<h2>MAGURO กำไรเติบโตทะลุเป้า 33.3% กว่า 97 ล้านบาท รายได้ 1,373 ล้านบาท โต 32 % มั่นใจปีนี้เติบโตต่อกว่า 30% ชี้ร้านหมูทอด AOKI ขายดี เตรียมเปิดเพิ่ม 4 สาขา เผยปีนี้ยังคงเน้นกลยุทธ์จับกลุ่มกำลังซื้อสูง ขยายสาขาต่อเนื่อง และเตรียมเปิด 2 แบรนด์ใหม่</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เปิดเผยว่า การดำเนินงานของบริษัทฯ ปี 2567 มีผลการดำเนินการที่ดี มีรายได้รวม 1,378.2 ล้านบาท เติบโต 32% จากรายได้รวม 1,046 ล้านบาทในปี 2566 และมีกำไรสุทธิ 96.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 33.3% จากกำไรสุทธิ 72.5 ล้านบาทในปีก่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นับว่าประสบความสำเร็จเกินเป้าหมายที่บริษัทฯ ตั้งไว้ โดยเฉพาะไตรมาส 4/2567 รายได้เติบโต 12.4% เป็น 399.6 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 34.3 ล้านบาท เติบโต 16.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ถึงแม้ว่าปี 2567จะเป็นปีที่ท้าทายเนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อการจับจ่ายของผู้บริโภค จึงทำให้มีการชะลอตัวของการเติบโตสำหรับแบรนด์ที่มีกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อในระดับกลาง แต่ในภาพรวมบริษัทฯ ยังคงรักษาการเติบโตของรายได้และกำไรสุทธิ ด้วยการดำเนินแผนธุรกิจที่กระตุ้นยอดขายร้านเดิม (SSSG) สร้างยอดขายเพิ่มจากการขยายสาขา และเน้นการทำตลาดแบรนด์พรีเมียมที่เจาะกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อ ซึ่งสามารถทำกำไรสุทธิ (Margin) ได้สูงกว่า รวมถึงใช้กลยุทธ์การบริหารต้นทุน (Cost Control) อย่างมีประสิทธิภาพ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ในปีนี้ 2568 บริษัทฯ มีแผนจะสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงตั้งเป้าหมายปี 2568 จะมีรายได้รวมเติบโต 30% จากปี 2567 ด้วยการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องและระมัดระวัง โดยบริษัทมีแผนจะเปิดร้านหมูทอด Tonkatsu Aoki เพิ่มอีก 4 สาขาในไตรมาส 1 และ 2 หลังจากสาขาแรกที่เซ็นทรัลเวิลด์ประสบความสำเร็จอย่างสูงเกินความคาดหมาย และมีรายได้ต่อบิลล์ค่อนข้างสูง​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/02/XdfMSyRjoVio6iRd8N78.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="XdfMSyRjoVio6iRd8N78.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""><figcaption><div>จักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนจะเปิดร้านอาหารแบรนด์ใหม่เพิ่มอีก 2 แบรนด์ เพื่อขยายฐานรายได้ ขยายสู่เซ็กเมนต์ใหม่ และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีแผนจะเปิดสาขาเพิ่มสำหรับร้าน Maguro และ Hitori Shabu อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มพรีเมียมแมส โดยล่าสุดได้เปิดร้าน Hitori Shabu สาขาพระราม 9 ซึ่งได้รับการต้อนรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“และนอกจากเปิดร้านเพิ่ม บริษัทฯ ยังเน้นการตลาดที่มีความแปลกใหม่ การจัดโปรโมชั่นเมนูพิเศษทั้งในแง่ของวัตถุดิบใหม่ รสชาติใหม่ที่หลากหลาย และในแง่ของขนาด (portion size menu) และราคาที่หลากหลายรองรับทุกความต้องการของผู้บริโภค” จักรกฤติกล่าวเสริม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน MAGURO มีร้านอาหารในเครือรวมทั้งหมด 38 ร้านจาก 5 แบรนด์ ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่น และซูชิระดับพรีเมียม 18 ร้าน เจาะกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อ โดยในปี 2567 ร้านมากุโระมีรายได้รวม 777 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับปี 2566 คิดเป็นสัดส่วน 57% ของรายได้บริษัทฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- HITORI SHABU ร้านชาบูและสุกียากี้หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซ 11 ร้าน และร้าน HITORI SUKIYAKI ร้านสุกี้ยากี้คันไซแบบดั้งเดิม ในรูปแบบ Authentic Japanese Sukiyaki Course สาขาแรกที่เอกมัย 12 โดยในปี 2567 มีรายได้รวม 386 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 96 เมื่อเทียบกับปี 2566 คิดเป็นสัดส่วน 28% ของรายได้บริษัทฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- SSAMTHING TOGETHER ร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลีวัตถุดิบพรีเมียม 6 ร้าน สำหรับผู้บริโภคหลากหลายกลุ่ม ทั้งนักศึกษา วัยทำงาน และครอบครัว ในราคาที่จับต้องได้ โดยในปี 2567 มีรายได้รวม 206 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับปี 2566 คิดเป็นสัดส่วน 15% ของรายได้บริษัทฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-TONKATSU AOKI ร้านหมูทอด สาขาแรก ณ เซ็นทรัล เวิลด์ ชั้น 3 มีรายได้รวม 3 ล้านบาท และ CouCou ร้านอาหารรูปแบบ All-Day Dining สไตล์ตะวันตก สาขาแรกที่ The Flavorhood ประดิษฐ์มนูธรรม มีรายได้รวม 1 ล้านบาท ซึ่งเป็น 2 แบรนด์ใหม่ของบริษัทฯ โดยขยายฐานกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/mk-group-2024-revenue" alt="ค่าครองชีพพุ่ง การแข่งขันสูง! MK GROUP ปี 67 รายได้-กำไรลด ปีนี้ลุยปรับกลยุทธ์การตลาดสู้ศึก">ค่าครองชีพพุ่ง การแข่งขันสูง! MK GROUP ปี 67 รายได้-กำไรลด ปีนี้ลุยปรับกลยุทธ์การตลาดสู้ศึก</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

MAGURO กำไรสุทธิ 97 ล้าน ชี้ร้าน AOKI ขายดี เตรียมเปิดเพิ่ม 4 สาขา พร้อมลุยขยายสาขาแบรนด์อื่น-เปิด 2 แบรนด์ใหม่

<h2>MAGURO สุดปลื้ม กระแสดีเกินคาด! หลังเปิดตัวร้าน 'ทงคัตสึ อาโอกิ' (Tonkatsu AOKI) สาขาแรกในช่วงเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา จนมีรายได้ทะลุเป้า ล่าสุดเตรียมขยายเพิ่มอีก 4 สาขา ภายในครึ่งปี 2568 รวมเป็นงบลงทุนทั้งหมดใน 5 สาขา จำนวน 60 ล้านบาท </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภายหลังจากการเปิดตัวแบรนด์ "ทงคัตสึ อาโอกิ" ร้านหมูทอดทงคัตสึพรีเมียม สัญชาติญี่ปุ่นแท้ที่เซ็นทรัล เวิลด์ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ที่ผ่านมาเป็นสาขาแรก ณ เซ็นทรัล เวิลด์ ชั้น 3 โซน Nippon Avenue ประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย มีลูกค้าเข้าคิวรอรับประทานอาหารอย่างล้นหลาม ทุกวัน คิวจองออนไลน์เต็มตลอด ส่งผลให้รายได้เติบโตแข็งแกร่งทะลุเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งนี้รายได้ต่อบิลสูงกว่า ที่คาดไว้ถึง 50%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ร้าน ทงคัตสึ อาโอกิ เป็นร้านหมูทอดทงคัตสึชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมสูง จนติดอันดับ Tabelog's top 100 ร้านทงคัตสึ ด้วยคะแนนสูงถึง 3.8 คะแนน และได้รับการการันตี ความอร่อยด้วยคะแนน 4 ดาว จาก Tripadvisor โดยมีจุดเด่นในการคัดสรรเนื้อหมูชั้นเลิศ และแป้งทอด สูตรพิเศษ ที่ให้ความบาง เบา และกรอบ พร้อมกรรมวิธีการทอดที่พิถีพิถันตามต้นตำรับญี่ปุ่นแท้ รวมถึงการสร้างประสบการณ์การรับ ประทาน แบบใหม่ด้วยเกลือ 3 ชนิดที่เป็นเอกลักษณ์ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/ntBsxu1dZsdxfNCrD95z.