<h2>เมื่อต้องการมองหาบุคคลที่มีคุณสมบัติให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ ประสบการณ์ทำงานและเรซูเม่อาจจะยังไม่เพียงพอที่จะถูกนำมาพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะนายจ้างจำนวนหนึ่งในสิงคโปร์ต่างให้ความสำคัญกับเรื่องของวันและเวลาที่ผู้สมัครเกิดด้วยไม่แพ้กัน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซีอีโอรายหนึ่งเผยว่าเขาต้องปรึกษากับซินแสฮวงจุ้ยเพื่อตัดสินว่าผู้สมัครเหมาะสมสำหรับบริษัทหรือไม่&nbsp;“หากซินแสฮวงจุ้ยอ่านชะตาแล้วพบว่าไม่ดี พวกเขาอาจไม่ได้รับการพิจารณามากเท่าใดนัก” Benedict (นามสมมติ) อดีตพนักงานของทีมจ้างงานในบริษัทการตลาดแห่งหนึ่งกล่าว เขาปฏิเสธจะใช้ชื่อจริงเพื่อหลีกเลี่ยงประเด็นอ่อนไหว&nbsp; &nbsp;&nbsp;ฮวงจุ้ยคือศิลปะการอ่านดวงชะตาและบุคลิกภาพอ้างอิงจากวันเดือนปีเกิดของแต่ละคน อาจจัดว่าเป็นหนึ่งในศาสตร์การพยากรณ์ที่มีมาแต่โบราณดุจเดียวกับไพ่ทาโรต์และการดูลายมือ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Benedict เผยว่า ในตำแหน่งหน้าที่ซึ่งมีผู้สมัครจำนวนมาก การปรึกษากับหมอดูช่วยตีวงหาผู้ที่เหมาะสมให้แคบลงมา เพราะผู้สมัครจะเข้ารอบก็ต่อเมื่อดวงของพวกเขาเข้ากันได้กับบริษัท "หากนำวันเดือนปีเกิดของผู้สมัครไปให้ซิสแสฮวงจุ้ยดูและผลออกมาไม่ดี พวกเขาจะถูกคัดออกก่อนได้นัดสัมภาษณ์เสียอีก"&nbsp;เขากล่าว&nbsp; &nbsp;&nbsp;ในสิงคโปร์ ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับการดูดวงชะตามากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ว่าจะจ้างใคร เอาเงินไปลงทุนกับอะไร หรือกระทั่งควรแต่งงานเมื่อไหร่ ธุรกิจดูดวงเติบโตอย่างมั่นคงตั้งแต่ปี 2017 ถึง 2021 พร้อมตัวเลขกิจการพยากรณ์อนาคตเพิ่มขึ้น 32.6% จากข้อมูลล่าสุดของกรมสถิติสิงคโปร์ โดยรายได้จากการดำเนินงานของธุรกิจกลุ่มดังกล่าวทะยานสูงเกือบ 70% แตะ 76.2 ล้านเหรียญสิงคโปร์ (ราว 56 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ตลอดช่วงเวลาเดียวกัน <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false" style="min-width: 100%; width: 75%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/Nu7qzLa1paJtzss3RQK1.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Nu7qzLa1paJtzss3RQK1.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="0"><figcaption><div>ไพ่ทาโร่ต์ ศาสตร์พยาการณ์โบราณยอดนิยม</div></figcaption></figure></div>​ควรจ้างงานคนไหน?&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Mark Tan ซีอีโอแห่ง Way Fengshui Group เผยว่ามีบริษัทราว 100 แห่งใช้บริการธุรกิจของเขาเพื่อสอบถามว่าควรจ้างงานผู้สมัครคนไหน&nbsp;“บริษัทพวกนั้นอาจส่งปาจื่อของผู้สมัครมาแล้วถามผมว่า คนนี้เหมาะสมกับตำแหน่งที่พวกเขากำลังเปิดรับหรือเปล่า” ปาจื่อคืออักษรแปดตัวที่ชี้วันเดือนปีและเวลาเกิดของแต่ละคน อ้างอิงจากตำราของจีน&nbsp; &nbsp;&nbsp;Tan บอกว่า ท้ายที่สุดแล้วทางบริษัทยังคงต้องเป็นผู้ตัดสินใจหลังพิจารณาการประเมินว่าผู้สมัครคนนี้เหมาะสมหรือไม่ ทั้งยังเสริมว่า “ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลต้องทำหน้าที่ของตัวเอง เราเป็นเพียงหนึ่งในตัวเลือกช่วยพิจารณาเมื่อพวกเขาต้องตัดสินใจจ้างใครสักคน โดยเฉพาะตำแหน่งสำคัญ”&nbsp; &nbsp;&nbsp;“ยิ่งเป็นตำแหน่งระดับ C หรือการจ้างครั้งสำคัญมาก และทางบริษัทยังลังเล หรือไม่ก็ลังเลมาก พวกเขาแค่อยากดูว่ามีจุดบอดอะไรที่ต้องระวังหรือเปล่า” Tan อธิบาย&nbsp; &nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม เมื่อลองถามความคิดเห็นของกระทรวงแรงงานและ TAFEP ของสิงคโปร์ ต่างชี้ไปยังกฎเกณฑ์การจ้างงานที่เป็นธรรมของสิงคโปร์ ที่ระบุว่านายจ้างต้องเลือกจ้างพนักงานตามความเหมาะสมของความสามารถ จะลงทุนกับอะไร? &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทสิงคโปร์หลายแห่งยังหันมาขอคำแนะนำจากหมอดูก่อนทำการตัดสินใจทางธุรกิจที่สำคัญ&nbsp;Jing (นามสมมติ) ผู้ทำงานกับบริษัทผลิตเหล็กในสิงเคราะห์เล่าว่า เหนือกว่าเรื่องการจ้างงาน บริษัทของเธอขอคำปรึกษาจากหมอดูเพื่อพิจารณาโอกาสการลงทุนหากจะเปิดโรงงานใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีการทำวิจัยควบคู่ไปด้วย ใช่ว่าจะพึ่งพาความเชื่อเพียงอย่างเดียว&nbsp;“มันเป็นการตัดสินใจทางธุรกิจภายในที่มีตัวเลขสนับสนุน และเมื่อตัดสินใจแล้ว ซินแสฮวงจุ้ยจะช่วยแนะนำว่าเวลาที่เหมาะสมให้” เธอกล่าว&nbsp; &nbsp;&nbsp;ซินแสจะวิเคราะห์เกณฑ์ต่างๆ เช่น ที่ตั้งของอาคาร ว่ามีโครงสร้างไม่พึงประสงค์อยู่รอบๆ ไหม หรือด้านหน้าอาคารว่าหันไปยังทิศทางใด&nbsp;“พอซินแสให้ผ่าน เราก็จะเดินหน้าโปรเจ็กต์ต่อจนลุล่วง” Jing เผย “เหมือนเป็นการยืนยันขั้นพิเศษ...พวกเขาแค่อยากดูแลให้ครอบคลุมพื้นฐานทุกด้านเท่าที่เป็นไปได้ และลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดให้เหลือน้อยที่สุด” ซึ่งฮวงจุ้ยก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/6p7wU4fPGoydtkz5c6zE.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="6p7wU4fPGoydtkz5c6zE.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="1"><figcaption><div>ซินแส ผู้เชี่ยวชาญการอ่านชะตาตามตำราจีน</div></figcaption></figure></div>​ จะมั่งคั่งได้อย่างไร?&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“คำถามทั่วไปที่ผู้คนมักถามคือ จะรวยเมื่อไหร่? ทำไมถึงยังไม่รวย?” Chase Whoo ผู้เชี่ยวชาญฮวงจุ้ยที่รับให้คำปรึกษาทั้งยังเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของ Hoseiki เผยพร้อมให้คำตอบแก่คำถามเหล่านั้นว่า ส่วนใหญ่เป็นเพราะกลยุทธ์การลงทุนนั้นมาผิดทาง&nbsp;เขาอธิบายว่าหากพิจารณาจากตารางวันเกิด หลายคนก็มีธาตุประจำตัวที่ให้โทษและขัดขวางความมั่งคั่ง&nbsp; &nbsp;&nbsp;Woo เล่าว่าลูกค้าราว 60% ของเขาถามหาหนทางสู่ความร่ำรวย ผู้ที่ถามคำถามนี้โดยส่วนใหญ่เป็นชาวสิงคโปร์อายุราว 35-45 ปี ลูกค้าจำนวนมากของเขาทำงานขาย เช่น ตัวแทนประกันภัยทางการเงิน ซึ่งต่างขอคำปรึกษาว่าจะเพิ่มยอดขายได้อย่างไร&nbsp; &nbsp;&nbsp;“เราจะสอนศาสตร์แห่งตัวเลขและเทคนิคการอ่านใบหน้าบางประการ เพื่อให้พวกเขานำไปพิจารณาหาปัญหาที่เป็นความต้องการของลูกค้า” Woo กล่าวและยกตัวอย่างว่า “คนที่มีเลขหกในตารางมาก มีแนวโน้มยึดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางกว่าคนอื่นเล็กน้อย คุณจะบอกเขาว่านโยบายนี้จะเป็นประโยชน์ต่อลูกของเขาไม่ได้ เพราะเขาอาจไม่สนใจ”&nbsp; &nbsp;&nbsp;ศาสตร์พยากรณ์และการดูดวงจึงนับได้ว่ามีบทบาทสำคัญในชีวิตของชาวสิงคโปร์อย่างมาก โดยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตัดสินใจของผู้คนมากมาย อย่างไรก็ตาม ผลทำนายไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง อาจนำมาใช้เป็นแนวทาง แต่ควรนำข้อมูลอื่นๆ มาพิจารณาประกอบด้วยเช่นกัน แปลและเรียบเรียงจาก Who should I hire? Will I get rich? Fortune telling is a booming business in Singapore ซึ่งเผยแพร่บน cnbc.com อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/america/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%99" alt="อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มผนึกกำลังเกษตรกรร่วมกันลดคาร์บอน">อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มผนึกกำลังเกษตรกรร่วมกันลดคาร์บอน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ฮวงจุ้ย ศาสตร์พยากรณ์โบราณกับบทบาทในธุรกิจสิงคโปร์

