<h2>นับจากปี 2001 ที่ ULYSSE NARDIN เปิดตัวนาฬิกาคอลเล็กชัน ‘FREAK’ ซึ่งฉีกกรอบนาฬิกาชั้นสูงผ่านการนำกลไกเบื้องหลังมาแสดงเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาได้อย่างโดดเด่น ในปีนี้ได้เปิดตัวนาฬิการุ่น FREAK [S NOMAD] ที่ยังคงแสดงถึงความกล้าหาญที่แตกต่าง มาพร้อมกับโทนสีทราย ที่ยังคงแนวคิดหลัก คือ นาฬิกาที่ไม่มีหน้าปัด ไม่มีเข็ม และไม่มีเม็ดมะยม</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ULYSSE NARDIN แบรนด์นาฬิกาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่มีความเชี่ยวชาญกว่า 170 ปี แม้จุดเริ่มต้นจะเกิดจากการทำนาฬิกาเพื่อใช้ในการเดินเรือ แต่ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน พร้อมกับชื่อเสียงว่าเป็นนาฬิกาที่สามารถบอกเวลาได้อย่างเที่ยงตรงแม้ต้องเดินทางข้ามน่านน้ำทั่วโลก ทำให้วันนี้แบรนด์สามารถสร้างสรรค์นาฬิกาที่เต็มไปด้วยเทคนิคชั้นสูง ขณะเดียวกันยังมีการออกแบบที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะคอลเลกชัน ‘Freak’&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การเปิดตัว Ulysse Nardin Freak ในปี 2001 ได้สร้างปรากฏการณ์ในอุตสาหกรรมนาฬิกา เพราะเป็นผลงานที่กล้าแหกกฎเกณฑ์ดั้งเดิมทั้งหมด ภายใต้แนวคิด ‘ไม่มีเข็มนาฬิกา หน้าปัด หรือเม็ดมะยม’ นอกจากนี้กลไกยังสร้างขึ้นโดย ไฮเทคซิลิคอนในทุกชิ้นส่วน ซึ่งเป็นวัสดุที่ช่วยแก้ไขปัญหาการเสียดสีของชิ้นส่วนประกอบ นับตั้งแต่ปี 2001 ผู้ผลิตได้ยื่นจดสิทธิบัตรมากกว่า 20 ฉบับ และเมื่อปีที่ผ่านมา ผลงาน Freak One ได้รับรางวัล Iconic Watch Prize ในงาน Grand Prix d'Horlogerie de Geneve<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/4tiyjxG8PKEQQCzGMGZv.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="4tiyjxG8PKEQQCzGMGZv.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,919" style="" data-index="0"></figure></div> ULYSSE NARDIN เปิดตัว 'Freak S Nomad'&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในเดือน เม.ย. นี้ ULYSSE NARDIN ได้เปิดตัว Freak S Nomad โดยให้คำนิยามไว้ว่า: Ulysse Nardin จิตวิญญาณแห่งการสำรวจอันไร้ขอบเขต Freak S Nomad เป็นนาฬิกาข้อมือรุ่น Limited Edition ที่ผลิตจำกัดจำนวนเพียง 99 เรือนทั่วโลก มาพร้อมโทนสีทราย ตัวเครื่องหลักทำจากไทเทเนียม โดยจะบอกเวลาผ่านกลไก 'ยานอวกาศ' แบบหมุนภายใต้กระจกคริสตัลแซฟไฟร์ ซึ่งยังคงแนวคิด ‘ไม่มีเข็มนาฬิกา หน้าปัด หรือเม็ดมะยม’&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้มาตรแสดงเวลาชั่วโมง และนาทีเคลือบด้วยสารเรืองแสงซูเปอร์ลูมิโนวา จึงเรืองแสงสีน้ำเงินในพื้นที่ที่มีแสงน้อย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตัวเรือนมีขนาด 45 มม. ตัวเรือนและตัวล็อคไทเทเนียมจึงมีน้ำหนักเบา รวมถึงขอบตัวเรือนไทเทเนียมเคลือบ PVD สีแอนทราไซต์ ด้านข้างตัวเรือนทำด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ซึ่งเชื่อมแต่ละส่วนประกอบของตัวเรือนเข้าไว้ด้วยกัน ส่วนสายนาฬิกามีให้เลือกสองแบบ คือ สายยางแอนทราไซต์พิมพ์ลาย 'ballistic' และอีกสายทำจากหนังจระเข้สีแอนทราไซต์ด้านในบุด้วยหนังลูกวัวสีทรายเทคนิคทำด้วยมือของมนุษย์สู่การสร้างจักรกลขนาดเล็กที่ซับซ้อน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Freak