<h2>เจมี่ ไดมอน (Jamie Dimon) ซีอีโอเจพี มอร์แกน เชส ธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ออกมาเตือนว่า “โลกอาจจะเผชิญกับช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดในรอบทศวรรษ” จากความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจทั่วโลก ขณะที่รัฐบาลไทยเดินหน้านโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ซึ่งนักวิชาการออกมาคัดค้านว่า “อาจได้ไม่คุ้มเสีย”</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา Jamie Dimon ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเจพี มอร์แกน เชส ธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกาได้ออกมากล่าวกับนักลงทุนในการแถลงผลประกอบการไตรมาสที่ผ่านมาว่า “โลกอาจจะเผชิญกับช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดในรอบทศวรรษ” จากความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งกังวลว่าจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เขาระบุว่าสงครามในยูเครนและอิสราเอลจะกระทบต่อราคาพลังงานและอาหาร และต้นทุนการค้าของโลก รวมทั้งอาจเผชิญกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนต่าง ๆ ที่อาจเป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดในรอบทศวรรษ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีกเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ขณะที่เพดานหนี้ของรัฐบาลสูงมากและสถานะขาดดุลการคลังครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยมีมาของสหรัฐ กำลังเพิ่มความเสี่ยงให้กับอัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงจากนี้ไป รัฐบาลไทยเดินหน้าแจกเงินดิจิทัล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์โลก รัฐบาลไทย นำโดย เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำถึงการเดินหน้านโยบายของรัฐบาลในการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 ท่ามกลางเสียงคัดค้านของนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์จำนวน 99 คน รวมทั้งอดีตผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย ธาริษา วัฒนเกส และ วิรไท สันติประภพ เพราะมองว่าอาจเป็นนโยบายที่ “ได้ไม่คุ้มเสีย”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้กับบุคคลที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ตามนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย คาดว่าจะใช้งบประมาณ 560,000 ล้านบาท ซึ่งนายกฯ เศรษฐา มองว่าเงินที่อัดฉีดในระบบเศรษฐกิจ 560,000 ล้านบาท จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจไทยไม่ต่ำกว่า 5% ในปี 2567 ซึ่งนักวิชาการมองว่า เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว โดยคาดว่าจะขยายตัว 2.8% ในปีนี้ และ 3.5% ในปี 2567 ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“การกระตุ้นการเติบโตของจีดีพี โดยการแจกเงิน 560,000 ล้านบาทเข้าระบบเศรษฐกิจนั้น เป็นการคาดหวังที่เกินจริง เพราะนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าตัวทวีคูณทางการคลัง (Fiscal multiplier) ในการแจกเงินลักษณะนี้มีค่าต่ำกว่า 1 การที่ผู้กำหนดนโยบายหวังว่านโยบายนี้จะกระตุ้นเศรษฐกิจจึงเลื่อนลอย” หนึ่งในแถลงการณ์คัดค้านจากนักวิชาการระบุ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ เงินจำนวนมากที่จะนำมาใช้กระตุ้นการบริโภคส่วนบุคคลนั้น อาจทำให้รัฐเสียโอกาสในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนทรัพยากรมนุษย์ ระบบบริหารจัดการน้ำ ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ที่สำคัญไม่มีความจำเป็นที่ต้องสร้างหนี้สาธารณะให้กับคนรุ่นต่อไป แทนที่จะใช้เพื่อสร้างงานสร้างรายได้แก่ประชาชน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในแถลงการณ์ ระบุด้วยว่า ไทยอยู่ในวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นมานาน และการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท จะยิ่งทำให้ไทยเสียค่าดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอีก เพราะก่อนหน้านี้เงินเฟ้อสูงขึ้น การก่อหนี้จำนวนมาก ทั้งออกพันธบัตรหรือกู้เงินจากรัฐวิสาหกิจ หรือ สถาบันการเงิน ทำให้ประเทศต้องเผชิญกับภาระดอกเบี้ยทั้งนั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันหนี้สาธารณะของรัฐอยู่ที่ประมาณ 10.1 ล้านล้านบาท หรือ 61.6% ของจีดีพี เป็นภาระที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยสูง เมื่อต้องจ่ายคืนหรือกู้ใหม่ ย่อมมีผลต่อภาระเงินงบประมาณรัฐในแต่ละปี “นโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท จึงสวนทางกับสิ่งที่ควรจะเป็น คือ หลังจากทั่วโลกเผชิญทั้งโรคระบาดและเศรษฐกิจถดถอย หลายประเทศพยายามลดการขาดดุลภาครัฐและหนี้สาธารณะลง เพื่อสร้างที่ว่างทางการคลังได้รองรับวิกฤตเศรษฐกิจในอนาคต” แบงก์ชาติปรับขึ้นจีดีพีปี 67 โต 4.4%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ปี 2567 จะขยายตัว 4.4% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดี และจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ซึ่งมองว่าไม่ว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรูปแบบใดออกมาก็ตาม มั่นใจว่าจะช่วยทำให้จีดีพีในปีหน้าขยายตัวเกิน 4% แน่นอน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราได้มีการคำนึงถึงความไม่แน่นอนของมาตรการดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาทไว้ด้วย โดยมองว่ามาตรการนี้จะเข้ามาเป็นปัจจัยที่สร้างความเสี่ยงด้านสูงมากขึ้น แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลักในการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในรอบที่ผ่านมา” ปิติกล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับฮามาสนั้น สิ่งที่กังวล คือ หากราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นในระยะหนึ่ง ประกอบกับค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น จะทำให้ค่าเงินบาทและค่าเงินประเทศอื่น ๆ อ่อนลง ต้นทุนการนำเข้าพลังงานจะสูงขึ้น และในช่วงที่ราคาพลังงานในไทยยังถูกกำหนดด้วยมาตรการบางอย่าง ต้นทุนในส่วนนี้จะโป่งขึ้นและเป็นภาระของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและภาคการคลัง ดังนั้น จึงต้องจับตาดูการปรับมาตรการในไทยเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในโลก โดยอาจต้องทบทวนราคาน้ำมันในประเทศ อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%8B%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2-%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2" alt="อีคอมเมิร์ซไทยศักยภาพระดับโลก อุตสาหกรรมเครื่องประดับพร้อมเปล่งประกาย">อีคอมเมิร์ซไทยศักยภาพระดับโลก อุตสาหกรรมเครื่องประดับพร้อมเปล่งประกาย</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

โลกเข้าสู่ช่วงอันตราย ไทยได้ไม่คุ้มเสีย

<h2>งานวิจัยเผย เด็กและเยาวชนหันมาใส่ใจเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น กับคำถามที่ว่าครอบครัวของพวกเขามีเงินเพียงพอหรือไม่ สูงกว่าความกังวลเรื่องสิ่งแวดล้อมและอาชญากรรมเสียอีก</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หนึ่งในสิบของเยาวชนอายุระหว่าง 10-17 ปีต่างเป็นทุกข์กับชีวิต อ้างอิงจากรายงานผลการศึกษาโดยองค์กร Children,s Society&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากการประมาณในรายงาน พบว่าเด็กและเยาวชนกว่า 2 ล้านคนในสหราชอาณาจักรต่างวิตกกังวลกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเหนือปัญหาสิ่งแวดล้อ โดยเกือบ 3 ล้านคนปราศจากความรู้สึกเชิงบวกต่ออนาคตของประเทศหรือกระทั่งของโลกก็ตาม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความมั่นคงทางการเงินในอนาคตคือปัญหากวนใจเยาวชนรุ่นใหม่กันมากที่สุด กว่าหนึ่งในสามของเยาวชนกังวลว่าจะมีเงินพอใช้สำหรับภายภาคหน้าหรือเปล่า สี่ในห้าของพ่อแม่หรือผู้ปกครองเองก็คิดมากเรื่องผลกระทบของค่าครองชีพที่มีต่อครอบครัวเช่นกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานดังกล่าวยังเปิดว่าเด็กผู้หญิงมีความสุขน้อยกว่าเด็กผู้ชายเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ยกเว้นงานที่โรงเรียน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ชีวิตยากเกินไปสำหรับเด็กหลายคน” Mark Russell ซีอีโอของ Children,s Society กล่าว “กลายเป็นเรื่องฉาวระดับชาติเมื่อความสุขของเด็กๆ ถดถอยลงเรื่อยๆ น่าตกใจจริงๆ ที่เกือบครึ่งของเยาวชนรู้สึกเศร้ากับสถานการณ์โลกทุกวันนี้”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราต้องการผู้นำแท้จริงจากรัฐบาลเพื่อแก้ไข” เขาเสริม “ความจำเป็นในการยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีต้องเด็กๆ เร่งด่วนมาก”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Nil Gzelgun ผู้จัดการนโยบายและแคมเปญจากองค์กรด้านสุขภาพจิตเผยว่า “เยาวชนกำลังแบกรับผลกระทบจากวิกฤตค่าครองชีพอันเลวร้ายยิ่งในรุ่นนี้ เกือบหนึ่งในสามของเด็กๆ ชาวอังกฤษต้องเผชิญความยากจน จึงเป็นเรื่องไม่น่าแปลกใจที่น่าเศร้าเหลือเกินเมื่อเด็กหลายคนกำลังรับรู้ถึงผลกระทบต่อความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขา”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกรายงานผลการศึกษาที่เผยแพร่ในวันเดียวกันโดยองค์กรการกุศล Trussell Trust พบว่าครึ่งหนึ่งของแรงงานครัวเรือนที่มีชื่อในประกันสังคมที่เรียกว่า Universal Credit ต่างขาดแคลนอาหารในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และไม่สามารถหาซื้อเพิ่มได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Universal Credit คือสิทธิประโยชน์หลักของชาวสหราชอาณาจักรสำหรับผู้มีรายได้น้อยหรือตกงาน มีประชาชนมาขอเบิกเงิน 6 ล้านคน อัตราปกติคืออย่างน้อย 140 ปอนด์ต่อเดือนซึ่งต่ำกว่าค่าอาหาร พลังงาน และปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลการศึกษาซึ่งคาดคะเนว่าผู้ได้รับสิทธิประโยชน์จาก Universal Credit ราว 700,000 คนต้องหันไปพึ่งพาอาหารจากการกุศลในเดือนสิงหาคม ทั้งยังพบว่าหลายครอบครัวต้องดิ้นรนประหยัดพลังงาน พวกเขามีแนวโน้มจะอดอาหารบางมื้อและไม่อาบน้ำ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Russell กล่าวว่าในกรณีนี้มีความน่าประหลาดใจอยู่นิดหน่อยตรงที่งานวิจัยของ Children,s Society ชี้ว่าความสุขโดยรวมของเยาวชนตกลงสู่จุดต่ำสุดนับตั้งแต่มีการสำรวจครั้งแรกเมื่อ 12 ปีก่อน โดยคนรุ่นใหม่มีความทุกข์เกี่ยวกับปัจจัยหลักทุกอย่างของชีวิตกว่าแต่ก่อน ยกเว้นแค่ครอบครัวของพวกเขาเท่านั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Jonathan Townsend ซีอีโอแห่งองค์กรการกุศล Prince,s Trust กล่าวว่าผลการศึกษาเหล่านี้เป็นดั่ง “แจ้งเตือนอันชัดเจนว่าค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นส่งผลลบต่อความเป็นอยู่ที่ดีของเยาวชนและความหวังในอนาคตของพวกเขา”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ก่อนหน้านี้ เราเผยแพร่ผลวิจัยซึ่งแสดงให้เห็นว่าความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและแรงกดดันทางการเงินที่มีมาอย่างต่อเนื่องนั้น กัดกินความทะเยอทะยานด้านการงานอาชีพและเป้าหมายในชีวิตของเยาวชน โดยส่วนใหญ่รู้สึกหวั่นวิตก ขาดความมั่นใจ และสิ้นหวังเกี่ยวกับแผนการในอนาคต” Townsend อธิบาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Barry Fletcher ซีอีโอแห่งมูลนิธิ Youth Futures Foundation เผยว่าเยาวชนจำนวนมากกว่า 790,000 คนไม่มีงานทำและไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษาหรือฝึกฝนใดๆ คิดเป็น 23% เพิ่มขึ้นตลอดสองปที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราจำเป็นต้องหาทางออกระยะยาวซึ่งสนับสนุนเยาวชน ช่วยให้พวกเขาได้ทำงานที่มีคุณภาพ และมีอนาคตที่สดใส” Fletcher กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทาง Children,s Society กำลังเรียกร้องให้มีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ต่างๆ สำหรับเด็ก ต้องมีตำแหน่งรัฐมนตรีระดับสูงรับผิดชอบเรื่องของเยาวชนทั้งในรัฐบาลสหราชอาณาจักรและเวลส์ เพื่อให้ทางรัฐบาลสามารถตรวจสอบความเป็นอยู่ที่ดีของเด็กๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรมประจำทุกปี โดยเฉพาะสำหรับเด็กผู้หญิง”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แปลและเรียบเรียงจาก Children worry more about rising prices than environment or crime, study finds ซึ่งเผยแพร่บน theguardian.com &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/71364" alt="หรือเปียโนจะสูญสิ้น? เมื่อออสเตรเลียขาดแคลนช่างจูนเสียง">หรือเปียโนจะสูญสิ้น? เมื่อออสเตรเลียขาดแคลนช่างจูนเสียง</a> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

เยาวชนสหราชอาณาจักรหวั่น ค่าครองชีพพุ่งสูง กระทบความมั่งคงทางการเงิน

<h2>เงินสดกลับมาเป็นที่แพร่หลายอีกครั้งในสหราชอาณาจักร ข้อมูลเผยการใช้จ่ายด้วยธนบัตรและเหรียญเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี&nbsp;</h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หากมองในระยะยาว การใช้เงินสดอาจลดลง แต่ทางสมาคม UK Finance เผยว่าวิกฤตค่าครองชีพส่งผลให้ผู้คนจำนวนมากหันกลับมาใช้เงินสด “ที่จับต้องได้” ซึ่งช่วยในการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายต่างๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อปีที่ผ่านมายังเกิด “ความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง” ในบันทึกตัวเลขโดยรวมของการทำธุรกรรมผ่านวิธีการทั้งหมด ได้ชี้ว่าประชนเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตถี่ขึ้นและใช้จ่ายโดยให้ความสำคัญกับมูลค่ามากกว่าซื้อเยอะๆ ในคราวเดียว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานประจำปีว่าด้วยตลาดการใช้จ่ายของสหราชอาณาจักร ภาคธนาคารกล่าวว่าบัตรสำหรับใช้จ่ายเงินยังคงมีบทบาทสำคัญในปี 2022 นับเป็นครั้งแรกที่กว่าครึ่งของการใช้จ่ายในสหราชอาณาจักรเป็นไปผ่านบัตรเดบิต ขณะที่การทำธุรกรรมโดยปราศจากการสัมผัสพุ่งสูงขึ้น 30% แตะ 17 พันล้านปอนด์ภายในปีเดียว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตัวเลขการทำธุรกรรมผ่านวิธีการทั้งหมดเพิ่มขึ้นสู่ 4.57 หมื่นล้านปอนด์ จาก 4.04 หมื่นล้านปอนด์ในปี 2021 และ 3.56 ล้านปอนด์ในปี 2020&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทาง UK Finance ยังกล่าวว่านี่เป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการท่องเที่ยวซึ่งเชื่อมโยงกับการทำงานแบบไฮบริด ตอนนี้ผู้คนจำนวนมากหันมาใช้จ่ายสำหรับการเดินทางแต่ละเที่ยว แทนที่จะซื้อตั๋วสำหรับตลอดฤดูกาล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม การหวนคืนมาที่ไม่หวือหวาของธนบัตรและเหรียญกลับเป็นสิ่งสะดุดตาที่สุด การใช้จ่ายด้วยเงินสดเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบสิบปีในปีที่ผ่านมา โดยคิดเป็น 7% เทียบเท่าการใช้จ่าย 6.4 พันล้านปอนด์ แม้ข้อเท็จจริงเป็นที่ประจักษ์ว่าหลายธุรกิจหันมาใช้บัตรกันหมดแล้ว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตัวเลขบรรดาผู้ที่ใช้ชีวิต “โดยปราศจากเงินสดเสียส่วนใหญ่” อันเป็นนิยามของกลุ่มคนที่ไม่ใช้ธนบัตรกับหรียญเลย หรือไม่ก็นานๆ ใช้สักครั้งหนึ่ง เพิ่มขึ้นทุกปีมาสักระยะแล้ว โดยแตะ 23.1 ล้านคนในปี 2021 แต่ในปี 2022 แนวโน้มกลับสวนทางโดยชาวไร้เงินสดกลับลดลงเหลือเพียง 21.6 ล้านคน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ความกลัวภาวะเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่สูงขึ้นทำให้หลายคนเลือกใช้เงินสด เพื่อเป็นวิธหนึ่งในการบริหารค่าใช้จ่าย” โฆษกแห่ง UK Finance เผย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานยังเสริมว่า “เมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลงและความมั่นใจในเศรษฐกิจของผู้บริโภคฟื้นคืนมา เราคาดหวังว่ากระแสการใช้เงินสดในระยะยาวจะลดลง”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม ภาคธนาคารกลับเปลี่ยนผลคาดการณ์ว่าด้วยการใช้เงินสด เมื่อปีที่แล้วพวกเขาคาดว่าจะมีการทำธุรกรรมด้วยเงินสดน้อยกว่า 3 พันล้านปอนด์ในสหราชอาณาจักรก่อนปี 2031 คิดเป็น 6% ของการทำธุรกรรมทั้งหมด ทว่าตอนนี้พวกเขากลับคาดการณ์ว่าในปี 2032 จะมีการทำธุรกรรมด้วยเงินสดราว 3.3 พันล้านปอนด์ ซึ่งคิดเป็น 7% ของทั้งหมด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อมูลยังชี้ว่าการเติบโตของโมเดลธุรกิจแบบเครดิตซื้อก่อนจ่ายทีหลังในสหราชอาณาจักรยังอาจชะลอตัว การซื้อก่อนจ่ายทีหลังทำให้ผู้ซื้อลังเลที่จะใช้เงินไม่ว่าจะเสื้อผ้าหรือสิ่งของจำเป็นก็ตาม และมีเพียงหนึ่งในแปดของผู้คนในสหราชอาณาจักร (12%) ที่ซื้อของด้วยวิธีนี้ในปี 2022 ซึ่งเป็นสัดส่วนเดียวกับเมื่อปี 2021&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม 8% ของผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปเลือกที่จะซื้อก่อนจ่ายทีหลังเพิ่มขึ้นจาก 4% ในปี 2021&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แปลและเรียบเรียงจาก Cash payments rise in UK as people seek ways to manage budgets ซึ่งเผยแพร่บน theguardian.com &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/71331" alt="Alessandro Rosano ถอดธุรกิจ HeyDude รองเท้าพันล้าน">Alessandro Rosano ถอดธุรกิจ HeyDude รองเท้าพันล้าน</a> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

เงินสดหวนผงาด เมื่อชาวสหราชอาณาจักรพยายามควบคุมค่าใช้จ่าย

<h2>ข้าวของต่างๆ ในประเทศสวีเดนมีราคาแพงขึ้น และ Beyoncé ก็อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะเงินเฟ้อ นี่คือถ้อยคำกล่าวโทษของ Michael Grahn หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์แห่งธนาคาร Danske Bank</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Beyonce เริ่มต้นทัวร์คอนเสิร์ต Renaissance World Tour ขึ้นที่เมืองสตอกโฮล์มในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยกวาดรายได้จากการขายตั๋วไปเป็นมูลค่า 2.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่ภาวะเงินเฟ้ออยู่ในอัตรา 9.7% โดย Grahn ชี้ว่าราว 0.2% เป็น “ปัญหาจาก Beyonce” อ้างอิงจาก Wall Street Journal&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในโลกแห่งความเป็นจริงคือสวีเดนต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้ออัตราสูงมากมาหลายเดือนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น อัตราเงินเฟ้อในเดือนพฤษภาคมที่ Grahn โทษ Beyonce ก็ต่ำลงจากเดือนก่อนด้วยซ้ำ เพราะอัตราเงินเฟ้อในเดือนเมษายนอยู่ที่ 10.2%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มาดูกันว่าเหตุใด Grahn จึงกล่าวโทษ Beyonce