<h2 class="p1">นับเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีที่ Toyota ขึ้นครองอันดับ 1 บริษัทรถยนต์ที่ขายดีที่สุดประจำปี 2020 แซงหน้า Volkswagen ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมัน ที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19</h2>
<figure><img class="wp-image-40927" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/02/960x0-1.jpg" alt="Volkswagen " width="720" height="405" /><figcaption> ภาพร่างที่โชว์โครงสร้างภายในรถยนต์ไฮบริด ของ Toyota</figcaption></figure>
ล่าสุด<a href="https://www.toyota.com/prius/?addisclaimer=awd_e,see&amp;srchid=SEM_700000001483645:GOOGLE:Model_Prius:58700006186212924:toyota%20prius%202021:p55874918650:451112320542&amp;gclsrc=aw.ds&amp;&amp;gclid=Cj0KCQiA6t6ABhDMARIsAONIYyw5u1KXWKGy9UnGt5JJ-Vh-rWeecRToFa4sgH-lML7O8rBF87P_X3caAjdQEALw_wcB&amp;gclsrc=aw.ds"> Toyota </a>เผยผลประกอบการของกลุ่มบริษัท ซึ่งประกอบไปด้วยบริษัทผลิตรถยนต์ในเครืออย่าง Lexus, Daihatsu และ Hino ว่า มียอดขายลดลงร้อยละ 11 หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 9.5 ล้านคันในปี 2020 ขณะที่ยอดขายของทาง Volkswagen (VW) ซึ่งประกอบไปด้วย Porsche, Audi และ Lamborghini ปรับตัวลดลงมากถึงร้อยละ 15.2 หรือราว 9.3 ล้านคัน
ด้านกลุ่มพันธมิตรยานยนต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Renault-Nissan-Mitsubishi ครองส่วนแบ่งของตลาดเป็นลำดับที่ 3 ตามมาด้วย General Motors ในลำดับที่ 4
ในปี 2020 ที่ผ่านมา มาตรการล็อกดาวน์ในหลายประเทศทั่วโลกได้ส่งผลให้ลูกค้าหลายรายจำเป็นต้องอยู่บ้าน และหลีกเลี่ยงการเข้าชมโชว์รูม จึงเป็นเหตุให้โรงงานผลิตยานยนต์หลายแห่งลดหรือหยุดผลิตรถยนต์บางรุ่นลง
อย่างไรก็ดี จากสถิติการติดเชื้อและอัตราการเสียชีวิตในญี่ปุ่นที่ต่ำกว่าในเชิงเปรียบเทียบกับฝั่งยุโรป ทำให้ Toyota สามารถดำเนินการผลิตและทำยอดขายได้ดีกว่าในยุโรปและสหรัฐอเมริกา โดยหากพิจารณาจำนวนประชากรภายในประเทศทั้งหมด 126 ล้านคน ญี่ปุ่นมีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 อยู่ราว 5,000 คน ขณะที่สหราชอาณาจักร ซึ่งมีประชากร 66 ล้านคน มียอดผู้เสียชีวิตมากถึง 100,000 คน
เป็นระยะเวลาหลายทศวรรษที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชียต่างแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อขึ้นเป็นที่ 1 ของอุตสาหกรรม โดยในปี 2013 Toyota ได้ก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้า General Motors ที่รั้งอันดับที่ 2 จนกระทั่งถูก VW เข้ามายึดครองตำแหน่งไปในปี 2015 ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่อันดับ 1 ในปี 2017 เป็นต้นมา และเสียแชมป์ให้กับ Toyota ในปี 2021 นี้
ท่ามกลางอุปสงค์ในตลาดรถยนต์ที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาอีกครั้งจากการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ ผนวกกับความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจีน บริษัทผู้ผลิตยานยนต์หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น Toyota, VW, GM และรายอื่นๆ ต่างเริ่มหันมาให้ความสำคัญในการกระตุ้นยอดขายในรถยนต์ระบบปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า
แต่ในขณะเดียวกัน ข้อท้าทายของ Toyota ในการรักษาอันดับ 1 ก็คือ ความล่าช้าในการเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ขณะที่ในปัจจุบัน บริษัทผู้ผลิตจากยุโรปและสหรัฐฯ ต่างทยอยนำเสนอไลน์รถยนต์ไฟฟ้าจำนวนมาก แม้ว่าจะเป็นที่ทราบกันว่า ในปี 2021 นี้ Toyota พร้อมเปิดตัวรถยนต์ตระกูล Prius ที่ในคราวนี้ได้ถูกต่อยอด เพื่อเน้นทำการตลาดรถยนต์ไฮบริดโดยเฉพาะ
ในที่นี้ ทาง Toyota Europe ระบุเพิ่มเติมว่า "เทคโนโลยีไฮบริดของทางบริษัท ซึ่งมีสัดส่วนอยู่ราว 2 ใน 3 ของกำลังผลิต ได้มีส่วนช่วยให้บริษัทผ่านมาตรฐานการควบคุมมลพิษจากสหภาพยุโรป (European Emission Standards) ที่เข้มงวด ทั้งที่ยังไม่ได้เข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว" โดยมาตรฐานดังกล่าวเป็นไปเพื่อควบคุมยานพาหนะที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงให้มีการเผาไหม้ไม่เกินค่ามาตรฐานที่กำหนด ทำให้ผู้ผลิตยานยนต์ทั่วโลกต้องพัฒนาเครื่องยนต์ให้ปล่อยมลพิษออกมาน้อยที่สุด รวมไปถึงค่ามาตรฐานเสียงที่ออกมาจากปลายท่อด้วย
แปลและเรียบเรียงโดย ชญาน์นัทช์ ธนินท์พงศ์ภัค จากบทความ Toyota Grabs No 1 Spot From Volkswagen In 2020, GM Takes 4th เผยแพร่บน Forbes.com

อ่านเพิ่มเติม: <a style="color: #003300;" href="https://forbesthailand.com/world/asia/foxconn-technology-%e0%b8%8b%e0%b8%b1%e0%b8%9e%e0%b8%9e%e0%b8%a5%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b9%80%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%a3%e0%b9%8c%e0%b8%82%e0%b8%ad%e0%b8%87-apple.html">Foxconn ซัพพลายเออร์ของ Apple เตรียมสร้างโรงงาน 270 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเวียดนาม</a>

Toyota ขึ้นครองอันดับ 1 บริษัทรถยนต์ที่ขายดีที่สุดประจำปี 2020

<h2>ไทยยานยนตร์เปิดตัว Volkswagen Caravelle T69 พร้อมการตกแต่งภายในสุดพิเศษภายใต้การบริหารของ วิทิต ลีนุตพงษ์ ผู้ริเริ่มดัดแปลงและตกแต่งภายในโฟล์คสวาเกน คาราเวล ให้เป็นรถตู้อเนกประสงค์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เพียงฟังก์ชั่นการใช้งาน แต่การทำตลาดก็โดดเด่นเฉพาะตัวเช่นกัน</h2>
เมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2562 กลุ่มบริษัท ไทยยานยนตร์ ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ “โฟล์คสวาเกน คาราเวล” (Volkswagen Caravelle) จากประเทศเยอรมนี อย่างเป็นทางการในไทย ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายแบบเอ็กซ์คลูซีพมาร์เก็ตติ้ง ด้วยการเชิญลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย นักธุรกิจเจ้าของกิจการ และผู้มีชื่อเสียงในวงสังคมมาร่วมอีเวนต์เพื่อแนะนำยนตรกรรมรุ่นพิเศษ

“Thaiyarnyon Caravelle T69” คือรถยนต์นำเข้าที่ออกแบบห้องโดยสารด้วยฟังก์ชั่นพิเศษจากการออกแบบที่เรียบหรู และมีเทคโนโลยีด้วยอุปกรณ์และฟังก์ชั่นใช้งานล้ำสมัย ควบคุมและสั่งงานด้วยแท็บเล็ตผ่านแอปพลิเคชันไทยยานยนตร์ สำหรับการใช้งานกับรถแวนหรูคันนี้โดยเฉพาะ

วิทิต ลีนุตพงษ์ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทไทยยานยนตร์ คือผู้นำเสนอรายละเอียดฟังก์ชั่นการใช้งานของรถรุ่นใหม่นี้ด้วยตัวเอง ร่วมกับทีมซัพพอร์ตทั้งฝ่ายขายและทีมบริการหลังการขาย ซึ่งเป็นบรรยากาศการทำตลาดเฉพาะของไทยยานยนตร์ ที่ได้เชิญลูกค้ากลุ่มเป้าหมายซึ่งมีทั้งนักธุรกิจเจ้าของกิจการ และบุคคลผู้มีชื่อเสียงเข้ามาสัมผัสยนตรกรรมที่ออกแบบฟังก์ชั่นภายในพิเศษ เพื่อการใช้งานตามไลฟ์สไตล์ที่เรียบหรูด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย

โดยกิจกรรมการตลาดครั้งนี้จัดขึ้นที่ห้องรีเจนซี่ บอลรูม โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล เป็นการนำเสนอใน 3 วัน วันละ 2 รอบ ด้วยกิจกรรมชมยนตรกรรม Volkswagen Caravelle T69 พร้อมรับประทานมื้อเที่ยงและรอบค่ำพร้อมรับประทานอาหารมื้อค่ำ โดยเชฟมิชลินสตาร์จากนอร์มังดี โดยมีแขกรับเชิญต่อรอบประมาณ 20 คน

ซีอีโอไทยยานยนตร์เผยว่า ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายแบบนี้มาอย่างต่อเนื่องสำหรับการขายรถโฟล์คสวาเกนหลายรุ่นที่ผ่านมา และสามารถทำยอดขายเพิ่มขึ้นได้ทุกปี เพราะเป็นการจัดแบบเอ็กซ์คลูซีฟเชิญลูกค้ากลุ่มเป้าหมายโดยตรงอย่างใกล้ชิดทำให้สามารถนำเสนอรายละเอียดสินค้าให้ลูกค้าสัมผัสถึงความหรูหราและฟังก์ชั่นใช้สอยที่แตกต่างได้อย่างชัดเจน ทำให้ง่ายต่อการตัดสินใจ

“รถที่เราขายต้องบอกว่าเป็นรถคันที่ 5 หรือคันที่ 6 ของบ้าน ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้มีความพร้อมทางการเงินและเขายินดีจ่ายแลกกับฟังก์ชั่นการใช้งานที่คุ้มค่า” วิทิตย้ำและว่าในการเปิดตัวครั้งนี้และได้นำรถยนต์มานำเสนอ 2 รุ่น คือ รุ่น T69 ราคา 3.96 ล้านบาท และรุ่น T69 SE (Special Edition) ราคา 4.06 ล้านบาท

“ราคารถยนต์จะกำหนดตายตัวเป็นราคาเดียว ไม่มีส่วนลดพิเศษใดๆ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่เราทำ เพื่อไม่ให้ลูกค้ารู้สึกได้เปรียบหรือเสียเปรียบกัน”

กลุ่มไทยยานยนตร์ เองได้ออกแบบดัดแปลงภายในห้องโดยสารด้วยระบบ Thaiyarnyon Entertainment System ซึ่งไทยยานยนตร์คิดค้นขึ้นเพื่อสร้างความสะดวกสบายสูงสุดให้ลูกค้า ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการควบคุมการทำงานของระบบ Entertainment และ Partition ภายในรถ ผ่านแท็บเล็ตโดยใช้แอปพลิเคชัน Thaiyarnyon ในการควบคุม

ไม่ว่าจะเป็นจอ LED Screen พร้อมระบบปรับขึ้น-ลงด้วยไฟฟ้า และสามารถ dim หน้าจอได้ หากไม่ต้องการแสงรบกวน สามารถปรับแต่งเสียงตามความต้องการด้วย equalizer ด้วยระบบเครื่องเสียงคุณภาพสูง surround รอบทิศทางมาตรฐานโดยไทยยานยนตร์ และสามารถใช้งานออนไลน์ในการชมโทรทัศน์และฟังวิทยุผ่านแอปพลิเคชัน Thaiyarnyon และสามารถชมวิดีโอออนไลน์ผ่านระบบ Chromecast ได้

โดยรุ่นธรรมดามีให้เลือก 3 สี คือ สีขาว สีดำ และสีน้ำตาล ส่วนรุ่น T69 SE มี 2 สีให้เลือกคือ สีเทา และสีเงิน ลูกค้าสามารถเลือกสีเบาะหนัง Nappa ได้ตามต้องการ สามารถเลือกลวดลายไม้และลายพื้น เพื่อเพิ่มความหรูหราภายในห้องโดยสาร และสามารถเลือกลายล้อแม็กเพื่อเพิ่มความสวยงามของตัวรถได้ นอกจากนี้บริเวณคอนโซลด้านหน้าเป็นดีไซน์ใหม่เพิ่มความเรียบหรูและทันสมัยมากขึ้น

