แม้ปี 67 ตลาดรถยนต์ไทยสุดหิน! แต่ Volvo โต 1% ปีนี้จ่อเปิดตัวใหม่ 4 รุ่น – เปิดบริการ SMART Repair

<h2>ค่ายรถยักษ์ใหญ่อย่าง 'Volvo' ต้องล้มแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า EV เต็มรูปแบบภายในปี 2030 ที่เคยประกาศไว้เมื่อ 3 ปีก่อน เหตุมาจากดีมานด์ความต้องการผู้บริโภคชะลอตัวลง สภาวะตลาดไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำนักข่าว BBC ได้รายงานข้อมูลล่าสุดว่า บริษัทรถยนต์ค่ายวอลโว่ได้ละทิ้งเป้าหมายจากเดิมที่เคยประกาศไว้เมื่อ 3 ปีก่อน ว่าจะผลิตและจำหน่ายเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้เต็มรูปแบบภายในปี 2030 ทั้งนี้ การปรับเปลี่ยนแผนดังกล่าวเป็นผลมาจากสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป จากการที่ภาคอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า EV ได้ชะลอตัวลงในตลาดหลักๆ บางแห่ง ประกอบกับความไม่แน่นอนอันเนื่องมาจากการกำหนดภาษีการค้าสำหรับรถ EV ที่ผลิตในจีน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ที่ผ่านมา วอลโว่ มักจะชูจุดเด่นในเรื่องของการรับรองด้านสิ่งแวดล้อม แต่ปัจจุบันได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งค่ายรถยนต์ที่ปรับลดความทะเยอทะยานที่จะพุ่งเป้าในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเดียวลง ไม่ต่างจากค่ายยักษ์ใหญ่รายอื่นๆ อาทิ&nbsp; เจนเนอรัล มอเตอร์ส และ ฟอร์ด&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ คาดว่า ภายในปี 2030 ราวๆ 90% ของกำลังการผลิตรถยนต์วอลโว่ จะประกอบด้วยรถยนต์ไฟฟ้า และรถ PHEV หรือรถปลั๊กอินไฮบริด นอกจากนี้ทางบริษัทอาจจะจำหน่ายรถรุ่น Mild Hybrid (MHEV) หรือระบบที่เครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าอีกเล็กน้อย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/09/NdfGK1kjsAyXZvUwjr88.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-index="0" data-file-name="NdfGK1kjsAyXZvUwjr88.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style=""></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เรายังเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าอนาคตของเราคือพลังงานไฟฟ้า แม้ว่าตอนนี้การเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานดังกล่าวจะยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ อีกทั้งดีมานด์ความต้องการของตลาดและกลุ่มลูกค้าก็ปรับเปลี่ยนไปในทางที่แตกต่างกัน” Jim Rowan, chief executive of Volvo เผย นอกจากนี้ ทางวอลโว่ยังระบุอีกด้วยว่า ทิศทางธุรกิจสำหรับตลาดรถอีวียังเปลี่ยนไปจากหลายปัจจัย ยกตัวอย่าง เช่น การเปิดตัวสถานีชาร์จที่ล่าช้าส่งผลให้แรงจูงใจในการซื้อของผู้บริโภคลดน้อยลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตาม Anna McDonald นักวิเคราะห์อิสระ ยังให้ความเห็นด้วยว่า “ผู้บริโภคจำนวนมากยังมีความกังวลเกี่ยวการเปลี่ยนไปใช้รถ EV เช่น เงินอุดหนุนบางส่วนที่รัฐบาลกำหนดไว้เพื่อสนับสนุนในการซื้อรถ EV นั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว รวมถึงความกังวลถึงความสะดวกในการหาสถานีชาร์จไฟรถยนต์ ที่ยังคงทำให้รถ EV มีราคาสูงอยู่” แปลและเรียบเรียงจากบทความ :&nbsp;<a href="https://www.bbc.com/news/articles/c3ejye39434o" alt="Volvo gives up plan to sell only EVs by 2030">Volvo gives up plan to sell only EVs by 2030</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/global/it/xiaomi-q-2-2024-revenue-growth-yoy" alt="Xiaomi อวดรายรับ Q2/67 ทำนิวไฮที่ 8.89 หมื่นล้านหยวน โตเพิ่ม 32% YoY"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/toyota-lowers-production-target-2024-9-8-millions-vehicles" alt="Toyota มั่นใจยอดขายกระเตื้อง หลัง Yaris Cross และ Corolla กลับมาผลิตและส่งออกได้ตามปกติ">Toyota มั่นใจยอดขายกระเตื้อง หลัง Yaris Cross และ Corolla กลับมาผลิตและส่งออกได้ตามปกติ</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Volvo ถอดใจ ล้มแผนผลิตรถ EV เต็มสูบภายในปี 2030 เหตุสภาวะตลาดและดีมานด์ไม่เป็นไปตามคาด