และทำไมการจัดทัวร์คอนเสิร์ตของนักร้องสาวผู้โด่งดังรายนี้ถึงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสวีเดนมากกว่า Bruce Springsteen และ Taylor Swift รวมถึงสาเหตุที่แท้จริงว่าเพราะอะไรสวีเดนจึงต้องประสบกับปัญหาราคาสินค้าต่างๆ แพงขึ้น Beyonce ทำอัตราเงินเฟ้อสวีเดนสูงขึ้นอย่างไร? &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ประเด็นแรก เหตุใด Grahn จึงโทษว่า Beyonce มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เหล่าบรรดานักเศรษฐศาสตร์ได้สำรวจข้อมูลผ่าน FactSet โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มเพียง 9.2% ในเดือนพฤษภาคม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้น “ปัญหาจาก Beyonce” อันได้แก่ การที่ราคาโรงแรมและร้านอาหารต่างๆ สูงขึ้นเพราะแฟนๆ ของนักร้องสาวพากันมาเยือนสตอกโฮล์มอย่างคับคั่งในช่วงที่มีการจัดคอนเสิร์ตระหว่างวันที่ 10-11 พฤษภาคม นี่จึงทำให้อัตราเงินเฟ้อขยับขึ้นสูงเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทว่าแม้ Grahn จะพูดถูกเรื่อง “ปัญหาจาก Beyonce” เขากลับไม่อธิบายว่าตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมที่เพิ่มมาอีก 0.3% ที่เหลือนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร Grahn คาดหวังว่า “ปัญหาจาก Beyonce” จะคงอยู่เพียงแค่ชั่วคราว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าโรงแรมและร้านอาหารต่างๆ ขึ้นราคาราว 0.3% ซึ่ง 0.2% นั้นสืบเนื่องมาจากคอนเสิร์ตของนักร้องสาวดาวเด่นผู้นี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Grahn พิจารณาว่าผลกระทบด้านเงินเฟ้อที่เกิดจาก Beyonce นั้นไม่ใช่เรื่องปกติ ดังที่เขาเผยกับ CNN ว่า “ไม่ปกติแน่นอน ดารามาที่นี่กันตลอดนั่นแหละ แต่เราแทบจะไม่เจอผลกระทบแบบนี้เลย”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เขายังชี้ให้เห็นด้วยว่า สกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ ได้แข็งค่าขึ้นมาถึง 30% จากที่เคยตกต่ำเมื่อปี 2021 และเมื่อปะทะกับค่าเงินโครน “ที่อ่อนแอมาก” ของสวีเดนจึงเป็นการเพิ่มอำนาจซื้อให้แก่ชาว BeyHive หรือแฟนคลับของ Beyonce ที่เดินทางจากสหรัฐอเมริกามายังสวีเดนเพื่อเข้าร่วมชมคอนเสิร์ต ณ Friends Arena เมืองสตอกโฮล์ม ที่จุคนได้จำนวน 46,000 ที่นั่ง ซึ่งจัดขึ้นถึง 2 วัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในทัศนะของ Peter Cohan ผู้เขียนบทความเรื่องนี้ ได้บอกว่า Grahn ควรจะวิเคราะห์ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ได้รับจากการมาเยือนสตอกโฮล์มของ Beyonce ที่มีต่อเจ้าของโรงแรมและร้านอาหารต่างๆ ด้วย เพราะในท้ายที่สุดแล้ว หลายๆ คนที่ยอมจ่ายค่าโรงแรมและร้านอาหารที่แพงขึ้นก็อาจเป็นชาวอเมริกันและแฟนๆ ของนักร้องสาวผู้มาเยือนจากประเทศอื่น ซึ่งเขายังคิดด้วยว่าคงมีแฟนคลับชาวสวีดิชจำนวนไม่มากที่จะยอมเสียเงินให้กับโรงแรมและร้านอาหารที่ขึ้นราคา ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/eRH86y99jN6fGJKT5eMS.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="eRH86y99jN6fGJKT5eMS.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="960,540" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทำไมผลกระทบด้านเศรษฐกิจจาก Beyonce จึงสูงกว่านักร้องคนอื่น? ประเด็นต่อมาคือ แล้วชาวสวีดิชจำเป็นต้องกังวล “ปัญหาจาก Bruce” ด้วยหรือไม่ ในเมื่อนักร้องสัญชาติอเมริกัน Bruce Springsteen ก็มีแผนมาเยือนเมืองโกเธนเบิร์กเพื่อแสดงโชว์ถึง 3 รอบด้วยกันในช่วงปลายเดือนมิถุนายน โดยคำถามนี้ดูเหมือน Grahn จะไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่จากการที่เขาบอกกับ CNN ว่า “กรณีของ Beyonce ที่เราเห็นนั้นค่อนข้างจะพิเศษแตกต่างกว่า”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้านนักร้องสาวคนดังอย่าง