วิทิตเล่าว่า การจัดกิจกรรมการตลาดลักษณะนี้ เป็นอีกหนึ่งความแตกต่างของไทยยานยนตร์ที่ดำเนินธุรกิจภายใต้มาตรฐานสากล โดยยึด 4 เสาหลัก เป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจ ประกอบด้วย
<ol>
 	<li>Product Development and Design: การออกแบบภายในห้องโดยสารที่พัฒนาร่วมกับ Jacob Jensen Design ซึ่งเป็นสตูดิโอออกแบบชื่อดังระดับโลก</li>
 	<li>Quality: วัสดุที่ใช้มีคุณภาพสูง เบาะนั่งได้รับการออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ ใช้วัสดุหนัง Nappa และ Dakota หนังแท้คุณภาพสูงจากโรงงานเดียวกับผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลก และการตกแต่งภายในห้องโดยสารที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากโฟล์คสวาเกน ประเทศเยอรมนี ทั้งชิ้นส่วนและขั้นตอนการประกอบ</li>
 	<li>Safety: ระบบความปลอดภัยสูงสุดตามมาตรฐาน DEKRA และ TUV Rheinland ซึ่งเป็นผู้ให้บริการทดสอบระดับโลกและเบาะนั่งได้รับการทดสอบมาตรฐานความปลอดภัยในระดับ M1 ซึ่งเป็นมาตรฐานยุโรปที่มีความปลอดภัยสูงสุด</li>
 	<li>After Sale Service: การเข้ารับบริการภายหลังการขายของลูกค้า ต้องสะดวกและง่ายต่อการเข้ารับบริการ พร้อมทั้งการให้บริการด้วยความจริงใจ ใส่ใจทุกรายละเอียดทุกขั้นตอน ตอกย้ำาภาพลักษณ์การเป็นรถลักชัวรี่แบรนด์ที่มีความเป็นมืออาชีพ</li>
</ol>
“ด้วยบริการและคุณภาพสินค้าที่แตกต่างพร้อมการนำเสนอที่เป็นเอกลักษณ์ เราเชื่อว่าจะผลักดันยอดขายรถ Volkswagen Caravelle สู่เป้าหมาย 500 คันได้ในปี 2563”

ผู้บริหารไทยยานยนตร์ย้ำและว่า Thaiyarnyon Caravelle เป็นรถหรูตกแต่งแบรนด์ไทยที่ได้การยอมรับเป็นอย่างดี ด้วยผลงานการตกแต่งห้องโดยสารอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของไทยยานยนตร์ จากฝีมือทีมวิศวกรและช่างยนต์ที่มากด้วยทักษะประสบการณ์ รวมถึงการจัดโฟกัสกรุ๊ปสำรวจความต้องการ และความพึงพอใจของลูกค้าเพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

โดยทุกขั้นตอนผ่านการรับรองมาตรฐานจากบริษัทแม่ของโฟล์คสวาเกนประเทศเยอรมนีด้วยจุดแข็งดังกล่าวทำให้กลุ่มบริษัทไทยยานยนตร์ได้รับการติดต่อจากบริษัทแม่ของโฟล์คสวาเกนให้เข้าไปเซอร์วิสการตกแต่งห้องโดยสารในแบบลักชัวรี่ของไทยยานยนตร์ให้กับโฟล์คสวาเกนในไต้หวัน

“การเชิญชวนดังกล่าว ถือเป็นโอกาสสำคัญในการนำร่องเพื่อทำให้ไทยยานยนตร์ขยายตลาดไปยังประเทศอื่นๆ ต่อไปในอนาคต” วิทิตกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า คำเชิญชวนจากบริษัทแม่ที่เยอรมนีครั้งนี้ นับเป็นความสำเร็จของการสร้างแบรนด์ยนตรกรรมดัดแปลงของไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

ภาพ: ไทยยานยนตร์
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/people/วิทิต-ลีนุตพงษ์-ไทยยานยน.html">อ่านเพิ่มเติม: “วิทิต ลีนุตพงษ์” จากยนตรกิจสู่ไทยยานยนตร์ ธุรกิจครอบครัวถึงเวลาต้องเปลี่ยน</a></li>
</ul>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

&nbsp;

Volkswagen Caravelle T69 “หรูที่ฟังก์ชั่น”

