<h2>Porsche เตือนลูกค้าผู้ซื้อรถยนต์ในสหราชอาณาจักร ว่าพวกเขาอาจจะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้น 10 % หลัง Brexit อังกฤษออกจากสหภาพยุโรป</h2>
โดยอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้น 10% ที่ <strong>Porsche</strong> ระบุดังกล่าวเป็นภาษีการนำเข้ายานยนต์ ภายใต้กฎเกณฑ์ขององค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในกรณีที่เกิด Brexit เเบบไม่มีข้อตกลง หรือ<strong> No-deal Brexit </strong> ซึ่งกระบวนการทั้งหลายต้องเสร็จสิ้นและบรรลุข้อตกลงก่อนวันที่ 29 มีนาคมนี้

อุตสาหกรรมรถยนต์จะมีความเสี่ยงอย่างมาก หากสหราชอาณาจักรออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (EU) แบบไร้ข้อตกลง เนื่องจากผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของบริษัทจะต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราที่สูง ขณะเดียวกันบริษัทที่มีฐานการผลิตในสหราชอาณาจักรก็อาจจะต้องเผชิญกับปัญหา supply chains หากมีความล่าช้าในเขตชายเเดน
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/motoring/no-deal-brexit-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89-ford-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2.html">No-deal Brexit อาจทำให้ Ford มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึง 1 พันล้านเหรียญ</a></li>
</ul>
Porsche ระบุในเเถลงการณ์ว่า การเจรจา Brexit มีความเป็นไปได้สูงที่อาจจะมีการเรียกเก็บภาษีสำหรับรถยนต์ที่นำเข้ามาในสหราชอาณาจักรหลังจากวันที่ 29 มีนาคม ถึง 10% ซึ่งทางบริษัทเลือกที่จะเเจ้งเตือนกับลูกค้า เพื่อให้พวกเขาได้รับรู้ถึงผลกระทบนี้ โดยจะมีการเเจ้งต่อลูกค้าอย่างครบถ้วน ณ จุดขาย เพื่อให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจปรับเปลี่ยนการสั่งซื้อของพวกเขาได้ เเละเป็นข้อควรระวังเพื่อให้ลูกค้าได้วางเเผนล่วงหน้า

อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนี้จะไม่ถูกนำไปใช้กับลูกค้าที่วางเงินมัดจำให้กับ Porsche ก่อนวันที่ 17 มกราคม เเละตอนนี้ยังไม่มีความเเน่ชัดว่าทางบริษัทจะนำไปใช้กับเเบรนด์อื่นๆ ในเครือ Volkswagen Group  อย่าง Volkswagen , Audi , Bentley เเละ Lamborghini หรือไม่

<strong>สำหรับเเบรนด์ Porsche ของ  Volkswagen Group ซึ่งผลิตรถยนต์ในเยอรมนีเเละสโลวาเกีย มีสหราชอาณาจักรเป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุด ด้วยยอดขาย 12.5 หมื่นคันในปี 2018 จากยอดขายทั่วโลกที่ 2.56 เเสนคัน</strong>

ราคารถยนต์ของ Porsche รุ่น Macan sports ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสหราชอาณาจักร เริ่มต้นที่ 4.6 หมื่นปอนด์ ซึ่งหมายความว่าผู้ซื้อใหม่ที่ได้รับรถยนต์หลัง Brexit อาจต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมถึง 4.6 พันปอนด์

ขณะที่รถสปอร์ตยอดนิยมในสหราชอาณาจักรอีกรุ่นของ Porsche อย่าง 718 Boxster Cayman นั้นมีราคาอยู่ระหว่าง 4.4 หมื่นปอนด์ถึง 6 หมื่นปอนด์ เเละรถสปอร์ต 911 รุ่น Panamera saloon และ Cayenne SUV ขนาดใหญ่บางรุ่นมีมูลค่ามากกว่า 1 เเสนปอนด์
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/motoring/porsche-%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1-taycan.html">Porsche วางแผนผลิต “รถยนต์ไฟฟ้า” รุ่น Taycan เพิ่มเท่าตัว ชูจุดเด่นรถอีวีหรูแย่งลูกค้า Tesla</a></li>
</ul>
ด้านสมาคมผู้ผลิตยานยนต์และผู้ค้าขาย (SMMT) ระบุว่าการเก็บภาษีนำเข้าเพียงอย่างเดียวอาจจะเพิ่มราคารถยนต์ยี่ห้อต่างๆ ที่นำเข้าระหว่างสหราชอาณาจักรเเละยุโรป โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.5 พันปอนด์
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/motoring/jaguar-land-rover-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99-4-5-%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95.html">Jaguar Land Rover ประกาศลดพนักงาน 4.5 พันตำเเหน่ง หลังยอดขายในจีนลดฮวบ-กังวล Brexit </a></li>
</ul>
ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.theguardian.com/business/2019/feb/15/porsche-asks-uk-buyers-to-commit-to-10-no-deal-brexit-surcharge">Porsche asks UK buyers to commit to 10% no-deal Brexit surcharge</a></li>
 	<li><a href="https://www.bbc.com/news/business-47270616">Porsche warns UK customers of Brexit price rise</a></li>
</ul>
&nbsp;

ภาพ : 2020 Porsche 911 Carrera 4S

Porsche เตือนผู้ซื้อรถยนต์ในสหราชอาณาจักร อาจต้องจ่ายเงินเพิ่ม 10 % หลัง Brexit

<h2 class="p2"><span class="s1">Ford Motor </span>ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลก อาจจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นกว่า<span class="s1"> 1 </span>พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หากสหราชอาณาจักรออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป เเบบไม่มีข้อตกลง หรือ No-deal Brexit โดยจะเป็นค่าใช้จ่ายด้านภาษีศุลกากรตามองค์การการค้าโลกเเละผลกระทบจากค่าเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลง</h2>
<p class="p2">“ผลกระทบจาก Brexit ที่มีต่อ <span class="s1">Ford </span>นั้นคิดเป็นมูลค่าระหว่าง<span class="s1"> 500-1,000 </span>ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆหลายประการ<span class="s1">” Ford </span>ระบุในเเถลงการณ์</p>
<p class="p2">ทั้งนี้ สำนักข่าว<span class="s1"> Sky News </span>รายงานเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า<span class="s1"> Ford </span>อาจต้องเเบกรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นกว่า<span class="s1"> 800 </span>ล้านเหรียญสหรัฐฯ</p>
<p class="p2">ด้านผู้ผลิตรถยนต์หลายเเห่ง ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมอื่นๆ รวมถึงบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่อย่าง<span class="s1"><span class="Apple-converted-space"> </span><a href="https://learningenglish.voanews.com/a/airbus-warns-it-could-leave-uk-in-event-of-no-deal-brexit/4757431.html"><strong>Airbus</strong> </a></span>ต่างกังวลต่อค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นหากเกิด Brexit เเบบไร้ข้อตกลงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลต่อภาษีที่สูงขึ้น ผลกระทบด้าน Supply Chain เเละการจ้างงาน โดยซีอีโอของ <span class="s1">Airbus </span>ชี้ว่าอาจจำเป็นต้องโยกย้ายการลงทุนไปที่อื่นในอนาคต</p>