S Nomad ผสมผสานทั้งสถาปัตยกรรมและนวัตกรรมทำให้เกิดนาฬิกาที่มีเอกลัษณ์เฉพาะตัว โดยมีกลไก Calibre UN-251 Manufacturing ซึ่งสามารถหมุนรอบแกน ประกอบด้วยออสซิเลเตอร์สองตัวที่มีบาลานซ์วีลซิลิคอนเอียงทำมุม 20 องศา (จึงดูเหมือนแท่นปล่อยจรวด) และเอสเคปเมนต์เคลือบด้วย DIAMonSIL ซึ่งเป็นซิลิคอนเคลือบเพชรจากเทคโนโลยีขั้นสูงที่ให้ความแข็งแกร่งทนทานเป็นพิเศษ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทุกองค์ประกอบเชื่อมประสานกันด้วยดิฟเฟอเรนเชียลแนวตั้งเพื่อมอบความแม่นยำในการบอกค่าเวลาที่เหนือกว่าใคร ระบบขึ้นลานอัตโนมัติ Grinder® ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรโดย Ulysse Nardin สร้างพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าระบบขึ้นลานทั่วไปถึงสองเท่า สามารถสำรองพลังงานได้นาน 72 ชั่วโมง โดยกลไกประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนทั้งหมด 373 ชิ้นและทับทิม 33 เม็ด<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/05/hzuJTxF8nCUggJjsRWtt.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="hzuJTxF8nCUggJjsRWtt.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" origin-size="720,540" style="" data-index="1"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับดิสก์ชั่วโมงที่หมุนอยู่ด้านหลังกลไกของนาฬิกา Freak S Nomad ซึ่งสื่อถึงเนินทรายที่มีสายลมพัดโชย ได้รับการขัดและแกะสลักลวดลายกิโยเช่ที่เป็นเทคนิคตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 โดยช่างฝีมือผู้ชำนาญงานจะแกะสลักด้วยมือทีละชิ้นซึ่งใช้เวลากว่า 3 ชม. และเคลือบด้วย CVD สีทราย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สาเหตุที่ต้องแกะสลักแผ่นดิสก์หมุนด้วยมือเพื่อสร้างงานฝีมือที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเมื่อไม่มีเครื่องจักรเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงไม่เกิดการสั่นสะเทือน ทำให้ลายเส้นราบรื่นและแม่นยำที่สุด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้ Freak S Nomad เป็นนาฬิกาที่แสดงถึงความกล้าหาญที่จะแตกต่าง และโดยยังความโดดเด่นผ่านกลไกนาฬิกาที่ซับซ้อนซึ่งสร้างสรรค์มาจากความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการทำนาฬิกามากว่า 170 ปี ล่าสุด ULYSSE NARDIN ระบุว่าในประเทศไทยมีนาฬิกา Freak S Nomad เพียง 1 เรือนเท่านั้น เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/global/malaysia-overtakes-thailand-as-asean-second-biggest-auto-market" alt="‘มาเลเซีย’ แซง ‘ไทย’ ขึ้นเป็นตลาดรถยนต์รายใหญ่อันดับ 2 ของอาเซียน"></a><a href="https://forbesthailand.com/news/motoring/lamborghini-urus-se-first-phev-supercar-engine-power-800-cv-run-60-km" alt="ยลโฉม ‘Lamborghini Urus SE’ Plug-in Hybrid รุ่นแรก เครื่อง 800 CV วิ่งไกล 60 กม. ในโหมดไฟฟ้า">ยลโฉม ‘Lamborghini Urus SE’ Plug-in Hybrid รุ่นแรก เครื่อง 800 CV วิ่งไกล 60 กม. ในโหมดไฟฟ้า</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ULYSSE NARDIN แบรนด์นาฬิกาอายุกว่า 170 ปี ตอกย้ำความกล้าที่แตกต่างผ่าน ‘FREAK S NOMAD’ รุ่น Limited โทนสีทราย

