<h2>สกพอ. - เอชเอสบีซี ประเทศไทย ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ เพื่อดึงดูดการลงทุนระดับโลก หวังดึงเงินลงทุนต่างชาติเข้าสู่พื้นที่อีอีซี ตามเป้าหมายของสกพอ. ที่ 500,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี โดยมีอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญ 5 คลัสเตอร์ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ อุตสาหกรรมสีเขียว BCG และอุตสาหกรรมบริการ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการ อีอีซี กล่าวว่า “เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ถือเป็นกลไกที่สำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เป้าหมายหลักคือ การสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการลงทุนที่มีมูลค่าสูง และเชื่อมโยงไปถึงพื้นที่และชุมชน ที่ผ่านมา การลงทุนจากต่างประเทศมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาในพื้นที่อีอีซีเป็นอย่างมาก การขยายขีดความสามารถของพื้นที่และระบบบริหารจัดการที่เอื้อต่อการลงทุนเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเติบโตของอีอีซี การผนึกกำลังร่วมกับธนาคารเอชเอสบีซี ซึ่งเป็นสถาบันทางการเงินที่มีความเชี่ยวชาญและเครือข่ายที่แข็งแกร่งใน 58 ประเทศและเขตดินแดน จะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนการลงทุนจากทั่วโลก และเชื่อมโยงอีอีซี กับองค์กรชั้นนำระดับนานาชาติ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภายใต้การบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ ในครั้งนี้ ทั้งสององค์กรจะร่วมมือในการแสวงหานักลงทุนที่มีศักยภาพ อำนวยความสะดวกในการลงทุนผ่านโครงการต่าง ๆ และอาศัยความแข็งแกร่งของเครือข่ายธุรกิจระดับนานาชาติของธนาคารเอชเอสบีซี เพื่อปลดล็อคโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ โดยในปี 2568 ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย จะให้การสนับสนุนในกิจกรรมโรดโชว์เพื่อส่งเสริมการลงทุนสู่พื้นที่อีอีซีในระเบียงเศรษฐกิจที่สำคัญ อาทิ จีน สิงคโปร์ ยุโรป ไต้หวัน และญี่ปุ่น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างทั้งสององค์กร มีเป้าหมายที่จะสนับสนุน สกพอ.ในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจริงในพื้นที่รวม 5 แสนล้านบาท ภายใน 5 ปี พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่สำคัญ 5 คลัสเตอร์ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ อุตสาหกรรมสีเขียว BCG และอุตสาหกรรมบริการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของไทยในการเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานของโลก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นายจอร์โจ กัมบา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและหัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย กล่าวถึงความมุ่งมั่นของธนาคารในการสนับสนุนเป้าหมายของการลงทุนในประเทศไทยว่า “ในขณะที่ธุรกิจระหว่างประเทศยังคงปรับแผนด้านห่วงโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยกำลังได้รับความสนใจในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ และอีโคซิสเต็มในด้านการผลิตที่ครอบคลุม ในปี 2567 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการลงทุนจากต่างประเทศที่ได้รับอนุมัติเป็นมูลค่ารวมราว 7.27 แสนล้านบาท ถือเป็นสถิติยอดการลงทุนสูงสุดในรอบ 20 ปี และอีอีซีถือเป็นศูนย์กลางของการเติบโตนี้ โดย 78% ของมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเป็นการลงทุนในพื้นที่อีอีซี (ราว 5.68 แสนล้านบาท) สะท้อนถึงบทบาทของอีอีซีในฐานะแรงขับเคลื่อนหลักของกลยุทธ์การลงทุนของประเทศไทย โดยอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (2.56 แสนล้านบาท) อุตสาหกรรมดิจิทัล (9.5 หมื่นล้านบาท) และยานยนต์แห่งอนาคต (8.7 หมื่นล้านบาท)”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธนาคารเอชเอสบีซี เล็งเห็นถึงแนวโน้มความสนใจของธุรกิจจีนในการขยายกิจการสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากจำนวนขององค์กรธุรกิจจีนที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในอาเซียนผ่านเครือข่ายของธนาคารในปี 2566 ที่เพิ่มขึ้น 80% จากปีก่อนหน้า โดยประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในจุดหมายการลงทุนที่สำคัญ ทั้งนี้ แม้การลงทุนจากประเทศจีนจะครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม แต่อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงที่สุด คือ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีมูลค่ารวมนับตั้งแต่ปี 2561 จนถึงไตรมาสสามปี 2567 ราว 2.75 แสนล้านบาท นอกจากนี้ ประเทศไทยยังประสบความสำเร็จในการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ เนื่องจากมีแหล่งพลังงานที่มั่นคงเพียงพอ และมีเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยล่าสุด สกพอ.ยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือด้านการลงทุนในเศรษฐกิจดิจิทัลที่หลากหลายยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ อินเดีย และตะวันออกกลาง ยังถือเป็นระเบียงการลงทุนที่สำคัญสำหรับประเทศไทยด้วยเช่นกัน ด้วยความสัมพันธ์ทางการค้าที่แข็งแกร่งและโอกาสจากการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกัน โดยเครือข่ายธุรกิจที่แข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญด้านการเงินของธนาคารเอชเอสบีซีในประเทศเหล่านี้ จะช่วยดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสู่พื้นที่อีอีซีได้มากยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เอชเอสบีซี จะอาศัยความเชี่ยวชาญของธนาคารฯ ในการเชื่อมโยงการลงทุนระหว่างประเทศ เข้ามาสนับสนุน สกพอ. ในการเข้าถึงกลุ่มนักลงทุนจากทั่วโลก โดยเฉพาะจากระเบียงเศรษฐกิจสำคัญที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย ผ่านการนำเสนอโซลูชันด้านการเงินที่ครบวงจร อำนวยความสะดวกในการเริ่มดำเนินธุรกิจ และเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการลงทุน เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือกับ สกพอ. ในครั้งนี้จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก กระตุ้นการจ้างงานทักษะสูง และบรรลุเป้าหมายในการเสริมศักยภาพในการแข่งขันในระดับนานาชาติ ตลอดจนเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของไทยต่อไปในอนาคต” นายกัมบา กล่าว ภาพ:&nbsp;ธนาคารเอชเอสบีซี​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/other/news/%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b9%81%e0%b8%9c%e0%b8%99%e0%b8%9a%e0%b8%b9%e0%b8%a1-%e0%b8%ad%e0%b8%b5%e0%b8%ad%e0%b8%b5%e0%b8%8b%e0%b8%b5-%e0%b8%94%e0%b8%b6%e0%b8%87%e0%b8%a5%e0%b8%87%e0%b8%97" alt="เปิดแผนบูม อีอีซี ดึงลงทุน 2 ล้านล้าน">เปิดแผนบูม อีอีซี ดึงลงทุน 2 ล้านล้าน</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

สกพอ. - เอชเอสบีซี ประเทศไทย ลง MOU หวังดึงเงินลงทุนนอกสู่พื้นที่อีอีซี หนุนเป้า 5 แสนล้าน ใน 5 ปี

<h2>บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด ร่วมกับ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โดยคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ นำโดย ธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จํากัด และ ศาสตราจารย์ ดร.สรศาสตร์ สุขเจริญสิน คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ผู้รับมอบอํานาจจากอธิการบดีสถาบัน บัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ลงนามใน บันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนรู้ประสบการณ์ตรงและได้แลกเปลี่ยนความรู้จากโครงงานวิศวกรรมการเงิน เพื่อเพิ่มทักษะความรู้ ทักษะการทํางานแบบมืออาชีพ และทักษะชีวิต เป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษากับองค์กรภาคอุตสาหกรรม </h2> <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/VTt9Efdn2NkGtfxHmYVD.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="VTt9Efdn2NkGtfxHmYVD.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ศาสตราจารย์ ดร.