แนวทางสร้างองค์กรอย่างยั่งยืน แบบฉบับ ‘กมลวรรณ วิปุลากร’ เบาด์ แอนด์ บียอนด์

 Georgia Stewart กับแพลตฟอร์ม Tumelo “ผู้ถือหุ้นทั่วโลกจงสามัคคีกัน”

<h2>บริษัท Praetorian Capital ของ Harris Kupperman มักจะค้นหาโอกาสเข้าลงทุนในกิจการที่หวือหวาน่าตื่นเต้นจากทุกแง่มุมของตลาด ตั้งแต่บิตคอยน์ไปยันก๊าซธรรมชาติ</h2><h2> </h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บางครั้งเงินทุนตั้งต้นที่ดีที่สุดสำหรับเส้นทางอาชีพด้านการลงทุนที่ประสบความสำเร็จก็คือจังหวะเวลาที่ประจวบเหมาะ ในปี 1997 Harris Kupperman ซึ่งเรียนอยู่ในชั้นปีที่ 3 ของโรงเรียนมัธยมปลายเริ่มสนใจเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้น เพราะพาดหัวข่าวในช่วงนั้นมีแต่เรื่องเกี่ยวกับวิกฤตการเงินของเอเชีย และความคลั่งไคล้หุ้นประเภทดอทคอมของนักลงทุนในตลาด&nbsp;&nbsp; &nbsp; พอถึงช่วงที่เขาก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยที่ Tulane University ในอีก 2 ปีต่อมา หุ้นเทคโนโลยีก็ขยับขึ้นมาถึงเกือบ 200% นับตั้งแต่ที่ Netscape ขายหุ้น IPO ในช่วงฤดูร้อนของปี 1995 และในช่วง 2-3 เดือนถัดจากนั้นก็พุ่งทะยานขึ้นไปอีกเท่าตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตอนนี้เองที่ว่าที่ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์อย่าง Kupperman สังเกตเห็นว่า หุ้นในกลุ่มดอทคอมหลายต่อหลายตัวสุดท้ายก็ราคาร่วงพรวดพราดเมื่อพ้นกำหนดเวลาห้ามนักลงทุน VC ขายหุ้นออก และนักลงทุนที่เข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นเทขายหุ้นออกมาในตลาด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในช่วงต้นปี 2000 Kupperman หรือที่เพื่อนๆ ของเขาเรียกว่า “Kuppy” ได้นำเงิน 6,000 เหรียญสหรัฐฯ ที่เขาหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนจากการทำความสะอาดสระว่ายน้ำให้กับคนที่อยู่ในแถบชายฝั่งตอนเหนือของ Long Island มาเริ่มซื้อพุทออปชัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งจะว่าไปแล้วก็คือ การขายชอร์ตหุ้น dotbomb (หุ้นกลุ่ม dot-com ที่ล้มเหลว) อย่างเช่น Commerce One และ Foundry Networks และเมื่อฟองสบู่แตกในเดือนมีนาคม ปี 2000 ดัชนี Nasdaq ร่วงลงมาถึง 80% เขาก็ทำเงินไปได้พอสมควร“ผมมีเงินในบัญชีเพียงแค่ 2,000-3,000 เหรียญเมื่อตอนต้นปี และพอถึงปลายปีผมกลับมีถึง 200,000-300,000 เหรียญ” Kupperman ในวัย 41 ปี พูดถึงอดีตในตอนนั้น “มันทำให้ผมได้เห็นศักยภาพว่า ถ้าหากคุณใช้ความคิดหนักกว่าคนอื่นๆ คุณก็สามารถทำเงินได้มากมาย”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;20 ปีต่อมาบริษัท Praetorian Capital ของเขามีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารมากถึง 180 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นถึง 593% หลังหักค่าธรรมเนียมผลการดำเนินงาน 20% และค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการสินทรัพย์ 1.25% นับตั้งแต่ที่บริษัทเริ่มเปิดรับเงินทุนจากภายนอกในปี 2019&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ในช่วงปี 2020 และ 2021 กองทุนของเขาซึ่งเน้นลงทุนในสินทรัพย์เพียง 10 กว่ารายการสร้างผลตอบแทนสูงถึงกว่า 100% Kupperman เป็นนักลงทุนประเภทที่พร้อมจะเข้าลงทุนที่ไหนก็ได้ และพร้อมที่จะกระโจนเข้าลงทุนตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยเขาคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนจากการเข้าลงทุน 5 เท่า เขาไม่กลัวที่จะเข้าไปซื้อขายสินทรัพย์ที่มีการเก็งกำไรกันอย่างบ้าคลั่งแม้เขาจะมองว่าสินทรัพย์เหล่านั้นไม่ได้มีมูลค่าที่แท้จริงใดๆ อยู่เลยก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น เมื่อปลายปี 2020 และต้นปี 2021 เขาทำกำไรจากบิตคอยน์ได้ถึง 6 เท่าตัว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เขาเชื่อว่าบิตคอยน์จะขึ้นในช่วงที่ Fed อัดฉีดสภาพคล่องเข้ามาในตลาด อย่างที่เกิดขึ้นในช่วงแรกที่โควิดระบาด และจะตกเมื่อธนาคารกลางปรับมาใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัวมากขึ้น เขาเข้าไปซื้อบิตคอยน์ที่ราคาประมาณ 9,200 เหรียญในช่วงฤดูร้อนของปี 2020 และพอถึงปลายปีเงินสกุลคริปโตก็เป็นสินทรัพย์ที่มีน้ำหนักมากที่สุดในพอร์ตการลงทุนของเขา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ต่อมาในเดือนมีนาคมและเมษายนปี 2021 เมื่อเงินเฟ้อเริ่มขยับขึ้นสูงเกินกว่าเป้าหมายของ Fed ที่ 2% Kupperman ก็คิดว่าการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายของธนาคารกลางน่าจะจบรอบแล้ว ดังนั้น เขาจึงขายบิตคอยน์ออกไปที่ราคา 58,000 เหรียญ เพียง 2-3 เดือนก่อนที่มันจะขึ้นไปถึงจุดสูงสุดที่เกือบๆ 70,000 เหรียญ (ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 20,000 เหรียญ)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ เขายังใช้โอกาสในช่วงที่เกิดโรคระบาดเข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่นอีก ได้แก่ หุ้นขนาดเล็กในกลุ่มก๊าซธรรมชาติและกลุ่มอาวุธปืน สำหรับในวันนี้เขามองบวกกับกลุ่มที่อยู่อาศัยซึ่งถูกกดดันจากดอกเบี้ยขาขึ้นในสถานที่อย่างในรัฐ Florida ซึ่งจะยังคงดึงดูดให้มีผู้คนย้ายเข้ามาจากรัฐอื่นๆ ที่เก็บภาษีแพงกว่า​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/steBnRNDxJbh3LjHR4uB.