<h2>The 1 Insight เผย ข้อมูลการใช้จ่ายของสมาชิกในช่วงโครงการช้อปลดหย่อนภาษี Easy E-Receipt หนุน 5 สินค้าขายดีที่ผู้บริโภคนิยมซื้อจนยอดพุ่ง โดยกลุ่มคน Gen Z ตื่นตัวในเรื่องสิทธิ์การซื้อเพื่อลดหย่อนภาษีมากที่สุดส่งผลให้มีการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นจากปีก่อนถึง 18 % </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;The 1 Insight เผยพฤติกรรมผู้บริโภคในช่วงต้นปี 2567&nbsp;ระหว่างวันที่ 1-29 ม.ค. 2567 โดยวิเคราะห์จากฐานข้อมูลสมาชิกบัตรเครดิต เซ็นทรัล The 1 ระหว่างที่รัฐบาลได้จัดทำโครงการช้อปลดหย่อนภาษี Easy E-Receipt ซึ่งจะเห็นได้ว่า&nbsp;ในช่วง 10 วันสุดท้ายของการช้อปลดหย่อนภาษีดังกล่าว มี 5 อันดับสินค้ายอดนิยมที่ขายดีทั่วประเทศ ได้แก่&nbsp;1. เครื่องฟอกอากาศ ยอดขายเพิ่มขึ้น +98%&nbsp;2. เครื่องปรับอากาศ ยอดขายเพิ่มขึ้น&nbsp;+68%&nbsp;3. ไดร์เป่าผมและเครื่องหนีบผม&nbsp;ยอดขายเพิ่มขึ้น +56%&nbsp;4. โทรศัพท์มือถือ&nbsp;ยอดขายเพิ่มขึ้น +27%&nbsp;5. รองเท้ากีฬา&nbsp;ยอดขายเพิ่มขึ้น +20%&nbsp; <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/02/i2kphGXjukmrjZdNrrEw.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="i2kphGXjukmrjZdNrrEw.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์อันดับสินค้า Top 5 ดังกล่าว จะเห็นได้ว่ามี 2 ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าช่วงมกราคม 2567 ได้แก่ 1. ความจำเป็น หรือเป็นสินค้าที่ควรจะซื้อในช่วงเดือนนี้ อาทิเช่น เครื่องฟอกอากาศและเครื่องปรับอากาศ มีความสำคัญต่อหลายๆ ครอบครัวมากขึ้น เพราะวิกฤตจากมลพิษฝุ่น PM 2.5 เวียนกลับมาอีกครั้ง และ 2. ช่วงราคา โดยกลุ่มสินค้าที่มีราคาสูงกว่ากลุ่มสินค้าประเภทอื่นๆ อาจให้ความสะดวกในการซื้อเพื่อลดหย่อนภาษีมากกว่า เรียกได้ว่าใช้จ่ายเพียงไม่กี่รายการก็อาจใกล้ถึงยอดลดหย่อนภาษีสูงสุดได้ สอดคล้องกับการที่ "อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์" ขึ้นแท่นเป็นหมวดสินค้าที่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงนี้ จนติดอันดับ Top 5 ถึง 4 ใน 5 อันดับเลยทีเดียว&nbsp; &nbsp; ขณะที่มุมมองของการใช้จ่ายที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงวัย The 1 Insight เผยกลุ่มสินค้าอันดับหนึ่งที่ผู้บริโภค Gen X, Gen Y และ Gen Z เลือกซื้อแตกต่างกันไปตามไลฟ์สไตล์ ดังนี้Gen X (อายุระหว่าง 45 - 59 ปี เกิด พ.ศ. 2508 - 2522) ผู้บริหารรุ่นใหญ่ เน้น Work-Life Balance แต่ความรับผิดชอบเต็มร้อย! มียอดซื้อเติบโตสูงที่สุดในกลุ่ม "สินค้ากีฬาออกกำลังกาย" และแบรนด์ยอดนิยมได้แก่ Skechers, Nike และ AdidasGen Y (อายุระหว่าง 28 - 44 ปี เกิด พ.ศ. 2523 - 2539) Middle Management ไฟแรง เป้าหมายมีไว้พุ่งชน! เป็นกลุ่มช่วงวัยที่ยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องของ "ภาพลักษณ์" จึงทำให้มียอดซื้อเติบโตสูงสุดในกลุ่ม "เครื่องสำอางและน้ำหอม" โดยแบรนด์ยอดนิยมได้แก่ Dior, Chanel และ NarsGen Z (อายุระหว่าง 21 - 27 ปี เกิด พ.ศ. 2540 - 2552) กลุ่มวัยเพิ่งเริ่มทำงานแต่ต้องเสียภาษี จึงมีความตื่นตัวเรื่องลดหย่อนภาษีมากเป็นอันดับ 1 อีกทั้งยังมียอดซื้อเติบโตสูงสุดในกลุ่ม "อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์" โดยแบรนด์ยอดนิยมได้แก่ Apple, Dyson และ Samsung&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ข้อมูลจาก The 1 Insight ยังชี้ให้เห็นว่า ช่วงวัยที่ให้ความสำคัญกับการลดหย่อนภาษีมากที่สุดคือ Gen Z เพราะมียอดการใช้จ่ายเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 18% เมื่อเทียบกับปีก่อน เรียกได้ว่าสูงกว่า Gen X และ Gen Y ที่มียอดการใช้จ่ายอยู่ที่ 2% และ 6% ตามลำดับ&nbsp;สำหรับโครงการ Easy E-Receipt หรือการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 2567 (ยื่นแบบต้นปี 2568) ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสามารถใช้สิทธิ์ซื้อลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท ตั้งแต่ 1 ม.ค. - 15 ก.พ. 67 โดยรวมถึงสินค้าและบริการในร้านค้าที่จดทะเบียน VAT มีใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ E-Tax ไปจนถึงสินค้าในหมวดหนังสือเล่ม, E-Book และ สินค้า OTOP ต่างๆ ​​​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/hr/the-office-does-not-meet-the-needs-of-use" alt="ผลการศึกษาซิสโก้ชี้ พนักงานส่วนใหญ่เชื่อว่าออฟฟิศไม่ตอบโจทย์การใช้งานอีกต่อไป">ผลการศึกษาซิสโก้ชี้ พนักงานส่วนใหญ่เชื่อว่าออฟฟิศไม่ตอบโจทย์การใช้งานอีกต่อไป</a>​ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ช้อปลดหย่อนภาษี Easy E-Receipt หนุน Top 5 สินค้ายอดซื้อพุ่ง Gen Z ตื่นตัวสุดช้อปมากกว่าปีก่อน 18%