สรศาสตร์ สุขเจริญสิน คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กล่าวถึงที่มาของการลงนาม MOU ครั้งนี้ว่า “คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ มีเป้าหมายคือทำอย่างไรให้เด็กมีประสบการณ์มากที่สุดก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน ด้วยโจทย์ว่างานวิจัยและโครงงานต้องไม่อยู่เฉพาะบนหิ้ง เราจึงมองหา Partner ในภาคธุรกิจอุตสาหกรรมที่ต้องการมุมมองใหม่ๆ จากไอเดียนักศึกษา และพัฒนา University-Industry Collaboration ให้สำเร็จร่วมกัน คำว่า "วิศวกรรมการเงิน" อาจจะไม่คุ้นสำหรับคนไทยเคยแต่ไม่ใช่เรื่องใหม่ของทั่วโลก โดยการจะผลิตบุคลากรด้านวิศวกรรมการเงินต้องอาศัยองค์ความรู้ 4 ด้าน คือ เศรษฐศาสตร์ การเงิน วิศวกรรม และพื้นฐานคณิตศาสตร์ที่แข็งแรง เราได้จับมือกับทางสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ผลิตวิศวกรที่มีมุมมองใหม่ๆ ด้าน Financial Technology เพื่อตอบโจทย์ระบบเศรษฐกิจใหม่ และดิจิทัลเทคโนโลยี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในปี 2566 เราคัดเลือกบริษัทในสายหลักทรัพย์ กองทุน และ สตาร์ทอัพ เพื่อเป็นโจทย์ท้าทายให้นักศึกษาได้เตรียมตัว โดยเราได้รับความร่วมมืออย่างดีจาก บริษัท เจ เวนเจอร์ส จํากัด ในฐานะผู้นำในกลุ่ม Fin Tech และ Start up ที่ทันสมัยและมีโซลูชั่นใหม่ๆ สู่ตลาดอยู่ตลอด มาร่วมเป็นพี่เลี้ยงให้นักศึกษาได้ลงสนามจริง&nbsp; นักศึกษาจะได้ฝึกการวิเคราะห์และแก้ปัญหา เพื่อเสนอแนวทางในการพัฒนาเป็นเวลา 2 เทอม ระยะเวลา 8&nbsp; เดือน ตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 ถึง เมษายน 2567 โดยเทอมแรกจะเป็นการนำเสนอ Proposal และในเทอมที่ 2 จะเป็นการ Implementation ซึ่งรูปแบบของการทำโครงงานมีความแตกต่างจากในอดีต คือกำหนดให้เป็นการเขียน White paper แบบของ Start up ที่ให้คนทั่วไปอ่านได้เข้าใจ และสามารถนำไปต่อยอดได้เลย” <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false" style="width: 75%; min-width: 100%;"><figure style="margin: auto; width: 75%;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/KeQ8K3Psvr2Yyj4vnBJe.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="KeQ8K3Psvr2Yyj4vnBJe.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="75%," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="75," style="width: 100%;" data-index="1"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน ธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จํากัด กล่าวว่า“เรามักจะถูกสอนให้เรียนเพื่อเชี่ยวชาญเฉพาะด้านไปเลย เราไม่เคยถูกสอนให้เป็นเป็ด คนในสายวิศวกรรมเองก็ไม่สามารถเก่งเฉพาะ Deep Tech อย่างเดียวเท่านั้น ที่ผ่านมาเวลาเราพูดถึง Fin Tech เราจะเน้นไปที่นวัตกรรมและเทคโนโลยี ทั้งที่จริงๆ แล้วกลุ่มคนเทคโนโลยีก็ไม่รู้ว่าภาคการเงินต้องการอะไร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้นการที่นิด้าออกแบบหลักสูตรนี้มาจึงเป็น Combination ที่ประเทศไทยกำลังต้องการ ภาคธุรกิจทุกวันนี้ต้องการความ Flexible และ Fragile มีการเปลี่ยนแปลงเร็วมากกว่าที่เราคิด ธุรกิจทุกหน่วยงานโดนดิสรัปต์ เราต้องการบุคลากรรุ่นใหม่ที่มีคุณสมบัติเข้ามาช่วยทรานสฟอร์มองค์กร พอนิด้ามีโครงการนี้ขึ้นมา เราจึงไม่รีรอที่จะร่วมเป็นพันธมิตร เพราะเรามองว่าสิ่งนี้คือการทดลองร่วมกัน ซึ่งทางเราจะไม่มีโจทย์ให้นักศึกษาทำ แต่จะให้เขาเข้ามาหาข้อมูล มาสร้างโจทย์ และเสนอไอเดียเอง เราจะเอาเคสที่มีมาช่วยกันค้นหาว่า Financial Engineering จะสร้างนวัตกรรมทางด้านการเงิน เพื่อตอบคำถามให้กับธุรกิจได้อย่างไร ผมว่าเราต่างมีเป้าหมายเดียวกัน คือ พัฒนาบุคลากรที่เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วไปทำประโยชน์ให้องค์กรได้เลย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ดี "กระบวนการ" ก็มีความสำคัญไม่แพ้ "เป้าหมาย" เพราะก่อนที่จะได้ผลลัพธ์จับต้องได้ เช่น คิดค้นนวัตกรรม หรือเทคโนโลยีใดๆ ก็ตาม ต้องผ่านกระบวนการคิด ลองทำ ฟีดแบค และการเรียนรู้ ซึ่งในระหว่างทางเราจะเรียนรู้กันคนละมิติ ทั้งมิติอาจารย์ มิตินักศึกษา และมิติบริษัทฯ และผมเชื่อว่าซากของพัฒนาการที่หลงเหลือนั้น ถึงแม้อาจจะไม่ได้ใช้งานในช่วง 8 เดือนที่ฝึกงาน แต่ก็อาจจะมีคนเกิดไอเดียและนำไปต่อยอดเป็นโปรเจกต์อื่นๆ ได้อีก ซึ่งกระบวนการกับการเรียนรู้ตรงนี้ ผมว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด” ธนวัฒน์ กล่าว &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;​<a href="https://forbesthailand.com/preview/71068" alt="AION ผนึกกำลัง 7 พันธมิตร รุกธุรกิจรถไฟฟ้าอาเซียนเต็มสูบ จ่อเปิดตัว “AION Y Plus” ประเดิมรุ่นแรก 9 กันยายนนี้" style="background-color: initial; font-family: &quot;DB FongNam X&quot;, sans-serif; font-size: 34px; text-align: var(--bs-body-text-align);">AION ผนึกกำลัง 7 พันธมิตร รุกธุรกิจรถไฟฟ้าอาเซียนเต็มสูบ จ่อเปิดตัว “AION Y Plus” ประเดิมรุ่นแรก 9 กันยายนนี้</a>​&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>&nbsp;&nbsp;

