<h2>Satya Nadella ซีอีโอ Microsoft เคยระบุว่าสิ่งที่กำหนดว่าใครคือคนที่ประสบความสำเร็จนั้น สามารถสรุปออกมาได้ด้วยคำเพียง 3 พยางค์ ซึ่งนั่นก็กลายเป็นอีกหนึ่งปรัชญาการทำงานที่พนักงาน Microsoft นำมาใช้ สร้างแรงจูงใจและเพิ่มประสิทธิผลให้การทำงานด้วย</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ช่วงที่ Nadella เข้ารับตำแหน่ง CEO ในปี 2014 ตอนนั้นเรียกได้ว่า Microsoft ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความซบเซา รวมถึงความขัดแย้งภายใน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตามที่เขาเขียนไว้ในหนังสือ Hit Refresh ของเขาในปี 2017 เขาบอกว่าสิ่งที่เขาโฟกัสเป็นอย่างแรกคือการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของบริษัทจากทัศนคติที่ว่า know-it-all หรือการรู้ไปหมดทุกย่าง ซึ่งจะเน้นให้พนักงานโฟกัสไปที่ความเชี่ยวชาญของตนและความถูกต้อง ไปสู่วัฒนธรรม learn-it-all หรือโหยหาการเรียนรู้ไปหมดทุกอย่าง ซึ่งให้ความสำคัญกับความอยากรู้อยากเห็น ความเห็นอกเห็นใจ ความร่วมมือ และการเติบโต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเปลี่ยนแปลงนี้ได้รับอิทธิพลจากงานของ Carol Dweck นักจิตวิทยาผู้เสนอแนวคิดเรื่องทัศนคติการเติบโต และการยอมรับแนวคิดนี้ทำให้พนักงานของ Microsoft มีแรงจูงใจและผลิตภาพเพิ่มมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในการสนทนากับ Adam Grant ศาสตราจารย์จาก Wharton เมื่อไม่กี่ปีก่อน Nadella ได้เล่าว่า “สมมติว่าคุณมีนักเรียนสองคน คนหนึ่งมีความสามารถโดยกำเนิดมากกว่า และอีกคนมีความสามารถน้อยกว่า คนที่มีความสามารถน้อยกว่าแต่สามารถเรียนรู้ทุกอย่างได้ จะเก่งขึ้นในที่สุด ซึ่งแนวคิดนี้ใช้ได้กับซีอีโอและบริษัทต่างๆ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Nadella เน้นย้ำถึงคุณค่าของการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องที่ขับเคลื่อนโดยการเข้าใจความต้องการของลูกค้า รวมถึงการใช้ความเห็นอกเห็นใจเพื่อเรียนรู้และปรับปรุงความเป็นผู้นำและวัฒนธรรมองค์กร&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ มีหลายวิธีในการนำแนวคิดหรือวัฒนธรรม learn-it-all มาปรับใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และนี่คือตัวอย่าง 4 วิธีที่เชื่อว่าทุกคนน่าจะนำไปใช้กันได้ 1.ส่งเสริมการสื่อสารแบบเปิดกว้าง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ทำให้พนักงานรู้สึกปลอดภัยในการแบ่งปันแนวคิด ถามคำถาม และยอมรับเมื่อพวกเขาไม่รู้บางสิ่งบางอย่าง ความเปิดกว้างจะนำไปสู่วิธีแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์มากขึ้น รวมถึงมีพลวัตของทีมที่ดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ Nadella ยังสนับสนุนให้พนักงานมองความผิดพลาดทุกครั้งเป็นโอกาสในการเรียนรู้ ซึ่งจะช่วยให้พนักงานล้มแล้วกล้าลุกขึ้นใหม่ 2.