อเดือนตุลาคม 2020 และได้รับการตอบรับจากชาวเวียดนามอย่างดีเยี่ยม”

<img class="alignnone size-full wp-image-43501" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/CRG_007.jpg" alt="" width="600" height="400" />

มั่นใจเศรษฐกิจปี 64 ตั้งเป้าเติบโตกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท

นายณัฐย้ำว่า ช่วงวิกฤตโควิดตลอดปี 2563 ซีอาร์จีมีการปรับแผนงานต่อเนื่องให้ทันกับทุกสถานการณ์และอาศัยความแข็งแกร่งผ่านพ้นปัจจัยลบต่างๆ แม้ภาพรวมรายได้ปีที่ผ่านมาไม่เติบโต แต่สามารถดับเบิลเซลผ่านช่องทางใหม่ๆ และธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะดีลิเวอรี่และออนไลน์มาร์เก็ตติ้ง อัตราเติบโตสูงมาก

สำหรับปี 2564 บริษัทมั่นใจเศรษฐกิจไทยเริ่มพลิกฟื้นจากการควบคุมการแพร่ระบาดโควิดที่ดีเยี่ยมของทางการ แม้เกิดเหตุแพร่ระลอกใหม่หรือเกิดคลัสเตอร์ใหม่ๆ สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า เริ่มมีการจ้างงานและการท่องเที่ยวน่าจะกลับมาเติบโตได้ในเร็วๆ นี้ โดยซีอาร์จีเตรียมพร้อมทุกด้านและตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้จะเติบโตจากปีก่อนราวร้อยละ 18-20 หรือมากกว่า 12,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ทิศทางการแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารจะรุนแรงมากขึ้นและเน้นสมรภูมิดีลิเวอรีกับดิจิทัลออนไลน์ เนื่องจากการแข่งขันไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่มเชนธุรกิจอาหารรายใหญ่อีกต่อไปแล้ว แต่ยังมีกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่นอกธุรกิจอาหารที่กระโดดเข้ามาเป็นผู้เล่นใหม่ กลุ่มเอสเอ็มอี และกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยที่สนใจทำธุรกิจอาหาร ซึ่งทำให้ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารน่าจะยังมีแนวโน้มเติบโตได้

<img class="alignnone size-full wp-image-43499" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/CRG_004.jpg" alt="" width="600" height="208" />

<img class="alignnone size-full wp-image-43500" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/03/CRG_006.jpg" alt="" width="450" height="387" />

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%88-%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%A3-%E0%B8%8A%E0%B8%B9%E0%B8%81.html">บลจ.เกียรตินาคินภัทร ชูกองทุนแฟล็กชิป KKP G-THEME-H</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events