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="steBnRNDxJbh3LjHR4uB.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ทุกๆ ประมาณ 18-24 เดือนจะต้องมีอุตสาหกรรมหนึ่งที่ทำให้ผู้คนแตกตื่น และเป็นโอกาสให้คุณเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมนั้นได้ในราคาถูกๆ” Kupperman กล่าว “เรื่องราวของชีวิตผมก็เป็นแบบนั้นแหละ ผมอดทนและผมรอจนผู้คนสติแตกเต็มที่แล้วจึงค่อยเข้าไปซื้อ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปี 2003 Kupperman เรียนจบระดับปริญญาตรี สาขาประวัติศาสตร์ จาก Tulane เขาเปิดกองทุนเฮดจ์ฟันด์และย้ายมาที่ Miami ตอนนั้นกองทุนของเขากำลังไปได้สวย แต่เมื่อเกิดวิกฤตการเงินในปี 2008 เขาก็ปิดมันไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ต่อมาในปี 2010 เขามั่นใจว่าประเทศมองโกเลีย ซึ่งมีทรัพยากรทองแดงและถ่านหินอุดมสมบูรณ์จะต้องเฟื่องฟู ดังนั้น เขาจึงเข้าไปกุมอำนาจบริหารในบริษัทการค้าที่มีแต่เปลือก และไม่ได้ดำเนินกิจการใดจริงจังในประเทศแคนาดา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากนั้นก็เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Mongolia Growth Group และเริ่มเข้าไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ Ulaanbaatar แต่โชคไม่ดี หลังจากที่ Mongolia Growth Group เปิดสำนักงานในปี 2011 ได้ไม่นาน รัฐบาลมองโกเลียก็เริ่มคุมการลงทุนจากต่างประเทศ และอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจก็ชะลอตัวลงจนอยู่ในระดับที่ต่ำมาก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทุกวันนี้รายได้ส่วนใหญ่ของ Mongolia Growth Group ซึ่งอยู่ที่ 2.5 ล้านเหรียญมาจากจดหมายข่าวที่ใช้ชื่อว่า Kuppy’s Event Driven Monitor ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับ Mongolia เลย และคิดราคาเดือนละ 400 เหรียญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2019 เขากลับมาเปิดบริษัท Praetorian ร่วมกับ Wes Cooper ซึ่งเป็นอดีตพนักงานของ Ernst &amp; Young โดยอาศัยเงินของพวกเขาเองเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการลงทุนที่มีสัดส่วนใหญ่ที่สุดในพอร์ตทุกวันนี้คือ การลงทุนในแร่ยูเรเนียม ซึ่งทนผ่านช่วงตลาดขาลงมานานถึง 14 ปีแล้ว และน้ำมันดิบ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลการดำเนินงานของกลุ่มพลังงานที่ดีกว่าสินทรัพย์อื่นๆ ช่วยให้ Praetorian ยังขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2022 จนถึงเดือนกรกฎาคมขยับขึ้นมาแล้ว 9.1% ดีกว่าดัชนี S&amp;P 500 ที่ลดลง 13.3%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่อัตราดอกเบี้ยที่กำลังขยับสูงขึ้นส่งผลกระทบกับหุ้นของเขาในกลุ่มที่อยู่อาศัย เช่น The St. Joe Company ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีน้ำหนักมากที่สุดในพอร์ตของเขานับตั้งแต่ที่หุ้นตกในปี 2020 (อ่านเพิ่มเติม “พอร์ตการลงทุนของ Kuppy” ในล้อมกรอบ)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;St. Joe เป็นเจ้าของที่ดิน 170,000 เอเคอร์ที่อยู่บริเวณส่วนต้นของแหลม Florida โดยรายได้โตถึง 66% ในปี 2021 ในขณะที่ราคาหุ้นวิ่งขึ้นมาถึง 3 เท่าจาก 20 เหรียญเป็น 60 เหรียญ ระหว่างเดือนกันยายน ปี 2020 และเมษายน ปี 2022&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่นับจากนั้นก็ตกกลับลงมาอยู่ที่ 37 เหรียญ “ทุกคนพากันตื่นตระหนกกับอัตราดอกเบี้ยและการจดจำนอง” Kupperman กล่าว “ผมไม่คิดว่ามันจะทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปหรอก ภายใน 1 ปีอัตราดอกเบี้ยก็จะลง แต่ผู้คนจาก New York จะยังคงย้ายมาที่ Florida อยู่ดี”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ถึงแม้ว่า Kupperman จะมองบวกกับแนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ใน Florida แต่ตัวเขาเองได้ย้ายกิจการของ Praetorian มาตั้งริมชายหาดที่ Rincon ใน Puerto Rico ซึ่งอัตราภาษียิ่งถูกลงไปอีก เขากำลังพิจารณาจะปิดกองทุนของเขาเมื่อมูลค่าสินทรัพย์ขยับขึ้นไปจนถึง 250 ล้านเหรียญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ผมมีเพื่อนที่บริหารกองทุนระดับพันล้านเหรียญ และพวกเขาก็มีเงินมากกว่าผม” เขากล่าว “แต่แค่นี้ผมก็ไม่สามารถใช้เงินที่ผมหามาทั้งชีวิตได้หมดแล้ว” เรื่อง: Hank Tucker. เรียบเรียง: พิษณุ พรหมจรรยา ภาพ: Guerin Blask อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/world/technology/%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B9%8C" alt="ต่อท่อเชื่อมคลาวด์"></a><a href="https://forbesthailand.com/world/technology/%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B9%8C" alt="ต่อท่อเชื่อมคลาวด์">ต่อท่อเชื่อมคลาวด์</a><hr class="__se__solid">​<a href="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/1381118a-b359-4419-b6ed-b94da33a06cc/april-2023" alt="คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนเมษายน 2566 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนเมษายน 2566 ในรูปแบบ e-magazine</a>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/kmGWmjftq8gTEYZPwnBF.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="kmGWmjftq8gTEYZPwnBF.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div>