เปิดรับและให้รางวัลแก่ความอยากรู้อยากเห็น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ความอยากรู้อยากเห็นเป็นลักษณะพื้นฐานของมนุษย์ที่ผลักดันให้เกิดการสำรวจ นวัตกรรม การเรียนรู้ และความปรารถนาที่จะเข้าใจโลกที่อยู่รอบตัวเรา ในสถานที่ทำงานที่ปลอดภัยทางจิตใจ คนที่อยากรู้อยากเห็นมีบทบาทสำคัญในการจุดประกายความคิดใหม่ๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยการถามคำถามและค้นหาคำตอบ ผู้คนที่อยากรู้อยากเห็นจะถูกกระตุ้นให้รู้สึกท้าทายความรู้ที่มีอยู่ และมองหาแนวทางแก้ไขที่ดีกว่า ซึ่งมักจะนำไปสู่การค้นพบมุมมอง ข้อมูลเชิงลึก และโอกาสใหม่ๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สิ่งสำคัญคือ ให้การยอมรับและให้รางวัลแก่พนักงานที่แสดงความอยากรู้อยากเห็นและความเต็มใจที่จะสำรวจความคิดใหม่ๆ ซึ่งไม่เพียงแต่จะจูงใจบุคคลเท่านั้น แต่นี่ยังเป็นการส่งสัญญาณไปยังผู้อื่นด้วยว่าทัศนคติแบบเรียนรู้ทุกอย่างนั้นมีค่า 3.ปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สิ่งหนึ่งที่ต้องทำคือต้องเต็มใจที่จะปรับเปลี่ยนตามข้อมูลและข้อมูลเชิงลึกใหม่ๆ เพราะแนวทางการเรียนรู้ทุกอย่างต้องมีความยืดหยุ่นและคุณเองต้องเต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงแนวทางได้เสมอเมื่อจำเป็น ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในภูมิทัศน์ทางเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน 4.ผู้นำต้องเป็นแบบอย่างของพฤติกรรมนี้ด้วย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในฐานะผู้นำ จงนำแนวคิดการเรียนรู้ทุกอย่างมาใช้ โดยแสวงหาความรู้ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เปิดรับคำติชม และสาธิตวิธีการจัดการกับความล้มเหลวอย่างสร้างสรรค์ พฤติกรรมของคุณจะเป็นตัวกำหนดทิศทางสำหรับส่วนอื่นๆ ขององค์กร &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;แนวทาง learn-it-all ของ Satya Nadella มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและธุรกิจของ Microsoft สำหรับผู้นำที่ต้องการส่งเสริมวัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกันภายในทีมของตน การนำแนวคิดนี้มาใช้ จะเป็นแนวทางที่เป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพในการสร้างสถานที่ทำงานที่พร้อมเติบโตและปรับตัวได้ แปลและเรียบเรียงจาก <a target="_blank" href="https://www.inc.com/marcel-schwantes/satya-nadella-says-3-words-define-successful-people.html" alt="Microsoft CEO Satya Nadella Says What Defines Successful People Comes Down to 3 Words">Microsoft CEO Satya Nadella Says What Defines Successful People Comes Down to 3 Words</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/world/global-world/3-things-to-successful-warren-buffett" alt="พาตัวเองไปอยู่กับคนเก่ง ไม่หยุดเรียนรู้ และเป็นที่รัก 3 คำแนะนำสู่ความสำเร็จจาก Warren Buffett">พาตัวเองไปอยู่กับคนเก่ง ไม่หยุดเรียนรู้ และเป็นที่รัก 3 คำแนะนำสู่ความสำเร็จจาก Warren Buffett</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