<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/motoring/jaguar-land-rover-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99-4-5-%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95.html">Jaguar Land Rover ประกาศลดพนักงาน 4.5 พันตำเเหน่ง หลังยอดขายในจีนลดฮวบ-กังวล Brexit</a></li>
</ul>
<h2 class="p2">นับถอยหลังสู่<span class="s1"> Brexit </span></h2>
<p class="p2">อังกฤษเตรียมตัวจะออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปในอีก<span class="s1"> 63 </span>วัน เเต่ทว่านายกรัฐมนตรี<span class="s1"><strong> Theresa May</strong> </span>ของอังกฤษ ยังไม่สามารถขอเสียงสนับสนุนจากรัฐสภาถึงข้อตกลงในรายละเอียดของ Brexit ที่จะนำไปต่อรองกับทางสหภาพยุโรปได้ ทำให้บริษัทต่างๆ กังวลถึงความเป็นไปได้ว่าจะมี No-deal Brexit เกิดขึ้นจริง เเละคาดว่าจะเกิดความยุ่งยากตามมา</p>
<p class="p2"><strong>Bob Shanks</strong> ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ <span class="s1">Ford </span>เผยว่าทางบริษัทได้เตรียมเเผนรับมือไว้เเล้ว <span style="color: #ff0000;"><span class="s1">“</span>เราได้เริ่มดำเนินงานอย่างชัดเจนเเล้วในกรณีที่เกิด hard Brexit”</span></p>
<p class="p2">โดย <span class="s1">Ford </span>เคยประเมินไว้เมื่อเดือนมีนาคมปีท่ีเเล้วว่า ในกรณีที่เกิด <strong>“hard Brexit”</strong> อัตราภาษีตามองค์การการค้าโลกจะอยู่ที่ 10% สำหรับการนำเข้าเเละส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปี</p>
<p class="p2">ทั้งนี้ <span class="s1">Ford </span>เป็นเเบรนด์ยานยนต์ที่มียอดขายสูงสุดในสหราชอาณาจักร มีโรงงานผลิตเครื่องยนต์ขนาดใหญ่<span class="s1"> 2 </span>แห่งที่นี่เเละมีพนักงานทั้งสิ้นกว่า<span class="s1"> 1.3 </span>หมื่นคน เเละเมื่อวันที่<span class="s1"> 10 </span>มกราคมที่ผ่านมา เพิ่งประกาศปรับลดพนักงานไปหลายพันอัตราในยุโรป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในเเผนการลดค่าใช้จ่ายเเละคืนกำไรในภูมิภาคนี้</p>

<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/motoring/gm-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D.html">GM ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ปลดพนักงาน 15% ปิดโรงงาน 8 แห่ง มุ่งพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า</a></li>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/news/global/%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81.html">จีนเตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ปีนี้ หลัง GDP ปี 2018 โตเพียง 6.6% ต่ำสุดในรอบ 28 ปี</a></li>
</ul>
&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.reuters.com/article/uk-britain-eu-ford/no-deal-brexit-would-cost-ford-up-to-1-billion-idUSKCN1PI1VD">Reuters : No-deal Brexit would cost Ford up to $1 billion</a></li>
 	<li><a href="https://news.sky.com/story/hard-brexit-will-cost-ford-800m-this-year-carmaker-warns-11616204">Sky News : Hard Brexit will cost Ford £615m this year, carmaker warns</a></li>
</ul>
ภาพ AFP

No-deal Brexit อาจทำให้ Ford มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึง 1 พันล้านเหรียญ

<h2>คณะกรรมาธิการยุโรปขอความร่วมมือประเทศสมาชิก เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบโครงการ วีซ่าและพาสปอร์ตทองคำ (golden visas and passports) เพื่อป้องกันการเลี่ยงภาษีและการฟอกเงิน</h2>
<strong>Vera Jourova</strong> กรรมาธิการด้านระบบยุติธรรมของคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) เปิดเผยว่า ตลอด 1 ทศวรรษที่ผ่านมา สหภาพยุโรป (EU) มีการออกสถานะผู้อยู่อาศัยพิเศษที่เรียกว่า <strong>"วีซ่าทองคำ"</strong> ให้แก่พลเมืองต่างชาติกว่า 1 เเสนคน และมอบสัญชาติกิตติมศักดิ์ ให้แก่ชาวต่างชาติที่มีฐานะร่ำรวย ที่เรียกว่า<strong> "หนังสือเดินทางทองคำ"</strong> แก่พลเมืองมากกว่า 6 พันคนที่เข้ามาลงทุน โดยสร้างรายได้มากกว่า 2.5 หมื่นล้านยูโร (2.8 หมื่นล้านเหรียญ)

ในหลายประเทศสมาชิก EU นักลงทุนต่างชาติที่ร่ำรวยสามารถเป็นเจ้าของพาสปอร์ตของประเทศเหล่านั้นได้ทันที หากมีการนำเงินมาลงทุนมากพอ เเละบางประเทศอนุญาตให้ชาวต่างชาติที่ร่ำรวยสามารถซื้อหนังสือเดินทางได้ <span style="color: #ff0000;">โดยไซปรัส มอลตา และบัลแกเรีย เป็น 3 ประเทศที่สามารถขอวีซ่าทองคำหรือหนังสือเดินทางทองคำได้ "ง่ายที่สุด" ด้วยวงเงินลงทุนขั้นต่ำระหว่าง 8 เเสนยูโรถึง 2 ล้านยูโร</span>
<ul>
 	<li><a href="http://forbesthailand.com/commentaries/wealth-management/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4.html">การลงทุนใน “สัญชาติ” และ “ชายหาด” งามๆ ไม่ใช่เรื่องสงวนเฉพาะมหาเศรษฐีอีกต่อไป</a></li>
</ul>
ขณะที่ประเทศสมาชิก EU ส่วนใหญ่ มีการกำหนดเงื่อนไขการลงทุน เช่นการฝากเงินกับสถาบันการเงินในประเทศ ไปจนถึงการถือหุ้นในบริษัทหรือร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อแลกกับสิทธิพิเศษนี้

สเปน ไซปรัส โปรตุเกสและสหราชอาณาจักร เป็นประเทศที่ได้รับการลงทุนสูงสุดในโครงการตอบเเทนด้วยวีซ่าเเละพาสปอร์ตทองคำ โดยสเปนได้รับเงินลงทุนสูงถึง 976 ล้านยูโรต่อปี ส่วนสหราชอาณาจักรอยู่ที่ 498 ล้านยูโรต่อปี

https://twitter.com/EU_Justice/status/1088028663122182144?ref_src=twsrc%5Etfw%7Ctwcamp%5Etweetembed%7Ctwterm%5E1088028663122182144&amp;ref_url=https%3A%2F%2Fwww.dailynews.co.th%2Fforeign%2F689493

EC ระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมามีบุคคลบางกลุ่มอาศัยช่องทางนี้เพื่อการทำการผิดกฎหมาย โดยเฉพาะการฟอกเงินเเละหลีกเลี่ยงภาษี จึงต้องขอความร่วมมือให้ประเทศสมาชิกร่วมกันตรวจสอบพฤติกรรมเเละเส้นทางการเงินของบุคคลในโครงการ เพื่อความโปร่งใสเเละภาพลักษณ์ที่ดีของสหภาพยุโรป โดยจะมีการจัดทำนโยบายเรื่องนี้อย่างจริงจังภายในสิ้นปีนี้ พร้อมการจัดตั้งทีมพิเศษเเละเพิ่มการเเลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันมากขึ้น

&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.france24.com/en/20190123-eu-urges-crackdown-golden-visas-passports">AFP : EU urges crackdown on 'golden visas and passports</a></li>
 	<li><a href="https://www.voanews.com/a/eu-calls-for-tougher-checks-on-golden-visa-applicants/4755239.html">VOA : EU Calls for Tougher Checks on Golden Visa Applicants</a></li>
</ul>
ภาพ AFP

EU ขอประเทศสมาชิก คุมเข้มตรวจสอบ "วีซ่าและพาสปอร์ตทองคำ"