<h2>ตอกย้ำการเข้าสู่รถยนต์ไฟฟ้า! วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย ประกาศเปลี่ยนชื่อรุ่นเดิมสู่ชื่อใหม่ Volvo EC40 และ EX40 ยุติการใช้คำว่า Recharge พร้อมเปิดตัวรุ่นพิเศษ แบล็ค เอดิชั่น (Black Edition) ราคาเริ่มต้น 2,390,000 บาท</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Volvo EC40 และ EX40 ได้รับการเปลี่ยนชื่อจากรุ่นเดิม ได้แก่ Volvo C40 Recharge และ XC40 Recharge ตามลำดับ เพื่อสร้างความชัดเจนให้กลุ่มผลิตภัณฑ์รถไฟฟ้าจากวอลโว่ และสอดคล้องกับรุ่นที่เพิ่งเปิดตัวอย่าง Volvo EX30 นอกจากนี้ วอลโว่ ยังได้ยุติการใช้คำว่า Recharge ในชื่อผลิตภัณฑ์ทุกรุ่นรวมถึงรถปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid)&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คริส เวลส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย กล่าวว่า “เพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนแก่ผู้บริโภค และเตรียมความพร้อมสู่การเป็นบริษัทรถไฟฟ้าในอนาคต วอลโว่ คาร์ จึงเปลี่ยนชื่อรถไฟฟ้าสองรุ่นแรกของเราให้สอดคล้องกับรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ ที่เพิ่งเปิดตัว เราเชื่อว่าชื่อผลิตภัณฑ์ที่ถูกเปลี่ยนจะช่วยมอบความชัดเจนแก่ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้นเมื่อซื้อรถไฟฟ้า หรือรถปลั๊กอินไฮบริด จากวอลโว่”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากชื่อและเจเนอเรชั่นใหม่ วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย ยังประกาศการจำหน่าย Volvo EC40 และ Volvo EX40 ในรุ่น Black Edition เพื่อมอบตัวเลือกที่มากขึ้นแก่ผู้บริโภคที่มองหารถไฟฟ้าที่มีดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ สีโดดเด่นสะดุดตา และให้คุณสมบัติการใช้งานที่คล่องตัว ตอบโจทย์ในทุกบทบาทที่เป็นคุณ ในทุกมิติของการใช้ชีวิต​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/XuHWVjvksk6EteP8qW9s.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="XuHWVjvksk6EteP8qW9s.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,540"><figcaption><div>Volvo EC40 Black Edition</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ Black Edition มาพร้อมการออกแบบโทนสีภายนอกด้วยสีดำ Onyx Black องค์ประกอบการตกแต่งอื่นๆ อาทิ โลโก้วอลโว่ที่กระจังหน้า ตัวอักษรวอลโว่ที่ด้านหลัง ป้ายชื่อรุ่น และล้อแม็กซ์อัลลอย์ขนาด 20 นิ้ว ดีไซน์ 5 ก้าน ล้วนมาในสีดำไฮกรอส&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภายในตกแต่งด้วยโทนสีเข้มรับกับสีตัวรถด้านนอก อาทิ พวงมาลัยแบบสปอร์ตที่ออกแบบมาเพื่อการจับที่ถนัดมือ เพดานหลังคาภายใน และการตกแต่งภายในมาในโทนสีดำ charcoal เบาะที่นั่งผลิตขึ้นจากวัสดุเนื้อผ้าสีดำแบบ Connect Suede Textile/ Microtech ให้สัมผัสพรีเมียมที่แฝงความเท่ไว้ในตัว ทำให้ Black Edition ของรถทั้งสองรุ่นมีความสปอร์ต และเรียบหรู ในคันเดียวกัน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/jPmxRJodzNe8yYi4J6aj.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="jPmxRJodzNe8yYi4J6aj.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1" origin-size="720,540"><figcaption><div>Volvo EX40 Black Edition</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ตำแหน่งการจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ ภายในห้องโดยสารของ Volvo EC40 และ Volvo EX40 ได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดีเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้จริง ไม่เกะกะ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทั้งผู้ขับและผู้โดยสารสามารถเข้าถึงการใช้งานต่างๆ ภายในรถได้ง่าย ทั้งยังให้ลุคที่มินิมอล เรียบหรู ในแบบสแกนดิเนเวียนดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของวอลโว่&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกเหนือจากตัวเลือกพิเศษอย่างรุ่น Black Edition รถไฟฟ้า Volvo EC40 และ EX40 ยังมาพร้อมสีตัวถังภายนอกใหม่ ได้แก่ สี Sand Dune ที่ตัดกับโครงหลังคาสีดำของตัวรถอย่างลงตัว​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/07/F2ZqQ2uYWrDWU2JbigyJ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="F2ZqQ2uYWrDWU2JbigyJ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2" origin-size="720,488"><figcaption><div>สี Sand Dune</div></figcaption></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;รถทั้งสองรุ่นมาพร้อมระบบสาระบันเทิง (infotainment) ที่มีคุณสมบัติและประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม โดยรองรับการทำงานร่วมกับแอปพลิเคชั่นจาก Google และระบบปฏิบัติการ Android โดยผู้ใช้งานสามารถใช้บริการจาก Google อาทิ บริการนำทาง Google Maps, การสั่งงานต่างๆ ผ่าน Google Assistant หรือดาว์นโหลดแอปที่รองรับผ่าน Google Play Store&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พลังขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ (Twin Motor)* ของ Volvo EC40 และ EX40 ให้ระยะทางการขับสูงถึง 650 กิโลเมตร ใน Volvo EC40 และ 645 กิโลเมตรใน Volvo EX40 แบตเตอรี่ความจุขนาด 82kWh แรงม้าสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้า 408hp ให้แรงบิดสูงสุดถึง 670Nm รองรับการชาร์จสูงสุดที่ 200 kW DC.&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พลังขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว (Single Motor)* ของ Volvo EC40 และ EX40 ให้ระยะทางการขับสูงถึง 590 กิโลเมตร ใน Volvo EC40 และ 565 กิโลเมตร ใน Volvo EX40 แบตเตอรี่ความจุขนาด 69kWh แรงม้าสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้า 238hp ให้แรงบิดสูงสุดถึง 420Nm รองรับการชาร์จสูงสุดที่ 150 kW DC.&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับราคาของ Volvo EC40 และ EX40 เจเนอเรชั่นใหม่ รวมถึงรุ่น Black Edition มีดังต่อไปนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-Volvo EC40 Ultra - Twin Motor Black Edition ราคา 2,490,000 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-Volvo EX40 Ultra - Twin Motor Black Edition ราคา 2,390,000 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-Volvo EC40 Ultra - Twin Motor ราคา 2,790,000 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-Volvo EC40 Ultra – Single Motor ราคา 2,090,000 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-Volvo EX40 Ultra - Twin Motor ราคา 2,690,000 บาท&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;-Volvo EX40 Ultra – Single Motor ราคา 1,990,000 บาท เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/motoring/tta-mou-king-long" alt="TTA ของตระกูล ‘มหากิจศิริ’ จับมือค่ายรถจีน King Long เรียบร้อย บุกตลาด ‘กระบะไฟฟ้าเชิงพาณิชย์’ ในไทย">TTA ของตระกูล ‘มหากิจศิริ’ จับมือค่ายรถจีน King Long เรียบร้อย บุกตลาด ‘กระบะไฟฟ้าเชิงพาณิชย์’ ในไทย</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