“จงเรียนรู้ในทุกๆ อย่าง” แนวคิดสู่ความสำเร็จจาก Satya Nadella

<h2>วันที่ 2 พ.ค. 2567 Microsoft ประกาศเตรียมลงทุน 2.2 พันล้านเหรียญในอีก 4 ปีข้างหน้าในมาเลเซีย เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของประเทศ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การประกาศของ Microsoft มีขึ้นระหว่างที่ Satya Nadella ซีอีโอของบริษัท เดินทางเยือนกรุงกัวลาลัมเปอร์ในวันนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทัวร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อส่งเสริมเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของบริษัท หลังเมื่อวานได้เยือนประเทศไทย และวันก่อนหน้าได้เดินทางเยือนประเทศอินโดนีเซีย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Microsoft กล่าวว่าการลงทุนดังกล่าวจะรวมถึงการสร้างโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์และ AI การสร้างโอกาสทักษะด้าน AI ให้กับผู้คน 200,000 คน และสนับสนุนการเติบโตของชุมชนนักพัฒนาของมาเลเซีย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Microsoft กล่าวว่านี่จะเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ 32 ปีในมาเลเซีย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัทกล่าวว่าจะทำงานร่วมกับรัฐบาลมาเลเซียเพื่อจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้าน AI แห่งชาติ และเพิ่มขีดความสามารถด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ของประเทศ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ การลงทุนดังกล่าวถือเป็นการลงทุนที่มากที่สุดในการทัวร์อาเซียนครั้งนี้ของ Microsoft โดยบริษัทประกาศลงทุน 1.7 พันล้านเหรียญในอินโดนีเซีย และประกาศว่าจะสร้างดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทย Microsoft ไม่ได้มีการเปิดเผยมูลค่าการลงทุน รวมถึงรายละเอียดของดาต้าเซ็นเตอร์ดังกล่าว แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a target="_blank" href="https://www.yahoo.com/tech/microsoft-invest-2-2-billion-034850183.html?guccounter=1&amp;guce_referrer=aHR0cHM6Ly93d3cuZ29vZ2xlLmNvbS8&amp;guce_referrer_sig=AQAAACcbHDCF80KBJi6dsmqdhbA4vIXdqzsnXLoGZon0S5s6lhJh7ztN4vwnyn8TH26aGHoUYujOwagv-Gvwa06vioXN3SsbFrIftouC9iBSK2qFB1tXfeLuZKTz3F3hH4DK8eCD3-m3pEs__o6NNs2IRvEdNDIpMN8cHLZD-6WRLrQi" alt="Microsoft to invest $2.2 billion in cloud and AI services in Malaysia">Microsoft to invest $2.2 billion in cloud and AI services in Malaysia</a> เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/news/it/ceo-satya-nadella-announced-a-new-data-center-region-in-thailand" alt="Satya Nadella ประกาศบิ๊กดีล! Microsoft เตรียมลงทุนสร้าง ‘ดาต้าเซ็นเตอร์’ แห่งแรกในไทย">Satya Nadella ประกาศบิ๊กดีล! Microsoft เตรียมลงทุนสร้าง ‘ดาต้าเซ็นเตอร์’ แห่งแรกในไทย</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Satya Nadella ประกาศอีก Microsoft เตรียมลงทุน 2.2 พันล้านเหรียญ ด้านบริการคลาวด์และ AI ในมาเลเซีย

Satya Nadella ประกาศบิ๊กดีล! Microsoft เตรียมลงทุนสร้าง ‘ดาต้าเซ็นเตอร์’ แห่งแรกในไทย