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="ntBsxu1dZsdxfNCrD95z.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/WSuAtMtCZy3LHE1fVzaz.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="WSuAtMtCZy3LHE1fVzaz.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราอยากขอบคุณลูกค้าคนไทยเป็นอย่างยิ่ง กับการต้อนรับ Tonkatsu AOKI อย่างอบอุ่นในช่วงหนึ่งเดือนแรกที่เปิดบริการ จึงมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การขยายธุรกิจ โดยการเร่งดำเนินการเพิ่มเป็น 5 สาขา ภายในครึ่งปีแรกของปี 2568 ตามจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ในกลางเมือง กรุงเทพ เพื่อให้สอดรับกับความต้องการที่มีอย่างมหาศาลจากกลุ่มลูกค้าชาวไทย นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาคุณภาพและการบริการของ Tonkatsu&nbsp; AOKI เช่น การเพิ่มเมนูใหม่ และ พัฒนาคุณภาพของวัตถุดิบหลายชนิด โดยปีที่ผ่านมา เรามองว่าหมูทอดทงคัตสึเป็น 1 ในเมนูยอดนิยมของคนไทยที่นักท่องเที่ยวต้องไปลิ้มลองทุกครั้งเมื่อไปญี่ปุ่น ซึ่งกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักของร้านคือกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและนิยมรับประทานอาหารคุณภาพสูงและคุ้มค่าคุ้มราคา" จักรกฤติ กล่าว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/n2jMSxtn4cn3NZoApeXd.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="n2jMSxtn4cn3NZoApeXd.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธีรภพ กรานเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ด้วยกระแสตอบรับที่ดีเกินคาดของร้านหมูทอดทงคัตสึ อาโอกิ ร้านดังจาก ประเทศญี่ปุ่น บริษัทฯ จึงเตรียมแผนขยายสาขาเพิ่มเป็น 5 สาขาในครึ่งปีแรกของปี 2568 ในศูนย์การค้าชั้นนำ อาทิเช่น One Bangkok, Velaa Sindhorn Village Langsuan, Ekkamai Corner, เซ็นทรัล พระราม 2 ด้วยงบลงทุนทั้ง 5 สาขา 60 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมด้วย โปรโมชันต่างๆ ตามแบบฉบับปรัชญา MAGURO “Give More” ให้มากกว่าที่ขอ โดย MAGURO ได้รับสิทธิ์ แต่เพียงผู้เดียวในการเปิดร้านทงคัตสึ อาโอกิ ในประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;"หลังจากเปิดร้านทงคัตสึ อาโอกิเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างล้นหลาม จนสร้างปรากฎการณ์จองคิวจนคิวเต็ม ส่วนลูกค้าที่ Walk-in ก็ต่อคิวยาวหลายชั่วโมง จึงทำให้เราเดินหน้า ขยายสาขาเพิ่มเป็น 5 สาขาอย่างต่อเนื่องในครึ่งปีแรก เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าร้านทงคัตสึ อาโอกิ โดยจะขยายสาขาในศูนย์การค้าชั้นนำ อีกทั้งยังได้จัดโปรโมชันพิเศษต่างๆ แบบโดนใจสาวก MAGURO”&nbsp;ธีรภพ กล่าว&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/01/mjLUcqBrPaQgnMcgdwWd.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="mjLUcqBrPaQgnMcgdwWd.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3"></figure></div> &nbsp; &nbsp; อย่างไรก็ตาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MAGURO ได้กล่าวเสริมว่า ในส่วนของแบรนด์ CouCou (คุคูว์) ร้านอาหารตะวันตกรูปแบบใหม่ สไตล์ All-Day Dining ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในกลุ่มลูกค้า พรีเมียม และ พรีเมียมแมส ที่โครงการ The Flavorhood เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เปิดตัวในช่วงปลายเดือน ธ.ค. 2567 ก็ได้รับการตอบรับอย่างถล่มทลายเช่นเดียวกัน ด้วยการจองออนไลน์ที่เต็มทุกรอบ นับเป็นการตอกย้ำ ความสำเร็จของบริษัทฯที่สามารถมอบประสบการณ์โดนใจและเจาะกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบการรับประทานอาหาร ในหลากหลายสไตล์เติมเต็ม Ecosystem ของร้านอาหารในเครือมากุโระ กรุ๊ป ได้อย่างดีเยี่ยม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ในปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวมที่ 976 ล้านบาท ขยายตัว 27% มากกว่ารายได้รวมใน 9 เดือนแรกของปี 2566 โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากสาขาที่เปิดใหม่&nbsp; 7 สาขา ด้านกำไร สุทธิ 9 เดือนแรกเติบโต 6.2% เป็น 62 ล้านบาท โดยการเติบโตดังกล่าว บริษัทฯได้รับอานิสงส์จาก แผนการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องตามแผนที่วางไว้แต่เดิมอยู่แล้ว เพื่อพัฒนาศักยภาพร้านอาหารให้ ตอบโจทย์ ความต้องการ ของกลุ่มลูกค้าอย่างดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มลูกค้าเดิม หรือ กลุ่มลูกค้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาใช้บริการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน MAGURO Group มีร้านอาหารในเครือ รวมทั้งหมด 38 ร้านจาก 5 แบรนด์ คือ 1.) MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิสไตล์ระดับพรีเมียม 18 ร้าน 2.) SSAMTHING TOGETHER ร้านปิ้งย่าง สไตล์เกาหลีวัตถุดิบพรีเมียม 6 ร้าน 3.) HITORI SHABU ร้านชาบูและสุกียากี้ หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซ 10 ร้าน และร้าน HITORI SUKIYAKI ร้านสุกียากี้คันไซแบบดั้งเดิมในรูปแบบ Authentic Japanese Sukiyaki Course ในรูปแบบ Stand Alone ซึ่งเปิดสาขาแรกที่เอกมัย 12 4.) TONKATSU AOKI ร้านหมูทอด ทงคัตสึ ร้านดังจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งเปิดเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. เป็นสาขาแรก ณ เซ็นทรัล เวิลด์ ชั้น 3 และ 5.) CouCou ร้านอาหารรูปแบบ All-Day Dining สไตล์ตะวันตก ณ The Flavorhood ประดิษฐ์มนูธรรม เปิดเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. เป็นสาขาแรก&nbsp; ภาพ :&nbsp;MAGURO Group เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/why-in-2024-sushi-restaurants-in-thailand-closed-in-droves-for-the-first-time-in-4-years" alt="เปิด 3 เหตุผลหลัก ทำไมปี 67 ร้านซูชิในไทย ปิดตัวระนาวครั้งแรกในรอบ 4 ปี">เปิด 3 เหตุผลหลัก ทำไมปี 67 ร้านซูชิในไทย ปิดตัวระนาวครั้งแรกในรอบ 4 ปี</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

MAGURO ปลื้ม 'ทงคัตสึ อาโอกิ' รายได้ทะลุเป้า ทุ่มงบ 60 ล้าน ขยายเพิ่มเป็น 5 สาขา ภายในครึ่งปี 68