&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กว่า 2 ทศวรรษนับตั้งแต่ Ulysse Nardin แบรนด์นาฬิกาชั้นเลิศจากสวิตเซอร์แลนด์ เปิดตัวคอลเล็กชั่น Freak ที่ฉีกแนวคิดการออกแบบและการผลิตด้วยการรังสรรค์นาฬิกาที่ปราศจากหน้าปัด ปราศจากเข็มและปราศจากเม็ดมะยม ออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรก สร้างความฮือฮาให้กับเหล่าบรรดาคนรักนาฬิกาทั่วโลกที่ต่างก็ทึ่งไปกับการสร้างสรรค์นาฬิกาที่ล้ำสมัยและการออกแบบสุดล้ำภายใต้คอลเล็กชั่น Freak Ulysse Nardin ยังคงเดินหน้าทลาย&nbsp;ขีดจำกัดของนาฬิการะดับไอคอนที่แหวกทุกกฎเกณฑ์ โดยเปิดตัว&nbsp;Freak ONE&nbsp;ที่ยังมีแนวคิดขบถ คงคอนเซ็ปท์อัตลักษณ์เด่นและสืบสานตำนานทั้งสามประการของ Freak รุ่นแรกเอาไว้ นั่นคือ ไม่มีหน้าปัด ไม่มีเข็ม และไม่มีเม็ดมะยม<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/DBXcEZveZrNwazKTXEt3.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="DBXcEZveZrNwazKTXEt3.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Freak ONE พัฒนานวัตกรรมด้วยรูปลักษณ์และกลไกใหม่ล่าสุด มาพร้อมความโดดเด่นทั้งด้านดีไซน์และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ซึ่งพัฒนาสืบต่อกันมาตลอด 22 ปี และยังได้รับการพัฒนาให้ก้าวล้ำไปอีกขั้นตามองค์ประกอบเชิงกลไกและวัสดุ<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/hMVcLrELAxRE4DycCdpG.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="hMVcLrELAxRE4DycCdpG.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การทำงานของ Freak ONE ใช้ Hairspring ซิลิคอนที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในปี 2008 และชิ้นส่วน Escapement ที่เป็นวัสดุซิลิเซียมเคลือบพื้นผิวด้วยเพชรสังเคราะห์เทคโนโลยีพลาสมา (DIAMonSIL) ที่เสริมความแข็งแกร่งทนทาน โดยนำมาใช้เป็นครั้งแรกกับ Freak ในปี 2007 ทำให้ป้องกันการเกิดรอยของชิ้นส่วนของกลไกในทุกการเคลื่อนไหวและทนทานต่อแรงกระแทก เหมาะสำหรับการสวมใส่ในทุกวัน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Freak ONE ยังรวบรวมทุกเอกลักษณ์และระบบกลไกต่างๆ ของตระกูล Freak ในรุ่นก่อนๆ ไว้ด้วยกัน ตั้งแต่ขอบหน้าปัดหยักของรุ่นต้นแบบในปี 2001 ไปจนถึงเฟืองเปิดของรุ่น Freak Cruiser ในปี 2013 ตัวเรือนเป็นไททาเนียมเคลือบ DLC สีดำ ตกแต่งรายละเอียดต่างๆ ด้วยสีโรสโกลด์สะท้อนถึงดีไซน์ที่ Freak เริ่มใช้ในรุ่นล่าสุดอย่าง Freak S ที่เปิดตัวในปีที่แล้ว<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/1oN74Xu9J2eBNpXambMp.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="1oN74Xu9J2eBNpXambMp.