เปลี่ยนชื่อใหม่สู่ Volvo EC40 และ EX40 พร้อมเปิดตัว Black Edition ราคารุ่นพิเศษเริ่ม 2.39 ล้านบาท

วิน สันติพงศ์ไชย  ปรับพิกัดชาร์จพลังสปีด GT Auto

<h2 class="p5">Volvo Cars (ประเทศไทย) เดินหน้าส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษแก่ลูกค้า ผ่านการเปิดตัว Volvo Studio Bangkok ซึ่งเป็น Brand Experience Center แห่งแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ณ ห้าง ICONSIAM</h2>
Volvo Studio Bangkok ถ่ายทอดอัตลักษณ์และความเป็นแบรนด์รถยนต์ระดับพรีเมียมสัญชาติสวีดิชของวอลโว่ได้เป็นอย่างดี โดยผู้มาเยือนสามารถสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นภายใต้การออกแบบที่คงคอนเซ็ปต์ความหรูหราอย่างลงตัว ทั้งในด้านสถาปัตยกรรม การตกแต่งภายใน แสง สี และเสียง
<img class="alignnone size-full wp-image-64904" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/06/Volvo-studio-bangkok-8_resize.jpg" alt="" width="720" height="480" />
เป้าหมายในการเปิดตัวสตูดิโอแห่งนี้คือ การส่งเสริมให้ผู้ที่เข้าเยี่ยมชมได้รู้จัก Volvo มากยิ่งขึ้นด้วย “Your Car Area” บริเวณพื้นที่สำหรับลูกค้าที่ต้องการทราบข้อมูลเทคโนโลยีใหม่ๆ และนวัตกรรมต่างๆ โดยจะมีผู้เชี่ยวชาญจาก Volvo คอยให้คำแนะนำ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตัวอย่างสีภายนอก และภายในรถยนต์ การแสดงนวัตกรรมความปลอดภัย สมรรถนะการขับเคลื่อนของรถยนต์ ผ่านจอ LED ขนาดใหญ่ที่โดดเด่นบริเวณกลางพื้นที่ โดยทางบริษัทได้มีการวางแผนเปิดตัวกิจกรรมเสริมสร้างประสบการณ์ลูกค้า ณ สตูดิโอแห่งนี้ทุกๆ 3 เดือน
อีกทั้ง สตูดิโอแห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นพื้นที่สำหรับจัดแสดงรถยนต์เท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่ที่สามารถถ่ายทอดความเป็นเอกลักษณ์ของ Volvo อีกด้วย เห็นได้อย่างชัดเจนในการออกแบบที่นำสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของประเทศสวีเดนมาถ่ายทอดผ่าน 3 องค์ประกอบหลัก 
องค์ประกอบแรกคือ แสงไฟภายในสตูดิโอ ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากแสงของแถบสแกนดิเนเวีย ผ่านการซ่อนหลอดไฟ LED ไว้บนฝ้าเพดาน ซึ่งในแต่ละพื้นที่ของสตูดิโอนั้น มีการจัดแสงไฟที่แตกต่างกัน เพื่อสร้างบรรยากาศและความรู้สึกของพื้นที่ในแต่ละสัดส่วน นอกจากนี้ ผนังของสตูดิโอยังมีการใช้ไม้แอชสีอ่อนเป็นวัสดุหลัก เพื่อสร้างบรรยากาศชวนฝันของผืนป่าในแถบสแกนดิเนเวีย และการปูพื้นคอนกรีต ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหน้าผาหินแกรนิตอันกว้างใหญ่ ตามแบบฉบับของประเทศสวีเดนตะวันตก
<img class="alignnone wp-image-64905 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/06/Volvo-Studio-Bangkok-Opening-Ceremony.jpg" alt="Volvo Studio Bangkok Opening Ceremony" width="720" height="480" />
Chris Wailes กรรมการผู้จัดการ ประจำ Volvo Cars (ประเทศไทย) กล่าวว่า "วอลโว่ตั้งมั่นที่จะเป็นแบรนด์ที่ใส่ใจในความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก ไปจนถึงการนำเสนอประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้แก่ลูกค้าอย่างไม่หยุดยั้ง และการเปิดตัว Volvo Studio Bangkok ในครั้งนี้ ยังเป็นเครื่องยืนยันว่าประเทศไทยเป็นตลาดที่สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้ง ยังเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของวอลโว่ คาร์ ประเทศไทยด้วย"