"วิทิต ลีนุตพงษ์" จากยนตรกิจสู่ไทยยานยนตร์ ธุรกิจครอบครัวถึงเวลาต้องเปลี่ยน

<h2 class="p3">ดีลข้ามทวีป! Volkswagen เตรียมเซ็นสัญญาร่วมลงทุนในโครงการ Argo AI ของ Ford แพลตฟอร์มเทคโนโลยีควบคุมยานพาหนะไร้คนขับ โดยดีลครั้งนี้จะทำให้ระบบ Argo มีมูลค่าสูงถึง 7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ</h2>
บริษัท Ford Motor และ Volkswagen AG (VW) ประกาศว่า พวกเขาเตรียมเซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรกันในโครงการ Argo AI โดย Argo เป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่ Ford เข้าลงทุนเมื่อ 2 ปีก่อน ด้วยสัญญาเงินลงทุน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
ฟาก VW เมื่อตัดสินใจดีลร่วมทุน พวกเขาเซ็นสัญญาเพิ่มทุนให้กับ Argo อีก 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ พร้อมซื้อหุ้นจาก Ford ที่มีใน Argo อีก 500 ล้านเหรียญภายในช่วง 3 ปีจากนี้ รวมถึงยังควบรวมบริษัทลูก Autonomous Intelligent Driving (AID) มูลค่า 1.6 พันล้านเหรียญของตนเองเข้ากับบริษัท Argo ด้วย
ดีลร่วมทุนครั้งนี้ทำให้มีการประเมินมูลค่าของทั้งโครงการเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และนับเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามอง เนื่องจากการนำระบบ Argo ติดตั้งในยานพาหนะของแบรนด์ Ford และ Volkswagen จะทำให้ระบบ Argo มีโอกาสบุกตลาดแมสระดับโลก
“ขณะที่ Ford และ Volkswagen จะยังต่อสู้อย่างเข้มข้นในตลาด การร่วมมือกันทำงานในระบบ Argo AI ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสำคัญนั้น จะส่งผลให้พวกเราสามารถก้าวสู่ศักยภาพ ขนาด และพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน” Jim Hackett ประธานและซีอีโอของ Ford อธิบาย
“การปลดล็อกการทำงานร่วมกันในพื้นที่หนึ่ง ทำให้เราสามารถแสดงพลังของความเป็นพันธมิตรระดับโลกได้ในยุคแห่งยานยนต์อัจฉริยะสำหรับโลกอัจฉริยะ”

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/ford-%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a8-%e0%b8%a5%e0%b8%94%e0%b8%9e%e0%b8%99%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%87%e0%b8%b2%e0%b8%99.html">ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่! Ford ประกาศ “ลดพนักงาน” 7,000 คนทั่วโลก</a></li>
</ul>
ด้าน Herbert Diess ซีอีโอ VW กล่าวในการแถลงข่าวว่า การร่วมมือกันครั้งนี้เป็นการนำกลุ่มคนที่ฉลาดที่สุดในสายงานพาหนะไร้คนขับมารวมตัวกัน ผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์จะร่วมทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ เพื่อรับมือกับความท้าทายในการพัฒนาพาหนะไร้คนขับที่มีความปลอดภัยและใช้งานได้จริง
“นี่เป็นสถานการณ์ที่ win-win กันทั้งสองฝ่าย” Diess กล่าว