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับองค์ประกอบที่ไม่เหมือนใครของนาฬิกาตระกูล Freak ได้แก่ ขอบหน้าปัดและกระเดื่อง ซึ่งได้ออกแบบการปรับตั้งเวลาด้วยการหมุนขอบหน้าปัด ที่จะทำงานเมื่อยกกระเดื่องที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกาขึ้น เพื่อปลดระบบการปรับตั้งเวลา หมุนตั้งเวลาที่ขอบหน้าปัดได้ 2 ทิศทาง และกดกระเดื่องกลับไปยังตำแหน่งเดิม เพื่อล็อกไว้ ป้องกันการหมุนโดยไม่ตั้งใจ<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/wmKxDJdzyT75UJ3h9d4Z.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="wmKxDJdzyT75UJ3h9d4Z.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="3"></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;หน้าปัดสีดำสลักลาย Sunray อยู่ใต้กลไกการหมุนของเข็มที่เป็นจานดิสก์สำหรับบอกเวลาหน่วยชั่วโมง ซึ่งจะหมุนรอบหน้าปัดทุกๆ 12 ชั่วโมง เพื่อบอกเวลาหน่วยชั่วโมงผ่านสัญลักษณ์หัวลูกศรที่เคลือบสารเรืองแสง Super-LumiNova<div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto; width: 386px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/Pt3NkyijM1BFuaK8A4C8.jpg" alt="" data-proportion="true" data-size="386px,480px" data-align="center" data-file-name="Pt3NkyijM1BFuaK8A4C8.jpg" data-file-size="0" origin-size="386,480" data-origin="386px,480px" style="width: 386px; height: 480px;" data-index="4"></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับสะพานบอกเวลาหน่วยนาที ซึ่งเป็นจุดเด่นของ Freak จะลอยอยู่ใต้กระจกคริสตัลแซฟไฟร์และวางชุดกลไกทั้งหมดที่เป็น Oscillator ซิลิคอนขนาดใหญ่ และการหมุนของกลไกทั้งชุดที่เรียกว่า Flying Carousel ที่จะหมุนครบรอบหน้าปัดใน 60 นาที&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ Freak ONE ยังมีระบบขึ้นลานภายใต้เทคโนโลยี Grinder ซึ่งมีระบบขึ้นลาน อัตโนมัติ โดยมีพลังงานสำรองถึง 90 ชั่วโมง ระบบขึ้นลาน Grinder นี้ได้รับการจดสิทธิบัตร โดยมีการออกแบบมาเพื่อสะสมพลังงานแม้จะมีการขยับข้อมือน้อยมากก็ตาม ด้วยกรอบที่มีใบจักร 4 แฉก ซึ่งเชื่อมต่อกับวงโรเตอร์จะทำให้เกิดแรงเหวี่ยงเป็น 2 เท่า คล้ายกับจักรยานที่มีคันเหยียบสี่คันแทนที่จะเป็นสองคัน ทำให้ประสิทธิภาพในการขึ้นลานสูงกว่าระบบขึ้นลานอัตโนมัติทั่วไปถึง 2 เท่า&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้วยแนวคิดที่มุ่งสู่ความยั่งยืนของ Ulysse Nardin นาฬิกา Freak ONE มีสายนาฬิกาในตัว เป็นสายยางที่ใช้วัสดุรีไซเคิล 30% สายรัดรุ่นใหม่ที่กันน้ำและมีความยืดหยุ่นนี้ช่วยเสริมการยศาสตร์และทำให้สวมใส่สบาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เอกลักษณ์ใหม่เหล่านี้ทำให้ Freak ONE จึงเป็นนาฬิกาแฟล็กชิปของ Ulysse Nardin และเป็นรุ่นเด่นตัวชูโรงที่แสดงออกถึงตัวตนที่สดใหม่ของ Ulysse Nardin โดยนาฬิกาตระกูล Freak เป็นนาฬิกาแหวกแนวที่มีความซับซ้อนในเชิงเทคนิคสูง และยังคงก้าวล้ำนำหน้าอยู่เสมอ ดึงดูดใจนักสะสม นักสำรวจที่ชื่นชอบความล้ำยุคเสมอมา