<h2>หลัง Satya Nadella ซีอีโอแห่ง Microsoft เยือนประเทศอินโดนีเซียและพบปะกับประธานาธิบดี Joko Widodo บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกก็ประกาศทุ่มเงินลงทุน 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ สนับสนุนการเติบโตด้านเทคโนโลยีในประเทศแห่งนี้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Microsoft ประกาศอัดฉีดเงิน 1.7 พันล้านเหรียญ เข้าอินโดนีเซียตลอดสี่ปีข้างหน้าเพื่อวางโครงสร้างคลาวด์และปัญญาประดิษฐ์ หลังซีอีโอบริษัทเทคโนโลยีทรงอิทธิพล Satya Nadella ได้พบปะพูดคุยกับประธานาธิบดี Joko Widodo ในวันอังคารที่ 30 เมษายน 2024&nbsp; &nbsp;&nbsp;Microsoft กล่าวว่าเงินทุนจะถูกนำไปใช้ฝึกฝนทักษะ AI และสนับสนุนชุมชนนักพัฒนาด้านเทคโนโลยีของอินโดนีเซีย 840,000 คน&nbsp; &nbsp;&nbsp;“AI รุ่นใหม่นี้กำลังก่อสร้างสร้างวิถีชีวิตและการทำงานของผู้คนในทุกแห่ง รวมถึงอินโดนีเซียด้วย” Nadella ประธานและซีอีโอแห่ง Microsoft กล่าวในแถลงการณ์ “การประกาศการลงทุนของเราเพื่อพัฒนาโครงสร้าง ทักษะ และสนับสนุนนักพัฒนา จะช่วยอินโดนีเซียให้เติบโตในยุคสมัยนี้”&nbsp; &nbsp;&nbsp;บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ยังบอกด้วยว่าจะร่วมมือกับรัฐบาล องค์กร และชุมชนต่างๆ เพื่อเปิดโอกาสในการเสริมสร้างทักษะด้าน AI แก่ผู้คน 2.5 ล้านคนในประเทศซึ่งเป็นสมาชิก ASEAN ก่อนปี 2025​ <div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/zAcQwvhb8UqipMjh9ipa.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="zAcQwvhb8UqipMjh9ipa.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""><figcaption><div>Satya Nadella และ Joko Widodo</div></figcaption></figure></div> &nbsp; &nbsp;&nbsp;สำหรับการพบกันระหว่าง Nadella กับ Widodo ณ กรุงจาการ์ตา ทั้งสองได้มีการอภิปรายหัวข้อต่างๆ ว่าด้วยการผลักดันให้เกิดความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ที่จะช่วยให้อินโดนีเซียเติบโต อ้างอิงจากสำนักข่าว Antara&nbsp; &nbsp;&nbsp;อินโดนีเซียหมายมั่นเป็นประเทศพัฒนาแล้วตามที่วางไว้ในแผนการ Goldern Indonesia 2045 Vision ซึ่งตั้งเป้าเปลี่ยนประเทศเป็นขุมกำลังด้านเศรษฐกิจของโลกให้ได้ก่อนปี 2045&nbsp; &nbsp;&nbsp;การลงทุนของ Microsoft จะเอื้อผลประโยชน์แก่ความต้องการบริการระบบคลาวด์ (Cloud Computing) ในอินโดนีเซีย อีกทั้งยังช่วยให้ประเทศแห่งนี้สามารถคว้าโอกาสทางเศรษฐกิจและการผลิตอันเป็นผลสืบเนื่องจาก AI&nbsp; &nbsp;&nbsp;Muhadjir Effendy รัฐมนตรีประสานงานกระทรวงพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และวัฒนธรรมของอินโดนีเซียเคยกล่าวในเดือนมกราคมที่ผ่านมาว่า อินโดนีเซียกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่มากมายในการยกระดับแรงงานเพื่อแข่งขันในยุคแห่งเทคโนโลยีและโลกาภิวัตน์&nbsp; &nbsp;&nbsp;ประชากรที่กำลังเติบโต อายุน้อย และคุ้นเคยกับเทคโนโลยีของอินโดนีเซีย เป็นชาว Gen Z ที่เกิดระหว่างปี 1997-2012 ถึงเกือบ 28% ของประชากรทั้งหมด หรือระบุเป็นตัวเลขราว 75.49 ล้านคน ในขณะที่กลุ่มมิลเลนเนียลซึ่งเกิดระหว่างปี 1981-1996 มีจำนวน 69.9 ล้านคน หรือคิดเป็น 25.9%&nbsp; &nbsp;&nbsp;ก่อนหน้านี้ Microsoft ได้เปิดศูนย์ข้อมูลแห่งแรกในอินโดนีเซียเมื่อปี 2021 เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการให้มีการเก็บรักษาข้อมูลไว้ในประเทศ แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="https://www.cnbc.com/2024/04/30/microsoft-to-invest-1point7-billion-into-ai-infrastructure-in-indonesia.html" alt="Microsoft to invest $1.7 billion into AI infrastructure in Indonesia, CEO Satya Nadella says">Microsoft to invest $1.7 billion into AI infrastructure in Indonesia, CEO Satya Nadella says</a>​ที่มาภาพ: AFP เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a href="https://www.forbesthailand.com/news/hr/global/gen-x-faces-ageism-in-workplace" alt="“ถ้าไม่เรียนรู้ ก็อยู่ไม่ได้” วิกฤต Gen X เมื่ออายุมากก็หางานยากตามไปด้วย">“ถ้าไม่เรียนรู้ ก็อยู่ไม่ได้” วิกฤต Gen X เมื่ออายุมากก็หางานยากตามไปด้วย</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Microsoft ประกาศทุ่มทุน 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ วางโครงสร้างคลาวด์และ AI ในอินโดนีเซีย