<h2>The 1 Insight เปิดอินไซต์ล่าสุด “4 พฤติกรรมช้อปส่งท้ายปี” พร้อมข้อมูลสำรวจล่าสุดโดย CRC VoiceShare ซึ่งเผยว่าผู้บริโภคไทยส่วนใหญ่ตั้งงบซื้อของขวัญปีใหม่ไว้ระหว่าง 500-1,500 บาท ภาพรวมยอดใช้จ่ายปลายปีสูงกว่าปกติถึง 30% โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z ที่เติบโตสูงสุด 45%</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เดือนธันวาคมถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองที่ผู้บริโภคมีความพร้อมที่จะใช้จ่ายมากกว่าช่วงเดือนอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ ในปี 2565 ยอดขายของเดือนธันวาคมนั้นสูงกว่ายอดขายโดยเฉลี่ยของเดือนอื่นๆ กว่า 30%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;The 1 Insight ได้สรุปเจาะลึก 4 กลุ่มพฤติกรรมการช้อปส่งท้ายปี ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นซ้ำในทุกปี ดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. ผู้บริโภค “เตรียมเที่ยวปลายปี” ส่งผลให้ยอดขายสินค้าที่ใช้ระหว่างการท่องเที่ยวเติบโตขึ้น โดดเด่นในกลุ่มเสื้อผ้าฤดูหนาว อาทิ กระเป๋าเดินทาง +85%, รองเท้าบู๊ต +150%, โค้ตและแจ๊กเก็ต +95% ส่วนผ้าพันคอโตถึง +270%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. นิยม “จัดบ้านรับปีใหม่” เป็นธรรมเนียมของคนทั่วโลกซึ่งส่งผลให้ของแต่งบ้านทุกประเภทยอดขายเติบโตครอบคลุมหลากกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น เครื่องครัวและเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว +60%, เฟอร์นิเจอร์ห้องนอนและห้องน้ำ +40% และโฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ +20%&nbsp; &nbsp;&nbsp;3. เตรียม “ฉลองปาร์ตี้สิ้นปี” ดันยอดขายสินค้าที่เกี่ยวข้องเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยของตกแต่งปีใหม่และคริสต์มาสโต +1,000% ส่วนหมวดอาหาร ขนมหวาน ช็อกโกแล็ต คุกกี้ ลูกกวาด +120% ด้านเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ วิสกี้ บรั่นดี ไวน์ เบียร์ +120%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;4. พร้อมส่งความสุข “ช้อปไอเท็มของขวัญ” ทั้งแก่ตนเองและคนใกล้ชิด โดยครอบคลุมกลุ่มสินค้าหลากไลฟ์สไตล์และความชื่นชอบของแต่ละบุคคล อาทิ ของเล่น +120%, หูฟัง +70%, น้ำหอม +70%, สกินแคร์ +50%, กระเป๋า +80% และเครื่องประดับแฟชั่น +85% <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 900px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/11/mG5uv5XbL3VTmqA7wwFi.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="mG5uv5XbL3VTmqA7wwFi.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="900px,507px" data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" origin-size="4001,2250" style="width: 900px; height: 507px;" data-index="0"></figure></div> โอกาสเอาใจผู้บริโภคเพิ่มยอดขาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผลสำรวจโดย CRC VoiceShare เกี่ยวกับการซื้อของขวัญปีใหม่ในปี 2566 ชี้ว่าผู้บริโภคไทยส่วนใหญ่วางแผนซื้อของขวัญปีใหม่ในงบ 500-1,500 บาท โดยเกณฑ์การเลือกสินค้าแปรฝันตามความสัมพันธ์ที่มีกับผู้รับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับ 3 อันดับบุคคลที่ผู้บริโภคมักซื้อของขวัญปีใหม่ให้ ได้แก่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1. พ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ เน้นกระเช้าของขวัญเป็นหลักที่ 48% ตามด้วยของกินของใช้ในบ้าน 35% และเซ็ตของขวัญ 34%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2. เพื่อนและเพื่อนร่วมงาน นิยมให้เซ็ตของขวัญ 33% รองลงมาเป็นของกินของใช้ภายในบ้าน 30% อีกหนึ่งหมวดหมู่ยอดฮิตคือสินค้าแฟชั่นและเครื่องสำอาง 20%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;3. ลูกหลาน มักเลือกสินค้าแฟชั่นและเครื่องสำอาง 46% รองลงมาคือเครื่องเขียน หนังสือ และอุปกรณ์การเรียนรู้รวม 35% และเซ็ตของขวัฐราว 22%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เห็นได้ชัดว่ากระเช้าปีใหม่และเซ็ตของขวัญพิเศษที่จัดขึ้นเพื่อเทศกาล ยังคงเป็นที่นิยมอันดับต้นๆ ดังนั้นนอกจากโปรโมชั่น แบรนด์อาจพิจารณาจัดเซ็ตของขวัญขึ้นเป็นพิเศษในช่วงเดือนสุดท้ายของปี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ The 1 Insight ยังพบว่า Gen Z (อายุ 18-26 ปี) คือกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับการช้อปในช่วงเทศกาลมากที่สุดในทุกช่วงวัย โดยถือเป็นกลุ่มที่ยอดใช้จ่ายเติบโตสูงสุดที่ 45% รองลงมาคือ Gen Y (อายุ 27-42 ปี) มียอดใช้จ่ายเติบโตที่ 27% ตามมาด้วย Gen X และ Baby Boomer เติบโตเท่ากันที่ 25%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อีกทั้ง ช่วงปลายปียังมีสัดส่วนยอดการใช้จ่ายจากช่องทางหน้าร้าน (ออฟไลน์) มากกว่าช่องทางอื่นๆ อาทิ ช่องทางออนไลน์, Chat&amp;Shop, Call&amp;Shop และ Personal Shopper เนื่องจากในช่วงปลายปี ผู้บริโภคไม่เพียงต้องการจับจ่าย แต่ยังต้องการที่จะร่วมเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองไปด้วยนั่นเอง เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/property/cpn-invest-6-200-millions-open-new-shopping-mall-central-westville" alt="CPN ทุ่ม 6.2 พันล้าน เปิด &quot;เซ็นทรัล เวสต์วิลล์&quot; ปักธงย่านราชพฤกษ์ล้อมทุกทิศรอบเมืองนนทบุรี">CPN ทุ่ม 6.2 พันล้าน เปิด "เซ็นทรัล เวสต์วิลล์" ปักธงย่านราชพฤกษ์ล้อมทุกทิศรอบเมืองนนทบุรี</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เปิด “4 พฤติกรรมช้อปส่งท้ายปี” ชี้ผู้บริโภคใช้จ่ายสูงกว่าปกติ 30%