อีกทั้ง เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน ​Wailes เผยกับ Forbes Thailand ว่าวัสดุต่างๆ ที่ใช้ในการก่อสร้างเป็นวัสดุท้องถิ่น ไม่มีการนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นวิธีง่ายๆ ที่ทางบริษัทสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ รวมถึงภาชนะต่างๆ ที่ใช้ในมินิบาร์ และของตกแต่งอื่นๆก็ผลิตมาจากวัสดุ biodegradable อีกด้วย

<img class="alignnone wp-image-64906 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/06/Volvo-studio-bangkok_Cafe.jpg" alt="Volvo Studio Bangkok Minibar" width="720" height="480" />
ทั้งนี้ หนึ่งในแนวคิดหลักของสตูดิโอแห่งนี้ คือการสร้างพื้นที่ใจกลางเมืองที่ลูกค้าสามารถเข้าใช้บริการเพื่อพักผ่อนหย่อนใจได้ ในขณะเดียวกัน ก็ยังสามารถสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ได้อย่างเป็นกันเอง ซึ่งนอกจากจะมีการจัดแสดงรถยนต์แล้ว ซึ่งรถยนต์ที่ถูกนำมาจัดแสดง จะเป็นรถยนต์เฉพาะรุ่นไฮไลท์เท่านั้น ยังมีการเปิดโซนคาเฟ่เล็ก ๆ และมินิบาร์สำหรับผู้เข้าใช้บริการ โดย Wailes กล่าวว่า "ต้องการให้พื้นที่แห่งนี้เป็นเหมือนบ้าน"
และเสริมต่อว่า ​"ที่แห่งนี้เป็นที่ที่คุณจะได้รู้จักวอลโว่มากขึ้น และวอลโว่ก็จะได้ทำความรู้จักกับคุณมากขึ้นเช่นกัน" โดยภายในสตูดิโอจะมีผู้เชี่ยวชาญคอยให้บริการลูกค้า และส่งข้อติชมต่างๆ กลับไปยังที่บริษัทโดยตรง ทำให้ Volvo Cars (ประเทศไทย) สามารถเข้าใจถึงความต้องการของลูกค้ามากขึ้น และใกล้ชิดกับลูกค้ามากกว่าเคย โดยในช่วงเวลาสัปดาห์นิดๆ ที่สตูดิโอแห่งนี้เปิดประตูต้อนรับแขก ก็มีผู้เข้าเยี่ยมชมมากกว่า 1,000 คน ซึ่งเกินความคาดหมายของ Wailes ที่คาดตัวเลขไว้เพียงหลักร้อย
<img class="alignnone wp-image-64907 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/06/Volvo-studio-bangkok_Volvo-Lifestyle.jpg" alt="Volvo Studio Bangkok_Lifestyle" width="720" height="480" />
นอกจากนี้ยังมีโซน Volvo Lifestyle Collection ที่รวมเอาสินค้า Limited Edition ของวอลโว่มาจัดแสดงและจำหน่าย เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกซื้อตามอัธยาศัยได้อีกด้วย โดยสินค้าต่างๆ เป็นสินค้าที่ทาง Volvo จับมือกับศิลปินไทย เป็นสินค้าสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่มีจำหน่ายในประเทศไทยเท่านั้น
ณ สตูดิโอแห่งนี้จะเน้นการส่งมอบประสบการณ์เป็นหลัก แต่หากผู้มาเยือนต้องการจะซื้อรถสักคันก็สามารถสั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์ได้
อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/travel/the-standard-%e0%b8%ab%e0%b8%b1%e0%b8%a7%e0%b8%ab%e0%b8%b4%e0%b8%99-%e0%b8%ad%e0%b9%80%e0%b8%a1%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%aa%e0%b9%84%e0%b8%95%e0%b8%a5.html">‘The Standard หัวหิน’ อเมริกันสไตล์ ส่วนผสม โมเดิร์นอาร์ต &amp; เอ็นเตอร์เทนเมนต์</a>