ลีลาใหม่ Microsoft ภายใต้การนำของ Satya Nadella

<h2 class="p3">Thomas Edison มีอะไรที่ Nikola Tesla ไม่มี คำตอบก็คือ ในขณะที่ Tesla ตายจากไปอย่างยากจน Edison มีสิ่งที่ศาสตราจารย์ Jeff Dyer แห่ง Bringham Young University และศาสตราจารย์ Nathan Furr แห่งสถาบันบริหารธุรกิจ INSEAD เรียกว่าทุนนวัตกรรม</h2>
โดย Dyer และ Furr ได้ร่วมกันจัดอันดับผู้นำในโลกธุรกิจปัจจุบันโดยอิงจากทุนนวัตกรรม ซึ่งวัดจากตัววัดที่ใช้ 4 ด้าน ได้แก่ ชื่อเสียงในแง่ของนวัตกรรม (ดูจากการปรากฏชื่อในพื้นที่สื่อในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา) ความสัมพันธ์ทางสังคม และเครือข่ายทางสังคม (ดูจาก Twitter และ Linkedin) ผลงานการสร้างมูลค่าธุรกิจ (ดูจากการเติบโตของมูลค่าตลาดของบริษัทพวกเขา) และความคาดหวังของนักลงทุนต่อการสร้างมูลค่าในอนาคต (วัดจาก premium ที่นักลงทุนให้กับหุ้นของบริษัท) 
และรายชื่อต่อไปนี้คือ 10 ผู้นำด้านนวัตกรรมของโลก ซึ่ง Forbes จะเผยแพร่รายชื่อ 100 อันดับสุดยอดผู้นำาด้านนวัตกรรมของโลกในปี 2019
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 1
Jeffrey Bezos
AMAZON.COM</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-3214" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/01-Jeff-Bezos.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าตลาดที่สร้างขึ้นมาในรอบ 3 ปี 4.5 แสนล้านเหรียญ
ราคาหุ้นในตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นมาในรอบ 3 ปี 366%
Premium ที่นักลงทุนให้ในแง่ของนวัตกรรม 72.8%
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 2
Elon Musk
TESLA MOTORS</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-3215" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/02-Elon-Musk.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าตลาดที่สร้างขึ้นมาในรอบ 3 ปี 4.8 หมื่นล้านเหรียญ
ราคาหุ้นในตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นมาในรอบ 3 ปี 819%
Premiumที่นักลงทุนให้ในแง่ของนวัตกรรม 79.7%
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 3
Mark Zuckerberg
FACEBOOK</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-3217" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/03-Mark-Zuckerberg.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าตลาดที่สร้างขึ้นมาในรอบ 3 ปี 3.76 แสนล้านเหรียญ
ราคาหุ้นในตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นมาในรอบ 3 ปี 563%
Premium ที่นักลงทุนให้ในแง่ของนวัตกรรม 70%

<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="http://forbesthailand.com/news/it/mark-zuckerberg-%E0%B8%A2%E0%B8%B7%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B9%80.html">Mark Zuckerberg ไม่คิดลาออกจาก Facebook แม้เผชิญปัญหาหนักตลอดปีนี้</a></li>
</ul>
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 4
Timothy Cook
APPLE</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-3218" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/04-Tim-Cook.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าตลาดที่สร้างขึ้นมาในรอบ 3 ปี 3.69 แสนล้านเหรียญ
ราคาหุ้นในตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นมาในรอบ 3 ปี 123%
Premium ที่นักลงทุนให้ในแง่ของนวัตกรรม 12%
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 5
Satya Nadella
MICROSOFT</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-3219" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/05-Satya-Nadella.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าตลาดที่สร้างขึ้นมาในรอบ 3 ปี 2.78 แสนล้านเหรียญ
ราคาหุ้นในตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นมาในรอบ 3 ปี 84%
Premium ที่นักลงทุนให้ในแง่ของนวัตกรรม 26%