<h2>ด้วยพื้นฐานด้านบริหารทางการเงิน ทำให้แม่ทัพหญิงคนใหม่ของลาซาด้า มีความรู้ความเข้าใจที่ดีในการดูแลต้นทุนและการบริหารจัดการ รับภารกิจสร้างความเติบโต LazMall ต่อเนื่องและยั่งยืน </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มาริสา ยูนิพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายธุรกิจ ลาซาด้า ประเทศไทย เป็นผู้บริหารหญิงอีกคนของวงการธุรกิจออนไลน์ เธอทำงานกับลาซาด้ามากว่า 5 ปี โดยก่อนหน้านี้มาริสา รับผิดชอบด้านการเงินในตำแหน่ง CFO หรือ Chief Financial Officer ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเงิน เนื่องจากสำเร็จการศึกษาด้านการเงินโดยตรง คือ ปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจ และวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการเงิน จากมหาวิทยาลัยโคโลราโด และนอกจากนี้เธอยังได้รับประกาศนียบัตรจากสถาบันวิทยาการตลาดทุน รุ่นที่ 32 และมีประสบการบริหารด้านการเงินในระดับภูมิภาคมาก่อน&nbsp;​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/eWMqxwAkWRwYm3wCRKhd.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="eWMqxwAkWRwYm3wCRKhd.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ก้าวแรกของมาริสา ในการร่วมงานกับลาซาด้าคือตั้งแต่เดือนมีนาคม 2561 โดยเธอเข้ามาในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน ดูแลบริหารจัดการด้านการเงิน ควบคุมต้นทุน ดูแลการใช้จ่ายและการเงินของบริษัทต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 4 ปี ก่อนจะก้าวสู่ตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายธุรกิจ เมื่อเดือนเมษายน 2566 โดยมีหน้าที่ดูแลการพัฒนาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับแบรนด์และผู้ขายบน LazMall ผ่านการสร้างความเป็นเลิศด้านการค้า การตลาด และการดำเนินงาน เธอบอกว่าพื้นฐานด้านการเงินช่วยให้งานบริหารด้านธุรกิจไปได้ด้วยดี เพราะรู้แนวทางโครงสร้างต้นทุนค่าใช้จ่าย และการบริหารจัดการ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“LazMall เป็นส่วนหนึ่งของลาซาด้าที่เติบโตมาก ปัจจุบันมีแบรนด์ชั้นนำเข้าร่วมมากกว่า 30,000 แบรนด์ นำสินค้าเข้ามาจำหน่ายและได้การยอมรับที่ดีจากลูกค้า” มาริสา ย้ำถึงความสำเร็จของตลาดสินค้าแบรนด์ดังของลาซาด้า ซึ่ง LazMall เป็นแหล่งรวมสินค้าแบรนด์ต่างๆ ที่เข้ามาร่วมธุรกิจกับแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลส ลาซาด้า โดยหลายแบรนด์เปิดร้านเป็นออฟิเชี่ยลออนไลน์สโตร์ สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าว่าสินค้าที่จำหน่ายใน LazMall เป็นของแท้ 100% เพราะเป็นร้านค้าจากแบรนด์โดยตรง&nbsp; รุก “LazPremium”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มาริสา บอกกว่าทุกวันนี้ผู้คนให้ความเชื่อมั่นในการช้อปปิ้งออนไลน์ สินค้าแบรนด์ดังราคาหลักหมื่นสามารถจำหน่ายผ่านออนไลน์ ซึ่งแน่นอนว่าลูกค้าต้องมี่ความเชื่อมั่นจึงกล้าซื้อสินค้าราคาแพง เช่น ไอโฟน 15 ราคาหลายหมื่นสามารถจำหน่ายได้ โดยหมวดสินค้าที่ได้รับความนิยมและขายดี่ที่สุด คือกลุ่มอีเลคโทรนิกส์ ความงาม และแฟชั่น แต่โดยภาพรวมแล้วสินค้าแทบทุกกลุ่มมีการเติบโตที่ดี ยอดขายของลาซาด้าในภาพรวมเติบโตมากกว่า 25% ทุกปี ต่อเนื่องกันมาตลอดทั้ง 11 ปีที่อยู่ในตลาด และพบว่าการยอมรับการช้อปปิ้งออนไลน์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงโควิด และหลังโควิดการช้อปออนไลน์เติบโตอย่างเห็นได้ชัด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นใหญ่ ลูกค้าก็ตัดสินใจซื้อผ่าน ลาซมอลล์ เห็นได้ชัดในช่วงโควิด ที่การขายออฟไลน์ทำไม่ได้ ยอดขายออนไลน์เติบโต และเห็นได้ชัดคนกล้าซื้อสินค้าราคาสูงผ่านออนไลน์” มาริสา เผยประสบการณ์ของลูกค้า กับประสบการของลาซาด้า ในการจำหน่ายสินค้าและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคที่ประสบความสำเร็จด้วยดี​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/10/ETx58QGDELdN422wwaNo.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="ETx58QGDELdN422wwaNo.