Taylor Swift แม้ในปีนี้เธอจะยังไม่มีแผนการแสดงที่สตอกโฮล์ม แต่เธอเองก็สร้างผลกระทบด้านเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญต่อเมืองต่างๆ ที่เธอขึ้นแสดง เห็นได้จากรายงานของ Wall Street Jounal ที่เผยว่าเธอ “ช่วยเพิ่มจำนวนผู้มาเยือนลาสเวกัสให้สูงขึ้นเกือบจะเท่ากับช่วงก่อนโควิด-19 แพร่ระบาดในการมาเยือนเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา” อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นของสวีเดนเกิดจากอะไรกันแน่? &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แม้ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจจากการมาเยือนสวีเดนของ Beyonce จะคงอยู่เพียงชั่วคราว แล้วอะไรเล่าที่ผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อของประเทศเพิ่มสูงขึ้น ในรายงานข่าวของ CNBC แสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อของสวีเดนที่เอื้อมแตะ 9.4% ในเดือนกุมภาพันธ์ ได้ลดลงเล็กน้อยเหลือ 9% ในเดือนมีนาคม หลังจากนั้นจึงเพิ่มขึ้นไปที่ 10.5% ในเดือนเมษายน แล้วจึงร่วงลงเล็กน้อยอยู่ที่ 9.7% ในเดือนพฤษภาคม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แรงขับเคลื่อนใหญ่ๆ สำหรับภาวะเงินเฟ้อของสวีเดนคือค่าใช้จ่ายของผู้ครอบครองบ้าน นับตั้งแต่ปี 2020 ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบ้านต่างๆ ไม่ว่าจะค่าน้ำค่าไฟ ภาษี และดอกเบี้ยพากันทะยานขึ้น 77% “สู่ 206,039 โครนต่อปี (คิดเป็น 20,000 เหรียญ) ในเดือนเมษายน 2023 ที่ผ่านมา เทียบกับ 116,483 โครนต่อปีจากการคำนวณในช่วงครึ่งแรกของปี 2020” CNBC รายงาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางของสวีเดน (Riksbank) ซึ่งตั้งเป้าอัตราเงินเฟ้อไว้ที่ 2% ได้มีมติเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.5% สู่ 3.5% ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Ola Olsson ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์และรองคณบดี School of Business, Economics and Law แห่ง University of Gothenburg กล่าวว่า&nbsp;ภาวะเงินเฟ้อซึ่งรวมถึงด้านพลังงานด้วยนั้นมีแนวโน้มจะคงอยู่ในระดับสูงตลอดปี 2023 และเขาคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะตกลงไม่เกิน 2% จนถึงไตรมาสแรกของปี 2024&nbsp;นอกจากนี้ มีการคาดการณ์ว่าสวีเดนจะตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยตลอดสี่ไตรมาสของปี 2023 &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แปลและเรียบเรียงจากบทความ Don’t Blame Beyonce For Sweden’s 9.7% Inflation ซึ่งเผยแพร่บน Forbes &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/world/america/wonderful-co-%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%9C%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99" alt="Wonderful Co. มหัศจรรย์ธุรกิจผึ้งพันล้าน">Wonderful Co. มหัศจรรย์ธุรกิจผึ้งพันล้าน</a> <a href="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/259ea8b5-e863-4fe9-afd6-8640148d07e2/june-2023" alt="คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2566 ในรูปแบบ e-magazine">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนมิถุนายน 2566 ในรูปแบบ e-magazine</a>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/6o3wqXtGVmYsHmadpeZL.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="6o3wqXtGVmYsHmadpeZL.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="179px,235px" data-rotate="" data-index="2" style="width: 179px; height: 235px;"></figure></div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events