<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="http://www.forbesthailand.com/news-detail.php?did=2477">ไมโครซอฟท์ทุ่มงบมหาศาลดัน 'AI' พลิกโฉมธุรกิจ</a></li>
</ul>
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 6
Mark Benioff
SALESFORCE.COM</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-3220" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/06-Marc-Benioff.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าตลาดที่สร้างขึ้นมาในรอบ 3 ปี 5 หมื่นล้านเหรียญ
ราคาหุ้นในตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นมาในรอบ 3 ปี 143%
Premium ที่นักลงทุนให้ในแง่ของนวัตกรรม 82.4%

<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม <a href="http://www.forbesthailand.com/technology-detail.php?did=1347">Benioff ผู้ไม่เคยหยุดนิ่ง</a></li>
</ul>
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 7
Shantanu Narayen
ADOBE SYSTEMS</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-3221" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/07-Shantanu-Narayen.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าตลาดที่สร้างขึ้นมาในรอบ 3 ปี 6.8 หมื่นล้านเหรียญ
ราคาหุ้นในตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นมาในรอบ 3 ปี 365%
Premium ที่นักลงทุนให้ในแง่ของนวัตกรรม 62.8%
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 8
Reed Hastings
NETFLIX</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-3222" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/08-Reed-Hastings.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าตลาดที่สร้างขึ้นมาในรอบ 3 ปี 7.8 หมื่นล้านเหรียญ
ราคาหุ้นในตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นมาในรอบ 3 ปี 1351%
Premium ที่นักลงทุนให้ในแง่ของนวัตกรรม 71.5%
&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 9
Jeff Seiner
LINKEDIN</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-3223" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/09-Jeff-Weiner.jpg" alt="" width="400" height="400" />
มูลค่าตลาดที่สร้างขึ้นมาในรอบ 3 ปี 1.6 หมื่นล้านเหรียญ
ราคาหุ้นในตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นมาในรอบ 3 ปี 96%
Premium ที่นักลงทุนให้ในแง่ของนวัตกรรม 60%
*ในการจัดอันดับครั้งนี้นับรวมซีอีโอของบริษัทที่ถูกซื้อกิจการไปในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึง LINKEDIN ที่ถูก MICROSOFT ซื้อไปด้วย

&nbsp;
<h3 class="p3">อันดับ 10
Larry Page/Sergey Brin
ALPHABET</h3>
<img class="alignnone size-full wp-image-3224" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/10-Alphabet-Duo.jpg" alt="" width="798" height="400" />
มูลค่าตลาดที่สร้างขึ้นมาในรอบ 3 ปี 4.91 แสนล้านเหรียญ
ราคาหุ้นในตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นมาในรอบ 3 ปี 197%
Premium ที่นักลงทุนให้ในแง่ของนวัตกรรม 37.5%
&nbsp;
<ul>
 	<li>อ่านประกอบ: <a href="http://forbesthailand.com/commentaries-detail.php?did=2701">สงคราม IT ที่แผ่ก้าวไกลไปกว่าสามก๊ก</a></li>
</ul>

<hr />

<a href="http://bit.ly/2zv4aIX">คลิกอ่านบทความทางธุรกิจที่น่าสนใจอื่นๆ ได้จากนิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2561</a>

<img class="alignnone size-full wp-image-2348" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2018/12/ปก-NOV-2018.jpg" alt="" width="250" height="328" />