<h2>เหตุที่การเลือกตั้งประจำปี 2017 ครั้งนี้ของฝรั่งเศสร้อนแรงและเป็นที่จับตามองอย่างยิ่ง เนื่องมาจากสตรีวัย 48 ปี หนึ่งในผู้สมัครรับเลือกตั้ง “Marine Le Pen” เป็นตัวเก็งในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและเธอคือผู้นำพรรค Front National (FN) ซึ่งเป็นพรรคขวาจัด มีแนวนโยบายสำคัญอย่างหนึ่งคือการนำประเทศฝรั่งเศสออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) หรือที่เธอเรียกมันว่า “Frexit” เช่นเดียวกับที่อังกฤษได้เริ่มกระบวนการดังกล่าวไปแล้ว</h2>
และจากการเลือกตั้งรอบแรกเมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา จาก 11 ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ผลปรากฏว่า สองผู้สมัครที่มีคะแนนนำ ได้แก่ <strong>Emmanuel Macron</strong> ผู้ก่อตั้งพรรค <strong>En Marche!</strong> ซึ่งถือเป็นพรรคสายกลาง เน้นแนวคิดเสรีนิยมทางเศรษฐกิจ มีผลโหวต 24.01% นำเป็นอันดับหนึ่ง และ <strong>Marine Le Pen</strong> ตามมาเป็นอันดับสอง ด้วยคะแนนเลือกตั้ง 21.3%

นอกจากนี้ ผู้สมัครที่ได้รับคะแนนสูงยังมี <strong>Francois Fillon</strong> จากพรรค <strong>Republican</strong> ตัวเก็งอีกรายหนึ่ง ได้คะแนนคิดเป็น 20.01% และ <strong>Jean-Luc Melenchon</strong> จากพรรค <strong>La France Insoumise</strong> มีผลโหวต 19.58%

<img style="width: 680px; height: 334px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1a393d7d5e967cd65a2078f16fdb1ec7.png" alt="" />

อย่างไรก็ตาม ตามกติกาการเลือกตั้งฝรั่งเศส หากไม่มีผู้สมัครรายใดได้รับผลโหวตมากกว่า 50% ตั้งแต่รอบแรก จะทำให้ต้องเลือกตั้งรอบที่สอง โดยจะแข่งขันเลือกตั้งกันเฉพาะผู้มีคะแนนสูงสุดสองอันดับแรกจากการโหวตรอบแรก ซึ่งนั่นหมายถึง Macron และ Le Pen จะต้องลงแข่งขันอีกครั้งในวันที่ 7 พฤษภาคมนี้

<span style="color: #ff0000;">จากผลโพลสำรวจของ IFOP (สถาบันวิจัยความคิดเห็นสาธารณะแห่งฝรั่งเศส) สอบถามประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งว่า หากมีการเลือกตั้งรอบที่สอง โดยมีสองตัวเลือกคือ Macron กับ Le Pen พวกเขาจะเลือกใคร ปรากฏว่า Macron มีคะแนนนำที่ 60.93% ส่วน Le Pen มีผลโพลที่ 39.07%</span>

ถึงแม้กระแสประชาชนที่สนับสนุนการเป็นสมาชิก EU ต่อไปดูจะ “ใจชื้น” ขึ้นมาบ้างหลังการเลือกตั้งรอบแรก เนื่องจาก Macron มีคะแนนนำ และ Fillon ผู้ได้อันดับสามเองก็ประกาศสนับสนุน Macron ในทันที ซึ่งน่าจะจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เลือก Fillon ไปในรอบแรก หันมาเลือก Macron ทดแทน

<span style="color: #ff0000;">แต่ผลโพลและกระแสในสื่อหลักอาจเชื่อถือไม่ได้อีกต่อไป หลังจากเมื่อปีก่อนการลงประชามติเพื่อออกจากสมาชิก EU ของอังกฤษและการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ก็เคยหักปากกาเซียนและสำนักสถิติต่างๆ มาแล้ว</span>

ดังนั้น ประชาชนฝรั่งเศสและประเทศอื่นในสหภาพยุโรปอาจจะยังต้องลุ้นกันอีกเฮือก และประเทศภูมิภาคอื่นๆ ที่เป็นคู่ค้ากับฝรั่งเศสหรือกับ EU ก็ต้องลุ้นเกาะขอบเวทีเช่นกัน เพราะฝรั่งเศสถือเป็นประเทศเสาหลักแห่งหนึ่งในเศรษฐกิจภูมิภาคยุโรปร่วมกับประเทศเยอรมนี หาก Le Pen ได้รับเลือก ดำเนินการจัดทำประชามติเหมือนกับอังกฤษ และหากชาวฝรั่งเศสส่วนใหญ่ตัดสินใจลาออกจากสมาชิก EU และทำได้สำเร็จจริง ย่อมส่งผลสะเทือนอย่างสูงต่อภูมิภาคนี้

&nbsp;
<h2>Macron vs Le Pen ประวัติ-นโยบายสำคัญ</h2>
<figure><img style="width: 680px; height: 397px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/ad5e63c3d5b742688b00d7f30d3c74b8.png" alt="" width="680" height="397" /><figcaption> (Photo Credit: nationalreview.com)</figcaption></figure>

<strong>Emmanuel Macron</strong>
<ul>
 	<li>พรรค En Marche! (สายกลาง, เศรษฐกิจเสรีนิยม)</li>
 	<li>อายุ 39 ปี</li>
 	<li>อดีตนายธนาคารและอดีตรัฐมนตรีเศรษฐกิจของรัฐบาล Froncois Hollande (รัฐบาลชุดปัจจุบัน) ลาออกในปี 2016 เพื่อก่อตั้งพรรค En Marche!</li>
 	<li><strong>นโยบายเศรษฐกิจ</strong>: ลดภาษีนิติบุคคลจาก 33% เหลือ 25% เพื่อดึงดูดนักลงทุน, ผ่อนคลายกฎหมายแรงงาน, ลดการใช้จ่ายสาธารณะของภาครัฐ, ลดจำนวนพนักงานรัฐ</li>
 	<li><strong>นโยบายผู้อพยพและความมั่นคง</strong>:  ฝรั่งเศสควรเป็นประเทศผู้รับอพยพเช่นเดียวกับเยอรมนี แต่จะเพิ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจ 10,000 นายเพื่อรักษาความปลอดภัย</li>
 	<li><strong>วิสัยทัศน์</strong>: ปฏิรูปการเมืองใหม่และสร้างความเป็นปึกแผ่นของสหภาพยุโรป</li>
</ul>
<figure><img style="width: 680px; height: 510px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/b276c6bb6fa2413bdaf2f76b2e0b3866.png" alt="" width="680" height="510" /><figcaption> (Photo Credit: EPA/Indepedent)</figcaption></figure>

<strong>Marine Le Pen</strong>
<ul>
 	<li>พรรค Front National หรือ FN  (ขวาจัด)</li>
 	<li>อายุ 48 ปี</li>
 	<li>เติบโตจากอาชีพทนายความ สู่ฐานะผู้นำพรรค FN ในปี 2011 ลงสมัครเลือกตั้งเมื่อปี 2012 โดยได้คะแนนโหวต 18.0% ในรอบแรก</li>
 	<li>ต้องการพาฝรั่งเศสลาออกจากสมาชิก EU, ปิดพรมแดน, กลับสู่การใช้สกุลเงินฟรังก์</li>
 	<li><strong>นโยบายเศรษฐกิจ</strong>: ลดภาษีบุคคลธรรมดา, เพิ่มภาษีบริษัทหากมีการใช้แรงงานต่างชาติและการนำเข้า, ให้สิทธิสวัสดิการสังคมกับประชาชนฝรั่งเศสก่อนชาวต่างชาติ, ลดภาษีธุรกิจ, ลดอายุเกษียณเหลือ 60 ปี</li>
 	<li><strong>นโยบายผู้อพยพและความมั่นคง</strong>: ลดจำนวนผู้อพยพเหลือ 10,000 คนต่อปีและระงับการรับผู้อพยพในขั้นต่อไป, เพิ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจ 15,000 นาย, เพิ่มจำนวนเรือนจำอีก 40,000 แห่ง</li>
 	<li><strong>วิสัยทัศน์</strong>: ฝรั่งเศสต้องมาก่อน ปลดปล่อยชาวฝรั่งเศสผู้รักชาติออกจากชนชั้นนำที่ปกครองอย่างเผด็จการ</li>
</ul>
&nbsp;
<p class="p1"><span class="s1"><b>รวบรวมจาก</b></span></p>
<p class="p2"><span class="s1"><i>-French presidential election: first round results in charts and maps </i><a href="http://bit.ly/2p6rZjH"><span class="s2"><i>http://bit.ly/2p6rZjH</i></span></a><i>
-Emmanuel Macron v Marine Le Pen: Who are they and what are their policies? </i><a href="http://bit.ly/2pVBhz4"><span class="s2"><i>http://bit.ly/2pVBhz4</i></span></a><i>
-French Election Result Means Europe Can Breath A Little Easier…For Now </i><a href="http://bit.ly/2panyEp"><span class="s2"><i>http://bit.ly/2panyEp</i></span></a><i>
-</i></span><span class="s3">เทียบนโยบาย</span><span class="s1"><i> 2 </i></span><span class="s3">ผู้สมัครชิงตำแหน่งปธน</span><span class="s1"><i>.</i></span><span class="s3">ฝรั่งเศสคนใหม่</span><span class="s1"><i> </i><a href="http://www.posttoday.com/world/news/491615"><span class="s2"><i>http://www.posttoday.com/world/news/491615</i></span></a><i>
-</i></span><span class="s3">เศรษฐกิจยุโรปกับปัญหาที่รุมเร้ารอบด้าน</span><span class="s1"><i> </i><a href="http://www.forbesthailand.com/commentaries-detail.php?did=1580"><span class="s2"><i>http://www.forbesthailand.com/commentaries-detail.php?did=1580</i></span></a></span></p>