<div class="single-content-writer-box">
<div>

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a style="color: #003300;" href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

</div>
</div>

เปิดตัว Volvo Studio Bangkok แห่งแรกในไทย และเอเชียอาคเนย์

<h2>Li Shufu มหาเศรษฐีชาวจีน ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีน Geely และ Volvo ลงทุนเพิ่มเติมในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอากาศยานไฟฟ้า โดย Zhejiang Geely Holding Group ลงเงินราว 55 ล้านเหรียญฯ ในบริษัท Volocopter สัญชาติเยอรมนี</h2>
หลังจากปี 2017 กลุ่ม Geely ซื้อธุรกิจ Terrafugia บริษัทผลิตอากาศยานไฟฟ้าจาก Massachusetts สหรัฐฯ ที่กำลังรอการอนุมัติสำหรับการใช้เครื่องบิน 2 ที่นั่งที่ปีกสามารถพับเก็บเพื่อวิ่งบนท้องถนน  ล่าสุด กลุ่ม Geely เข้าถือหุ้นใน Volocopter ที่มีนวัตกรรมเครื่องยนต์ในรูปแบบที่มีแกนมอเตอร์ใบพัด 18 จุดเพื่อนำเครื่องขึ้นจากพื้นในแนวดิ่ง

การซื้อนวัตกรรมต่างๆ ด้านการบินสนุนทิศทางธุรกิจของ Li Shufu ได้เขาเคยแถลงไว้ว่าจะนำบริษัทไปสู่ทิศทางใหม่ “Geely กำลังทรานฟอร์มธุรกิจจากอุตสาหกรรมผู้ผลิตยานยนต์สู่กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีเพื่อการขนส่ง”

<figure><img class="wp-image-16145 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/Li-shufu-0111.jpg" alt="" width="638" height="425" /><figcaption> Florian Reuter ซีอีโอ Volocopter GmbH ถ่ายคู่กับ Volocopter 2X multi-rotor</figcaption></figure>

ด้าน Daimler ค่ายยานยนต์จากเยอรมนี ได้ลงทุน Volocopter ในรอบ C round และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ยอดรวมการลงทุน Volocopter ไปแล้ว 94 ล้านเหรียญฯ ซึ่ง Geely เองมีหุ้นในค่าย Daimler ราว 9.7 %  ทั้งนี้ Volocopter หมายมั่นว่าเงินลงทุนจากหลั่งไหลเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเมื่อปิดปลายปี 2019 โดย Volocopter ก่อตั้งในปี 2012  หนึ่งในนวัตกรรมอากาศยานไฟฟ้าที่อยู่ในสารานุกรมของ electric VTOL Program ซึ่งบรรจุนวัตกรรมด้านอากาศยานราว 200 ลำ

สำหรับในประเทศจีน กลุ่ม Geely และ Volocopter กำลังเจรจากับ EHang บริษัทที่เชื่อว่ามีความแข็งแกร่งและไปได้ไกลในยุคเริ่มต้นของอุตสาหกรรมนี้ โดย EHang หนึ่งในบริษัทที่พัฒนายานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติแบบ 2 ที่นั่งที่ขับเคลื่อนด้วยกำลัง 8 มอเตอร์ เดือนที่มาบริษัทกำลังเจรจากับมณฑลกว่างโจวในการนำร่องบริการแท๊กซี่บินได้ ภายในสิ้นปีนี้หรือในปี 2020
<ul>
 	<li>อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/news/global/lilium-%e0%b9%81%e0%b8%97%e0%b9%87%e0%b8%81%e0%b8%8b%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%9a%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b9%84%e0%b8%94%e0%b9%89.html">Lilium สตาร์ทอัพ “แท็กซี่บินได้” หวังปักหมุดบริการหลายเมืองทั่วโลกภายในปี 2025</a></li>
</ul>
ปัจจุบัน Volocopter กำลังพัฒนาอากาศยานต้นแบบในเจเนอเรชั่นที่ 4 ภายใต้ชื่อทำการตลาดว่า VoloCity สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 2 คนและกระเป๋าถือติดตัว ความสามารถในการบินไกลราวๆ 4 กิโลเมตรด้วยความเร็วเฉลี่ยที่ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่ง Volocopter ตั้งเป้านำ VoloCity ให้บริการขนส่งคมนาคมใน 3 ปี ข้างหน้าทั้งนี้บริษัทเผยได้ทดลองการบินมากกว่า 1,000 เที่ยวในเจเนอเรชั่นที่ผ่านมาๆ