Ulysse Nardin Freak ONE ปฏิวัติวงการนาฬิกา ด้วยดีไซน์และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย

“นาฬิกาบ่งบอกความเป็นตัวคุณ หรือคุณกำหนดหน้าที่ของนาฬิกา”
คุณคิดว่า คำกล่าวไหนเป็นจริง...

ไม่ว่าคำตอบที่ได้จะเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยบทสรุปของงานวิจัย (Parker, B. T., 2009) ได้ชี้ชัดแล้วว่า  เป็นคำกล่าวที่ถูกต้องทั้งคู่ และนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนเราจึงควรให้ความสำคัญกับการเลือกแอคเซสเซอรี่ หรือของใช้อย่างพิถีพิถัน โดยเฉพาะไอเท็มอย่าง “เรือนเวลาคู่ใจ” ที่คนส่วนใหญ่มักมีเรือนโปรดไว้ใส่ติด  ข้อมือในทุกๆ วัน เพราะไอเท็มเหล่านี้สามารถสะท้อนบุคลิกและตัวตนของผู้สวมใส่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

<img class="alignnone size-full wp-image-33931 aligncenter" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/08/1-1.jpg" alt="" width="488" height="480" />

แล้วเรือนเวลาแบบไหนที่สามารถบ่งบอกรสนิยมและสะท้อนความเป็นนักสำรวจได้อย่างไร้ที่ติ

แน่นอนว่าคุณสมบัติหลักๆ ต้องมาจากการสร้างสรรค์โดยผู้เชี่ยวชาญและประสบการณ์อันยาวนาน เทคโนโลยีอันทันสมัยและศิลปะในการประดิษฐ์นาฬิกาที่พิถีพิถัน แม้บางครั้งอาจจะต้องแลกด้วยการใช้เวลาแรมปี ที่สำคัญประสิทธิภาพของเรือนเวลาต้องเที่ยงตรงแม้ภายใต้สภาวะสุดเอ็กซ์ตรีม นาฬิกากับเจ้าของนาฬิกาจึงเปรียบเสมือนร่างกายและจิตวิญญาณที่ผูกติดกันอย่างปฏิเสธไม่ได้ ความเข้มข้นของประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิต ในหลายครั้งจึงสะท้อนออกมาเป็นนาฬิกาที่ชื่นชอบ และนาฬิกาที่ชอบหลายๆ ครั้งก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจได้อย่างอัศจรรย์ สายเลือดแห่งการผจญภัยและค้นหาเป็นสิ่งที่มักซ่อนอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน และความต้องการนี้มักจะเป็นตัวกระตุ้นให้มนุษย์ได้ค้นพบสิ่งแปลกใหม่ ซึ่งเปรียบเสมือนการเติมเต็มเรื่องราวและสีสันให้กับชีวิต