10 อันดับสุดยอดผู้นำด้าน "นวัตกรรม" ของโลก ปี 2018

<h2>ภายใต้การบริหารของผู้นำคนใหม่ (ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2014) Microsoft รุดหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ตั้งแต่ราคาหุ้นของบริษัทที่สร้างผลตอบแทนชนะบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่รายอื่นๆ ไปจนถึงตลาดโดยรวม รวมถึงการที่บริการคลาวด์ของ Microsoft สามารถไล่ทัน Amazon แม้จะปล่อยออกมาสู่ตลาดช้ากว่า ก็นับเป็นอีกเรื่องที่ไม่ธรรมดาเนื่องจากใคร่รู้ยิ่งนักว่า Satya Nadella ประธานบริหารของ Microsoft ปรับทิศทางบริษัทจากการพึ่งพาธุรกิจหลักอย่าง Windows และ Officeและหันไปมุ่งเจาะตลาดอุปกรณ์เคลื่อนที่และระบบคลาวด์ได้อย่างไร</h2>
ผมและทีมงาน Forbes จึงใช้เวลากว่าชั่วโมงนั่งจับเข่าคุยกับ Nadella เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา การสนทนาครั้งนี้เป็นการพูดคุยกันหลังไมค์แต่ Nadella ได้ทิ้งประเด็นอันน่าสนใจเอาไว้ เขาเล่าว่าเขาเป็นหนึ่งในสาวกทฤษฎีกรอบความคิดของ Carol Dweck ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย Stanford เมื่อปี 2006 Dweck ได้เขียนหนังสือชื่อ Mindset:The New Psychology of Success เธอได้อธิบายถึงแนวคิดที่เข้าใจง่ายแต่หนักแน่นด้วยสาระสำคัญ นั่นคือบุคคลประเภทที่มีกรอบความคิดตายตัว จะหยุดพัฒนาตนเองถึงแม้จะเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ ส่วนคนกลุ่มที่มีมุมมองความคิดแบบเปิด จะก้าวหน้าพัฒนาอยู่เสมอ

การยึดมั่นในธุรกิจ Windows และ Office มาเป็นเวลายาวนานบวกกับความเอนเอียงเพราะเชื่อมั่นว่าพนักงานของบริษัทมีความสามารถสูงที่สุดเหนือคู่แข่งทำให้ Microsoft มีกรอบความคิดที่ยึดติดในการดำเนินธุรกิจของตนในหนังสือ Dweck หยิบยกเรื่องราวของ John McEnroe อดีตนักเทนนิสมืออาชีพขึ้นมาเป็นกรณีตัวอย่างสำหรับบุคคลที่มีทักษะความสามารถแต่มีกรอบความคิดตายตัว McEnroe มีพรสวรรค์โดดเด่นแต่เกลียดการฝึกซ้อม นอกจากนี้เขายังเกลียดโปรแกรมฝึกพัฒนากล้ามเนื้อเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและความยืดหยุ่น อย่างที่ Roger Federer ทำเป็นประจำซึ่งโปรแกรมฝึกนี้อาจช่วยยืดเวลาการเล่นเทนนิสอาชีพของเขาให้นานขึ้น

สำหรับ McEnroe ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่พรสวรรค์ของเขาเท่านั้น สิ่งที่ทำให้เขาโดดเด่นคือทักษะฝีมือที่ติดตัวมาแต่กำเนิดส่วนขั้นตอนความคิดที่เปิดกว้างต่อการพัฒนา Dweck เขียนอธิบายว่าคือ การสงสัยใคร่รู้ ลงมือทดสอบ ทุ่มเทฝึกฝนและเรียนรู้ ทำตามซ้ำๆ ทำแล้วทำอีก เพราะถ้าหยุดเมื่อไหร่หมายความว่าจะหยุดพัฒนาและเติบโต ตอนนี้เมื่อคุณรู้แล้วว่า Nadella จาก Microsoft เป็นแฟนตัวยงของ Mindset อาจทำให้คุณอยากหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านอีกครั้ง

หนังสืออีก 2 เล่มที่เพิ่งวางแผงและควรค่าที่จะหยิบยกคือ Ego Is the Enemy โดย Ryan Holidayและ Shoe Dog: A Memoir by the Creator of Nike โดย Phil Knight