<h2>MAGURO ผู้นำร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นและเกาหลีระดับพรีเมียม-แมส เปิดตัวแบรนด์ที่ 4 ในเครือมากุโระ กรุ๊ป Tonkatsu AOKI (ทงคัตสึ อาโอกิ) สุดยอดร้านทงคัตสึชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่น ที่ต้องใช้เวลาต่อคิวยาวถึง 2 ชม. พร้อมเสิร์ฟให้ชาวไทยได้รับประสบการณ์ความอร่อยแล้ว 20 ธ.ค. นี้ เติมเต็ม Ecosystem ของ MAGURO Group ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เปิดเผยว่า “บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวแบรนด์ที่ 4 ในเครือมากุโระ กรุ๊ป หลังจากที่บริษัทฯ ได้ร่วมลงนามสัญญากับ บริษัท ไฟนด์ จำกัด เจ้าของร้านอาหาร Tonkatsu AOKI เมื่อเร็วๆ นี้ โดย MAGURO จะได้รับสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ในการเปิดร้านอาหาร Tonkatsu AOKI สุดยอดร้านทงคัตสึชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถูกจัดในหมู่คนญี่ปุ่นว่าเป็นร้านแบบเซ็นมงเต็น (แปลว่าร้านอาหารที่เน้นเฉพาะทาง) ยอดนิยม และยังมีกระแสตอบรับที่ดีจาก Foodies ทั่วโลก”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Tonkatsu AOKI เป็นร้านหมูทอดทงคัตสึ ที่ลูกค้ายอมเข้าคิวรอนานร่วม 2 ชั่วโมงในบางวัน จนติด Tabelog’s Top 100 ร้านทงคัตสึ ด้วยค่าเฉลี่ยคะแนนสูงลิ่ว 3.8 คะแนน โดย Tablelog เป็นเว็บไซต์รีวิวและให้คะแนนร้านอาหารยอดนิยมในประเทศญี่ปุ่น อีกทั้งยังมีการันตีความอร่อยจากคะแนนใน Tripadvisor ถึง 4 ดาว จาก 16 สาขาทั่วประเทศญี่ปุ่น อาทิ สาขาในย่าน Ginza ในโตเกียว และ 5 สาขาในฮอกไกโด​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/FoydCMAoxDeSqAVur8BA.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="FoydCMAoxDeSqAVur8BA.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="2048,768" style="width: 720px; height: auto;" data-index="0"></figure></div> <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/sNwTRPDfn3dKXQgkaL2K.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="sNwTRPDfn3dKXQgkaL2K.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="2048,1152" style="width: 720px; height: auto;" data-index="1"></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Tonkatsu AOKI มีจุดเด่นในการเลือกใช้วัตถุดิบจากเนื้อหมูชั้นเลิศ แป้งสูตรพิเศษของทางร้าน ที่บาง เบา และกรอบ เสริมด้วยกรรมวิธีการทอดที่ให้รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงประสบการณ์การลิ้มรสทงคัตสึแบบใหม่ด้วยสูตรพิเศษจิ้มเกลือ 3 ชนิด สร้างประสบการณ์ลิ้มรสทงคัตสึแบบใหม่ โดดเด่นไม่เหมือนใคร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จักรกฤติ สายสมบูรณ์ กรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง MAGURO กล่าวว่า “เมนูทงคัตสึหรือหมูทอดญี่ปุ่น เป็น 1 ในเมนูยอดนิยมของคนไทย โดยจะเห็นว่าเป็นหนึ่งในเมนูยอดฮิตที่คนไทยจะต้องไปทานทุกครั้งที่ไปญี่ปุ่น เราจึงอยากได้แบรนด์ที่มีความชำนาญเรื่องหมูทอดทงคัตสึอย่างแท้จริง ที่จะมาสร้างความแตกต่างให้กับตลาดทงคัตสึในไทย ไม่ว่าจะเป็นกรรมวิธีการทอด การใช้วัตถุดิบต่างๆ เพื่อให้ได้ซึ่งรสชาติที่ดีที่สุด”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับเมนูที่น่าสนใจของ Tonkatsu AOKI ที่เป็นไฮไลต์ เช่น เซต ‘Jo’ หมูสันนอกพรีเมียม และ ‘Tokuhire’ หมูสันในพรีเมียม เสิร์ฟพร้อมข้าว Koshihikari และ ซุปทงจิรุ เสิร์ป 200 กรัม ในราคา 490 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยังมีความพิเศษตรงที่ Tonkatsu AOKI เลือกใช้เนื้อหมูส่วนสันไหล่ชนิดพิเศษจาก Hokkaido เช่นเมนู Kata Set ที่ขึ้นชื่อเรื่องความนุ่ม เสิร์ฟด้วยขนาด 300 กรัม ในราคา 890 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่วนผู้ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์ทงคัตสึแบบต้นตำรับแท้ๆ จากประเทศญี่ปุ่น Tonkatsu AOKI ได้จัดเมนูไฮไลต์ที่สุด คือ Ribu Set ซึ่งเป็น AOKI Original Size ยกไซส์แบบญี่ปุ่นมาเสิร์ฟที่ไทย กับขนาด 400 กรัม ในราคา 990 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และที่ขาดไม่ได้คือ set เอ็กซ์คลูซีฟไซส์ 120 กรัมเฉพาะประเทศไทย กับเมนูเริ่มต้น Rosu Set หมูสันนอก และ Hire Set หมูสันใน ในราคาเริ่มต้นที่ 320 บาท​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/qBpj6zySREcfmt5ojhVE.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="qBpj6zySREcfmt5ojhVE.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2" origin-size="657,388"></figure></div>​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/12/HTkYyZH6aTQzdzKNqTfe.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="HTkYyZH6aTQzdzKNqTfe.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3" origin-size="657,388"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ หนึ่งในองค์ประกอบที่ทำให้ Tonkatsu AOKI สมบูรณ์แบบในทุกคำ คือการคัดสรรเกลือพรีเมียมแต่ละชนิดอย่างพิถีพิถันเพื่อเพิ่มมิติรสชาติให้หมูทอดกรอบนอกนุ่มใน อร่อยถึงใจ ไม่ว่าจะเป็น Kuro Shio (AOKI Black Himalayan Salt) เกลือหิมาลายันสีดำหายากจากภูเขาสูง, Pinku Shio (AOKI Pink Himalayan Salt) เกลือหิมาลายันสีชมพูจากธรรมชาติแท้ และ Shiro Shio (AOKI Sea Salt) เกลือทะเลขาวบริสุทธิ์ เสริมรสชาติหมูทอดกรอบนอกนุ่มในให้ยิ่งเด่น มีเอกลักษณ์แบบต้นตำรับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกทั้ง Tonkatsu AOKI&nbsp;ยังใช้ข้าว ‘Koshihikari’ ราชาแห่งข้าวญี่ปุ่น จากนีงาตะที่ขึ้นชื่อเรื่องความเหนียวนุ่มและรสชาติหอมละมุน โดยหุงผ่านเทคนิคพิเศษด้วยหม้ออบแรงดัน เพื่อให้ข้าวคงความนุ่ม หนึบ และมีรสหวานละมุนในทุกคำ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ร้าน Tonkatsu AOKI จะเปิดสาขาแรกในไทย&nbsp;วันที่ 20 ธ.ค. เป็น ณ เซ็นทรัล เวิลด์ ชั้น 3 โซน Nippon Avenue ภาพ: Maguro Group เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/maguro-group-prepares-to-launch-fifth-brand-coucou" alt="MAGURO แรงต่อไม่หยุด เปิดตัว CouCou แบรนด์ที่ 5 ส่งท้ายปี 67 เตรียม Soft Opening 25 ธันวาคมนี้">MAGURO แรงต่อไม่หยุด เปิดตัว CouCou แบรนด์ที่ 5 ส่งท้ายปี 67 เตรียม Soft Opening 25 ธันวาคมนี้</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Tonkatsu AOKI มาถึงไทยแล้ว! เปิด 20 ธ.ค.นี้ ที่เซ็นทรัล เวิลด์ ไม่ต้องบินไปต่อคิว 2 ชั่วโมงถึงญี่ปุ่น

<h2>MAGURO Group เตรียมสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการอาหาร ด้วยการเปิดตัวแบรนด์แบรนด์ที่ 5 “CouCou” (คุคูว์) ร้านอาหารรูปแบบ All-Day Dining สไตล์ตะวันตก ณ The Flavorhood ประดิษฐ์มนูธรรม ต้อนรับปีใหม่ 2568 เจาะกลุ่มลูกค้าผู้ที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารแบบ All-Day Dining พร้อมเปิดให้บริการแบบ Soft Opening 25 ธันวาคมนี้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการอาหาร ด้วยการเปิดตัวแบรนด์ล่าสุด ลำดับที่ 5 “CouCou” (คุคูว์) ร้านอาหารรูปแบบ All-Day Dining สไตล์ตะวันตก ณ The Flavorhood ประดิษฐ์มนูธรรม เจาะกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบการรับประทานอาหารแบบ All-Day Dining ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เป็นแบรนด์สุดท้ายของปีนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในการสร้างแบรนด์ใหม่ครั้งนี้ MAGURO Group ยังคงยึดมั่นในแนวทางภายใต้แนวคิด “Give More” พร้อมมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารที่เหนือความคาดหมายกับการให้มากกว่าสิ่งที่ลูกค้าคาดหวังอยู่เสมอ ด้วยการคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพเยี่ยมจากแหล่งที่ดีที่สุด พร้อมสร้างความประทับใจในทุกมื้ออาหาร ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ด้วยการสื่อสารผ่านชื่อร้าน CouCou ที่หมายถึง “สวัสดี” ในภาษาฝรั่งเศส สะท้อนความเป็นกันเอง และอบอุ่นเสมือนการทักทายระหว่างเพื่อนสนิท​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/QGgNHfAJ2B6ZRBQKHcgA.