"Harris Kupperman" นักลงทุนผู้ชื่นชอบธุรกิจเร้าใจสร้างรายได้แบบหวือหวา

<h2>นักลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลต้องพึงระวัง หลังผลสำรวจล่าสุดพบว่า เหล่าบรรดาครีเอเตอร์บนแพลตฟอร์ม TikTok จำนวนมากกว่า 30% มักให้ข้อมูลผิดหรือไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการลงทุนคริปโต และยังชวนเชื่อด้วยเนื้อหาการสร้างรายได้ผ่านบริการบางอย่างรวมถึงไม่มีการเตือนผู้ใช้งานเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากรายงานของ dappGambl เปิดเผยว่า มีอินฟลูเอ็นเซอร์จำนวนมากถึง 1 ใน 3 บนแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง TikTok ที่โพสต์ข้อมูลทำให้เกิดการเข้าใจผิดเกี่ยวกับการลงทุนทางดิจิทัลอย่างบิทคอยน์และคริปโต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ จากการวิเคราะห์วิดีโอบน TikTok มากกว่า 1,161 รายการ พบว่ามีเพียง 1 ใน 10 ของวิดีโอเหล่านี้ที่เตือนผู้ชมเกี่ยวกับความเสี่ยงในการลงทุนคริปโต ขณะที่วิดีโอที่เหลือไม่ได้เพิ่มคำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงและความผันผวนของการลงทุน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลการสำรวจยังพบด้วยว่า 47% ของครีเอเตอร์ เน้นเนื้อหาไปที่การสร้างรายได้ผ่านบริการต่างๆ ซึ่งหลายวิดีโอเข้าข่ายการหลอกลวงให้ลงทุนในคริปโต ซึ่ง 1 ใน 3 ของวิดีโอที่ทำให้เข้าใจผิดบน TikTok มักจะติดแฮชแท็ก เช่น #crypto, #cryptok, #cryptoadvice, #cryptocurrency, #cryptotrading และ #cryptoinvesting ซึ่งแฮชแท็กเกี่ยวกับคริปโตเหล่านี้มียอดการเข้าดูมากกว่า 6 พันล้านครั้งเลยทีเดียว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 569px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/04/AHkNzhADiRTGZ616p9xj.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="569px,303px" data-align="center" data-file-name="AHkNzhADiRTGZ616p9xj.jpg" data-file-size="0" origin-size="900,480" data-origin="569px,303px" style="width: 569px; height: 303px; transform: rotate(0deg);" data-index="0"><figcaption style="margin-top: 0px;"><div style="text-align: center;">Credit Photo by: Unsplash</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ในสหรัฐอเมริกา มีผู้ใช้งาน TikTok กว่า 150 ล้านราย นั่นหมายถึงว่าผู้คนสามารถเข้าถึงเนื้อหาการหลอกลวงคริปโตได้จำนวนมหาศาล&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยปี 2022 ที่ผ่านมา ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (กลต.) ได้ให้สั่งให้ Kim Kardashian จ่ายค่าปรับเป็นมูลค่าสูงถึง 1.26 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการโปรโมตโทเคน EthereumMax (EMAX) โดยไม่ได้เปิดเผยค่าตอบแทนที่ได้รับจากการชักชวนดังกล่าว ในขณะเดียวกัน คนดังรายอื่นๆ เช่น Jake Paul และ Soulja Boy ก็ถูกกล่าวหาว่าชักชวนให้ผู้คนหลายล้านคนลงทุนเช่นกัน อ่านเพิ่มเติม:&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%B2-%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-stark-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%94-%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A1-%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87-%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A" alt="จับตา “หุ้น STARK” หลังบอร์ดออกยกทีม เลื่อนส่งงบการเงินหลายรอบ"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%82%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%87-stark-%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99" alt="ธนาคารไทยแข็งแกร่ง STARK ไม่สะเทือน">ธนาคารไทยแข็งแกร่ง STARK ไม่สะเทือน</a><hr class="__se__dotted"><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