ลุ้นผลเลือกตั้งฝรั่งเศส จะ 'Frexit' ลาออกจาก EU ตามรอยเท้า Brexit หรือไม่?

<h2>นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2551 เศรษฐกิจยุโรปก็ประสบปัญหารุมเร้าต่อเนื่อง ทั้งจากปัญหาหนี้ภาครัฐของกลุ่มประเทศ PIIGS (โปรตุเกส ไอร์แลนด์ อิตาลี กรีซ และสเปน) และปัญหาการเมืองที่มีรากฐานมาจากความไม่พอใจของประชาชนที่สั่งสมมานานจากเศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่องหลายปี ประกอบกับความไม่แน่นอนจากการเจรจา Brexit รวมถึงปัญหาภาคธนาคารมีหนี้เสียในระดับสูง เป็นอุปสรรคต่อการปล่อยกู้และกดดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจ</h2>
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมือง อัตราการว่างงานที่พุ่งสูงเกิน 20% ในหลายประเทศ <span style="color: #ff0000;">ประกอบกับมาตรการรัดเข็มขัดของภาครัฐ ที่นำไปสู่การลดสวัสดิการสังคม เช่น การยืดอายุเกษียณและการลดเงินอุดหนุนให้ผู้เกษียณอายุ รวมไปถึงการปฏิรูปกฎหมายแรงงาน ซึ่งมุ่งลดสิทธิของลูกจ้างเพื่อให้การตลาดแรงงานมีความยืนหยุ่นมากขึ้น ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านพรรคการเมืองกระแสหลักที่ประชาชนเห็นว่าเป็นต้นเหตุของปัญหา </span>และหันไปให้การสนับสนุนพรรคการเมืองเกิดใหม่ ซึ่งมีนโยบายต่อต้านการรัดเข็มขัด

นอกจากคะแนนความนิยมของพรรคซึ่งมีนโยบายต่อต้านการรัดเข็มขัดที่เพิ่มขึ้นแล้ว ความไม่พอใจของประชาชนยังสะท้อนผ่านการออกเสียงประชามติ Brexit ในเดือนมิถุนายน และการออกเสียงประชามติคว่ำการปฏิรูปการเมืองในอิตาลีในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว รวมถึงความพยายามประกาศเอกราชของท้องถิ่น เพื่อแยกตัวออกจากประเทศที่มีเศรษฐกิจตกต่ำ เช่น ในกรณีแนวร่วม Junts Pel Si ที่เรียกร้องการแยกตัวของแคว้น Catalan ออกจากสเปน เป็นต้น

<figure><img style="width: 680px; height: 408px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/330297bede0981f948ed210d7d90ff1b.png" alt="" width="680" height="408" /><figcaption> การเรียกร้องเพื่อแยกประเทศของแคว้น Catalan ในประเทศสเปน (Photo Credit: occupy.com)</figcaption></figure>

ยิ่งไปกว่านั้นการก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของ Donald Trump ซึ่งชูนโยบายกีดกันทางการค้า และการต่อต้านการรับผู้อพยพเข้าประเทศ อาจเป็นอีกปัจจัยที่สนับสนุนให้กระแสพรรคประชานิยม (populist parties) ในยุโรปเพิ่มสูงขึ้นไปอีก โดยในปี 2560 มีการเลือกตั้งที่สำคัญหลายประเทศในยุโรป ได้แก่

การเลือกตั้งในประเทศเนเธอร์แลนด์ วันที่ 15 มีนาคม 2560 ผลสำรวจล่าสุดชี้ว่าพรรคฝ่ายขวา PVV ต้องการจัดทำประชามติเพื่อให้เนเธอร์แลนด์ออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ 23% ขณะที่พรรครัฐบาลปัจจุบัน (VVD) ความนิยมลดลงเป็น 16% โอกาสที่จะได้พรรคต่อต้านสหภาพยุโรปขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจึงค่อนข้างสูง

สำหรับฝรั่งเศสจะจัดให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดี 2 รอบ ในวันที่ 23 เมษายนและ 7 พฤษภาคม โดยในรอบแรกจะเป็นการคัดเลือกเอาผู้สมัครที่มีคะแนนมากที่สุด 2 ลำดับแรกไปชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งรอบที่ 2 ผลสำรวจล่าสุดชี้ว่า Francois Fillon จากพรรค The Republicans และ Marine Le Pen จากพรรค National Front ซึ่งเคยกล่าวว่าจะจัดทำประชามติเพื่อให้ฝรั่งเศสออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป หากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี เป็นสองรายที่มีคะแนนนำที่ 65% และ 35% ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม คะแนนความนิยม Fillon มีแนวโน้มลดลง ขณะที่ Le Pen มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้ความเสี่ยงที่ Le Pen จะก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีและจัดทำประชามติเพื่อออกจาก EU ยังคงมีอยู่

<figure><img style="width: 680px; height: 441px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d90752512bac9e25278972fd87b14a76.png" alt="" width="680" height="441" /><figcaption> Marine Le Pen ผู้นำพรรค National Front (FN) พรรคฝ่ายขวาจัดของฝรั่งเศส</figcaption></figure>

&nbsp;
<h2>ความเสี่ยงจากการเจรจา Brexit</h2>
นอกจากความไม่แน่นอนทางการเมือง จากการเลือกตั้งในหลายประเทศแล้ว ความเสี่ยงจากการเจรจา Brexit ที่จะเริ่มต้นขึ้นในปีนี้ ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กดดันความเชื่อมั่นและการเติบโตของเศรษฐกิจยุโรป

โดย Theresa May นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวในการแถลงจุดยืนอย่างแข็งกร้าวในการเจรจา Brexit เมื่อวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา โดยย้ำถึงความสำคัญในการควบคุมจำนวนผู้อพยพ การยกเลิกการยอมรับขอบเขตของอำนาจศาลและกฎหมายที่ออกโดยรัฐสภายุโรป และการลดการจ่ายเงินอุดหนุนให้สหภาพยุโรป

ด้านการค้า Theresa May ย้ำว่า อังกฤษจะออกจากการเป็นสมาชิกตลาดเดียว (single market) ซึ่งต้องยอมรับกฎการเคลื่อนย้ายเสรี 4 ประการ (4 freedom) ได้แก่ สินค้า บริการ ทุน และแรงงาน เนื่องจากอังกฤษต้องการจำกัดจำนวนผู้อพยพ นอกจากนี้อังกฤษจะไม่เป็นสมาชิกสหภาพศุลกากร (Custom Union) ซึ่งกำหนดให้เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากนอกกลุ่มในอัตราเดียวกันทั้งหมด เนื่องจากอังกฤษต้องการอิสระในการเจรจาข้อตกลงการค้ากับประเทศอื่นๆ