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทำให้ปัจจุบันสินค้าในกลุ่มลาซมอลล์ ได้รับการพัฒนาไปอีกขั้นด้วยการจัดกลุ่ม ลาซพรีเมียม โดยนำสินค้าแบรนด์ดังราคาสูงเข้ามาจำหน่ายมากขึ้นในแทบทุกหมวดสินค้า เช่น Kiehl’s, BOBBI BROWN, Marshall, dyson, Nars, L’Occitane, Shisedo, La Mer, Origins เป็นต้น รวมถึงแบรนด์แฟชั่นต่างๆ ทั้งแบรนด์ต่างประเทศ และแบรนด์ไทย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“สินค้าแบรนด์ดังเหล่านี้ ทางลาซาด้าได้ร่วมกับแบรนด์ สร้างประสบการณ์กับลูกค้าเหมือนช้อปจากหน้าร้าน ทั้งแพคเกจจิ้งดีไซน์หรูหราเท่าเทียมการซื้อจากหน้าร้าน เพื่อตอกย้ำความพรีเมี่ยม” แม่ทัพลาซาด้า เผยและว่านอกจากแบรนด์พรีเมี่ยมดังกล่าวแล้ว ยังมีบริการเสริมในสินค้าที่ต้องการบริการหลังการขาย เช่น การประกอบติดตั้ง ในกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น แอร์ เครื่องซักผ้า ลาซาด้าได้โคกับช่างไทยในการให้บริการติดตั้งเพื่ออำนวยความสะดวก และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยบริการที่พร้อมสรรพดังกล่าว เชื่อว่าจะยิ่งทำให้การยอมรับของลูกค้ามีมากขึ้น ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายในการซื้อสินค้า และลดปัญหาที่เป็นจุดอ่อนเรื่องการติดตั้ง เชื่อว่าจะทำให้ยอดขายสินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นได้ และตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้น&nbsp; บิ๊กเดย์บิ๊กเซลล์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กิจกรรมสำคัญที่เป็นกลยุทธ์ส่งเสริมการขายคือบิ๊กเดย์บิ๊กเซลล์ เช่น 6.6 9.9 10.10 และ 27.3 หรือเบิร์ดเดย์เซลล์ เนื่องจากลาซาด้า เปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2555 ดังนั้นทุกวันที่ 27 มีนาคมของทุกปี Lazada จัดแคมเปญ Lazada Birthday Sale เพื่อฉลองวันเกิดลาซาด้า พร้อมมอบส่วนลด และดีลเด็ดราคาสุดพิเศษนับเป็นอีเวนต์ใหญ่ประจำปี ส่วนรองลงมาเช่น 9.9 หรือล่าสุดที่เตรียมเปิดบิ๊กเดย์เซลล์ใหญ่แห่งปีอีกครั้ง 11.11 ซึ่งจัดใหญ่ทุกปี สินค้าลดราคาพิเศษทั้งแอปฯ ซึ่งได้การตอบรับที่ดี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยเฉพาะอย่างยิ่งฤดูขาย 2 เดือนสุดท้ายของปี เป็นช่วงเวลาเฉลิมฉลองและเป็นเทศกาลจับจ่ายใช้สอย ปีนี้คาดว่าจะคึกคักไม่แพ้ปีก่อนๆ หากประเมินจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายลาซาด้า ซึ่งยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และกิจกรรมที่ส่งเสริมการขาย เช่น คูปองสดลดต่างๆ และคูปองส่งฟรี มีส่วนช่วยกระตุ้นการขายได้เป็นอย่างดี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ผู้บริโภคเข้าถึงการซื้อออนไลน์มากขึ้น แม้จากสถิติจะพบว่ากลุ่มผู้ซื้อหลักอยู่ในช่วงวัย 20-40 ปี แต่ก็พบว่ามีลูกค้าหลากหลายเข้ามาซื้อในแพลตฟอร์ม ทั้งเพศชายและหญิงเติบโตทั้งสองกลุ่ม” ซึ่งแสดงถึงการยอมรับและเชื่อถือในการช้อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น มาริสา เผยว่าสิ่งที่ลาซาด้าจะทำจากนี้ไปจึงเน้นสร้างการยอมรับด้วยสินค้าคุณภาพ และระบบการติดตามเพื่อนำเสนอสินค้าในกลุ่มที่ลูกค้าสนใจมากขึ้น ด้วยการทำมาร์เก็ตติ้งผ่านการส่งข้อความตรงถึงลูกค้าจากแอปฯ เพื่อแนะนำสินค้าในกลุ่มที่ลูกค้าสนใจ เพื่อกระตุ้นยอดขายเพิ่มขึ้น และตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากการขายหน้าร้านที่มีกิจกรรมอย่างต่อเนื่องแล้ว ระบบหลังบ้านในการจัดส่ง แพคกิ้ง และจัดการสินค้าตามออร์เดอร์ ลาซาด้ามีการบริหารจัดการที่ดี และมีแวร์เฮ้าส์ขนาดใหญ่กว่า 80,000 ตารางเมตร รองรับสินค้าที่จะจัดส่งตามคำสั่งซื้อ โดยแวร์เฮาส์ที่อีอีซีเป็นศูนย์กระจายสินค้าใหญ่ รองรับสินค้าจากคู่ค้าเป็นจำนวนมาก และลาซาด้ามีระบบโลจิสติกส์ของตัวเอง ที่มีความคล่องตัวในการกระจายส่งสินค้า สถิติการส่งสินค้าเร็วที่สุดภายใน 6 ชั่วโมง เช่น สั่งตอนเที่ยงคืน ส่งสินค้าถึงมือลูกค้าได้ในเช้าวันรุ่งขึ้น ด้วยระบบการจัดการที่ทันสมัย และมีโรบอตในการจัดการสินค้าในแวร์เฮาส์ที่สะดวกรวดเร็วและทันสมัยมาก อ่านเพิ่มเติม :&nbsp;<a href="https://forbesthailand.com/news/finance-and-investment/gartner-%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%96%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87-%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A5-%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A5" alt="Gartner แนะวิถีทาง &quot;รัฐบาลดิจิทัล&quot; ในโลก &quot;หลังยุคดิจิทัล&quot;">Gartner แนะวิถีทาง "รัฐบาลดิจิทัล" ในโลก "หลังยุคดิจิทัล"</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

“มาริสา ยูนิพันธุ์” นำทัพ LazMall  ดันลาซาด้าขยายสินค้าไฮแบรนด์

Temu เปิดกลยุทธ์แอปจีนเผาเงินสร้างฐานลูกค้าสหรัฐฯ