สำรวจพบครีเอเตอร์ 1 ใน 3 บน TikTok มักให้ข้อมูลผิดลงทุนคริปโต

<h2>กสิกรไทยชูยุทธศาสตร์ความยั่งยืน ตั้งเป้าสินเชื่อปี 2566 โต 5-7% หนี้เสียอยู่ระดับต่ำกว่า 3.25%&nbsp;ฝ่าเศรษฐกิจถดถอย </h2><div> </div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2566 มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดีกว่าปี 2565 โดยคาดว่าจะเติบโตที่ 3.7% ด้วยแรงส่งจากภาคการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ หลังจีนมีนโยบายเปิดประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวของภาคการส่งออกที่อาจได้รับผลกระทบจากการเข้าสู่ภาวะถดถอยในเศรษฐกิจแกนหลักของโลก ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยจะยังคงเติบโตเป็น K Shape เห็นภาพการฟื้นตัวที่ไม่ทั่วถึงในแต่ละประเภทธุรกิจ ท่ามกลางการปรับเพิ่มของต้นทุน อาทิ ค่าจ้างแรงงาน และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในขาขึ้น ตลอดจนหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ธนาคารได้ประกาศเป้าหมายทางการเงินปี 2566 ที่มีการเติบโตสอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและหลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง ดังนี้ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 569px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/01/qCGNGC72eRYe5VCUjTZQ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="569px,420px" data-align="center" data-file-name="qCGNGC72eRYe5VCUjTZQ.jpg" data-file-size="0" origin-size="1280,944" data-origin="569px,420px" style="width: 569px; height: 420px;" data-index="0"></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;•	 การเติบโตของเงินให้สินเชื่อ (Loan Growth) ที่ 5-7% จากการขยายตัวของสินเชื่อตามกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในภูมิภาค AEC+3 โดยเฉพาะจีน เวียดนาม และอินโดนีเซีย อันเป็นการแสวงหาและกระจายแหล่งรายได้ใหม่ รวมถึงการเติบโตสินเชื่อธุรกิจบรรษัท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกทั้งธนาคารยังคงนำข้อมูลมาใช้วิเคราะห์ในการปล่อยสินเชื่อ (Data Analytics) อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการสร้างรายได้บนความเสี่ยงที่คุ้มค่า โดยตั้งเป้าสินเชื่อบรรษัทธุรกิจเติบโต 4-6% สินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอีเติบโต 1-2% และสินเชื่อลูกค้าบุคคลเติบโต 2-4%​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 569px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/01/w8hCFM4tNXnQeiPb6kBs.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="569px,419px" data-align="center" data-file-name="w8hCFM4tNXnQeiPb6kBs.jpg" data-file-size="0" origin-size="650,479" data-origin="569px,419px" style="width: 569px; height: 419px;" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;•	ผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net Interest Margin:NIM) ที่ 3.30-3.45% สอดคล้องกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย และการเติบโตสินเชื่อของธนาคาร รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนดอกเบี้ยในระดับที่ดี &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;•	รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ (Net Fee Income Growth) ทรงตัว จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปส่งผลต่อรายได้ค่าธรรมเนียมรับจากการทำธุรกรรม ในขณะที่ธนาคารจะขยายผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวกับ Wealth Management เพื่อช่วยบริหารความมั่งคั่งให้ลูกค้า รวมถึงการขยายตัวของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการท่องเที่ยว &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;•	ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to Income Ratio) คาดว่าจะอยู่ในระดับ Low to Mid-40s จากรายได้ที่เติบโตสอดคล้องกับการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ในขณะที่ธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการจัดการต้นทุนและการเพิ่มประสิทธิภาพ (Productivity) อย่างต่อเนื่อง &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;•	เงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (NPL Ratio (Gross) ที่ต่ำกว่า 3.25%&nbsp;การเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ยังคงเป็น K Shape มีการฟื้นตัวที่ไม่ทั่วถึงในแต่ละประเภทธุรกิจยังคงส่งผลกระทบต่อคุณภาพเงินให้สินเชื่อ ซึ่งธนาคารจะยังคงบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ในเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;•	Credit Cost คาดว่าจะอยู่ในช่วง 175-200 bps ทยอยลดลงจากระดับสูงสุดในปีก่อน โดยธนาคารยังคงใช้หลักความระมัดระวังและนโยบายทางการเงินที่รอบคอบในการพิจารณาสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น	&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขัตติยากล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแผนยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจนั้น ธนาคารกสิกรไทยยังคงขับเคลื่อนธุรกิจด้วยหลักการเป็นธนาคารแห่งความยั่งยืน (Bank of Sustainability) ภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี ด้วยยุทธศาสตร์ในการดำเนินธุรกิจ ดังนี้ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 569px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/01/BACnADaXnqhEwsyaf8DV.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="569px,419px" data-align="center" data-file-name="BACnADaXnqhEwsyaf8DV.jpg" data-file-size="0" origin-size="650,479" data-origin="569px,419px" style="width: 569px; height: 419px;" data-index="2"></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. ก้าวสู่การเป็นธนาคารแห่งความยั่งยืน (Sustainable Development) ด้วยหลักการ ESG ที่ครอบคลุมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ความสามารถในการแข่งขันในโลกธุรกิจที่มีนวัตกรรม รวมถึงความสามารถในการทำธุรกิจที่ต่อยอดจากธุรกิจธนาคารแบบเดิม (Beyond Banking &amp; Innovation) ท่ามกลางเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภค และสภาพแวดล้อมอื่นๆ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. ต่อยอดยุทธศาสตร์เพื่อการเติบโตทางธุรกิจและตอบโจทย์ลูกค้า (Growth Strategy) ด้วยการเป็นผู้นำในการให้บริการชำระเงินทางดิจิทัล การยกระดับการปล่อยสินเชื่อทั้งด้านธุรกิจและบุคคล การขยายการให้บริการลงทุนและประกันไปยังกลุ่มลูกค้ารายย่อยและกลุ่มลูกค้าที่ยังเข้าไม่ถึงการลงทุนและประกัน การเจาะตลาดและขยายการเติบโตทางธุรกิจในภูมิภาค AEC+3 และการยกระดับประสบการณ์บริการและการขายแก่ลูกค้า&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานแบบ End-to-End โดยยกระดับความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวอย่างต่อเนื่องใน 5 ด้าน ได้แก่ 1. การพัฒนาความสามารถในการวิเคราะห์และการใช้ (Data) 2. การเป็นที่ทำงานที่ดีที่สุดสำหรับการเรียนรู้และการเป็นผู้นำ (HR) 3. การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เป็นผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำในระดับภูมิภาค (IT) 4. การระบุความเสี่ยงด้านต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นและกำหนดแนวทางการป้องกันในเชิงรุก (Proactive Risk &amp; Compliance) และ 5. การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยสร้างคุณค่าที่มากขึ้น (Value-Based Productivity)	 &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ในปี&nbsp;2566 ธนาคารจะเดินหน้าโครงการเชิงยุทธศาสตร์อย่างต่อเนื่องเพื่อส่งมอบบริการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและธุรกิจของลูกค้าในบริบทที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อ่านเพิ่มเติม:<ul><li>&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/other/scgp-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%95-18-%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B8-1-46-%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99" alt="SCGP ประกาศรายได้เติบโต 18% ทะลุ 1.46 แสนล้าน">SCGP ประกาศรายได้เติบโต 18% ทะลุ 1.46 แสนล้าน</a></li><li>​<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5-%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%87-hattha-bank-%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99" alt="กรุงศรี ยกระดับโมบายแบงก์กิ้ง Hattha Bank รับเทรนด์เศรษฐกิจดิจิทัลขาขึ้น">กรุงศรี ยกระดับโมบายแบงก์กิ้ง Hattha Bank รับเทรนด์เศรษฐกิจดิจิทัลขาขึ้น</a>​</li></ul><hr class="__se__solid">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก <a href="https://forbes-admin-v2.vercel.app/cms-post-edit/69849/​คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนธันวาคม 2565 ในรูปแบบ e-magazine​" alt="Forbes Thailand Magazine">Forbes Thailand Magazine</a>​

กสิกรไทยชูยุทธศาสตร์ความยั่งยืน ตั้งเป้าธุรกิจฝ่าเศรษฐกิจถดถอย

<h2>แพลตฟอร์ม TikTok เป็นที่รู้จักในแง่ของแหล่งรวมคอนเทนต์ที่หลากหลาย ปัจจุบัน คอนเทนต์ด้านการเงินกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่คนรุ่นใหม่ ส่งผลให้ "Finfluencers" บนแพลตฟอร์มกลายเป็นดาวรุ่งและสร้างรายได้มหาศาลจากการโพสต์วิดีโอให้คำแนะนำด้านการเงินสั้นๆ</h2>
บริษัทประกอบธุรกิจให้บริการด้านการเงิน CMC Markets จัดทำผลสำรวจซึ่งได้วิเคราะห์โปรไฟล์ของ ผู้ใช้บน TikTok เพื่อวัดความมีอิทธิพลและรายได้ของเหล่า “Finfluencers” หรือผู้ทำคอนเทนต์ด้านการเงินบนแพลตฟอร์ม โดยผลสำรวจที่มาพร้อมด้วยตัวเลขอันน่าทึ่ง อาจทำให้หลายๆ คนอยากผันตัวมาสร้างคอนเทนต์ผ่านวิดีโอสั้นๆ ที่ให้คำปรึกษาด้านการเงินแก่คนรุ่น Gen Z