<figure><img class="size-full wp-image-10892" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/07/000_1IO01U-e1563174861624.jpg" alt="Argo AI" width="800" height="496" /><figcaption> (ซ้าย) Herbert Diess ซีอีโอ Volkswagen AG ถ่ายภาพร่วมกับ (ขวา) Jim Hackett ประธานและซีอีโอ Ford Motor ในงานแถลงข่าวร่วมกันที่ New York เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2019 (PHOTO CREDIT: Johannes Eisele / AFP)</figcaption></figure>
ดีลนี้คาดการณ์ว่าจะสำเร็จลุล่วงภายในครึ่งปีแรกปี 2020 ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการอนุมัติ ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัท Argo จะปรับเป็นบอร์ดที่ประกอบด้วยกรรมการจาก VW 2 คน จาก Ford 2 คน และจาก Argo 3 คน
ส่วนการนำระบบไปใช้นั้น Hackett กล่าวว่า Argo จะมีลูกค้า 2 รายแยกจากกันคือ VW และ Ford ต่างคนต่างนำระบบไปใช้ในโมเดลยานยนต์ของตนเอง แม้ว่าอาจจะมีการร่วมมือกันบ้างในบางจุด สิ่งสำคัญที่สุดในการร่วมมือครั้งนี้คือแต่ละบริษัทจะได้ลดต้นทุนการพัฒนา
&nbsp;
<h2 class="p4">แผ่อาณาจักรข้ามทวีป</h2>
Argo AI เป็นระบบที่มุ่งเน้นการพัฒนายานพาหนะไร้คนขับระดับ 4 ซึ่งหมายถึงพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยตนเองได้ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด เช่น แท็กซี่ไร้คนขับหรือพาหนะบริการเดลิเวอรี่ ซึ่งขับเคลื่อนอยู่ในพื้นที่จำกัด พาหนะไร้คนขับระดับ 4 นั้นจะมีความก้าวหน้าจนอาจจะไม่มีพวงมาลัยติดตั้งไว้ก็ได้
เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทเพิ่งจะทดสอบระบบเจนเนอเรชั่นที่ 3 กับรถยนต์ Ford Fusion Hybrid ไป โดยระบบรุ่นใหม่นี้ นอกจากจะมีแผนที่ความละเอียดสูงแล้ว ยังอัพเกรดระบบเซ็นเซอร์รอบคัน พัฒนาระบบเรดาร์และกล้องที่จับภาพได้ละเอียดขึ้นด้วย
บริษัทสตาร์ทอัพแห่งนี้มีฐานการพัฒนาและทดสอบหลักใน Pittsburgh รัฐ Pennsylvania สหรัฐอเมริกา แต่มีการทดสอบในพื้นที่อื่นๆ ของสหรัฐฯ ด้วย เช่น Austin, Miami, Palo Alto, Washington D.C., Detroit 
ดังนั้น การควบรวม AID เข้ามาใน Argo จะทำให้บริษัทมีสำนักงานใหญ่ในทวีปยุโรปทันที เพราะ AID นั้นมีฐานหลักอยู่ใน Munich ประเทศเยอรมนี โดยบริษัทเตรียมขยายทีม AID เพิ่มขึ้นอีก 40% ในอนาคต ทีมสำนักงานยุโรปนี้จะมีพนักงานมากกว่า 700 คน

<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/global/softbank-%e0%b8%a5%e0%b8%87%e0%b8%97%e0%b8%b8%e0%b8%99-nuro.html">Softbank เทเม็ดเงิน 940 ล้านเหรียญลงทุนใน Nuro สตาร์ทอัพรถไร้คนขับเดลิเวอรี่</a></li>
</ul>
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จับมือกันพัฒนาโครงการยานพาหนะไร้คนขับ เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมนี้เอง สองค่ายรถยนต์เยอรมัน Daimler AG และ BMW Group เพิ่งจะเซ็นสัญญาร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีพาหนะไร้คนขับ มุ่งเน้นด้านระบบผู้ช่วยคนขับ เซ็นเซอร์ การขับรถบนทางหลวง และการจอดรถอัตโนมัติ โดยจะมีการพัฒนาศูนย์ข้อมูลและบริหารจัดการร่วมกัน
&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://techcrunch.com/2019/07/12/vw-invests-2-6-billion-in-self-driving-startup-argo-ai-as-part-of-ford-alliance/">VW invests $2.6 billion in self-driving startup ArgoAI part of Ford alliance</a></li>
 	<li><a href="https://www.forbes.com/sites/annatobin/2019/07/14/ford-and-volkswagen-enter-self-driving-car-joint-venture/#414c49c17cc8">Ford And Volkswagen Enter Self-Driving Car Joint Venture</a></li>
 	<li><a href="https://techcrunch.com/2019/06/12/argo-ai-is-taking-its-new-generation-of-self-driving-vehicles-into-downtown-detroit/">ArgoAI is taking its new generation of self-driving vehicles into downtown Detroit</a></li>
 	<li><a href="https://www.forbes.com/sites/annatobin/2019/07/07/what-are-the-different-levels-of-self-driving-cars/#bdd4e1ff4750">What Are The Different Levels Of Self-Driving Cars?</a></li>
</ul>

Ford ร่วมทุน Volkswagen พัฒนา Argo AI ควบคุมยานพาหนะไร้คนขับ

<h2>กรุง Berlin สั่งห้ามรถเครื่องยนต์ดีเซล ขับบนถนนสายหลักในเมืองหลวง โดยมีผลบังคับใช้ภายใน 2-3 เดือนข้างหน้านี้ หวังลดมลพิษซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ขณะเดียวกันก็กำลังเผชิญแรงกดดันจากกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม</h2>
ศาลกรุง Berlin ประเทศเยอรมนี ได้ออกคำสั่งเมื่อวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา ประกาศ ห้ามรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลสัญจรบนถนนเส้นหลัก 11 สายภายในเมืองหลวง ตามหลังเมืองใหญ่ Hamburg , Frankfurt และ Stuttgart ที่มีคำสั่งห้ามไปก่อนหน้านี้