<h2>ฮิวแมน เผยผลสำรวจข้อมูลเชิงลึกปี 2566 เกี่ยวการโจมตีอัตโนมัติจากบอตในหลากหลายรูปแบบ โดยการขโมยใช้บัตรเครดิตจากบอตเพิ่มขึ้น 134% จากปีก่อน ทราฟฟิกของบอตมีความอันตรายเพิ่มขึ้นถึง 102% และช่วงฤดูกาลช็อปปิ้งจะดึงดูดการโจมตีแบบอัตโนมัติมากกว่าช่วงเวลาอื่นๆ</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ฮิวแมน ซีเคียวริตี้ อิงค์ (HUMAN Security, Inc.) ผู้นำระดับโลกด้านการปกป้ององค์กรวิสาหกิจด้วยการขัดขวางการฉ้อโกงและการล่วงละเมิดในรูปแบบดิจิทัลโดยใช้การป้องกันสมัยใหม่ ได้ประกาศเผยแพร่รายงานเกณฑ์มาตรฐานการฉ้อโกงองค์กรวิสาหกิจด้วยโปรแกรมบอตอัตโนมัติ ประจำปี 2566 (2023 Enterprise Bot Fraud Benchmark Report)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยรายงานฉบับล่าสุดนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มการโจมตีอัตโนมัติในหลากหลายงานระบบขององค์กรวิสาหกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเข้ายึดบัญชี (account takeover), การสุ่มเดารหัสผ่านในทุกความเป็นไปได้ (brute forcing), การขโมยใช้บัตรเครดิต (carding), การใช้ข้อมูลบัญชีเจาะเข้าสู่ระบบ (credential stuffing), การเข้ายึดสินค้าคงเหลือ (inventory hoarding), การกว้านซื้อเพื่อเก็งกำไร (scalping) และการขโมยข้อมูลเว็บ (web scraping)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Gavin Reid ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (CISO) ของฮิวแมน กล่าวว่า “บอตเป็นภัยคุกคามที่แพร่หลายในวงกว้าง ผู้กระทำการละเมิดจะดำเนินการโจมตีและการฉ้อโกงด้วยโปรแกรมบอตอัตโนมัติได้ง่ายมาก โดยแทบไม่ต้องใช้ความพยายามหรือมีความเสี่ยงต่ำ”แง่มุมสำคัญจากรายงานดังกล่าว มีดังนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;•	ทราฟฟิกของบอตอันตรายโดยรวมเพิ่มขึ้น แม้คนจะใช้เวลาทางออนไลน์น้อยลง ทราฟฟิกการเข้าใช้งานอย่างถูกต้องโดยมนุษย์ลดลง 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่ทราฟฟิกของบอตอันตรายเพิ่มขึ้น 102% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า หมายความว่าสัดส่วนร้อยละของบอตอันตรายจากทราฟฟิกโดยรวมทั้งหมดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่งกว่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;•	การโจมตีอัตโนมัติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เว็บแอปพลิเคชันประสบกับการโจมตีโดยบอตที่พบบ่อย 3 ประเภทเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ประกอบด้วย การขโมยใช้บัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 134% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า การเข้ายึดบัญชีเพิ่มขึ้น 108% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และการขโมยข้อมูลแอปเพิ่มขึ้น 107% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;•	บางอุตสาหกรรมมีการโจมตีโดยบอตมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น บอตอันตรายมีสัดส่วน 57% ของทราฟฟิกการเข้าใช้งานธุรกิจออนไลน์ในอุตสาหกรรมสื่อและสตรีมมิง ขณะที่เกือบ 50% ของทราฟฟิกการเข้าใช้งานบริษัทในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการต้อนรับ (49%) และอุตสาหกรรมจำหน่ายตั๋วและความบันเทิง (46%) เป็นไปแบบอัตโนมัติ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;•	ผู้กระทำการละเมิดดำเนินการโจมตีด้วยบอตมากขึ้นในช่วงการชอปปิงยอดนิยม ฤดูกาลช็อปปิงสำหรับเทศกาลดึงดูดการโจมตีอัตโนมัติมากกว่าช่วงเวลาอื่น ๆ ของปี วันที่มียอดโจมตีสูงสุด (25 ตุลาคม) มีทราฟฟิกของบอตอันตรายมากกว่าค่าเฉลี่ยรายปีถึง 199%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;•	ผู้โจมตีองค์กรวิสาหกิจมักเลือกที่จะแฝงตัวอยู่หลังอุปกรณ์ประเภทตั้งโต๊ะ 25.7% ของคำขอที่มีเจตนาร้ายมาจากอุปกรณ์มือถือ เมื่อเทียบกับ 61% ของคำขอที่ถูกต้อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;•	ผู้โจมตีจะใช้ประโยชน์จากเซิร์ฟเวอร์การท่องเว็บแบบปกปิดตัวตน (anonymizing proxy server) เพื่อให้ดูเหมือนเป็นทราฟฟิกของมนุษย์ มากกว่า 68% ของทราฟฟิกการใช้งานที่มีเจตนาร้ายทั่วโลกมาจากเซิร์ฟเวอร์การท่องเว็บในสหรัฐฯ จำนวนดังกล่าวลดลงเป็น 47% เมื่อนับเฉพาะทราฟฟิกการเข้าถึงแอปพลิเคชันที่ไม่ได้อยู่ในสหรัฐฯ และเพิ่มเป็น 75% สำหรับทราฟฟิกการเข้าถึงเฉพาะแอปพลิเคชันในสหรัฐฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รายงานยังเน้นย้ำว่าเหตุใดจึงเป็นเรื่องสำคัญที่บริษัทต่าง ๆ จะต้องเข้าใจขอบเขตทั้งหมดของปัญหาโปรแกรมบอตอัตโนมัติสำหรับองค์กรและลูกค้าของตน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ขณะที่อาชญากรไซเบอร์พัฒนาและปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจต่าง ๆ ต้องระมัดระวังด้วยการดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อปกป้องสินทรัพย์ของตน ซึ่งจะทำได้จำเป็นต้องมีแนวทางที่ครอบคลุมและเป็นการทำงานร่วมกันในการใช้ประโยชน์จากหลักการของการป้องกันสมัยใหม่ (modern defense) และการป้องกันร่วมกัน (collective protection) เพื่อพลิกแนวโน้มและเอาชนะผู้โจมตี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับรายงานเกณฑ์มาตรฐานการฉ้อโกงองค์กรวิสาหกิจด้วยโปรแกรมบอตอัตโนมัติประจำปีของฮิวแมนใช้ข้อมูลจากฮิวแมน ดีเฟนซ์ แพลตฟอร์ม (Human Defense Platform) ซึ่งตรวจสอบความเป็นมนุษย์ของปฏิสัมพันธ์ดิจิทัลกว่า 20 ล้านล้านรายการต่อสัปดาห์ ซึ่งเท่ากับ 33 ล้านรายการในทุกวินาที&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อมูลเชิงลึกที่ไม่เหมือนที่อื่นใดเช่นนี้ส่งเสริมองค์กรต่าง ๆ ให้ป้องกันได้ดียิ่งขึ้นจากการโจมตีและการฉ้อโกงโดยใช้โปรแกรมบอตอัตโนมัติที่ก่อความเสี่ยงอย่างมากต่อรายรับและชื่อเสียงแบรนด์ขององค์กร อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://www.forbesthailand.com/news/it/kbtg-%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99-ai" alt="KBTG เผยวิสัยทัศน์และมุมมองด้าน AI">KBTG เผยวิสัยทัศน์และมุมมองด้าน AI</a> <hr class="__se__solid">​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ฮิวแมน เผยผลสำรวจ "การขโมยใช้บัตรเครดิตจากบอต" พุ่ง 134% 