<figure><img class="wp-image-69124 size-large" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/09/tiktokinfluencersearnings_1909-1024x512.gif" alt="Financial Influencers' earnings on TikTok" width="640" height="320" /><figcaption> ประมาณรายได้ของอินฟลูเอนเซอร์การเงินดาวเด่น 10 อันดับต้นบน TikTok ภาพจาก: CMC Markets</figcaption></figure>

แม้บางครั้งจะเป็นการยากที่จะตัดสินว่าคลิปวิดีโอเพียงสั้นๆ ที่ให้ความรู้เรื่องการลงทุนนั้นน่าเชื่อถือมากแค่ไหน? อย่างไรก็ตาม Finfluencers อันดับต้นๆ บนแพลตฟอร์ม TikTok นั้นเป็นมากกว่ามือสมัครเล่นที่ให้คำปรึกษาด้านการเงิน รายชื่อของพวกเขามีดังต่อไปนี้:
<ul>
 	<li>Erika Kullberg อายุ 32 ปี อาชีพเดิมเป็นทนายบริษัท จากข้อมูลของฟีเจอร์ TikTok Money Calculator เครื่องมือที่ใช้เพื่อวิเคราะห์ตัวเลขของผู้ใช้บัญชี ปรากฏว่า Kullberg มีผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มจำนวน 8.9 ล้านคน และสามารถสร้างรายได้จำนวน 7,040 เหรียญสหรัฐฯ ต่อหนึ่งโพสต์จากสปอนเซอร์ วิดีโอของ Kullberg ให้ความรู้หลายด้านแก่ผู้เล่น TikTok ตั้งแต่ การลงทุน จนไปถึงเรื่องกฎหมาย วิดีโอบนช่อง ​TikTok ของเธอเผยว่า เธอมีช่องทางรายได้จากการใช้แพลตฟอร์ม YouTube เพียงอย่างเดียวถึง 100,000 เหรียญต่อปี</li>
 	<li>Mark Tilbury ผู้ประกอบการสัญชาติอังกฤษวัย 53 ปี เป็นอินฟลูเอนเซอร์ยอดนิยมอันดับ 2 ที่ได้ให้คำปรึกษาด้านการลงทุน การออม และการเจรจา โดย Tilbury มียอดผู้ติดตามจำนวน 7.1 ล้านคน พร้อมรายได้จำนวน 5,860 เหรียญต่อหนึ่งโพสต์จากสปอนเซอร์ โดย Tilbury มียอด engagement เยอะที่สุดในบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ลำดับต้นๆ ด้วยยอดไลค์เฉลี่ย 154,650 ไลค์ต่อหนึ่งวิดีโอ</li>
 	<li>Duke Alexander Moore หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Duke Tax เขามีผู้ติดตาม 3.4 ล้านคนและสร้างรายได้จากการลงวิดีโอสปอนเซอร์ คลิปละ 2,720 เหรียญ Moore ให้คำปรึกษาหรือคำแนะนำส่วนตัวในเรื่องการเงินแก่เหล่าผู้ทำคอนเทนต์และผู้ประกอบการ นอกจากนี้ เขายังเป็นโค้ชและนักบัญชีภาษีอากรที่ได้รับการรับรอง อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในห้าอันดับต้นของผู้ให้คำปรึกษาด้านภาษีที่บริษัท QuickBooks ซึ่งทำธุรกิจซอฟต์แวร์ให้บริการด้านการทำบัญชี ที่เมือง Dallas รัฐ Texas</li>
 	<li>Brandon Schlichter ผู้มีรายได้จากธุรกิจส่วนตัว 2 ล้านเหรียญต่อปี และมีความมั่งคั่งสุทธิมากกว่า 10 ล้านเหรียญ สามารถสร้างรายได้จำนวน 2,640 เหรียญต่อหนึ่งวิดีโอจากสปอนเซอร์  ด้วยผู้ติดตามจำนวน 3.4 ล้านคน คลิปวิดีโอที่ให้คำปรึกษาด้านการเงินที่ยอดนิยมที่สุดของเขามียอดรับชมถึง 45 ล้านวิว โดยคลิปได้นำเสนอใ้ห้เห็นว่าธุรกิจร้านซักผ้าของเขาทำเงินได้มากเท่าไหร่ต่อวัน</li>
 	<li>Humphrey Yang มีอาชีพเดิมเป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุนของธนาคาร ปัจจุบันเขาให้คำแนะนำด้านการเงินและการลงทุนบน TikTok พอร์ตโฟลิโอของ Yang ได้แก่ Vanguard, Robinhood, Coinbase, WeBull, Fidelity, Public, และ Wealthfront ซึ่งเขาได้ลงทุนเงินจำนวนมากถึง 500,000 เหรียญต่อเดือน</li>
</ul>
<h3>รายได้รวมทั้งหมดเป็นเงินเท่าไหร่?</h3>
กรณีที่อินฟลูเอนเซอร์อันดับต้นๆ ได้ลงโพสต์จากสปอนเซอร์จำนวน 2 โพสต์ต่อสัปดาห์ พวกเขาจะมีรายได้ต่อปีจำนวนถึง 275,000-750,000 เหรียญ 

ถ้าหากเป็นวิดีโอ #fintok ทั่วไปที่มีความยาวเกินกว่า 1 นาที พวกเขาสามารถสร้างรายได้ถึง 58,684-432,775 เหรียญต่อชั่วโมง 

การสร้างรายได้จำนวนมากภายในเวลา 104 นาทีจึงถือว่าเป็นเวลาในการทำงานที่ไม่แย่เลยทีเดียว
<h3>คำปรึกษาด้านการเงินบนแพลตฟอร์ม TikTok ดีจริงหรือไม่?</h3>
เป็นที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเจเนอเรชั่นใหม่ได้หันมาค้นหาข้อมูลและคำปรึกษาด้านการเงินบนแพลตฟอร์ม TikTok มากขึ้น