<figure><img style="width: 340px; height: 340px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/5c74f2d5a81f204c87fff09b11990c3d.png" alt="" width="340" height="340" /><figcaption> Theresa May นายกรัฐมนตรีอังกฤษ</figcaption></figure>

จากแนวทางดังกล่าว อังกฤษอาจจะต้องเริ่มเจรจาการค้ากับ EU ใหม่ทั้งหมด อังกฤษจะมีเวลาในการเจรจาเพียง 2 ปีตามข้อกำหนดในมาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่สั้นอย่างยิ่ง

นอกจากนี้การเจรจายังน่าจะคืบหน้าได้ช้าในปีนี้ เนื่องจากจะมีการเลือกตั้งในหลายประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น Theresa May ยังแสดงท่าทีที่แข็งกร้าว โดยกล่าวว่าอังกฤษพร้อมที่จะหันหลังให้กับการเจรจา (“No deal is better than bad deal”) หากผู้นำสหภาพยุโรปต้องการลงโทษอังกฤษผ่านการกีดกันทางการค้าเพื่อเป็นการปรามประเทศอื่น

ที่อาจต้องการออกจากสหภาพยุโรป ซึ่งอาจนำไปสู่ความล้มเหลวในการเจรจาการค้าและทำให้การค้าระหว่างอังกฤษและสหภาพยุโรปถูกกระทบอย่างรุนแรง

&nbsp;
<h2>ปัญหาในภาคธนาคาร</h2>
อีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันการเติบโตของเศรษฐกิจยุโรป ได้แก่ ปัญหาในภาคธนาคารที่มีหนี้เสียอยู่ในระดับสูง และผลกำไรที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางเศรษฐกิจที่เติบโตช้า และการใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบของธนาคารกลางยุโรปซึ่งทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (net interest margin: NIM) ของธนาคารหดแคบลง

ผลทดสอบภาวะวิกฤต (stress test) ของธนาคารกลางยุโรป เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ชี้ว่าธนาคารที่มีฐานะทางการเงินแย่สุดในยุโรป ได้แก่ ธนาคาร Monte dei Paschi (BMPS) ของอิตาลี ซึ่งตามสมมติฐานในการทดสอบธนาคารจะมีสัดส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 ลดลงติดลบ -2.4% ในภาวะวิกฤต ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ที่ 4.5%

<img style="width: 680px; height: 680px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/2b2a0c891e1dd81b080f2a30bcdbe674.png" alt="" />

ธนาคารกลางยุโรปกำหนดให้ BMPS จัดการเพิ่มทุนให้เสร็จภายในสิ้นปี 2016 โดย BMPS เสนอแผนการเพิ่มทุนจำนวน 5 พันล้านยูโร โดยการขายหุ้นให้กับ Sovereign Wealth Fund ของประเทศกาตาร์ แต่แผนการเพิ่มทุนดังกล่าวล้มเหลวหลังกองทุนจากกาตาร์ประกาศถอนตัว ซึ่งทำให้รัฐบาลอิตาลีต้องขออนุมัติเงินช่วยเหลือภาคธนาคารจำนวน 2 หมื่นล้านยูโร สำหรับการเพิ่มทุนให้ BMPS รวมถึงธนาคารอื่นๆ อีกหลายแห่งที่มีปัญหา วิกฤตธนาคารอิตาลีในครั้งนี้น่าจะส่งผลกระทบในวงจำกัด เนื่องจากธนาคารที่มีปัญหาเป็นธนาคารขนาดไม่ใหญ่ และวงเงินที่ใช้ในการเพิ่มทุน (2 หมื่นล้านยูโร) นั้นคิดเป็นเพียง 1% ของ GDP อิตาลี และน้อยมากหากเทียบกับ GDP โดยรวมของยุโรป

<span style="color: #ff0000;">ปัญหาของธนาคารในอิตาลี แม้จะมีโอกาสน้อยที่จะลุกลามจนนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจ แต่ก็สะท้อนถึงพื้นฐานเศรษฐกิจและภาคธนาคารในยุโรปที่ยังมีฐานะทางการเงินอ่อนแอ และยังมีความเสี่ยงที่อาจต้องเพิ่มทุนหากเศรษฐกิจยังเติบโตในระดับต่ำ</span> นอกจากนั้น การเข้าช่วยเหลือภาคธนาคารจะเป็นการเพิ่มภาระหนี้ให้กับรัฐบาลอิตาลี ซึ่งมีหนี้อยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว (130% ของ GDP) และอาจเป็นจุดเริ่มต้นนำไปสู่วิกฤตหนี้ภาครัฐฯ

<img style="width: 680px; height: 584px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f1e4707fa44214f64445397a903e9bd1.png" alt="" />

โดยความเสี่ยงวิกฤตหนี้ภาครัฐในยุโรป อาจเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีนี้ เมื่อมาตรการ QE ของ ECB ใกล้หมดอายุลงในเดือนธันวาคม 2560 ซึ่งหากธนาคารกลางยุโรปไม่มีการต่ออายุมาตรการ QE หรือมีการลดปริมาณการเข้าซื้อสินทรัพย์ ก็อาจส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในยุโรปเพิ่มขึ้น และทำให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายของหนี้ภาครัฐเพิ่มสูงขึ้นตาม

&nbsp;

<img style="width: 250px; height: 249px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1ce3b69c2bd17658e4c3e3976de81ab5.png" alt="" />
คมศร ประกอบผล
หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน
TISCO Economic Strategy Unit (ESU)

เศรษฐกิจยุโรปกับปัญหาที่รุมเร้ารอบด้าน

<h2>“การเมืองเราต้องเปลี่ยน เราต้องเน้นการเมืองที่ให้ความสำคัญกับ ‘ข้อเท็จจริง’ มากกว่านี้ และถ้าการเมืองจะเปลี่ยนสื่อมวลชนต้องเปลี่ยนด้วย วิธีรายงานข่าวการเมืองต้องเปลี่ยนวัฒนธรรมทางการเมืองเรายุคนี้เน่าเฟะ แต่มันน่าจะดีกว่านี้ได้”</h2>
อ่านแล้วมีความรู้สึกว่าเป็นการบรรยายสถานภาพของไทยได้ดี เพียงแต่ว่าบทความนี้ผมอ่านมาจากสื่ออังกฤษที่เขียนถึงสภาพการเมืองและสื่อหลังประชามติเรื่อง <strong>Brexit</strong> ที่ความเห็นของประชากรในแต่ละประเทศที่รวมตัวกันเป็นสหราชอาณาจักรนั้นแตกต่างกันมากผมไม่แปลกใจกับผลประชามติครั้งนี้ ผมมีประสบการณ์ไม่น้อยกับความผิดพลาดที่คิดว่าชาวบ้าน ‘ควร’ จะเลือกอะไร แต่เอาเข้าจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น แต่ครั้งนี้ผมมั่นใจแต่แรก เพราะผมมองว่าชาวบริติชจำนวนมากไม่ได้มองตัวเองว่าเป็นคนยุโรป และลึกๆ จะมองว่าเป็นผู้ที่แบกภาระในการกอบกู้ยุโรปมานับครั้งไม่ถ้วนรอบนี้ความขัดแย้งสูงเพราะมีคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่มีทัศนคติที่แตกต่างจากชุดความคิดแบบโลกเก่านี้