เจ เวนเจอร์ส จับมือ นิด้า ลงนาม MOU เตรียมผุดโปรเจ็คสร้างประสบการณ์ตรงให้นักศึกษาจากมืออาชีพ

<h2>บริษัท คลาวด์ คอมพิวติ้ง โซลูชั่นส์ จำกัด (CCS) ผู้ให้บริการด้านคลาวด์คอมพิวติ้งแบบครบวงจร ผนึกกำลัง เทนเซ็นต์ คลาวด์ (Tencent Cloud) กลุ่มธุรกิจคลาวด์ภายใต้บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่างเทนเซ็นต์ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การให้บริการโซลูชันคลาวด์-AI ชั้นนำ จากเทนเซ็นต์ คลาวด์ สำหรับองค์กร ครอบคลุมทั้ง Infrastructure-as-a-Service (IaaS) Platform-as-a-Service (PaaS) และ Software-as-a-Service (SaaS) พร้อมเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าด้วยบริการหลังการขายแบบครบวงจร ผลักดันองค์กรธุรกิจไทยในทุกขนาด และทุกอุตสาหกรรมเร่งสร้างการเติบโตรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สมบุญ พัชรโสภาคย์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท คลาวด์ คอมพิวติ้ง โซลูชั่นส์ จำกัด หรือ ซีซีเอส (CCS) กล่าวว่า “ในยุคที่คลาวด์-AI คือ กุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจแทบทุกอุตสาหกรรม "ซีซีเอส" ในฐานะผู้ให้บริการด้านคลาวด์คอมพิวติ้งแบบครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่การให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน ไปจนถึงการให้บริการด้านซอฟต์แวร์บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มุ่งมั่นที่จะส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการด้านระบบปฏิบัติการคลาวด์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้ามาโดยตลอด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ล่าสุดจึงได้จับมือเชิงกลยุทธ์กับ "เทนเซ็นต์ คลาวด์" เพื่อเดินหน้านำเสนอโซลูชันคลาวด์ที่มีประสิทธิภาพ ยืดหยุ่น และปลอดภัยสูงให้กับลูกค้าองค์กร ให้พร้อมรองรับความต้องการของลูกค้าได้ในทุกขนาด และทุกอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจการให้บริการด้านการเงิน, ธุรกิจบริการสุขภาพ, การท่องเที่ยวและโรงแรม, การขนส่งและโลจิสติกส์, ธุรกิจด้านบริการเครือข่ายสังคม และอีคอมเมิร์ซ” &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ภายใต้ความร่วมมือในครั้งนี้ ซีซีเอส และ เทนเซ็นต์ คลาวด์ จะร่วมกันส่งมอบโซลูชันคลาวด์-AI และบริการในด้านต่างๆ ให้กับองค์กรธุรกิจและผู้ประกอบการไทย ไม่ว่าจะเป็น การทำการตลาดร่วมกันเพื่อนำเสนอโซลูชันคลาวด์-AI ที่ตอบโจทย์ความต้องการทางธุรกิจของลูกค้าได้อย่างตรงจุดและคุ้มค่า การอบรมและให้ความรู้แก่ทีมงานซีซีเอสเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และโซลูชันต่างๆ เพื่อให้มีความเข้าใจและสามารถให้บริการลูกค้าได้เต็มประสิทธิภาพ ตลอดจนการทำให้ผู้ใช้บริการได้รับบริการอย่างเต็มที่บนระบบปฏิบัติการคลาวด์อัจฉริยะ และช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับการดำเนินงาน ปรับปรุงการจัดการเนื้อหา รวมไปถึงสร้างโอกาสทางการตลาดได้มากยิ่งขึ้นจากความเชี่ยวชาญของทั้งสององค์กร” สมบุญ กล่าว &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จิมมี่ เฉิน รองประธาน เทนเซ็นต์ คลาวด์ อินเตอร์เนชั่นแนล และ กรรมการผู้จัดการเทนเซ็นต์ คลาวด์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่สั่งสมมากว่า 20 ปี &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เทนเซ็นต์ คลาวด์ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับซีซีเอสในการนำเสนอโซลูชันคลาวด์ประสิทธิภาพสูงที่สอดรับกับความต้องการของลูกค้าของซีซีเอส โดยความร่วมมือครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเทนเซ็นต์ คลาวด์แล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการร่วมกันนำเสนอโซลูชันคลาวด์เพื่อช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้แก่ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน หรือธุรกิจทุกขนาดในหลากหลายอุตสาหกรรม” &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบันเทนเซ็นต์ คลาวด์ มีพื้นที่ให้บริการที่ครอบคลุม 70 พื้นที่ใน 26 ภูมิภาคทั่วโลก รวมถึงมีดาต้าเซ็นเตอร์ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยถึง 2 แห่ง และมีโครงสร้างพื้นฐานที่ครอบคลุมซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถขยายไปได้ทั่วโลก ตลอดจนมีทีมงานคนไทยที่มีความเชี่ยวชาญ ที่พร้อมให้คำแนะนำและการสนับสนุนลูกค้าอย่างเต็มที่ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/60-%E0%B8%9B%E0%B8%B5-%E0%B8%A7%E0%B8%A7-%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%99-%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%96%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B8%99" alt="60 ปี วว. ก้าวต่อไปสู่งานวิจัยและพัฒนาเพื่อชุมชน/ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน">60 ปี วว. ก้าวต่อไปสู่งานวิจัยและพัฒนาเพื่อชุมชน/ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน</a> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

ซีซีเอส จับมือ เทนเซ็นต์ คลาวด์ ลงนาม MOU นำเสนอโซลูชันคลาวด์-AI พร้อมบริการแบบครบวงจรให้กับลูกค้า สนับสนุนธุรกิจไทยเติบโตยุคดิจิทัล

&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปิดฉากไปแล้วสำหรับความยิ่งใหญ่ของงาน สหกรุ๊ปแฟร์ ครั้งที่ 27 ซึ่งครั้งนี้จัดในธีม ศึกเจ้านักช้อป ที่ไบเทค บางนา โดยขนทัพสินค้าราคาประหยัดมาให้ผู้สนใจเลือกซื้อ และนำนวัตกรรมที่พัฒนาโดยเครือสหพัฒน์มาจัดแสดง รวมทั้งจัดกิจกรรมพิเศษมากมายที่เปิดให้เข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย&nbsp;อีกหนึ่งกิจกรรมที่จัดเป็นประจำทุกปีในงานนี้ คือ การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ทางธุรกิจระหว่างเครือสหพัฒน์กับพันธมิตร ซึ่งปีนี้เครือสหพัฒน์ได้เดินหน้าขยายธุรกิจโดยเซ็นสัญญาร่วมทุนโครงการใหม่ในงานนี้ถึง 8 โครงการด้วยกัน ประกอบด้วย <div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/Sye73nQLc68jTWK3hFz4.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="Sye73nQLc68jTWK3hFz4.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="3075,2050"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;• ความร่วมมือระหว่างบริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กับกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มการลงทุนซื้อขายทองคำในรูปแบบดิจิทัล โกลด์ เซฟวิ่ง (Digital Gold Saving) เพื่อให้ลูกค้า คู่ค้า และบริษัทในเครือสหพัฒน์ เข้าถึงการลงทุนในทองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/fBUeYz14q7f12QfxXynN.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="fBUeYz14q7f12QfxXynN.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="2827,1885"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;• ความร่วมมือระหว่างบริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กับบริษัท ฮิวแมนิก้า จำกัด (มหาชน) เพื่อพัฒนาการให้บริการด้าน HR Outsourcing วางแผน บริหารจัดการ และพัฒนาทรัพยากรบุคคล ให้กับบริษัทในเครือสหพัฒน์ โดยนำเทคโนโลยีและประสบการณ์ด้านทรัพยากรบุคคลของฮิวแมนิก้ามาปรับใช้ ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/MDNN33wVTAF1495fRBzv.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="MDNN33wVTAF1495fRBzv.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2" origin-size="2096,1397"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;• ความร่วมมือระหว่างบริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กับคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ป่วยระยะพักฟื้นและผู้สูงอายุ โดยจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัย และสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการรักษา รวมทั้งส่งเสริมสุขภาพผู้ป่วยระยะพักฟื้นและผู้สูงอายุ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีก 5 โครงการ เป็นการจับมือระหว่าง บริษัท ช้อป โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำธุรกิจขายสินค้าทีวีช้อปปิ้งภายใต้ชื่อ ช้อป ชาแนล กับพันธมิตรทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ประกอบด้วย ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/qhTXhNou2t2rEkasQQGL.