Ego Is the Enemy หนังสือคุณภาพคับอัดแน่นไปด้วยเคล็ดลับในการพัฒนาตนเอง ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพ การวิเคราะห์ตนเองและเสริมทักษะความสามารถ เรื่องราวของผู้เขียน Holiday วัย 29 ปีได้ลาออกจากมหาวิทยาลัยกลางคันแต่สามารถไต่เต้ากลายเป็นตัวแทนผู้ดูแลศิลปินเพลงร็อคแห่งวงการฮอลิวูด และรับตำแหน่งกรรมการบริหารฝ่ายการตลาดของ American Apparel ด้วยวัยเพียง 20 กว่าปี Holiday ศรัทธาในแนวคิดปรัชญาแบบ Stoicism ของชาว Spartan ซึ่งกลายมาเป็นหัวใจสำคัญของหนังสือ ทั้งนี้ Holiday ได้แนะนำแนวทางสู่ความสำเร็จและการพัฒนาประสิทธิภาพของตนเองเช่นเดียวกับ Dweck โดยมีหลักการว่ากำหนดชีวิตของคุณด้วยการลงมือทำไม่ใช่จากสิ่งที่ติดตัวมา อย่าปล่อยให้อัตตาสูงเกินไปจนมองความสามารถตนเองสูงเกินจริงหรือไม่รับฟังคำติเพื่อก่อ

Shoe Dog ซึ่งเขียนโดย Knight เป็นบันทึกไดอารี่ที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยอ่านมา เนื่องจากเป็นบันทึกเรื่องราวจากประสบการณ์จริงของผู้แต่งจึงสามารถถ่ายทอดอารมณ์และความเป็นจริงได้อย่างลึกซึ้งขนาดที่หนังสืออัตชีวประวัติเล่มที่ดีที่สุดก็เทียบไม่ได้Knight เป็นนักวิ่งตัวยงสมัยเรียนอยู่ที่ University of Oregon ขณะที่เขาศึกษาระดับปริญญาโทที่ Graduate School of Business ณ Stanford เขาเขียนรายงานเกี่ยวกับโอกาสที่บริษัทญี่ปุ่นจะรุกเข้าเจาะตลาดธุรกิจกีฬาในสหรัฐฯ หลังจากเข้ารับใช้ชาติในกองทัพอเมริกา Knight เดินทางไปยังประเทศญี่ปุ่นและกลายเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าแบรนด์ Onitsuka Tiger ในสหรัฐฯ (หรือที่รู้จักกันในนามแบรนด์ Asics ในปัจจุบัน)

นั่นคือเรื่องราวในปี 1962 และเวลาล่วงเลยจนถึงปี 1971 ก่อนที่ Knight จะก่อตั้งธุรกิจรองเท้ากีฬาของตนเองภายใต้แบรนด์ Nike อย่างไรก็ตาม แม้ว่าธุรกิจจะเติบโตในอัตราสองเท่าทุกปีแต่ Nike กลับมีกระแสเงินสดติดลบอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งนำบริษัทเข้าตลาดโดยออก IPO เมื่อเดือนธันวาคม 1980 (และเป็นเรื่องบังเอิญที่ Apple ออก IPO ในเดือนเดียวกัน) ในหนังสือ Shoe Dog Knight พาผู้อ่านผ่านท่องสู่เรื่องราวอันโลดโผนก่อน Nike จะก้าวสู่ความสำเร็จจากที่เคยพลาดพลั้งและเกือบล่มสลาย

ทั้งหมดนี้คือหนังสือ 3 เล่มที่ผมอยากแนะนำให้คุณอ่านในช่วงวันหยุดพักผ่อนนี้

<figure><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/432321de160377a3103b9e50b008a56e.png" alt="" width="200" height="233" /><figcaption> RICH KARLGAARDผู้พิมพ์ผู้โฆษณาของ Forbes กับผลงานหนังสือเล่มล่าสุด TEAM GENIUS : THE NEW SCIENCE OF HIGH-PERFORMING ORGANIZATIONS</figcaption></figure>

&nbsp;

<hr />

<a href="http://goo.gl/n8dXzO">คลิ๊กอ่านเพิ่มเติมบทความทรงคุณค่า ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ October 2016 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="http://goo.gl/n8dXzO"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/51ea2f8575516d2f75c7d699c840a968.png" alt="" width="282" height="368" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events