วีระพงศ์ โก แม่ทัพ Lazada คนรุ่นใหม่ขับเคลื่อนธุรกิจ

<h2>จากข้อมูลของ ETDA ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตต่อปี 9.79% พร้อมแนวโน้มการเติบโตและมูลค่าที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่ปีที่ผ่านมา&nbsp;</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สอดคล้องกับการเติบโตของอี-คอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออก-เฉียงใต้ที่คาดว่าจะยังคงเติบโตเพิ่มขึ้น&nbsp;19.8% ระหว่างปี 2563-2568 โดยเฉพาะอินโดนีเซีย เวียดนาม และไทย ที่คาดการณ์ว่าในปี 2568 จะมีมูลค่าการเติบโตเป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาค&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตามปัญหาเงินเฟ้อและต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกในขณะนี้ถือเป็นโจทย์ท้าทายของผู้ประกอบการที่ต้องเตรียมความพร้อมและเร่งปรับตัว รวมถึงความท้าทายสำคัญสำหรับการทำธุรกิจอี-คอมเมิร์ซคือ การสร้างการเติบโตทางธุรกิจ ขยายฐานลูกค้า และรองรับการเข้าถึงแพลตฟอร์มที่หลากหลาย ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่ช็อปปิ้งออนไลน์ผ่านช่องทางมาร์เก็ตเพลสและโซเชียลคอมเมิร์ซเป็นหลัก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซึ่งการพัฒนาศักยภาพบุคลากรพร้อมลดต้นทุนในการดำเนินงานนับเป็นคีย์สำคัญ โดย“เทคโนโลยี” จะกลายเป็นตัวแปรหลักที่จะช่วยเพิ่มขีดศักยภาพจากความท้าทายดังกล่าว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้น การพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์การเพิ่มประสิทธิภาพบริหารอี-คอมเมิร์ซและเพิ่มขีดศักยภาพการแข่งขันจึงเป็นเครื่องมือสำคัญมาก โดยผู้ประกอบการสามารถเลือกประยุกต์ใช้ชุดซอฟต์แวร์ได้หลากหลายตามความต้องการของผู้ใช้งานในแต่ละธุรกิจที่แตกต่างกัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ไม่ว่าจะเป็นเพื่อช่วยบริหารจัดการการขายออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพแบบไร้รอยต่อ การรองรับการขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ในต่างประเทศ ไปจนถึงช่วยลดต้นทุน-ข้อผิดพลาดในการทำธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ซึ่งซอฟต์แวร์ที่เปิดให้แบรนด์หรือผู้ประกอบการเข้ามาซื้อได้โดยตรงจะเรียกว่า SaaS (Software as a Service)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับซอฟต์แวร์หลักที่ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซให้ความสำคัญจะมุ่งเน้นไปที่ความสามารถตอบโจทย์การใช้งานแบ่งเป็น 3 รูปแบบหลัก เพื่อช่วยให้บริหารกระบวนการอี-คอมเมิร์ซได้อย่างไร้รอยต่อและเพิ่มประสิทธิภาพ รวมถึงลดข้อผิดพลาดได้ ซึ่งตัวช่วยทั้งหมดสามารถนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพยอดขายได้มากขึ้น โดยแบ่งประเภทซอฟต์แวร์หลักที่ครอบคลุมจุดประสงค์ดังกล่าวได้ดังนี้ ตอบโจทย์โลก Omnichannel&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ซอฟต์แวร์ด้านการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ที่สามารถตอบโจทย์โลก omnichannel จะช่วยยกระดับประสบการณ์ช็อปปิ้งออนไลน์อย่างไร้รอยต่อ โดยซอฟต์แวร์ประเภท chat &amp; shop ที่มีแชทบอทช่วยสื่อสารกับผู้บริโภคได้ตลอด 24 ชั่วโมงและเชื่อมต่อข้อมูลระบบหลังบ้านได้จะช่วยให้ธุรกิจบริหารจัดการด้านลูกค้าสัมพันธ์ได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนั้น การที่ซอฟต์แวร์สามารถเชื่อมต่อหลากหลายแพลตฟอร์มทั้ง Facebook , Instagram, LINE, Lazada, Shopeeและอื่นๆ รวมถึงสามารถเชื่อมต่อได้หลายร้านค้าพร้อมกัน โดยมีระบบรวบรวมแชทจากทุกช่องทางเพื่อให้ทีมหลังบ้านตอบลูกค้าได้ในแพลตฟอร์มเดียว จะยิ่งช่วยทำให้การบริหารในทุกๆ ช่องทางมีประสิทธิภาพมากขึ้น <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/03/4J2gPMFEYh78bfi7pvKo.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="4J2gPMFEYh78bfi7pvKo.