หนึ่งในแบรนด์นาฬิกาที่สามารถสะท้อนคุณค่าในมิติดังกล่าวได้อย่างชัดเจน และเป็นที่ยอมรับของนักสะสมนาฬิกาทั่วโลกมาอย่างยาวนาน คือ ยูลิส นาร์แดง (Ulysse Nardin) แบรนด์หรูสัญชาติสวิสฯ ที่สามารถหลอมรวมศาสตร์ ศิลป์ และจิตวิญญาณของแบรนด์ได้อย่างชัดเจนและลงตัว ยูลิส นาร์แดง ก่อตั้งขึ้นโดย มร. ยูลิส นาร์แดง ในปี ค.ศ. 1846 ยูลิส นาร์แดง แบรนด์ได้สร้างสรรค์ผลงานระดับอัจฉริยะไว้มากมาย ทั้งในหน้าประวัติศาสตร์การเดินเรือและเครื่องบอกเวลาชั้นสูง จนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะแบรนด์นาฬิกาที่ใช้เทคโนโลยีอันล้ำสมัย หลายๆ ช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ ยูลิส นาร์แดง เป็นหัวหอกสำคัญที่เดินหน้าปฏิวัติกลไกและวัสดุที่ใช้ในวงการนาฬิกาอย่างไม่หยุดยั้งและอย่างที่ไม่มีใครสามารถจินตนาการมาก่อนได้ เช่น การใช้นวัตกรรมวัสดุอย่างซิลิคอน (silicon) ในปี 2001 ในการผลิตชิ้นส่วนกลไก และการเผยโฉมนาฬิกาที่ไร้เม็ดมะยม (crownless) ผ่านทางการเปิดตัวคอลเลคชั่น “Freak” ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ทำให้ยูลิส นาร์แดง เป็นที่ถูกจดจำและบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์นาฬิกาสมัยใหม่ ซึ่งรวมถึงการพลิกโฉมอันน่าตื่นเต้นภายใต้ภาพลักษณ์ใหม่ Xplore ไม่นานหลังจากได้ผนึกกำลังเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกกลุ่มบริษัทสินค้าลักซ์ชัวรีระดับโลก แคริ่ง กรุ๊ป (Kering Group)

<img class="alignnone size-full wp-image-33871 aligncenter" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/08/2-1.jpg" alt="" width="720" height="480" />

มาถึงปี ค.ศ. 2020 ยูลิส นาร์แดง สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่อีกครั้ง ตอกย้ำการเป็นแบรนด์นาฬิกา        ที่ไม่หยุดค้นหาสิ่งใหม่ๆ ด้วยการออกสำรวจแบบเอ็กซ์ตรีม (Xtremes) ผ่านคอนเซปท์ Ice &amp; Fire โดยร่วมมือกับคารส์เทน พีเทอร์ (Carsten Peter) นักเขียนประจำนิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟิก ช่างภาพธรรมชาติและนักเล่าเรื่องแนวเอ็กซ์ตรีม ซึ่งเป็นที่รู้จักจากผลงานภาพสไตล์เอ็กซ์โพลซีฟ (Xplosive) และเชี่ยวชาญ  ในการบันทึกภาพเหตุการณ์ที่ไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อนของดินแดนอันไกลโพ้นและอันตรายมากมาย    จากเหนือธารน้ำแข็งมาสู่ใจกลางพายุทอร์นาโดและปีนขึ้นไปอยู่ท่ามกลางภูเขาไฟอันร้อนระอุ ตัวแทน    จิตวิญญาณของการผจญภัยและการค้นหาที่ซ่อนอยู่ภายในมนุษย์จึงพร้อมที่จะระเบิดออกมาผ่านทางเรือนเวลาภายใต้ชื่อ “Blast”
<a href="https://www.thehourglass.com/th-pmtthehourglass/ulyssenardin/blast-th?utm_source=forbes&amp;utm_medium=website&amp;utm_campaign=ulysse_nardin_blast"><img class="alignnone size-full wp-image-33872" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/08/3-1.jpg" alt="" width="720" height="480" /></a>
“Blast” คือที่สุดแห่งแรงบันดาลใจสุดเอ็กซ์ตรีมที่ถ่ายทอดออกมาอย่างทรงพลัง ภายใต้คอลเลกชั่น ยูลิส นาร์แดง สเกเลตัน ตูร์บิญอง ซึ่งถูกสร้างสรรค์ออกมาเป็น 4 สี 2 คอนเซ็ปต์ โดยมีสีโรสโกลด์และสีดำ    เป็นตัวแทนของเปลวไฟอันร้อนระอุจากการระเบิดของภูเขาไฟ และหินสีดำที่ปะทุออกมา