สำหรับการสั่งห้ามรถยนต์ดีเซลวิ่งในหลายเมืองใหญ่ของเยอรมนี เป็นผลพวงมาจากเหตุอื้อฉาว “dieselgate” ซึ่งพัวพันกับการโกงค่าไอเสียเครื่องยนต์ดีเซลของ Volkswagen ที่จำหน่ายทั่วโลกจำนวนกว่า 11 ล้านคัน เมื่อปี 2015 ส่งผลให้เกิดการยื่นฟ้องศาลตามเมืองต่างๆ ทั่วเยอรมนี

โดยกลุ่มรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมในเยอรมนี ที่มีชื่อว่า DUH ได้ยื่นคำร้องให้สภาเมืองเบอร์ลิน ลดมลพิษทางอากาศโดยการสั่งเเบนรถยนต์ดีเซล ตามมาตรฐานการปล่อยไอเสียระดับ EURO 4 ภายในปี 2018 และยกระดับเป็น EURO 5 ภายในเดือนกันยายนปีหน้า ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานในยุโรปล่าสุดกำหนดไว้ถึง EURO 6

ผู้พิพากษากรุงเบอร์ลิน ระบุว่าการจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพอากาศในปัจจุบัน ยังไม่มีมาตรการเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายในการควบคุมปริมาณการปล่อย ไนโตรเจน ไดอ็อกไซด์ (NO2) ซึ่งเป็นอันตรายต่อมนุษย์ ดังนั้นเพื่อให้มลพิษลดลง รัฐบาลท้องถิ่นจึงต้องมีการสั่งเเบนรถยนต์ที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน

นอกจากนี้ รัฐบาลท้องถิ่นของกรุงเบอร์ลินจะต้องทำการตรวจสอบว่าจำเป็นต้องมีการสั่งห้ามรถยนต์ดีเซลขับขี่ในพื้นที่อื่นๆ เพิ่มเติมอีกหรือไม่ เเละจะต้องเสนอเเผนการปรับปรุงสภาพอากาศรูปแบบใหม่ต่อศาล ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2019 ทั้งนี้หน่วยงานที่รับผิดชอบ สามารถยื่นอุทธรณ์ต่อคำสั่งศาลครั้งล่าสุดได้

ส่วนการห้ามรถยนต์ดีเซลวิ่งบนถนนเมืองหลวงทั้ง 11 สาย ศาลมีคำสั่งให้เริ่มดำเนินการภายใน 2-3เดือนนับจากนี้ สื่อท้องถิ่นประเมินว่าอาจส่งผลกระทบต่อรถยนต์จำนวนกว่า 200,000 คัน โดยเมือง Hamburg ซึ่งบังคับใช้มาก่อนหน้านี้มีมาตรการลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนนำรถยนต์ดีเซลมาวิ่งในพื้นที่กำหนด เป็นค่าปรับสำหรับรถยนต์ส่วนบุคคล 20 ยูโร เเละรถบรรทุกต้องจ่ายถึง 75 ยูโร

&nbsp;

Forbes Facts

มาตรฐาน Euro 6 กำหนดค่าความแตกต่างระหว่างเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล โดยกำหนดให้เครื่องยนต์ดีเซล ลดค่า Nitrogen oxides จากเดิมมาตรฐาน Euro 5 อยู่ที่ 180 มิลลิกรัม/กม. ลงเหลือมาตรฐาน Euro 6 เพียงไม่เกิน 80 มิลลิกรัม/กม. ขณะที่ในเครื่องยนต์เบนซิน ยังกำหนดที่ 60 มิลลิกรัม/กม.