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="qhTXhNou2t2rEkasQQGL.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3" origin-size="2800,1866"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;• ความร่วมมือกับบริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) และบริษัท กรีนมูนส์ จำกัด เพื่อพัฒนา ช้อป ชาแนล สู่การเป็นศูนย์กลาง Live Commerce ที่สมบูรณ์แบบ โดยพัฒนา KOLs ให้เข้าถึงผู้บริโภค สร้าง E-Catalog ให้เข้าถึงและใช้งานง่าย พร้อมทั้งพัฒนา Affiliate Program ที่มีระบบบริหารจัดการครบวงจร ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/1ZsTqp591fB2Z9K7kbQe.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="1ZsTqp591fB2Z9K7kbQe.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="4" origin-size="2844,1896"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;• ความร่วมมือกับเครือข่าย OBORSEANA เขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ONE BELT ONE ROAD SOUTH EAST ASIAN NGOS ALLIANCE ใน 16 ประเทศ เพื่อพัฒนาให้ ช้อป ชาแนล เป็น Go Global Center สำหรับเอสเอ็มอี และเปิดตลาดไปยังต่างประเทศ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/bBPRXmg5WjR3FwYvcMPh.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="bBPRXmg5WjR3FwYvcMPh.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="5" origin-size="3044,2030"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;• ความร่วมมือกับเวโรแฟกซ์ เอเชีย เซินดิเรียน เบอร์ฮัด ในการทำตลาดเทคโนโลยีในระบบ CRM ของเวโรแฟกซ์ เพื่อทำให้ ช้อป ชาแนล เข้าไปอยู่ในดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง เต็มตัว ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/RTH3mAakjTyWqCjin8Ej.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="RTH3mAakjTyWqCjin8Ej.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="6" origin-size="1479,1109"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;• ความร่วมมือกับอินโนเวติก คอมเมิร์ส โซลูชั่น เซินดิเรียน เบอร์ฮัด เพื่อทำธุรกิจแบบ Cross-Border Live Commerce ระหว่างประเทศไทย มาเลเซีย และประเทศอื่นๆ โดยการส่ง KOls จากมาเลเซียมาไลฟ์ที่ไทยแล้วส่งสัญญาณออกอากาศไปยังมาเลเซีย รวมทั้งจะโปรโมทสินค้าเครือสหพัฒน์ในมาเลเซียผ่าน Live Commerce ของ eShoplive เพื่อขยายฐานลูกค้าของ ช้อป ชาแนล ให้กว้างขึ้น ​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/07/jKWfSFt3NMvUYkVobgep.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="jKWfSFt3NMvUYkVobgep.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="7" origin-size="3840,2560"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;• ความร่วมมือกับดีเอ็นเอฟ กรุ๊ป เซินดิเรียน เบอร์ฮัด (SUKE TV) เพื่อทำธุรกิจทีวีช้อปปิ้ง และอีคอมเมิร์ซ แบบ Cross-Border ระหว่างประเทศไทยและมาเลเซีย โดยแลกเปลี่ยนสินค้าเพื่อการขายร่วมกัน ซึ่งจะช่วยขยายฐานลูกค้าของทั้ง 2 ประเทศ รวมทั้งเรียนรู้แลกเปลี่ยนเทคนิคการขายระหว่างกัน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กล่าวได้ว่าปีนี้เป็นปีที่เครือสหพัฒน์มีการลงทุนครั้งใหญ่ และเปิดกว้างออกไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ มากขึ้น สะท้อนวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่เล็งเห็นว่าการมีพันธมิตรเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งจะทำให้การขยายธุรกิจเร่งสปีดได้เร็วขึ้น &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/70494" alt="Binance นำนวัตกรรม AI มาใช้ประโยชน์ให้อุตสาหกรรม &quot;บล็อกเชน&quot; เป็นไปได้ในอนาคต">Binance นำนวัตกรรม AI มาใช้ประโยชน์ให้อุตสาหกรรม "บล็อกเชน" เป็นไปได้ในอนาคต</a> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

เครือสหพัฒน์ จับมือพันธมิตรลงนามข้อตกลง 8 โครงการ เปิดกว้างสู่ธุรกิจใหม่