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>​&nbsp; &nbsp; ขณะที่ความสามารถเชื่อมระบบข้อมูลของซอฟต์แวร์ตั้งแต่การจัดการยอดสั่งซื้อการบริหารคลังสินค้า จนถึงกระบวนการจ่ายเงินที่ง่าย สะดวก และปลอดภัยจะทำให้ผู้ประกอบการสามารถวัดผลประสิทธิภาพการตอบแชท การบริหารข้อมูลและช่วยปิดการขายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้น ซอฟต์แวร์ประเภทดังกล่าวจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยยกระดับประสบการณ์ด้านลูกค้าสัมพันธ์ของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเชื่อมต่อแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซและโซเชียลมีเดียเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลายมากขึ้น ด้านบริหารคลังสินค้า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผู้ประกอบการอี-คอมเมิร์ซยุคใหม่ควรให้ความสำคัญกับซอฟต์แวร์ด้านการบริหารคลังสินค้าที่สามารถช่วยเพิ่มความรวดเร็วและแม่นยำได้มากยิ่งขึ้น โดยระบบการจัดการบริหารคลังสินค้าเพื่อเตรียมจัดส่ง (fulfillment center) ถือว่าเป็นหัวใจหลักบนสายพานของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซที่ต้องการความรวดเร็ว แม่นยำ และการจัดการที่มีประสิทธิภาพสูง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ดังนั้น หากธุรกิจมีซอฟต์แวร์ด้านการบริหารคลังสินค้าที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจอี-คอมเมิร์ซที่ต้องปรับการบริหารจัดการคลังสินค้าและการทำงานให้เป็นรูปแบบดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งสามารถนำจุดแข็งจากเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ร่วมกับธุรกิจ เพื่อยกระดับการดำเนินงานของสายพานคลังสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ​ บริหารการขายสินค้าทุกแพลตฟอร์ม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ธุรกิจหรือแบรนด์ที่มีการจำหน่ายผ่านช่องทางอี-คอมเมิร์ซที่หลากหลายควรใช้ซอฟต์แวร์ด้านบริหารการขายสินค้าอี-คอมเมิร์ซครบวงจรให้ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์ม เพื่อช่วยให้การบริหารจัดการข้อมูลสินค้าในหลากหลายแพลตฟอร์มมีความแม่นยำสูง และลดข้อผิดพลาดให้น้อยลงได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับซอฟต์แวร์ดังกล่าวสามารถช่วยให้แบรนด์บริหารจัดการยอดสั่งซื้อจากแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซและโซเชียลมีเดียจากหลากหลายช่องทาง ทั้งยังมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมากในการรวบรวมยอดสั่งซื้อและสต๊อกจากแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซต่างๆ ให้อยู่ในฐานข้อมูลกลางที่เดียว ทำให้แบรนด์พร้อมบริหารจัดการยอดสั่งซื้อ จัดการสต๊อกและช่วยจัดการข้อมูลสินค้า เพื่อป้องกันความผิดพลาดไปจนถึงเตรียมจัดส่ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งหมดนี้จะเห็นว่าการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อต่อยอดการบริหารจัดการอี-คอมเมิร์ซเป็นเครื่องมือที่สำคัญอย่างมาก เพื่อสร้างโอกาสและการเติบโตของธุรกิจ รวมถึงขยายฐานลูกค้าในวงกว้างมากยิ่งขึ้น โดยการที่แบรนด์และผู้ประกอบการได้นำซอฟต์แวร์ในด้านต่างๆ มาประยุกต์ใช้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอี-คอมเมิร์ซทั้งประเทศไทยรวมถึงในภูมิภาคให้เติบโตขึ้นต่อไป​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/03/wc4A2YJfGWyTzYFsxCsT.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="wc4A2YJfGWyTzYFsxCsT.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div>บทความโดยนัฐพล บุญภินนท์&nbsp;กรรมการผู้จัดการบริษัท เอ็น-สแควร์ อีคอมเมิร์ซ จำกัด<hr class="__se__solid">​<a href="https://bit.ly/3l3QtLn%E2%80%8B" alt="คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ในรูปแบบ e-magazine</a>​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" style="width: 50%;" contenteditable="false"><figure style="width: 100%;"><a href="https://bit.ly/3l3QtLn%E2%80%8B" alt="https://bit.ly/3l3QtLn​" data-image-link="image"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/03/wM885hcrZubRZ4JqmxZW.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="wM885hcrZubRZ4JqmxZW.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="50%,auto" data-rotate="" data-image-link="https://bit.ly/3l3QtLn%E2%80%8B" origin-size="650,853" data-percentage="50%,auto" style="width: 100%; height: auto;" data-index="2"></a></figure></div>

 อี-คอมเมิร์ซยุคใหม่ติดอาวุธโซลูชันครบวงจร

<div>
	4 กุมภาพันธ์ 2558 - ในวันนี้ คงยากที่จะบอกว่า LINE เป็นเพียง app ส่งข้อความ หลังเปิดตัว &ldquo;ซุปเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์&rdquo; ในประเทศไทยเป็นตลาดแรก แม้แต่ Forbes.com ยังต้องสนใจกับทิศทางการเติบโตของโปรแกรม chat ยอดนิยมฝั่งเอเชีย 