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="QGgNHfAJ2B6ZRBQKHcgA.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1046,1565" data-percentage="50," style="width: 100%;" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“สำหรับแบรนด์น้องใหม่ CouCou เป็นแบรนด์สุดท้ายของปีนี้ของ MAGURO Group เพื่อเจาะกลุ่มผูัที่ชื่นชอบ รับประทานอาหารแบบ All-Day Dining ตั้งแต่มื้อเช้า กลางวัน และเย็น อาหารสไตล์ตะวันตก ซึ่งเปิดตัวเพื่อ ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ที่มาพร้อมบรรยากาศการต้อนรับที่อบอุ่นและมีชีวิตชีวา ตั้งแต่ก้าวแรกที่ลูกค้าเข้าร้าน ไปจนถึงการส่งมอบเมนูสุดพิเศษ ทำให้ทุกมื้อของ CouCou ไม่ใช่เพียงการรับประทานอาหาร แต่คือ Special Moment &amp; Memorable Experience ที่ลูกค้าจะได้สัมผัสอย่างแท้จริง” เอกฤกษ์ กล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน จักรกฤติ สายสมบูรณ์ กรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง MAGURO กล่าวว่า การเปิดตัว CouCou ครั้งนี้ นับว่าเป็นการเขย่าวงการอาหารที่นอกจากจะเป็นรูปแบบ All-Day Dining สไตล์ตะวันตกแล้ว ยังตั้งอยู่บน ถนนประดิษฐ์มนูธรรม บนพื้นที่ 2 ไร่ของโครงการ The Flavorhood ที่ยังอีก 2 ร้านอาหารในเครือ ได้แก่ ร้าน MAGURO และ ร้าน HITORI SHABU​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/SMjNcZEBaZu4jVYLURMM.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="SMjNcZEBaZu4jVYLURMM.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," origin-size="1046,1565" style="width: 100%;" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไฮไลต์สำคัญของ CouCou คือความหลากหลายของเมนูอาหารเช้าที่เต็มไปด้วยตัวเลือกมากมาย นำด้วยเมนู อาหารเช้าสุดคลาสสิก 2 สัญชาติ อย่าง American และ Full English Breakfast อีกทั้งจุดเด่นในเรื่อง Specialty Coffee กว่า 20 เมนู จากเมล็ดกาแฟคุณภาพพรีเมียม ส่วนมื้อกลางวัน พาสต้า Homemade เส้นสดหลากหลาย รูปแบบพร้อมเสิร์ฟสำหรับผู้ที่ชื่นชอบพาสต้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ CouCou ยังเน้นเรื่องกระบวนการทำอาหารเป็นอย่างมาก โดยเลือกใช้เครื่องมือหนักอย่างเตาย่างถ่านถึง 2 ชนิด คือ Charcoal Oven และ Argentine Parrila Grill เพื่อเพิ่มมิติทั้งรสชาติและกลิ่นของเมนูไปอีกขั้น ด้วยการนำวัตถุดิบหลายชนิดมาย่างด้วยถ่าน เช่น เมนูไส้กรอก รวมไปถึงเมนูมื้อเย็นประเภท Grill และสเต็ก&nbsp;ทั้งยังมีเมนูสุขภาพ รูปแบบ Organic Salad หลากหลายเมนู และมื้อเย็นจะเป็นอาหารยุโรปสไตล์ Casual Dining อาทิ Fillet Mignon, Beef Bourguignon พร้อมขนมหวาน สุดพิเศษ เช่น Burnt Cheesecake, Carrot Cake, Tiramisu <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 50%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 50%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/11/o4Ddb87wRuKHWgEWp6Ma.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="o4Ddb87wRuKHWgEWp6Ma.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="50," origin-size="5000,7210" style="width: 100%;" data-index="2"></figure></div>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;CouCou มาพร้อมบรรยากาศและการตกแต่งที่ทันสมัย สีสันแปลกใหม่ ด้วยการใช้สี Brick (สีอิฐ) เป็นส่วนประกอบหลักที่เข้ากับงานศิลปะแบบ Modern Illustration ที่ประดับอยู่ทั่วร้าน ให้บรรยากาศแบบร้าน Brunch ในยุโรปอย่างแท้จริง อีกทั้งยังมีพื้นที่ Outdoor ซึ่งเป็นพื้นที่ Pet Friendly ให้ลูกค้าสามารถนำสัตว์เลี้ยงมาด้วยได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในช่วงแรกของการ Soft Opening จะเปิดให้บริการในรูปแบบอาหารเช้าและอาหารกลางวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 น. - 18.00 น. และเมื่อถึงช่วง Grand Opening จะเพิ่มบริการอาหารในรูปแบบ Dinner โดยจะขยายเวลาให้บริการ จนถึง 22.00 น. ภาพ: MAGURO Group เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/maguro-opened-the-flavorhood-pradit-manutham" alt="MAGURO เปิดตัว The Flavorhood ฟู้ดเดสติเนชั่นใจกลางประดิษฐ์มนูธรรม เปิดทางการ 1 พ.ย.นี้">MAGURO เปิดตัว The Flavorhood ฟู้ดเดสติเนชั่นใจกลางประดิษฐ์มนูธรรม เปิดทางการ 1 พ.ย.นี้</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

MAGURO แรงต่อไม่หยุด เปิดตัว CouCou แบรนด์ที่ 5 ส่งท้ายปี 67 เตรียม Soft Opening 25 ธันวาคมนี้

<h2>นอกจากการพาตัวเองไปตั้งอยู่ในศูนย์การค้าที่มีทราฟิกหนาแน่น หนึ่งในกลยุทธ์ที่เราเห็นกันของร้านอาหารหลายแบรนด์ก็คือการตั้งสาขาอยู่นอกศูนย์การค้าไปด้วย ล่าสุดคือ ‘มากุโระ’ เครือร้านอาหารญี่ปุ่นที่ก่อตั้งมาแล้ว 9 ปี ที่ล่าสุดเปิดตัว The Flavorhood ศูนย์รวมร้านอาหารในเครือ 3 แบรนด์ไว้ในที่เดียว</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;The Flavorhood หรือฟู้ดเดสติเนชั่นของบริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เป็นจุดหมายปลายทางความอร่อยบนพื้นที่ขนาด 2 ไร่ย่านประดิษฐ์มนูธรรม รวบรวมร้านอาหารในเครือมากุโระ 3 แบรนด์มาไว้ที่นี่ คือ MAGURO, HITORI SHABU ซึ่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้วตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่อีกร้านหนึ่งจะเป็นแบรนด์น้องใหม่ที่ยังไม่ขอเปิดเผยชื่อ แต่เป็นร้าน All Day Dining ที่จะให้บริการในวันที่ 24 ธันวาคม 2567​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/TNamvSbTqPA1T5LoHB4S.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="TNamvSbTqPA1T5LoHB4S.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,405" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภายใต้งบลงทุนประมาณ 70 ล้านบาทเพื่อสร้าง The Flavorhood ที่นอกจากแต่ละร้านจะมีขนาดกว้างขวาง รองรับลูกค้าได้ 60-70 ที่นั่ง/ร้าน การตกแต่งยังเป็นแบบผสมผสานระหว่างความร่วมสมัยแต่ยังคงกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นทางเดิน สวนในโครงการ ห้องน้ำ ที่เรียกได้ว่าร่มรื่นและอบอุ่น ทั้งยังมีที่จอดรถสะดวกสบาย มีจุดให้บริการชาร์จ EV ด้วย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/zYHjQzxcaRmFRt7tcrZS.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="zYHjQzxcaRmFRt7tcrZS.