เรียบเรียงใหม่จาก Billionaire Li Shufu Buys Stake In Volocopter, Aims To Launch Flying Taxi Service In China ปรากฎบน Forbes.com

Li shufu มหาเศรษฐีจีนซื้อหุ้น Volocopter ผู้สร้างอากาศยานไฟฟ้า

<h2>ในขณะที่ยักษ์ใหญ่ในแวดวงยานยนต์แทบทุกค่ายต่างก็มุ่งพัฒนายานยนต์ไร้คนขับ (self-driving car) แต่ไม่ใช่ Mazda เพราะ CEO อย่าง Masamichi Kogai เชื่อว่ายังมีคนอีกมากมายในโลกนี้ที่ชื่นชอบการได้นั่งหลังพวงมาลัยและเพลิดเพลินไปกับการขับรถ</h2>
Mercedes-Benz, Cadillac, Volvo รวมถึง Google, Tesla และลือกระทั่งว่า Apple ด้วย ต่างก็แข่งขันกันเพื่อที่จะปลิดความสนุกในการขับรถไปจากบรรดาผู้ใช้รถในปัจจุบัน โดยค่ายรถส่วนใหญ่บอกว่าภายในห้าปีจะผลิตรถที่มีการพัฒนาระบบอัตโนมัติขั้นสูงที่สามารถจะเคลื่อนที่ได้เองทั้งในการจราจรแบบที่ต้องวิ่งๆ หยุดๆ และบนถนนหลวงโดยไม่ต้องอาศัยคนขับ เมื่อไม่นานมานี้ ค่าย Volvo เพิ่งจะเปิดตัว Time Machine ห้องโดยสารแห่งอนาคตซึ่งจะมีจอแบนขนาด 25 นิ้วเคลื่อนออกมาแทนที่พวงมาลัยซึ่งจะหดเข้าไป ในขณะที่เบาะคนขับเอนราบลงไป ส่วน Google ก็กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนายานยนต์ไร้คนขับที่ไม่มีแม้แต่พวงมาลัยหรือคันเร่ง

นี่คืออนาคตที่กำลังจะมาถึง ซึ่ง Elon Musk CEO ของ Tesla ทำนายว่าในอนาคต “รถคันไหนก็ตามที่ไม่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองจะมีมูลค่าติดลบ”

แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะมีมุมมองเหมือนกับ Musk “มันไม่ใช่แค่การเดินทางจากจุด A ไปยังจุด B”Masamichi Kogai CEO ของ Mazda บอก เขาอาจจะเป็นผู้นำของค่ายรถแถวหน้าเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้กำลังพัฒนายานยนต์ไร้คนขับ “พันธกิจของเราคือการสร้างความพึงพอใจในการขับรถ”โดยเขาบอกอีกว่า “สำหรับผมแล้ว การขับรถก็เหมือนกับการอยู่บ้านนั่นแหละ...ทันทีที่ผมเข้ามาอยู่ในรถ ไม่มีใครจากโลกภายนอกจะมารบกวนผมได้ ผมอาจจะขับไปที่ทะเลสาบ หรือขึ้นภูเขา ผมไม่รู้หรอกว่าผมจะไปไหนจนกว่าผมจะไปถึงที่นั่นแล้ว”

Kogai มี road map ที่ชัดเจนสำหรับอนาคตของค่าย Mazda ซึ่งในอดีตต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อตามคู่แข่งอย่าง Toyota และ Nissan ให้ทัน จนถึงขั้นเกือบล้มละลาย และต้องประสบภาวะขาดทุนถึงหลายพันล้านเหรียญในช่วงกลางทศวรรษที่ 1990 ต่อจากนั้น Ford Motor ซึ่งถือหุ้น Mazda ในสัดส่วนไม่มากนักมาตั้งแต่ปี 1979 ก็ได้กลายมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดโดยมีหุ้น 33% และกุมอำนาจบริหารกิจการ แต่เมื่อเกิดวิกฤตการเงินโลกขึ้นในปี 2008 Ford ก็ลดสัดส่วนการถือหุ้นใน Mazda ลงเหลือ 14% และเมื่อถึงปี 2010 ก็ตัดขายส่วนที่เหลือทั้งหมดออกไป เมื่อถูก Ford ขายทิ้งในขณะที่ผลประกอบการยังขาดทุนอย่างหนัก Mazda จึงเคว้งคว้าง และขาดทุนต่อไปอีกเกือบ 3 พันล้านเหรียญในช่วงปี 2009-2012