&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA ร่วมกับ 15 ภาคีเครือข่ายพันธมิตร ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ “Creative Business Transformation” ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยผ่านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ตอกย้ำจุดยืนสร้างโอกาส ผลักดัน Soft Power ส่งเสริมสุดยอดการสร้างมูลค่าเพิ่มและปรับทิศทางอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ดร.ชาคริต พิชญางกูร ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) กล่าวว่า “ตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมานั้น เศรษฐกิจสร้างสรรค์มีความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในการนำมาใช้เป็นกลไกผลักดันการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจบนพื้นฐานของการสร้างและใช้องค์ความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และทรัพย์สินทางปัญญาที่เชื่อมโยงกับพื้นฐานทางวัฒนธรรม การสั่งสมความรู้ของสังคม เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในการผลิตสินค้าและบริการใหม่ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ โดยในช่วงปี 2563 - 2564 จากประมาณการขององค์การยูเนสโก ในปี 2563 อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ทั่วโลกมีมูลค่าลดลงกว่า 24.8 ล้านล้านบาท ส่วนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทย 15 สาขา มีมูลค่าลดลงร้อยละ 23 อยู่ที่ 1.19 ล้านล้านบาท​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/06/ha7XFzeBSeqesimEHj5X.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="ha7XFzeBSeqesimEHj5X.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="1920,1232" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในฐานะหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ CEA ได้ดําเนินมาตรการพัฒนาศักยภาพของกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจสร้างสรรค์และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ให้สามารถแข่งขันได้ระดับสากล และก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งในแง่ของระบบเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ซึ่งในการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์นั้นมีด้วยกันหลายรูปแบบ การจัดพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ “Creative Business Transformation” โดย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA ร่วมกับภาคีเครือข่ายพันธมิตร 15 หน่วยงานครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ “Creative Business Transformation” ในครั้งนี้ เกิดจากความร่วมมือทั้งหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ โดยมีด้วยกัน 4 มิติหลัก อันได้แก่<ul><li>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. ความร่วมมือด้านเครือข่ายธุรกิจชุมชน องค์ความรู้การจัดการธุรกิจ และการขายและการตลาด ที่จะร่วมกันศึกษาและส่งเสริมความต้องการทางการตลาดในระดับประเทศและต่างประเทศ โดยได้รับความร่วมมือจาก วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU), กรมการพัฒนาชุมชน (พช.) กระทรวงมหาดไทย และ บริษัท ช้อปปี้ (ประเทศไทย) จำกัด</li><li>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. ความร่วมมือด้านองค์ความรู้และเทคโนโลยี ที่จะนำการปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์อนาคตธุรกิจและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ โดยได้รับความร่วมมือจาก สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)</li><li>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. ความร่วมมือด้านการเข้าถึงแหล่งทุน เป็นการร่วมกันกำหนดแนวทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุนต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์โดยได้รับความร่วมมือจาก ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank), สินวัฒนา คราวด์ฟันดิง, ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA)</li><li>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4. ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมคอนเทนต์ เป็นการร่วมกันกำหนด แนวทางการสนับสนุนคอนเทนต์ไทยสู่ตลาดสากล โดยได้รับความร่วมมือจากบริษัท เน็ตฟลิกซ์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ลิขสิทธิ์ดนตรี (ประเทศไทย) จำกัด, สมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจบันเทิงไทย, สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ, สมาพันธ์สมาคมวิชาชีพวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์, สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย</li></ul> <div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/06/16hyH5kF3MG76NTJM4SE.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="16hyH5kF3MG76NTJM4SE.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="1920,1244" style="" data-index="1"></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ในการจับมือร่วมกันครั้งนี้ ทาง CEA รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ โดยผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า การได้หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญมาผลักดันและร่วมกันจัดทำนโยบายเพื่อยกระดับผู้ประกอบธุรกิจ และนักสร้างสรรค์ให้มีศักยภาพจะสามารถเกิดขึ้นได้จริงเป็นรูปธรรม มีความยั่งยืน สามารถสร้างเศรษฐกิจชุมชนให้เข้มแข็ง สร้างอาชีพ สร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากพื้นที่ หรือชุมชน ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนช่วยเหลือด้านความรู้การบริหารจัดการธุรกิจการตลาด การออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางด้านการผลิตและการตลาดออนไลน์ ตลอดจนเชื่อมโยงสินค้าจากชุมชนไปสู่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนสร้าง Soft Power เพื่อใช้ส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีนานาชาติ เพื่อดึงดูดการท่องเที่ยวและส่งเสริมการส่งออก” ดร.ชาคริต กล่าวเสริม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ยังมีการจัดเสวนาภายใต้หัวข้อ “Creative Economy Foresight &amp; Transformation” อนาคตเศรษฐกิจสร้างสรรค์ไทย โดยตัวแทนวิทยากรจากหน่วยงานและเครือข่ายองค์กรพันธมิตร เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มุมมอง ของหน่วยงานต่างๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งจะร่วมกันศึกษานโยบายและความร่วมมือหลากหลายด้าน ทั้งด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อให้ธุรกิจสร้างสรรค์ปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและดิจิทัลอย่างฉับพลัน การขยายองค์ความรู้การจัดการธุรกิจสร้างสรรค์ แนวทางการลงทุนทางธุรกิจอย่างยั่งยืน การเข้าถึงแหล่งเงินทุนการส่งเสริมหรือสร้างแพลตฟอร์มสินค้าและบริการสร้างสรรค์ รวมถึงแนวโน้มของอุตสาหกรรมคอนเทนต์ไทย เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์สามารถกำหนดนโยบายและแนวโน้มของโครงการต่างๆ อันจะนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของไทยได้” ดร.ชาคริต กล่าวเพิ่มเติม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;จากการบูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชน จึงเป็นก้าวสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของประเทศไทยให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและให้สอดคล้องกับยุุทธศาสตร์ชาติ โดยใช้องค์ความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนศักยภาพและพัฒนาประเทศในทุุกมิติ และส่งผลให้เกิดการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยต่อไปในอนาคต ให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก <div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/06/eiiDGteuEDLTDcVLKFCs.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="eiiDGteuEDLTDcVLKFCs.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="1920,1280" style="" data-index="2"></figure></div>&nbsp; &nbsp; &nbsp; อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/preview/70340" alt="&quot;บมจ.วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์&quot; ยื่นไฟลิ่งเสนอขาย IPO จำนวน 230 ล้านหุ้น เสริมแกร่งเดินหน้าจดทะเบียนใน SET">"บมจ.วี บียอนด์ ดีเวลอปเม้นท์" ยื่นไฟลิ่งเสนอขาย IPO จำนวน 230 ล้านหุ้น เสริมแกร่งเดินหน้าจดทะเบียนใน SET</a> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>​

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events