	&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	หลังประสบความสำเร็จจากการสร้างแพลตฟอร์มเพื่อเล่มเกม สนทนา และส่งสติ๊กเกอร์ ในวันนี้ LINE เริ่มรุกสู่บริการใหม่ จัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคแบบส่งตรงถึงบ้าน โดยเริ่มต้นในประเทศไทยเป็นที่แรก หลังจากปีที่ผ่านมา คู่แข่งสำคัญอย่าง WeChat ก้าวสู่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซและบริการจัดส่งอาหารไปก่อนแล้ว</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	จากโปรแกรม chat เล็กๆ ที่ไว้ใช้เฉพาะสื่อสารพูดคุย มาวันนี้กลับพัฒนาตัวเอง แตกกิ่งก้านกลายเป็นแพลตฟอร์มรองรับผู้ใช้งานหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะใช้ติดต่อสื่อสาร เล่นเกม ซื้อของ ไปจนถึงเรียกรถแท็กซี่</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	การขยายฐานบริการให้กว้างขวางก็เพื่อหาช่องทางสร้างรายได้ให้เป็นกอบเป็นกำมากขึ้น เนื่องจากรายได้หลักอย่างการขายโฆษณาทาง mobile ads นั้น ถูกยึดครองโดยเครือข่ายสังคมออนไลน์เช่น Facebook ไปเสียแล้ว และอาจดูไม่ดีนักสำหรับโปรแกรมส่งข้อความ เพราะไม่มีผู้ใช้งานคนใดอยากเห็นแบนเนอร์โผล่ขึ้นมา ขณะกำลังพิมพ์ข้อความส่งหาเพื่อนๆ เป็นแน่ &nbsp;อย่างไรก็ดี LINE ยังทำรายได้ในปี 2013 ถึง 338 ล้านเหรียญ จากการขายเกมและสติ๊กเกอร์ดิจิทัล</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ก้าวต่อไปของ app สนทนายอดนิยม ที่มีผู้ใช้งานตกเดือนละ 181 ล้านราย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วอยู่ในญี่ปุ่นและทวีปเอเชีย ก็คือการลงสนามธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เช่นเดียวกับคู่แข่ง WeChat</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	บริการร้านชำออนไลน์ &ldquo;ถูกชัวร์ชัวร์&rdquo; (Cheap Sure Sure) ของ LINE เริ่มเปิดเป็นทางการแล้ว 4 กุมภาพันธ์นี้ โดยจะเน้นสินค้าในชีวิตประจำวัน เช่น น้ำดื่ม กาแฟ และบะหมี่สำเร็จรูป ในราคาที่มีส่วนลดและบริการส่งฟรี เริ่มเปิดบริการเฉพาะประเทศไทย ซึ่งมีผู้ใช้งานเป็นประจำถึง 33 ล้านรายเป็นที่แรก โดยยังไม่ได้เปิดเผยแผนการว่าจะขยายไปยังตลาดอื่นๆ เช่นญี่ปุ่นหรือไม่</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ธุรกิจอีคอมเมิร์ซและสั่งอาหารออนไลน์ได้กลายมาเป็นองค์ประกอบสำคัญใน app ที่มีคนใช้งานเป็นจำนวนมากไปแล้ว เช่น WeChat ในประเทศจีน ซึ่งมีผู้ใช้งานตกเดือนละ 467 ล้านราย และความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีพันธมิตรที่เข้มแข็งด้วย ในเดือนมีนาคม 2014 &nbsp;Tencent บริษัทแม่ของ WeChat เข้าซื้อหุ้น 15% ใน JD ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซอันดับสองของจีน รองจาก Alibaba โดยให้ JD เป็นช่องทางการจัดจำหน่ายเฉพาะบนแพลตฟอร์ม WeChat &nbsp;ต่อมาในเดือนธันวาคมก็เริ่มเปิดบริการสั่งอาหารออนไลน์ ด้วยความร่วมมือกับ Foodpanda&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	ล่าสุด KakaoTalk ซึ่งมีผู้ใช้งาน 50 ล้านรายในเกาหลีใต้และบางประเทศในอาเซียน ก็ยอมรับเช่นกันว่ากำลังมีแผนการเข้าสู่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ที่มี Coupang หรือ &ldquo;Amazon ของเกาหลีใต้&rdquo; เป็นเจ้าตลาด จะเห็นได้ว่าโปรแกรม chat แต่ละรายอาศัยความได้เปรียบจากฐานผู้ใช้งานที่มีเป็นหลักล้าน โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนมหาศาลเพื่อสร้างฐานลูกค้าใหม่แต่อย่างใด&nbsp;</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	สำหรับ LINE Thailand เคยทดลองลงตลาดอีคอมเมิร์ซมากว่าหนึ่งปีแล้ว โดยร่วมเป็นพันธมิตร <a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=261">aCommerce ผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซในอาเซียน</a> ให้ทำหน้าที่ดูแลจัดหา จัดเก็บ และส่งสินค้า &nbsp;จากรายงานของ aCommerce มีสินค้าถึง 8 รายการที่ประสบความสำเร็จ ขายได้หมดในช่วงเวลาไม่นาน มีทั้งเครื่องสำอาง Maybelline และเคสโทรศัพท์ iPhone ของ LINE เอง (ขายหมดใน 25 นาที) มีผู้สั่งซื้อประมาณ 5.5 ล้านราย ในช่วงอายุ 25-34 ปี</div>
<div>
	&nbsp;</div>
<div>
	&ldquo;ประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่สำคัญที่สุดของเรา และพร้อมที่จะออกไปสู่ระดับภูมิภาคต่อไป&rdquo; Sedong Nam ผู้บริหาร LINE ย้ำ 
	 
	 
	 
	เรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="http://www.forbes.com/sites/parmyolson/2015/02/03/chat-apps-line-delivery-service-ecommerce/?utm_campaign=Forbes&amp;utm_source=TWITTER&amp;utm_medium=social&amp;utm_channel=Technology&amp;linkId=12117198">Chat Apps Battle To Bring Groceries To Your Door</a>&nbsp;โดย Parmy Olson 
	<hr />
	
		 
		ภาพประกอบ: LINE Thailand Page
</div>
<div>
	ข่าวอื่นๆ 
	<ul>
		<li>
			<a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=261">พอล ศรีวรกุล: ปั้น Startups อาเซียนด้วย VC</a></li>
		<li>
			<a href="http://www.forbesthailand.com/article_detail.php?article_id=305">LINE Thailand เตรียมหานายใหม่ หลัง Pepper ย้ายเข้าภาครัฐ</a></li>
	</ul>
</div>
<div>
	 
	&nbsp;</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events