ตามรายงานของ องค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าก๊าซ Nitrogen oxides (NOx) เเละ nitrogen dioxide (NO2) มีอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ ทำให้มีอาการหอบหืดและโรคหลอดลมอักเสบมากขึ้น อีกทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ ระบบหลอดเลือดและระบบทางเดินหายใจ

&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li>https://www.afp.com/en/news/826/court-orders-diesel-ban-major-berlin-roads-doc-19w21j5</li>
 	<li>https://www.reuters.com/article/us-germany-emissions/german-court-bans-older-diesel-cars-in-parts-of-berlin-idUSKCN1MJ18N</li>
 	<li>https://www.telegraph.co.uk/news/2018/10/09/berlin-court-orders-german-capital-ban-diesel-vehicles-11-major/</li>
</ul>
ภาพ: AFP

ลดมลพิษ กรุง Berlin สั่งห้าม 'รถยนต์ดีเซล' ขับบนถนนสายหลักในเมืองหลวง

<h2>คงเป็นข่าวดีสำหรับ Detroit เมื่อชาวจีนมีเงินมากขึ้น พวกเขาก็อยากได้รถยนต์ขนาดใหญ่ยิ่งขึ้น?</h2>
อันที่จริงแล้วเป็นโอกาสทำเงินของบริษัทผลิตยานยนต์สัญชาติจีนเองต่างหาก เนื่องจากพวกเขาสามารถจำหน่ายรถ SUV ได้ในราคาถูกกว่า ในปี 2016 แบรนด์ยานยนต์ที่ขายดีที่สุด 5 อันดับแรกนั้น 3 อันดับเป็นแบรนด์สัญชาติจีน ซึ่งถือว่าเป็นพัฒนาการแบบก้าวกระโดดหลังจากที่เพียง 5 ปีก่อนหน้านั้น แบรนด์จีนไม่ติดอันดับเลย

<img style="width: 680px; height: 318px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/ecfba88e0c442fac7544d342cbfb86cb.png" alt="" />
ปี 2016: อันดับ1 Wuling Hongguang (ค่ายยานยนต์ Wuling Motors จากประเทศจีน) ยอดขาย 650,018 คัน
ปี 2011: อันดับ1 Buick Excelle (ค่ายยานยนต์ Buick Motor Division จากสหรัฐฯ)     ยอดขาย 253,514 คัน

&nbsp;

<img style="width: 680px; height: 318px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/37206b25d2a9fbc8bc7d85bb628f619a.png" alt="" />

ปี 2016: อันดับ 2. Great Wall: Haval h6 (ค่ายยานยนต์ Great Wall Motors จากประเทศจีน)         ยอดขาย 580,683 คัน
ปี 2011: อันดับ 2. VolksWagen: Lavida (ค่ายยานยนต์ Volkswagen Group จากประเทศเยอรมัน) ยอดขาย 247,475 คัน

<img style="width: 680px; height: 318px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/eb247805f644b5f68a53c5c0cf3bfb85.png" alt="" />

ปี 2016: อันดับ 3. VolksWagen Lavida (ค่ายยานยนต์ Volkswagen Group จากประเทศเยอรมัน) ยอดขาย 478,699 คัน
ปี 2016: อันดับ 3. Chevy Cruze (ค่ายยานยนต์ General Motors จากสหรัฐฯ) ยอดขาย 221,196 คัน

<img style="width: 680px; height: 318px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/70379ca44eb30c02dfab0c044353baad.png" alt="" />

ปี 2016: อันดับ 4. Buick Excelle GT (ค่ายยานยนต์ Buick Motor Division จากสหรัฐฯ) ยอดขาย 370,370 คัน
ปี 2011: อันดับ 4.  VolksWagen Jetta (ค่ายยานยนต์ Volkswagen Group จากประเทศเยอรมัน) ยอดขาย 217,861 คัน

<img style="width: 680px; height: 318px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/df27685f4b9134058d66768fd0f8479a.png" alt="" />

ปี 2016: อันดับ 5. Baojun 730 (ค่ายยานยนต์ SAIC-GM-Wuling Automobile ประเทศจีน) ยอดขาย 370,169 คัน
ปี 2011: อันดับ 5. VolksWagen Bora (ค่ายยานยนต์ Volkswagen Group จากประเทศเยอรมัน) ยอดขาย 207,041 คัน

ที่มา: สมาคมผู้ผลิตยานยนต์จีน (China Association of Automotive Manufacturers)

<hr />

<a href="https://goo.gl/hxJLvV">อ่านบทความเพื่อสร้างแรงบันดาลใจทางด้านธุรกิจ ได้ที่ Forbes Thailand Magazine ฉบับ กันยายน 2560 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="https://goo.gl/hxJLvV"><img style="width: 250px; height: 330px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/e09455f207b9668923eadb71ef5fb133.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events