ถัดมา คือ สีขาวและสีฟ้า เป็นตัวแทนของธารน้ำเข็งอันหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจ Blast ขับเคลื่อนด้วยกลไกอันล้ำสมัยของยูเอ็น-172 สำรองพลังงานได้ 3 วัน และยังมีการติดตั้งตูร์บิญองอัตโนมัติเป็นครั้งแรกใน  คอลเลกชั่นนี้ ผสานกับไมโครโรเตอร์แพลทินัมขนาดจิ๋วใหม่อันทรงพลัง สามารถมองเห็นได้จากเพียง    ด้านหน้าของนาฬิกาที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา มาพร้อมรูปลักษณ์ที่ของตัวเรือนที่ดูเข้มแข็ง เผยให้เห็นความงามทั้งในและนอกตัวเรือน ทันสมัยด้วยเหลี่ยมมุมที่ได้แรงบันดาลใจของลายเส้นมาจากเหล่าเครื่องบินรบหลบหลีกเรดาร์ สะท้อนบุคลิกภาพของผู้สวมใส่ที่ให้ความรู้สึกเข้มแข็ง กล้าหาญ และสร้างสรรรค์ เมื่อ    ปรากฎบนข้อมือของผู้สวมใส่จึงเสมือนการดึงจิตวิญญาณของนักผจญภัยที่พร้อมจะปลดปล่อยเสรีภาพแห่งการค้นหา

<a href="https://www.thehourglass.com/th-pmtthehourglass/ulyssenardin/blast-th?utm_source=forbes&amp;utm_medium=website&amp;utm_campaign=ulysse_nardin_blast"><img class="wp-image-33934 size-full aligncenter" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/08/4-1.jpg" alt="" width="479" height="480" /></a>

ทั้งหมดนี้คือบทพิสูจน์ชั้นดีที่สะท้อนว่า เรือนเวลาที่ดีต้องสามารถสะท้อนคุณค่าและตัวตนของผู้สวมใส่    ในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะผ่านเรื่องราวความผูกพัน ความงาม ตลอดจนแรงบันดาลในการสร้างสรรค์นาฬิกาแต่ละรุ่น ดังนั้นการเลือกนาฬิกาที่เข้ากับบุคลิกภาพ หรือเพื่อให้มีบุคลิกภาพในแบบที่ต้องการ      จึงเป็นเรื่องที่สำคัญการลงทุนเลือกซื้อนาฬิกาซักหนึ่งเรือน จึงไม่ได้วัดจากความสวยงามเพียงอย่างเดียว    แต่รวมไปถึงการส่งมอบคุณค่าอย่างเหนือกาลเวลา สมกับคำกล่าวที่ว่า นาฬิกาบางเรือนมีมูลค่าที่ประมาณไม่ได้เลยสำหรับผู้สวมใส่บางคน หรืออาจกล่าวได้ว่าสำหรับนาฬิกานั้น
“Value is not only in the eye of the beholder but also in his soul” ...
"สัมผัสพลังความเป็นเลิศด้านดีไซน์และกับกลไกอันล้ำหน้าใน<a style="color: #333333;" href="https://www.thehourglass.com/th-pmtthehourglass/ulyssenardin/blast-th?utm_source=forbes&amp;utm_medium=website&amp;utm_campaign=ulysse_nardin_blast">เรือนเวลาคอลเลกชั่น Blast</a> จาก Ulysse Nardin ก่อนใครได้แล้ววันนี้"

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events