<figure><img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%20march/Art-Mazda.jpg" alt="" width="720" height="475" /><figcaption> Masamichi Kogai ถ่ายภาพคู่กับ Takashi Yamanouchi ประธาน Mazda Moter</figcaption></figure>

Mazda ถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องปรับกระบวนคิดในทุกด้านของธุรกิจ ตั้งแต่วิธีการออกแบบรถ และกระบวนการทางวิศวกรรม เรื่อยไปจนถึงวิธีการประกอบรถยนต์ ในช่วงนั้น Kogai รับหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายผลิต และต่อมาก็ก้าวขึ้นมารับตำแหน่ง CEO ตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา โดยเขาได้ทำการยกเครื่องระบบการผลิตทั้งหมดของ Mazdaใหม่ ปิดสายการผลิตที่ Michigan และเปิดโรงงานผลิตแห่งใหม่ซึ่งมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าที่เม็กซิโก และร่วมลงทุนตั้งโรงงานขึ้นในรัสเซีย และเวียดนาม แต่การลดต้นทุนเพียงอย่างเดียวยังไม่สามารถแก้ปัญหาของ Mazda ได้

แทนที่จะออกแบบรถทีละคัน แล้วให้ทีมงานฝ่ายผลิตหาวิธีว่าจะผลิตรถออกมาอย่างไร Mazda หันมาใช้วิธีระดมความคิดของทีมงานจากทุกแผนก ทั้งนักออกแบบ วิศวกร ซัพพลายเออร์ พนักงานจัดซื้อ และผู้ชำนาญด้านการผลิต แล้วมาออกแบบสายการผลิตสำหรับอนาคตอีก 5-10 ปีข้างหน้าด้วยกัน

ปัญหาที่ยากเย็นที่สุดที่ทีมงานต้องร่วมกันขบคิดคือ ทำอย่างไรถึงจะสามารถผลิตรถ Mazda ที่ขับสนุกและยังเป็นไปตามมาตรฐานการประหยัดน้ำมันที่เข้มงวดขึ้นกว่าเดิม โดยปราศจากงบสำหรับการวิจัยและพัฒนารถไฮบริดหรือรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้า

Mazda ได้เปลี่ยนจุดอ่อนนี้มาเป็นจุดแข็ง ด้วยการเปลี่ยนมุมคิดแบบเดิมๆ ด้วยการตั้งทฤษฎีว่า บริษัทสามารถที่จะบรรลุเป้าหมายได้ด้วยการใช้เครื่องเบนซิน แม้ว่าจะต้องมีการปรับแบบกันอย่างยกใหญ่ก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ทีมงานของ Mazda จึงทำการพัฒนาเครื่องยนต์ใหม่หมด ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพการจุดระเบิดสูงจนถึงระดับที่ไม่มีผู้ผลิตรถยนต์รายใดกล้าทดลอง เนื่องจากกลัวว่าจะทำให้เครื่องน็อค แต่เนื่องจาก Mazda เริ่มกระบวนการออกแบบใหม่ทั้งหมด ดังนั้นจึงสามารถชดเชยด้วยการออกแบบระบบการปล่อยไอเสีย แชสซี และตัวถังใหม่ทั้งหมด ซึ่งทำให้ได้เครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพตามต้องการ โดยประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น 15% เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์รุ่นก่อน และก็มีการนำไปใส่ไว้ในรถรุ่นใหม่ๆ

ในการออกแบบและผลิตเครื่องยนต์ตัวใหม่นี้ Mazda ได้ออกหุ้นใหม่และกู้เงินรวม 2.7 พันล้านเหรียญในปี 2012 ซึ่งถือเป็นเดิมพันครั้งใหญ่สำหรับบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่งในการที่จะพยายามแข่งขันกับคู่แข่งที่ใหญ่กว่าในตลาดโลก
แต่ก็ปรากฏว่าวิธีนี้ได้ผล เพราะมันทำให้ Mazda สามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้ในช่วงสามปีที่ผ่านมา

หลังจากที่ประสบปัญหาหนักหลังจากที่ถูก Ford ขายทิ้ง ในปีงบประมาณที่สิ้นสุด 31 มีนาคม 2015 Mazda มีกำไรสุทธิ 1.3 พันล้านเหรียญ และมีรายได้ 2.5 หมื่นล้านเหรียญ โดยที่ยอดขายรถเพิ่มขึ้น 12% จากปี 2012

<img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%20march/Ar--Mazda.jpg" alt="" />