ตัวอย่างง่ายๆ คือคนอังกฤษรุ่นใหม่ที่รักอิสรภาพในการเลือกใช้ชีวิตในฐานะคน EU และเขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมาเลือกอะไรที่จำกัด หรือลดทอนโอกาสของตัวเอง แต่ก็จะมีคนอังกฤษอีกกลุ่มที่เห็นชาวต่างชาติจากประเทศสมาชิก มาอาศัย ทำงาน ขณะที่ลูกๆ ได้เรียนหนังสือด้วย และเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในบ้านของตัวเองวันนี้ประเด็นที่สร้างความกังวลให้กับชาว <strong>‘บริติช’</strong> มากที่สุดไม่ใช่ค่าเงินปอนด์ตลาดหุ้นสิทธิการเคลื่อนไหวอย่างเสรีให้ทวีปยุโรปหรือการที่สก็อตแลนด์คิดจะแยกตัวออกเพื่อกลับไปรวมกับ EU แต่สิ่งที่น่ากังวลใจมากที่สุดคือความแตกแยกในสังคม และความไม่เข้าใจกันแนวโน้มทางการเมืองทั่วโลกช่วงนี้น่าเป็นห่วง (ซึ่งจะส่งแรงกระเพื่อมต่อตลาดเงินและตลาดทุนที่มีความอ่อนไหวสูงมาก และระบบเศรษฐกิจโลกแน่นอน) ฉันทามติต่อระบอบการปกครองตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมากำลังถูกท้าทายอย่างแรง ระบอบโลกาภิวัตน์ในช่วงที่ผ่านมา

ทำให้เกิดการรวมกลุ่มกันในรูปขององค์กรหรือกลุ่มระหว่างประเทศอย่างสหประชาชาติ EU หรืออาเซียน และการรวมกลุ่มกันนี้ได้นำไปสู่การค้าเสรีการเคลื่อนไหวของประชากรอย่างที่ไม่เคยปรากฏในอดีต พรมแดนเริ่มกลายเป็นเพียงเส้นในแผนที่ หลายๆ ประเทศมีลักษณะสังคมพหุวัฒนธรรม และทั้งหมดนี้ได้นำไปสู่การพัฒนาทางเศรษฐกิจ การลดความยากจน และภาวะปลอดสงคราม (ขนาดใหญ่)

ประเด็น คือ ตามธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อมีปัญหา เราจะโทษคนอื่นมากกว่าที่จะต้องทบทวนตนเองและวันนี้ <strong>“คนอื่น”</strong> ที่ถูกกล่าวโทษคือคนต่างชาติ คือ ระบบทุนนิยม คือการค้าเสรี ซึ่งหากทุกประเทศเริ่มคิดอย่างนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจโลก และความเป็นอยู่ของประชาชน ช่วงหลังผลประชามติ มีรายงานว่ามีการแสดงการเหยียดสีผิวและคนต่างชาติอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในหลาย 10 ปี นี่ไม่ใช่โลกที่เราต้องการ แต่แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองทั่วโลกกำลังนำพราเราไปในทิศทางนั้น

ที่ซ้ำร้ายคือโซเชียลมีเดียมีส่วนในการกระพืออารมณ์ แต่ผมมองว่าระบอบประชาธิปไตยที่ให้โอกาสประชาชนแสดงออก เป็นเครื่องมือที่ดีที่จะกระตุ้นเตือนกลุ่มชนชั้นนำไม่ให้ติดกับดักความคิดของตัวเอง ไม่ให้เชื่อว่าสิ่งที่ตัวมองว่าดีนั้นจำเป็นต้องดีสำหรับทุกคนการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของสื่อมวลชนที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการสนับสนุนหรือคัดค้านการแยกตัวจาก EU พูดง่ายๆ แม้ว่ากระบวนการประชามติอาจมีส่วนกระตุ้นให้ความขัดแย้งปรากฏ แต่ไม่ได้เป็นตัวสร้างความขัดแย้ง ความขัดแย้งนั้นมีตัวตนอยู่แล้วและกลไกประชาธิปไตยเช่นที่เราเห็นในอังกฤษช่วยทำให้สังคมมีโอกาสรับรู้ว่าเพื่อนร่วมชาติเขาคิดอย่างไรสัญญานจากทาง EU เองในช่วงที่ผ่านมานั้นก็ไม่สู้ดีเช่นกัน

สาเหตุหลักที่ชาวบริติชตัดสินใจละทิ้ง EU ก็เพราะ EU ไม่ฟังใคร ไม่ยืดหยุ่นที่จะปรับตัวเข้ากับความคาดหวังของประชาชน และยังดูเหมือนไม่พร้อมจะยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเองแต่กลับแสดงความไม่พอใจต่อการดื้อแห่งของชาวบริติช ผู้ใหญ่ใน EU กลับแสดงอารมณ์ขับไล่ให้สหราชอาณาจักรลาออกไปเร็วๆ และแม้แต่ขู่จะยกเลิกการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการทั้งหมดนี้เป็นบทเรียนต่อสังคมทุนนิยมประชาธิปไตย รวมทั้งประเทศไทยที่เศรษฐกิจเจริญรุดหน้ามาได้เพราะการยึดมั่นในการค้าเสรี ที่เปิดโอกาสให้คนเก่ง คนที่มีหัวคิดดีมีฝีมือได้สร้างธุรกิจ สร้างงาน สามารถแข่งขันและค้าขายกับเพื่อนบ้านและตลาดโลก

โลกกำลังเปลี่ยนไปในทิศทางที่มีความเสี่ยงมากขึ้น ไทยสามารถวางตัวให้เป็นผู้ได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจในความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ แต่เราต้องไปด้วยกัน ภาครัฐ ภาคเอกชน และคนไทยโดยรวมต้องมีอารมณ์ร่วมว่าเราจะเดินไปในทางที่เขามีโอกาสที่จะได้ประโยชน์หลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างจะง่ายขึ้นครับ

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/863ab44795e48f15550ba2c53ffb5736.png" alt="" width="284" height="324" /><figcaption> กรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรัฐมนตรีว่าการ</figcaption></figure>

<hr />

<a href="http://goo.gl/WtgACX">คลิ๊กอ่านบทความทางธุรกิจ เพื่อเติมได้ที่ Fobes Thailand Magazine ฉบับ AUGUST 2016
<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/2f0ec01727a29e20bcfe4afe88d91599.png" alt="" width="281" height="370" /></a>