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;‘เอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บอกว่า ความตั้งใจของบริษัทคืออยากให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลาย และดื่มด่ำไปกับบรรยากาศโดยรอบของโครงการ เป็นการมอบประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าที่แตกต่างจากการอยู่ในศูนย์การค้าหรือคอมมูนิตี้มอลล์​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/5YU3KsitbmH9T2q57oS2.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="5YU3KsitbmH9T2q57oS2.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="2"><figcaption><div>เอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่ถามว่าทำไมถึงต้องออกมาตั้งศูนย์รวมร้านอาหารของตัวเอง?&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;‘จักรกฤติ สายสมบูรณ์’ กรรมการบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง MAGURO บอกว่า “Pain Point หลักของการเข้าไปอยู่ในศูนย์การค้าระดับเกรดเอและเกรดบีคือ ค่าเช่าค่อนข้างสูง อีกทั้งปัจจุบันระบบค่าเช่ายังปรับเป็น GP หมดแล้ว เมื่อลองคำนวณดูเราพบว่าการทำร้านตัวเองในรูปแบบสแตนด์อะโลนนั้น เงินที่จ่ายออกไปน้อยกว่ามาก ค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการไปตั้งอยู่ในห้าง และคืนทุนเร็วกว่าในระยะยาว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“โดยสำหรับที่ The Flavorhood ตั้งเป้ายอดขายไม่ต่างจากสาขาที่อยู่ในศูนย์การค้าเกรดเอ เช่น สยามสแควร์วัน เป็นต้น และตั้งเป้าคืนทุนในระยะเวลา 1 ปีครึ่ง – 2 ปี”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เขายังเสริมอีกว่า ระยะการคืนทุนอาจจะเร็วกว่าแต่ไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่ได้จากสแตนด์อะโลนมากกว่า คือการมีพื้นที่มากกว่า ร้านใหญ่กว่า สามารถใส่ดีไซน์เข้าไปได้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นสวน ห้องน้ำ แลนด์สเคป ทุกอย่างที่ให้ประสบการณ์มากกว่าการไปอยู่ในห้าง การตกแต่งในร้านอาจไม่ได้ต่างกัน แต่พื้นที่ข้างนอกต่างกัน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/AZWUaSzbUndR5oYos5xm.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="AZWUaSzbUndR5oYos5xm.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,405" style="" data-index="3"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับการเลือกที่แรกบนทำเลประดิษฐ์มนูธรรม จักรกฤติบอกว่าเนื่องจากเป็นโลเคชั่นที่คุ้นเคย เพราะสมัยที่ก่อตั้งบริษัทแรกๆ นั้นมีสำนักงานใหญ่อยู่ในย่านนี้ ทำให้คุ้นเคยกับย่าน และมองเห็นว่าเป็นย่านที่มีศักยภาพสูง มีครัวเรือนอาศัยอยู่หนาแน่น มีศูนย์การค้า แต่ตอนนั้นความพร้อมและปัจจัยต่างๆ ยังไม่ลงตัว จนเมื่อปีที่ผ่านมาเห็นว่าบนนถนนเส้นนี้ยังไม่มีแบรนด์ของมากุโระมาเปิดเลยสักแบรนด์ จึงเป็นไอเดียสร้างที่นี่ขึ้น โดยที่ดินตรงนี้ได้สิทธิ์เช่าเป็นระยะเวลา 9 ปี​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/GAXYaxdo5d1ZomFowg94.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="GAXYaxdo5d1ZomFowg94.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="4"><figcaption><div>จักรกฤติ สายสมบูรณ์</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“The Flavorhood เราไม่ได้ตั้งใจให้เป็นคอมมูนิตี้มอลล์ แต่เป็นมอลล์ขนาดเล็กที่ตอบโจทย์ความต้องการจริงๆ เราเชื่อว่าคนอยากมีร้านใกล้บ้าน เป็นร้านประจำ ใช้เวลาเดินทางไม่นาน อยากให้เป็นเดสติเนชั่นในย่านนี้ และหวังว่าจะมี The Flavorhood ในที่ถัดๆ ไป”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับแนวทางในอนาคต เอกฤกษ์และจักรกฤติบอกว่าจะดูกระแสตอบรับของ The Flavorhood ที่นี่ก่อน และค่อยพิจารณาถึงการเปิดที่ต่อไป ซึ่งต้องเป็นที่ดินขนาด 2 ไร่ขึ้นไป และอาจจะมีแบรนด์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ 3 แบรนด์นี้ด้วยก็ได้&nbsp; &nbsp; อย่างไรก็ตาม แนวทางการลงทุนเปิดสาขาใหม่ของแบรนด์ยังคงยืดหยุ่นและกระจายไปในทุกรูปแบบ ทั้งในศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ และสแตนด์อะโลน &nbsp; &nbsp; "เราคงไม่ได้โฟกัสหรือให้น้ำหนักไปทางไหนเป็นพิเศษ คงดูว่าเทรดโซนนั้นๆ เป็นอย่างไรบ้าง ตัวเลขในระบบสร้างผลตอบแทนได้แค่ไหน ผลกำไรได้เท่าไหร่" จักรกฤติระบุ สิ้นปีนี้รวมทุกแบรนด์มี 37 สาขา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เอกฤกษ์ อัพเดตภาพรวมธุรกิจของเครือมากุโระให้ฟังว่าจากปีที่ผ่านมาตั้งเป้าว่าจะเปิดสาขาใหม่ในปีนี้ 12 สาขา แต่บริษัทสามารถทำได้มากกว่าแผนที่วางไว้คือเปิดได้ 13 สาขา โดย ณ สิ้นปี 2567 เครือมากุโระจะมีร้านอาหารทั้งหมด 37 สาขาใน 6 แบรนด์ ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1.MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิสไตล์พรีเมียม 18 สาขา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2.SSAMTHING TOGETHER ร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลีวัตถุดิบพรีเมียม 6 สาขา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3.HITORI SHABU ร้านชาบูและสุกี้ยากี้หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซ 10 สาขา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4.HITORI SUKIYAKI ร้านสุกี้ยากี้คันไซแบบดั้งเดิม เป็นร้านสแตนด์อะโลนอยู่ที่เอกมัย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;5.Tonkatsu AOKI ร้านทงคัตสึจากญี่ปุ่นเตรียมเปิดวันที่ 19 ธ.ค. 2567 นี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;6.ร้านอาหารในรูปแบบ All Day Dining ที่จะเปิดที่ The Flavorhood วันที่ 24 ธ.ค. 2567&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และพิเศษสุดสำหรับ โครงการ The Flavorhood ทาง Maguro ได้ร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจใหม่ คือ Guss Damn Good แบรนด์ไอศกรีมระดับพรีเมียมที่มีคอนเซปต์ Story to Flavor ที่จะมาช่วยรังสรรค์ไอศกรีม พิเศษ รสมันหวาน ญี่ปุ่นครีมบูเร่ เพื่อเป็น Signature Dessert ให้เฉพาะที่ร้าน MAGURO เท่านั้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งสาขา The Flavorhood นี้ จะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน และจนกว่าสินค้าจะหมดเท่านั้น โดยในสาขาอื่นๆ ได้แก่ สาขา Chic ราชพฤกษ์, สาขา Health Land แจ้งวัฒนะ, สาขา SB พระราม 2, สาขา เอสพลานาด รัชดา, สาขา Central World, สาขา The Nine พระราม 9, สาขา Promenade, สาขา Nirvana สาขา Marche ทองหล่อ จะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน และจนกว่าสินค้าจะหมดเช่นกัน เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/maguro-opened-the-flavorhood-pradit-manutham" alt="MAGURO เปิดตัว The Flavorhood ฟู้ดเดสติเนชั่นใจกลางประดิษฐ์มนูธรรม เปิดทางการ 1 พ.ย.นี้">MAGURO เปิดตัว The Flavorhood ฟู้ดเดสติเนชั่นใจกลางประดิษฐ์มนูธรรม เปิดทางการ 1 พ.ย.นี้</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