นอกจากนี้ เมื่อปี 2011 Mazda หยุดผลิตรถรุ่น RX-8 ซึ่งขายไม่ดี ก็มีคนออกมาส่งเสียงคัดค้านกันมาก แต่ Kogai ก็ทำให้สาวกของรถสปอร์ต Mazda เริ่มใจชื้นขึ้นอีกครั้ง โดยในงานมอเตอร์โชว์ที่โตเกียวเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เขาได้เปิดตัว RX-Vision ซึ่งเป็นแนวคิดการผลิตรถสปอร์ตที่ทำให้แฟนๆ รถ Mazda ถึงกับน้ำลายหก ซึ่งเมื่อถูกถามว่า Mazda จะสร้างรถที่ว่านี้ออกมาจริงๆ หรือเปล่า Kogai ก็ยิ้มและตอบแบบเขินๆ ว่า “เครื่องยนต์แบบเดียวที่ผมคิดว่าจะใส่ในรถคันนั้นได้ก็คือเครื่อง rotary เท่านั้น”เชื่อได้เลยว่าถ้า Mazda ผลิตออกมาขายจริงล่ะก็ คงมีแฟนๆ ต่อคิวรอซื้อกันเพียบ

&nbsp;

เรื่อง: Joann Muller เรียบเรียง: พิษณุ พรหมจรรยา

<hr />

<a href="http://goo.gl/5KbXgP">คลิ๊กอ่าน "หวนคืนสู่อดีตเพื่ออนาคต" ฉบับเต็มได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ MARCH 2016 ได้ในรูปแบบ E-Magazine</a>
<a href="http://goo.gl/5KbXgP"><img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%20march/cover-forbes-march2016-re.jpg" alt="" width="331" height="433" /></a>

หวนคืนสู่อดีตเพื่ออนาคต

<h2>อีกประมาณ 15 ปีนับจากนี้ (หรืออาจจะนานกว่านั้น) คุณจะสามารถชมภาพยนต์หรืองีบหลับขณะที่รถยนต์นำคุณโลดแล่นไปยังจุดหมาย ซึ่งในปัจจุบันมีบางเรื่องที่เรามีเทคโนโลยีรองรับแล้ว และคาดว่าจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกมากในไม่ช้านี้</h2>
ปัจจุบัน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ คุณสมบัติอย่างเช่นระบบควบคุมความเร็ว ระบบเบรคอัตโนมัติ และระบบเตือนเมื่อรถยนต์ออกนอกช่องทางจะทำงานทันทีเมื่อคนขับมีการตอบสนองไม่รวดเร็วพอ โดย Mercedes และ Volvo ได้ผลิตรถยนต์ที่ใช้ระบบเบรคอัตโนมัติในสภาพถนนที่การจราจรหนาแน่น ซึ่งผู้ขับขี่ต้องเหยียบเบรคและคันเร่งสลับกันไปมาอยู่ตลอดเวลา

2016 ระบบนำทางอัตโนมัติ
รถยนต์รุ่นใหม่จาก Tesla และ Cadillac สามารถวิ่งเองในระดับความเร็วที่กำหนดบนทางหลวงโดยคนขับไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อย ในขณะที่รถยนต์บางรุ่นมีกลไกควบคุมการถอยรถเข้าจอดในซอง

2020 รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติสำหรับผู้สูงอายุ
รถยนต์ที่วิ่งด้วยความเร็วต่ำและมีกลไกควบคุมการทำงานอัตโนมัติบางส่วนอาจจะได้รับอนุญาตให้ขับขี่ในเขตควบคุมบางแห่ง อย่างเช่น ชุมชนที่อยู่อาศัยของประชากรวัยเกษียณ นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่จะได้เห็นช่องทางเดินรถที่จัดไว้สำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติโดยเฉพาะบนทางหลวง

2025 รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติจะมีมากขึ้น
การขับขี่รถยนต์อัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบจะได้รับอนุญาตมากขึ้นบนท้องถนน แต่คนขับต้องสามารถคอนโทรระบบการขับขี่อัตโนมัติได้ในบางสถานการณ์ ในขณะที่ระบบขนส่งสาธารณะมีแนวโน้มที่จะไม่ต้องใช้คนขับอีกต่อไป

2030 ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง
เจ้าของสามารถเรียกรถยนต์แบบไร้คนขับให้วิ่งมารับพวกเขาได้ในทุกที่ ในขณะที่รถพ่วงขนส่งสินค้าจะเป็นระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเช่นกัน

&nbsp;

<hr />

<a href="http://goo.gl/TZk7tr">คลิ๊ก!!! เพื่ออ่านบทความทางด้านธุรกิจที่เกี่ยวข้องจาก Forbes Thailand ฉบับ JANUARY 2016 ในรูปแบบ E-Magazine</a>
<a href="http://goo.gl/TZk7tr"><img class="img-responsive" src="http://forbesthailand.com/uploads/userfiles/images/2016%2001-Jan/cover---on-web-link-e-book.jpg" alt="" width="218" height="287" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events