จากการสำรวจโดย LendingTree แพลตฟอร์มตัวกลางประสานงานระหว่างผู้กู้และผู้ให้สินเชื่อ พบว่า 4 ใน 10 ของคนรุ่น Gen Z ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ถึง 26 ใช้ TikTok เพื่อหาข้อมูลด้านการลงทุน ในขณะที่คนเจเนอเรชั่น Millennials (อายุระหว่าง 27-41) มีเพียงร้อยละ 15 เท่านั้น นอกจากนี้ ข้อมูลจาก Greenlight ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันการเงินสำหรับผู้ใช้ที่เป็นเด็ก ยังเผยอีกว่า ร้อยละ 35 ของเยาวชนที่มีอายุระหว่าง 13-20 ปีได้หันมาพึ่งพาคำแนะนำด้านการเงินและการลงทุนบนแพลตฟอร์ม TikTok มากยิ่งขึ้น 

อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญนั้นตั้งอยู่บนคำถามที่ว่า คำแนะนำเหล่านั้นมีความน่าเชื่อถือมากแค่ไหน? 

ทางสำนักข่าว CNBC ได้ทำการประเมินคำแนะนำด้านการเงินโดยเหล่าอินฟลูเอนเซอร์​บนแพลตฟอร์มและได้ข้อสรุปว่า:

“พวกคำแนะนำด้านการเงินบน TikTok อาจไม่ค่อยมีความแม่นยำมากนัก บางวิดีโอที่เจอนั้นมีเวลาไม่ถึง 30 วินาทีและเป็นคำแนะนำซึ่งเป็นข้อเท็จจริงทั่วๆ ไป ในขณะที่บางอันเป็นคำแนะนำแบบ “รวยเร็ว” โดยไม่ได้ให้รายละเอียดในเชิงลึก ดังนั้น แม้ว่าปัจจุบันคนรุ่นหลังจะสามารถเข้าถึงคำแนะนำเหล่านี้ทางโซเชียลมีเดียได้ แต่การสืบหาข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ เพิ่มเติมก็ยังเป็นเรื่องที่สำคัญ”

ด้านสำนักข่าว Vox ได้ออกมาให้คำเตือน: 

“ทั้งนี้ อย่างเลวร้ายที่สุดเลย พวกคำแนะนำด้านการลงทุนบน TikTok เป็นการส่งเสริมการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงและผลิตภาพจำของมายาคติทางการเงิน อีกทั้งยังเป็นการส่งต่อข้อมูลอันเป็นเท็จ สิ่งที่ผู้ใช้ TikTok ได้เสพบนแพลตฟอร์มส่วนมากไม่ใช่คำแนะนำที่ดีหรือมาจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ แต่เป็นเพียงประสบการณ์ส่วนบุคคลของพวกที่ทำเงินได้จากการซื้อขายหุ้น Tesla ต่างหาก”
<h3>ทำไมคำแนะนำด้านการเงินบน TikTok ถึงเป็นที่นิยม?</h3>
แม้คำแนะนำด้านการเงินบน TikTok จะได้รับการวิจารณ์จากเหล่าผู้เชี่ยวชาญในวงการเป็นอย่างหนัก ทว่า คำวิจารณ์เหล่านั้นขาดความเข้าใจในแรงจูงใจของผู้ใช้ที่เสพคอนเทนต์ดังกล่าว

โดยปกติแล้ว ธนาคารหรือที่ปรึกษาด้านการลงทุนจะมุ่งเน้นไปที่การทำคอนเทนต์เพื่อการศึกษา หรือก็คือคอนเทนต์ที่จะเพิ่มความรู้ด้านการเงินให้แก่ผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่คอนเทนต์ที่คนรุ่น Gen Z (หรือแม้แต่รุ่นอื่นๆ) กำลังมองหา

“จุดประสงค์หลักของ TikTok คือการเสริมสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ควบคู่ไปกับความบันเทิง เราได้เห็นผู้คนบนแพลตฟอร์มของเราเปิดรับไอเดียและคอนเทนต์ที่ทั้งหลากหลายและมีประโยชน์ เราจึงมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนให้คอนเทนต์เหล่านั้นได้เติบโตด้วยเครื่องมือและฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องความคิดสร้างสรรค์และความปลอดภัย” Spokesperson ของ TikTok ได้กล่าวไว้ในสัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Wall Street Journal

ในแง่นี้ หากลองเปรียบกับการเรียนการสอนที่โรงเรียน อาจจะเห็นได้ว่าวิชาที่เรียนแล้วให้ความรู้สึกน่าสนใจนั้นเป็นเพราะมีองค์ประกอบของความบันเทิงสอดแทรกไปพร้อมการให้ความรู้

คอนเทนต์ที่ให้ทั้งความรู้และความบันเทิงจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้คนนับล้านจึงติดตามเหล่าอินฟลูเอนเซอร์บน TikTok ในทางเดียวกัน การให้คำแนะนำเพียงอย่างเดียว แม้ว่าจะเป็นคำแนะนำที่ดีแค่ไหน แต่หากขาดความสนุกและความน่าสนใจ อินฟลูเอนเซอร์จะไม่สามารถรวบรวมผู้ติดตามหรือรายได้จากการลงโพสต์ให้สปอนเซอร์ได้เป็นจำนวนมากขนาดนี้

แปลและเรียบเรียงโดย สิรินนรี อ๋องสกุล จากบทความ How Much Do TikTok Influencers Make Teaching Gen Z How To Invest? เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม:
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/leaderboard/global-leaderboard/%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%9f%e0%b8%a5%e0%b8%b9%e0%b9%80%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b9%80%e0%b8%8b%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b8%94%e0%b8%b2%e0%b8%a7%e0%b9%80%e0%b8%94%e0%b9%88%e0%b8%99-5.html">อินฟลูเอนเซอร์ดาวเด่น 5 อันดับแรกที่มีรายได้สูงสุดบน ‘YouTube’ และ ‘TikTok’ ประจำปี 2021</a></li>
</ul>

<hr />
<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events