อยู่นอกห้าง ค่าใช้จ่ายน้อยกว่า! สาเหตุ ‘มากุโระ’ เปิด The Flavorhood ศูนย์รวมร้านอร่อยในเครือไว้ในที่เดียว

<h2>บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO ธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นและเกาหลีระดับพรีเมียม-แมส เดินหน้าสร้างปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในวงการอาหารอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวโครงการ ‘The Flavorhood’ ฟู้ดเดสติเนชั่นแห่งใหม่ ใจกลางประดิษฐ์มนูธรรม จุดหมายปลายทางแห่งความอร่อยบนพื้นที่กว่า 2 ไร่ รวมร้านอาหารเรือธงในเครืออย่าง MAGURO, HITORI SHABU และร้านอาหารแบรนด์ใหม่ไว้ในที่เดียวกัน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เผยว่า ตั้งแต่สาขาแรกของ MAGURO ที่ Chic Republic บางนาสร้างปรากฏการณ์ร้านซูชิคิวยาวในย่านบางนา และต่อมาบริษัทฯ ขยายธุรกิจไปอีกหลายพื้นที่ และทำให้ร้านอาหารในเครือของบริษัทฯ ได้กลายเป็นขวัญใจคนในย่านนั้นๆ อาทิ The Circle ราชพฤกษ์ ที่มีกลุ่มลูกค้าในย่านธนบุรี และราชพฤกษ์ หรือสาขาแจ้งวัฒนะที่มีกลุ่มลูกค้าย่านแจ้งวัฒนะ หลักสี่ และปากเกร็ดเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“บริษัทฯ จึงได้เปิดตัวโครงการ The Flavorhood ใจกลางประดิษฐ์มนูธรรม เพื่อเป็น Food Destination หรือศูนย์รวมแห่งรสชาติในไลฟ์สไตล์ทันสมัยของผู้บริโภค มีพื้นที่จอดรถที่สะดวกสบาย บรรยากาศที่เป็นกันเอง สามารถเข้าถึงอาหารอร่อยใกล้บ้าน” เอกฤกษ์กล่าว​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/NY1928HTA6bZGhQLg3gq.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="NY1928HTA6bZGhQLg3gq.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บนพื้นที่โครงการ The Flavorhood กว่า 2 ไร่นี้ บริษัทฯ ได้นำ 3 ร้านอาหารในเครือมาไว้ในที่เดียวกัน คือ MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิสไตล์ระดับพรีเมียม, HITORI SHABU ร้านชาบูและสุกี้ยากี้ หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซ ซึ่งจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ และร้านอาหารแบรนด์ใหม่ ที่คาดว่าจะสามารถเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้ภายในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ไว้ในที่เดียวกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พร้อมทั้งยังได้เพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อลดมลพิษทางอากาศ และปรับอากาศให้บริสุทธิ์ขึ้น ด้วยสวนที่มีการตกแต่ง 2 สไตล์ แบบ Modern Tropical Garden ที่เน้นความสดชื่นของต้นไม้เขตร้อน และ Japanese Garden ที่ดูเรียบง่าย และสงบ เพื่อให้ทุกท่านที่มาเยือน รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ร่มรื่นและผ่อนคลาย​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/10/8iCyVv3Jq3oWSsBDAoAJ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="8iCyVv3Jq3oWSsBDAoAJ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โครงการ The Flavorhood เกิดจากการผสมผสานระหว่างคำว่า “Flavor” ที่สื่อถึงรสชาติอันหลากหลาย และคำว่า “Neighborhood” ซึ่งสะท้อนถึงการเป็นพื้นที่แห่งชุมชนอันอบอุ่นและเข้าถึงได้ง่าย เป็นโครงการคอนเซ็ปต์ใหม่ ภายใต้ทำเลที่มีศักยภาพสูง ซึ่งนอกจากโครงการนี้จะช่วยเปิดประสบการณ์การรับประทานอาหารที่แตกต่างจากร้านอาหารในเครือสาขาอื่นๆ แล้ว บริษัทฯ ยังมีความตั้งใจให้โครงการนี้เป็นการดำเนินธุรกิจที่เล็งเห็นความสำคัญของความยั่งยืน โดยมีแผนการติดตั้งจุดชาร์จ EV Charger และ Solar Roof ภายในโครงการ รวมถึงจุดรีไซเคิลขยะพลาสติก และการแยกขยะอย่างเป็นระบบเพื่อสนับสนุนการรักษาสิ่งแวดล้อม และลดผลกระทบต่อธรรมชาติอีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“นอกจากการขยายสาขาของแต่ละแบรนด์ เราได้เพิ่มกลยุทธ์การขยายสาขาในรูปแบบ Compound หรือแบบโครงการขนาดเล็ก จึงคาดว่าในอนาคตบริษัทฯ จะเปิดโครงการ The Flavorhood แห่งที่ 2 ใน Neighborhood ที่มีศักยภาพสูง เพื่อมอบพื้นที่แห่งความสุขและประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าได้อย่างตรงจุด ตามปรัชญา ‘Give More Culture’ หรือ ‘การให้มากกว่าที่ขอ’ ที่บริษัทฯ ใช้ในการบริหารธุรกิจมาโดยตลอด และสร้างเอกลักษณ์ให้กับเครือ MAGURO ได้อย่างแน่นอน” เอกฤกษ์ กล่าวปิดท้าย เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/global/if-coconut-x-popmart-crybaby-packaging" alt="ผนึกกำลังเล่นใหญ่! IF น้ำมะพร้าวไทยจับมือ POP MART ออกแบบฉลาก CRYBABY บุกตลาดจีน">ผนึกกำลังเล่นใหญ่! IF น้ำมะพร้าวไทยจับมือ POP MART ออกแบบฉลาก CRYBABY บุกตลาดจีน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

MAGURO เปิดตัว The Flavorhood ฟู้ดเดสติเนชั่นใจกลางประดิษฐ์มนูธรรม เปิดทางการ 1 พ.ย.นี้

<h2>ทงคัตสึ หรือหมูทอด คือหนึ่งในเมนูอาหารญี่ปุ่นที่คนไทยชื่นชอบ ล่าสุดมากุโระ กรุ๊ปขอสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ พา TONKATSU AOKI ร้านดังที่คิวยาวกว่า 2 ชั่วโมงรุกเปิดสาขาแรกในไทยไตรมาส 4 นี้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ&nbsp;MAGURO นำโดย เอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และจักรกฤติ สายสมบูรณ์ กรรมการบริหาร ร่วมลงนามสัญญากับ บริษัท ไฟนด์ จำกัด เจ้าของร้านอาหาร TONKATSU AOKI (ทงคัตสึ อาโอกิ) โดย Tetsu Kuramoto ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ Naoto Taguchi ผู้จัดการทั่วไป โดย MAGURO จะได้รับสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ในการเปิดร้านอาหาร TONKATSU AOKI&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MAGURO&nbsp;เปิดเผยว่า “เมนูทงคัทสึหรือหมูทอดญี่ปุ่นเป็น 1 ในเมนูยอดนิยมของคนไทย โดยจะเห็นว่าเป็นหนึ่งในเมนูยอดฮิตที่คนไทยจะต้องไปทานทุกครั้งที่ไปญี่ปุ่น เราจึงอยากได้แบรนด์ที่มีความชำนาญเรื่องหมูทอดทงคัตสึอย่างแท้จริงที่จะมาสร้างความแตกต่างให้กับตลาดทงคัตสึในไทย ไม่ว่าจะเป็นกรรมวิธีการทอด การใช้วัตถุดิบต่างๆ เพื่อให้ได้ซึ่งรสชาติที่ดีที่สุด”​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/8kpC6gwx52yasYrBHiSR.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="8kpC6gwx52yasYrBHiSR.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1638,2048" style="width: 720px; height: auto;" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เอกฤกษ์มองว่า TONKATSU AOKI จะนำมาซึ่งประสบการณ์ที่แตกต่างจากการทานทงคัตสึทั่วไป เปี่ยมด้วยคุณภาพและรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนั้น เซ็กเมนต์ร้านทงคัตสึในไทย ยังการแข่งขันไม่สูง และมีโอกาสในการขยายตัวอย่างมาก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน Tetsu Kuramoto ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไฟนด์ จำกัด เจ้าของร้านอาหาร TONKATSU AOKI ประเทศญี่ปุ่น กล่าวเสริมว่า “ผมได้ไปเยี่ยมชมร้านของ MAGURO หลายสาขา และรู้สึกประทับใจกับการออกแบบร้านที่สวยงาม อีกทั้งการบริการและการดำเนินงานก็ดีเยี่ยม มีการใช้ห้องครัวที่ทำการทดสอบอีกด้วย ทำให้รู้สึกมั่นใจในการร่วมงานกับ MAGURO ในฐานะพันธมิตร เราจะร่วมมือกับ MAGURO ในการเสิร์ฟทงคัตสึที่กรอบและชุ่มฉ่ำ หวังว่าทุกคนจะรอคอยการเปิดร้านของเรา ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ”​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 720px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/D2ZRjdoAjXKUjLsoo2wC.