เศรษฐกิจเสรีในร่มเงากระแสชาตินิยม

<div style="text-align: justify;">
	<strong>จำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนในไทยไปได้สวย เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรมระหว่างกลุ่มประเทศในยุโรปกับไทย EU พร้อมด้วยสถานทูตหลายประเทศและองค์กรพันธมิตร จึงใช้งบกว่าครึ่งล้านบาท จัดทำแอพพลิเคชั่นด้านศิลปวัฒนธรรมบนสมาร์ทโฟน หวังกระชับสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น</strong><br />
	&nbsp;</div>
<div style="text-align: justify;">
	&nbsp;</div>
<div style="text-align: justify;">
	<span style="color:#800000;">Frost &amp; Sullivan</span> บริษัทวิจัยระดับโลก ทำการสำรวจการใช้สมาร์ทโฟนในไทย พบว่า ปี 2556 มีผู้ใช้อยู่ราว 15 ล้านคน หรือ 30% ของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ และมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นในปี 2557 เป็นราว 20 ล้านคน และในปี 2560 จำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนจะสูงถึงกว่า 40 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของประชากรไทย ด้าน <span style="color:#800000;">Ericsson ConsumerLab (Thailand) </span>ก็เผยผลวิจัยการใช้สมาร์ทโฟนในไทยว่า การเข้าถึงสมาร์ทโฟนของผู้ใช้ในเขตเมือง เพิ่มขึ้นจาก 17% ในปี 2555 เป็น 36% ในปี 2556 ขณะที่การเข้าถึงแท็บเล็ตของผู้ใช้ในเขตเมือง เพิ่มขึ้น 3 เท่า จาก 2% ในปี 2555 เป็น 7% ในปี 2556 ส่วนการใช้แอพพลิเคชั่น เพิ่มจาก 40% ในปี 2555 เป็น 57% ในปี 2556&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div style="text-align: center;">
	<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/Commentaries/EU%20application/Y01_9959.JPG" /></div>
<div>
	<span style="font-size: 11px;">สาธิตการใช้แอพพลิเคชั่น Heritage Map and Cultural Calendar&nbsp;</span></div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div style="text-align: justify;">
	เมื่อชีวิตผู้คนในโลกสมัยใหม่ใกล้ชิดกับเทคโนโลยีเพียงปลายนิ้วสัมผัส สองมือที่กางแผนที่ท่องเที่ยว อาจช้ากว่าการสัมผัสหน้าจอสมาร์ทโฟน เพื่อค้นหาข้อมูลสถานที่ที่น่าสนใจ คณะผู้แทนสหภาพยุโรป (EU) ประจำประเทศไทย จึงจัดทำแอพพลิเคชั่น<span style="color:#b22222;"> </span><span style="color:#800000;">Heritage Map and Cultural Calendar</span> (แผนที่มรดกและปฏิทินวัฒนธรรมยุโรป) ใช้ได้ทั้งระบบปฏิบัติการ iOS และ Android ดำเนินงานโดย บริษัท ทาลิสแมน มีเดีย จำกัด โดยได้งบสนับสนุนโครงการกว่า 500,000 บาท จากคณะผู้แทนสหภาพยุโรป กองทุนกลุ่มเครือข่ายสถาบันวัฒนธรรมแห่งชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (EUNIC Thailand) สถานทูตเดนมาร์ก สถานทูตอิตาลี สถานทูตเนเธอร์แลนด์ สถานทูตโปรตุเกส สมาคมฝรั่งเศส สถาบันเกอเธ่ และ บริติช เคาน์ซิล&nbsp;<br />
	<br />
	&nbsp;</div>
<div style="text-align: center;">
	<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/Commentaries/EU%20application/Y01_9996.JPG" /></div>
<div>
	<span style="font-size:11px;">Jes&uacute;s Miguel Sanz (ขวา) และ&nbsp;</span><span style="font-size: 12px;">Lu&iacute;s Barreira de Sousa (กลาง) ยืนอยู่เบื้องหน้าสถานทูตโปรตุเกส หนึ่งในมรดกทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ</span></div>
<div style="text-align: justify;">
	<br />
	EU เปิดตัวแอพพลิเคชั่น <span style="color:#800000;">Heritage Map and Cultural Calendar</span> ไปเมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ที่สถานทูตโปรตุเกส โดยมี <span style="color:#800000;">Lu&iacute;s Barreira de Sousa</span> เอกอัครราชทูตโปรตุเกสประจำประเทศไทย ในฐานะเจ้าบ้าน ให้การต้อนรับผู้มาเยือน ซึ่งสถานทูตโปรตุเกส เป็นหนึ่งในกว่า 220 สถานที่น่าสนใจ ที่ถูกบรรจุไว้ในแอพพลิเคชั่น ตั้งอยู่ย่านสี่พระยา กรุงเทพฯ ตัวอาคารเป็นปูน-ไม้ สร้างตามรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบ Colonial หันหน้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยา มีไม้ใหญ่นานาพันธุ์ให้ความร่มรื่นอยู่โดยรอบ (ถัดไปไม่ไกลคือสถานทูตฝรั่งเศส ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเช่นเดียวกัน ตัวอาคารสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Colonial-Indo China อายุกว่า 150 ปี)&nbsp;</div>
<div style="text-align: justify;">
	&nbsp;</div>
<div style="text-align: justify;">
	Jes&uacute;s Miguel Sanz หัวหน้าคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย กล่าวถึงความเป็นมาของแอพพลิเคชั่น <span style="color:#b22222;">Heritage Map and Cultural Calendar </span>ว่า เกิดจากปี 2556 มีการจัดทำ &ldquo;แผนที่มรดกวัฒนธรรมยุโรปในกรุงเทพมหานครและอยุธยา&rdquo; ในรูปแบบของแผ่นพับ แล้วได้ผลตอบรับที่ดี ปีนี้ จึงขยายโครงการเป็นการจัดทำแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน ให้ครอบคลุมสถานที่ที่น่าสนใจ ที่มีประวัติความเป็นมาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับประเทศในยุโรป<br />
	<br />
	<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/Commentaries/EU%20application/Y01_0060.JPG" /></div>
<div>
	<span style="font-size: 12px;">Jes&uacute;s Miguel Sanz เตรียมพร้อมปั่นจักรยาน โดยมี&nbsp;Lu&iacute;s Barreira de Sousa พร้อมให้สัญญาณปล่อยตัว</span></div>
<div style="text-align: justify;">
	<br />
	&ldquo;ตลอดเวลาที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศในยุโรปเป็นไปด้วยดี ในเชิงเศรษฐกิจแล้ว EU เป็นคู่ค้าและผู้ลงทุนรายใหญ่สุดรายหนึ่งในไทย ส่วนในมิติความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรมก็เป็นไปด้วยดี ผมหวังว่าแอพพลิเคชั่นจะช่วยให้ชาวไทยได้ชื่นชมกับมรดกทางประวัติศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างกันที่มีมาอย่างยาวนานหลายร้อยปี และติดตามข่าวสารด้านศิลปวัฒนธรรมได้รวดเร็วยิ่งขึ้น&rdquo; ทูต EU ประจำประเทศไทย บอก ก่อนร่วมทริปปั่นจักรยานไปยัง วัดแม่พระลูกประคำ (กาลหว่าร์) และ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดน้อย 2 มรดกทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ที่อยู่ไม่ไกลจากสถานทูตโปรตุเกส&nbsp;</div>
<div style="text-align: justify;">
	&nbsp;</div>
<div style="text-align: justify;">
	แอพพลิเคชั่นแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ <span style="color:#800000;">Map</span> ที่สามารถค้นหามรดกทางประวัติศาสตร์ได้ตามสถานที่ตั้ง เช่น จังหวัด อำเภอ เป็นต้น นำเสนอรูปประกอบ ประวัติความเป็นมา และเส้นทางการเดินทาง มีคำบรรยายทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดได้รับการตรวจสอบความถูกต้องจาก EU หรือสถานทูตที่เกี่ยวข้อง ผู้ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นสามารถแจ้งเพิ่มมรดกทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจได้ และส่วนที่สอง คือ <span style="color:#800000;">Calendar</span> แจ้งข่าวสารกิจกรรมหลากหลาย ทั้ง เทศกาลภาพยนตร์ การแสดงเต้นรำ นิทรรศการศิลปะ งานสัมมนา ฯลฯ ที่จะมีการอัพเดทข้อมูลอย่างต่อเนื่องทันเหตุการณ์ เพื่อให้ชาวไทยไม่พลาดกิจกรรมน่าสนใจจากกลุ่มประเทศในยุโรป&nbsp;</div>
<div style="text-align: justify;">
	&nbsp;</div>
<div style="text-align: justify;">
	<strong>เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์เทคโนโลยี ที่นำมาใช้เพื่อกระชับสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดสนิทแน่นยิ่งขึ้น</strong><br />
	<br />
	&nbsp;</div>
<div style="text-align: center;">
	<strong><img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/Commentaries/EU%20application/Y01_0205.JPG" /></strong></div>
<div>
	<span style="font-size:11px;">วัดแม่พระลูกประคำ (กาลหว่าร์) ย่านตลาดน้อย ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 สถาปัตยกรรมแบบ Gothic</span></div>
<div style="text-align: center;">
	&nbsp;</div>
<div>
	<span style="font-size:11px;"><img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/Commentaries/EU%20application/Y01_0115.JPG" />ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดน้อย ที่ร่วมออกแบบโดย Annibale Rigotti สถาปนิกชาวอิตาเลียน</span></div>

EU รุกสมาร์ทโฟน เปิดตัวแอพพลิเคชั่น “Heritage Map and Cultural Calendar” กระชับสัมพันธ์ไทย

<div>
	<span style="color:#0000cd;">SCB </span>ประเมินปีหน้า ผู้ส่งออกไทยเสียหาย 47 ล้านเหรียญ หากโดนตัด <span style="color:#0000cd;">GSP </span>และเจรจา <span style="color:#0000cd;">FTA </span>ไม่คืบหน้า &nbsp;สินค้าแช่แข็งหนักสุด เคราะห์ซ้ำจากปัญหาค้ามนุษย์</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ เผยแพร่รายงานบทวิเคราะห์ "อนาคตส่งออกไทยหลังสหภาพยุโรประงับความร่วมมือ" โดยระบุว่า การระงับความสัมพันธ์ของสหภาพยุโรปจะทำให้การเจรจาเขตการค้าเสรี (<span style="color:#0000cd;">Free Trade Area: FTA</span>) ระหว่างไทยกับยุโรปล่าช้าออกไป โดยมีแผนจะเจรจาให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2014 อย่างไรก็ดี ด้วยปัญหาการเมืองในช่วงปลายปี 2013 ต่อเนื่องถึงปี 2014 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ไม่มีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มที่ในการบริหารประเทศ ทำให้การเจรจาในรอบที่ 4 เมื่อวันที่ 7-11 เมษายนที่ผ่านมา ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร เมื่อรวมกับการระงับความสัมพันธ์ของสหภาพยุโรปดังกล่าว อาจส่งผลให้ข้อตกลงเรื่องเขตการค้าเสรีไม่สามารถบังคับใช้ได้ทันก่อนวันที่ 1 มกราคม 2015 ซึ่งเป็นวันแรกที่ไทยจะถูกตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (<span style="color:#0000cd;">Generalised System Preferences: GSP</span>) ตามหลักเกณฑ์การจัดชั้นรายได้ของประเทศ (Country Graduation)&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ทางศูนย์วิจัยฯ ประเมินว่าการตัดสิทธิ <span style="color:#0000cd;">GSP</span> ในเกณฑ์<span style="color:#0000cd;"> Country Graduation</span> จะส่งผลเสียต่อรายได้ผู้ส่งออกอย่างน้อย 47 ล้านเหรียญ จากส่วนต่างภาษีที่เพิ่มขึ้น หลักเกณฑ์ใหม่ในการได้รับสิทธิพิเศษ <span style="color:#0000cd;">GSP </span>นั้น ประเทศที่จะได้รับสิทธิต้องไม่เป็นประเทศที่อยู่ในกลุ่มรายได้สูง (High-income countries) หรือกลุ่มรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง (<span style="color:#0000cd;">Upper-middle income countries</span>) เป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน ซึ่งธนาคารโลกได้จัดให้ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวปานกลางค่อนข้างสูง (<span style="color:#0000cd;">Upper-middle income countries)</span> มาเป็นเวลา 3 ปีติดกัน ตั้งแต่ปี 2011-2013 ทำให้ไทยจะต้องถูกตัดสิทธิพิเศษ <span style="color:#0000cd;">GSP </span>ในต้นปี 2015 จำนวน 723 รายการ ส่งผลให้ผู้ส่งออกต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	สินค้าสำคัญที่จะได้รับผลกระทบ ได้แก่ กุ้งสดแช่แข็ง จักรยานยนต์ รองเท้า เครื่องนุ่งห่ม ล้อรถยนต์ ทูน่ากระป๋อง เป็นต้น ศูนย์วิจัยฯ ประเมินว่าผลกระทบจากการถูกตัดสิทธิจะอยู่ที่ราว 47 ล้านเหรียญ หรือ 0.02% ของการส่งออกทั้งหมดเป็นอย่างน้อย</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	และยังมีแนวโน้มที่จะถูกแย่งตลาดจากความสามารถทางการแข่งขันที่ลดลง อัตราภาษีที่สูงขึ้นย่อมส่งผลให้ความสามารถการแข่งขันทางราคาของสินค้าไทยลดลง ซึ่งจะเป็นสาเหตุที่ทำให้สินค้าส่งออกไทยถูกแย่งตลาดจากประเทศที่มีโครงสร้างการส่งออกคล้ายกับไทย และยังได้รับสิทธิพิเศษทั้งจาก<span style="color:#0000cd;"> GSP </span>และ <span style="color:#0000cd;">FTA </span>เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย และเม็กซิโก เป็นต้น &nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	สำหรับสินค้าส่งออกหลักที่จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ได้แก่ กุ้งแช่แข็ง ปลาหมึก และจักรยานยนต์ โดยสินค้าเหล่านี้มีการพึ่งพาตลาดยุโรปค่อนข้างมากและได้ใช้สิทธิประโยชน์ <span style="color:#0000cd;">GSP </span>ในอัตราที่ค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม สัดส่วนของสินค้าที่จะได้รับผลกระทบต่อการส่งออกไทยทั้งหมดยังมีขนาดค่อนข้างเล็ก คิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.5% ของการส่งออกทั้งหมด</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	สำหรับผลกระทบในรายธุรกิจนั้น สินค้าที่มีการใช้สิทธิ์ <span style="color:#0000cd;">GSP</span> เกิน 80% ได้แก่ กุ้งแช่แข็ง คอมเพรสเซอร์ตู้เย็น จักรยานยนต์ เม็ดพลาสติก เครื่องนุ่งห่ม และปลาหมึก เป็นต้น จะต้องปรับตัวในระยะสั้น โดยเพิ่มคุณภาพหรือยกระดับสินค้าให้มีความแตกต่างจากคู่แข่งเพื่อสร้างความได้เปรียบ อีกทั้งควรหาตลาดใหม่ๆ เช่น กลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging market) เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	การปรับตัวระยะกลางและยาวนั้น ควรมีการออกไปลงทุนในประเทศที่ยังได้รับสิทธิพิเศษทางด้านภาษีอยู่ ผู้ประกอบการควรเริ่มเข้าไปลงทุนในกลุ่มประเทศ <span style="color:#0000cd;">CLMV</span> (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) ให้มากขึ้นเพื่อใช้สิทธิพิเศษทางภาษี &nbsp;ทั้งนี้ เวียดนามยังคงได้รับสิทธิพิเศษ GSP ส่วนลาว กัมพูชา และเมียนมาร์ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีศุลกากรในทุกรายการยกเว้นสิทธิในสินค้ากลุ่มอาวุธ (Everything But Arms: EBA)</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	นอกจากนี้ ผู้ส่งออกสินค้าทะเลแช่งแข็งยังจะได้รับผลกระทบจากการปรับลดอันดับไทยสู่ระดับต่ำสุด (Tier 3) ในรายงานการค้ามนุษย์ 2014 ของสหรัฐฯ โดยไทยถูกปรับลดอันดับลงมาอยู่ในบัญชีกลุ่ม <span style="color:#0000cd;">Tier 3 </span>ซึ่งถือเป็นกลุ่มประเทศที่มีสถานการณ์การค้ามนุษย์ในระดับเลวร้ายที่สุด ทั้งนี้การปรับอันดับครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อภาพพจน์ของสินค้าไทยในตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าในอุตสาหกรรมประมง เช่น กุ้งแช่แข็ง ทูน่ากระป๋อง และปลาหมึก ผลกระทบจากกรณีดังกล่าวมีแนวโน้มไม่น้อยไปกว่าผลกระทบจากการตัดสิทธิ <span style="color:#0000cd;">GSP </span>ทั้งนี้ สหรัฐฯ จะพิจารณามาตรการลงโทษไทยภายใน 90 วันนับจากวันที่ถูกปรับลดอันดับ ดังนั้น รัฐบาลและผู้ส่งออกไทยควรเตรียมชี้แจงข้อเท็จจริงต่อภาครัฐและเอกชนทั้งในสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อการค้าและการส่งออกอย่างเร่งด่วน<br />
	<br />
	<br />
	<img class="img-responsive" alt="" class="img-responsive" src="/uploads/userfiles/images/%E0%B9%8CNEWS/EIC_Note.jpg" /></div>
<div>
	<br />
	&nbsp;</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events