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="D2ZRjdoAjXKUjLsoo2wC.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="720px,auto" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="1477,1108" style="width: 720px; height: auto;" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ร้าน TONKATSU AOKI เป็นร้านหมูทอดทงคัตสึ ยอดนิยมในหมู่ชาวญี่ปุ่น และนักชิมทั่วโลก ที่ลูกค้ายอมเข้าคิวรอนานร่วม 2 ชั่วโมงในบางวัน จนติด Tabelog’s top 100 ร้านทงคัตสึ ด้วยค่าเฉลี่ยคะแนนสูงลิ่ว 3.8 คะแนน โดย Tablelog เป็นเว็บไซต์รีวิวและให้คะแนนร้านอาหารยอดนิยมในประเทศญี่ปุ่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ยีงมีการันตีความอร่อยจากคะแนนใน Tripadvisor ถึง 4 ดาว จาก 16 สาขาทั่วประเทศญี่ปุ่น อาทิ สาขาในย่าน Ginza ในโตเกียว และ 5 สาขาในฮอกไกโด ด้วยจุดเด่นในการเลือกใช้วัตถุดิบจากเนื้อหมูชั้นเลิศ แป้งสูตรพิเศษของทางร้าน ที่บาง เบา และกรอบ เสริมด้วยกรรมวิธีการทอดที่ให้รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์รวมถึงประสบการณ์การลิ้มรสทงคัตสึแบบใหม่ด้วยการจิ้มเกลือหลากชนิดที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/double-day-99-shopee-10-minutes-billion-baht" alt="Double Day ยังทรงพลัง! 9.9 คนไทยช็อป Shopee แค่ 18 นาทีทะลุพันล้าน">Double Day ยังทรงพลัง! 9.9 คนไทยช็อป Shopee แค่ 18 นาทีทะลุพันล้าน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เขย่าวงการทงคัตสึ! TONKATSU AOKI ร้านดังคิว 2 ชม. เตรียมเปิดสาขาแรกในไทยไตรมาส 4 นี้

<h2>MAGURO หุ้นร้านอาหารญี่ปุ่น เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ mai วันแรกราคาพุ่งเหนือจองกว่า 44.65% ทะลุ 23.00 บาทต่อหุ้น ด้านธุรกิจแม้ค่าแรง - ต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่ยังบริหารได้ ตั้งเป้ากำไรโตต่อเนื่อง เร่งขยาย 11 สาขาและเปิดตัวแบรนด์ใหม่ช่วงไตรมาส 4 ปีนี้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เปิดเผยว่า บริษัทฯ เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในวันนี้ (5 มิ.ย. 67) เป็นวันแรก ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 44.65% สู่ราคา 23.00 บาท/หุ้น สูงกว่าราคา IPO ที่ 15.90 บาท/หุ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะใช้เปิดแบรนด์ใหม่ และขยายสาขาเพิ่ม โดยในปี 2567 มีเป้าหมายขยายไม่น้อยกว่า 11 สาขาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งปรับปรุงระบบสาขาเดิม ครัวกลาง ระบบ IT และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน โดยภายในไตรมาส 4 ปี 2567 นี้จะเปิดตัวแบรนด์ร้านใหม่ที่ต่างจากร้านอาหารญี่ปุ่นและเกาหลี ซึ่งทางบริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มแบรนด์ใหม่ปีละ 1 แบรนด์ (จากปัจจุบันมี 3 แบรนด์ ได้แก่ MAGURO, SSAMTHING TOGETHER และ HITORI SHABU)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ปัจจุบันทางบริษัทมีกลุ่มลูกค้าที่เป็นสมาชิก กว่า 145,000 ราย ซึ่งปัจจุบันมีการใช้จ่ายเฉลี่ย 2,000 บาทต่อใบเสร็จ และสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ กว่า 60% ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มในการกลับมาใช้บริการซ้ำ (โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อใบเสร็จของร้าน MAGURO และ HITORI อยู่ที่ 2,000 บาท ขณะที่ร้าน SSAMTHING TOGETHER อยู่ที่ 600 - 700 บาทต่อใบเสร็จ)<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/06/6VvvbWi64xrD5KTAWzB1.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="6VvvbWi64xrD5KTAWzB1.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,480" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp; &nbsp; อย่างไรก็ตาม ธุรกิจร้านอาหารในไทยมีการแข่งขันสูง และมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเช่น ค่าแรงและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่คาดว่าจะบริหารจัดการได้ เพราะปัจจุบันค่าแรงของบริษัทอยู่ในอัตราที่สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำและตลาดอยู่แล้ว ขณะที่ด้านต้นทุนมีการรับมือมาตลอด 9 ปี และบริหารจัดการได้ดี เช่น มีการวางแผนจัดซื้อล่วงหน้า จัดหาซัพพลายเออร์สำรอง ฯลฯ นอกจากนี้ หากมีจำนวนสาขามากขึ้น จะทำให้มีอำนาจในการต่อรองกับซัพพลายเออร์ได้มากขึ้น และส่งผลให้กำไรสุทธิเติบโตขึ้น แม้ในระยะสั้นอาจมีค่าใช้จ่ายครั้งเดียว เช่น การทำ IPO เพิ่มขึ้น แต่จะทยอยลดลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานใน ปี 2566 มีรายได้รวม 1,045.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.06% และมีกำไร 72.48 ล้านบาท เติบโต 131.12% จากปีก่อนหน้า ขณะที่ผลการดำเนินการในงวดไตรมาส 1 ปี 2567 มีรายได้รวม 297.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.89% และมีกำไรสุทธิ 20.13 ล้านบาท เติบโต 3.52% จากงวดเดียวกันเมื่อปีก่อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“MAGURO มีความมุ่งมั่นดำเนินธูรกิจภายใต้ปรัชญาการให้มากกว่าที่ขอ หรือ Give More ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการให้บริการแก่ลูกค้าในทุกด้าน ตั้งแต่การเปิดร้านมากุโระ สาขาแรก เมื่อ 9 ปีที่แล้ว จนถึงปัจจุบัน อีกทั้ง บริษัทฯ ยังยึดหลักปรัชญา Give More ในการดำเนินกิจการทั้งกับคู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจ ตลอดจนผู้ถือหุ้น และผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน” เอกฤกษ์ กล่าว เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/marketing/top-charoen-public-company" alt="‘แว่นท็อปเจริญ’ แปรสภาพเป็นบริษัท ‘มหาชน’ แล้ว เตรียมขยายสาขาสู่อาเซียนปีนี้">‘แว่นท็อปเจริญ’ แปรสภาพเป็นบริษัท ‘มหาชน’ แล้ว เตรียมขยายสาขาสู่อาเซียนปีนี้</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

MAGURO หุ้นร้านอาหารเทรดวันแรกราคาเหนือจอง 44.65% ตั้งเป้าปีนี้ขยาย 11 สาขา พร้อมเปิดแบรนด์ใหม่ไตรมาส 4

<h2>ร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยมีหลักแสนร้าน แต่จะมีกี่ร้านที่รายได้ทะลุ 1,000 ล้านบาทภายใน 9 ปี Forbes Thailand ได้สรุปข้อมูลของ ‘MAGURO’ เครือร้านอาหารญี่ปุ่นและเกาหลีที่ปัจจุบันมี 26 สาขา แต่รายได้ทะลุ 1,000 ล้านบาทไปแล้ว ซึ่งล่าสุดเตรียมจะเข้า IPO ในตลาดหลักทรัพย์ mai ในวันที่ 5 มิ.ย. 67 นี้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จุดเริ่มต้นของ บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เกิดขึ้นจาก 4 ผู้ก่อตั้งที่ชื่นชอบวัฒนธรรมและอาหารของญี่ปุ่น โดยตั้งใจทำร้านตามปรัชญาที่ว่า “การให้มากกว่าที่ขอ (Give More)” เพื่อให้บริการได้ดีกว่าที่ลูกค้าคาดหวังไว้ โดยหนึ่งในนั้นคือเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ที่ควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2558 ได้เปิดร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อ MAGURO สาขาแรกที่ ชิค รีพลับบิค บางนา โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักในระดับ Premium Mass และต่อมาค่อยๆ ขยายสาขามาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปี 2563 ที่การระบาด COVID-19 รุนแรงขึ้นจึงต้องปรับกลยุทธ์เพิ่มบริการ Delivery ซูชิและอาหารญี่ปุ่น รวมถึงเปิดแบรนด์ใหม่ ‘SSAMTHING TOGETHER’ เป็นเซ็ตปิ้งย่างเกาหลีส่งตรงถึงบ้าน ผ่าน MAGURO GO แพลตฟอร์มให้บริการเดลิเวอรี่<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/2oLzNX4jALN6mJKaNEBs.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="2oLzNX4jALN6mJKaNEBs.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,480"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และเมื่อแบรนด์ใหม่อย่าง SSAMTHING TOGETHER ได้รับการตอบรับอย่างดี ในปี 2564 จึงต่อยอดและเปิดสาขาแรกที่ Mega Bangna (ตอนนั้น ร้าน MAGURO ขยายเปิดสาขาที่ 10 ในศูนย์การค้า Central World) ขณะเดียวกันยังเริ่มใช้ระบบสมาชิก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แต่เมื่อตลาดยังเติบโต และความต้องการของผู้บริโภคมีความหลากหลายยิ่งขึ้น ในปี 2564 จึงขยายสู่แบรนด์ใหม่ HITORI SHABU เป็นร้านชาบูและสุกี้ยากี้สไตล์ญี่ปุ่นสาขาแรกที่ Siam Paragon โดยมีฐานลูกค้ากลุ่ม Premium Mass เช่นเดิม นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจอื่น เช่น MAGURO CATERING ธุรกิจรับจัดเลี้ยงนอกสถานที่ในรูปแบบของ Event Catering และ Office Lunchbox อีกด้วย<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/Q999wUakDMvcyiqWzpdE.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="Q999wUakDMvcyiqWzpdE.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,480"></figure></div> ‘รายได้ - กำไร’ ของ MAGURO เป็นอย่างไร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน MAGURO มีพนักงานรวม 800 คน จากจำนวนสาขารวม 26 สาขาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล แบ่งเป็น1. ร้าน MAGURO (มากุโระ) จำนวน 14 สาขา2. ร้านปิ้งย่างเกาหลี SSAMTHING TOGETHER (ซัมติง ทูเก็ทเตอร์) จำนวน 6 สาขา3. ร้านอาหารชาบูสไตล์ญี่ปุ่น HITORI SHABU (ฮิโตริ ชาบู) จำนวน 6 สาขา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หากพูดถึงฐานลูกค้า อาจดูได้จากระบบสมาชิก (Membership) โดยปี 2566 อยู่ที่ 145,615 ราย เพิ่มขึ้น 69,037 รายในปี 2565 ซึ่งรายได้จากสมาชิกกลุ่มนี้ยังคิดเป็นสัดส่วนที่ 54.36% ของรายได้ในปี 2566 อีกด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คราวนี้มาดูภาพรวมรายได้ และกำไรในปี 2564 - 2566 พบว่า &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ปี 2564 รายได้ 387.61 ล้านบาท กำไร 9.57 ล้านบาท &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ปี 2565 รายได้ 665.85 ล้านบาท กำไร 31.36 ล้านบาท &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- ปี 2566 รายได้ 1,045.81 ล้านบาท กำไร 72.48 ล้านบาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยในปี 2566 มีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ที่ 45.17% และมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) สูงถึง 26.52% ซึ่งยังระบุว่าบริษัทฯ ไม่มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย ซึ่งการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ mai จะช่วยให้บริษัทฯ มีแหล่งเงินทุนที่เพียงพอสำหรับการขยายธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตได้ดี<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/U7zRzJ7TAuWmDPiJMvGk.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="U7zRzJ7TAuWmDPiJMvGk.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2" origin-size="720,480"></figure></div>​ เคาะราคา IPO 15.90 บาท เตรียมเทรด mai วันแรก 5 มิ.ย. 67 ว่าแต่ระดุมทุนเพื่ออะไร? &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;MAGURO จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai กลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร (AGRO) ในราคาหุ้นละ 15.90 บาท และเปิดการซื้อขายวันแรกคือ 5 มิ.ย. 2567 ในชื่อย่อหลักทรัพย์ว่า "MAGURO"&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เอกฤกษ์ เล่าถึงสาเหตุที่นำ MAGURO เข้าตลาดหลักทรัพย์ก็เพื่อระดมทุน และจะนำไปใช้ในการขยายธุรกิจ ด้วยการเปิดสาขาใหม่ในปี 2567 ไม่น้อยกว่า 11 สาขาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งปรับปรุงสาขาเดิม ปรับปรุงครัวกลาง ติดตั้งและปรับปรุงระบบ IT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และรองรับการขยายตัวของจำนวนสาขาของบริษัทฯ ในอนาคต รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน ซึ่งจะช่วยให้บริษัทฯ ขยายกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ทาง MAGURO กำหนดราคาเสนอขายหุ้นไอพีโอ (IPO) จำนวนไม่เกิน 34.06 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท/หุ้น แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 21.46 ล้านหุ้น คิดเป็น 17.03% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Holistic Impact Pte Ltd จำนวน 12.60 ล้านหุ้น คิดเป็น10.00% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ ที่ราคาหุ้นละ 15.90 บาท/หุ้น เปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 28 - 30 พ.ค. นี้ ผ่านผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 5 แห่ง ได้แก่ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;- บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/3GLtDLVVNeYy89AE5xom.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="3GLtDLVVNeYy89AE5xom.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,900" style="" data-index="3"></figure></div> ​ ​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/the-story-of-chaosua-snack" alt="รู้จัก ‘เจ้าสัว’ จากของฝากโคราช สู่แบรนด์ ‘ขนมขบเคี้ยว’ ที่เตรียม IPO">รู้จัก ‘เจ้าสัว’ จากของฝากโคราช สู่แบรนด์ ‘ขนมขบเคี้ยว’ ที่เตรียม IPO</a>​ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events