<h2>ทายาทสายตรงของนักค้าหุ้นใน Wall Street อย่าง Christopher Davis ต้องกัดฟันทนรอมานานถึง 14 ปี ในช่วงที่หุ้นคุณค่าถูกเมินจากการที่ใครๆ ก็กู้เงินได้แบบปลอดความเสี่ยง แต่ตอนนี้ เมื่อเงินกู้มีต้นทุนแพงขึ้นก็ถึงเวลาที่เขาจะเงยหน้าอ้าปากได้แล้วจากสิ่งที่เขาเรียกว่า “การกลับเข้าสู่ภาวะปกติ” </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ผนังด้านหนึ่งในออฟฟิศของ Christopher Davis ที่ Fifth Avenue ใน Manhattan เป็นผนังแห่งความผิดพลาด ซึ่งมีใบหุ้น 23 ใบใส่กรอบแขวนเรียงกันในแนวนอนอยู่สี่แถว&nbsp; โดยแต่ละใบสะท้อนถึงความผิดพลาดครั้งใหญ่ของ Davis Advisors ธุรกิจครอบครัวที่เขาเข้าไปซื้อกิจการมาเมื่อปี 1998 ซึ่งมีกองทุนรวม และ ETF ที่บริหารอยู่ 17 กอง และมีมูลค่าสินทรัพย์รวม 2.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ&nbsp; ใบหุ้นแต่ละใบจะมีประโยคสั้นๆ 2-3 ประโยคที่ใช้ตัวพิมพ์เล็กอธิบายถึงสิ่งที่ Davis เรียกว่า “บทเรียนที่ส่งต่อได้” ซึ่งหมายความว่า ถ้าคอยเอาใจใส่ให้ดีๆ ก็จะไม่ผิดพลาดซ้ำสองแบบเดิมอีก&nbsp; หนึ่งในหุ้นที่เขาพลาดไปคือ Google ซึ่งสาเหตุที่มันขึ้นมาอยู่บนผนังนี้ก็เพราะ Davis พลาดที่ไม่ได้ซื้อมันตอน IPO เมื่อปี 2004 ส่วนหุ้นอีกตัวที่อยู่บนผนังก็คือ Waste Management เพราะ Davis ดันขายมันออกไปตอนที่เกิดกรณีอื้อฉาวเกี่ยวกับผู้บริหารของบริษัทเมื่อปี 2000 โดยไม่ทันเฉลียวใจว่าจริงๆ แล้วธุรกิจของบริษัทกำลังรุ่ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เรามีวัฒนธรรมแบบถ่อมตน” เขากล่าว&nbsp;แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า Davis ในวัย 58 ปีจะไม่มีอะไรให้อวด New York Venture Fund ซึ่งเป็นกองทุนเรือธงของเขาซึ่งมีมูลค่า 6.2 พันล้านเหรียญให้ผลตอบแทนสูงถึง 30% ในปีที่แล้ว สูงกว่าของดัชนี S&amp;P 500 ที่ 26% ในขณะที่ผลตอบแทนเฉลี่ยรายปีของกองทุนดังกล่าวนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 1969 อยู่ที่ 11.4% ซึ่งก็สูงกว่าของดัชนี S&amp;P ที่ 10.2%&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อย่างไรก็ตามอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเตี้ยเรี่ยศูนย์ระหว่างปี 2008-2022 ทำให้ผลตอบแทนของบรรดานักลงทุนเน้นคุณค่าและไม่ได้ทุ่มเงินลงทุนลงไปในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ไปได้ไม่ถึงไหน โดยพวกหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าแท้จริงที่ Davis เข้าไปลงทุนก็ยังคงมีราคาต่ำกว่ามูลค่าแท้จริงอยู่นั่นเอง และนั่นก็ทำให้เขาเสียลูกค้าไป โดยมูลค่าสินทรัพย์ของ Venture Fund ร่วงหนักถึง 88% ซึ่งทำให้ Davis ต้องตั้งคำถามกับแนวทางการลงทุนของเขา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ไม่บ่อยนักหรอกที่เราจะคิดว่าเรารู้มากกว่าตลาด และใน 2-3 กรณีที่เป็นเช่นนั้นคนส่วนใหญ่ก็มักจะคิดว่าเราผิด” เขาบอก “ความแตกต่างระหว่างความเชื่อมั่นกับความดื้อดึงมันกั้นด้วยเส้นบางๆ เส้นเดียว”&nbsp;มีคนแค่ไม่กี่คนหรอกที่จะถือเป็นสายพันธุ์แท้ของนักค้าหุ้นในตลาดหุ้น Wall Street เหมือนกับ Davis โดยปู่ของเขา Shelby Cullom Davis เริ่มซื้อขายหุ้นเมื่อปี 1947 และทำให้เงินทุนตั้งต้น 50,000 เหรียญงอกเงยเป็น 900 ล้านเหรียญ ซึ่งทำให้เขาได้เข้ามาอยู่ในทำเนียบ Forbes 400 เป็นเวลา 8 ปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี 1994 หลังจากนั้น Shelby M.C. Davis พ่อของ Christopher Davis ซึ่งปัจจุบันมีอายุ 86 ปี ก็รับช่วงดูแลกิจการและปั้นให้ผลตอบแทนของ New York Venture Fund สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดถึง 16 เท่า และทำให้มูลค่าสินทรัพย์ของกองทุนไต่ระดับขึ้นไปจนถึง 3 พันล้านเหรียญภายในปี 1998&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภาพลักษณ์ภายนอกของ Davis ดูเหมือนศาสตราจารย์ในภาควิชาปรัชญามากกว่าจะเป็นนักลงทุนผู้ทรงอิทธิพลในตลาดหุ้น Wall Street เขามีผมสีทองที่ออกจะยุ่งๆ และเริ่มมีผมหงอกแซมประปราย เขาใส่เสื้อสเวตเตอร์แบบสวมทับเสื้อเชิ้ตผูกไท ในขณะที่ออฟฟิศของเราสุมเต็มไปด้วยกองกระดาษ รูปหล่อแบบครึ่งตัวของ Charlie Munger และที่นอนสุนัขสำหรับ Knick หมา Kooiker สายพันธุ์ดัตช์อายุ 4 ปี ซึ่งมีชื่อเต็มว่า Knickerbocker ทั้งนี้ Davis Advisors เป็นบริษัทที่ถือหุ้นโดยลูกจ้างของบริษัท ซึ่งตัว Davis เองถือหุ้นอยู่ 30% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 100 ล้านเหรียญ และเขายังถือหุ้นในกองทุนของบริษัทในระดับที่มีนัยสำคัญด้วย แต่ทั้งปู่และพ่อของเขาบริจาคเงินส่วนใหญ่ของพวกเขาให้กับการกุศล ในขณะที่ Davis ยืนยันว่า เขาไม่ได้เป็นเศรษฐีระดับพันล้าน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เขาใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบหัวเก่าซึ่งเป็นสิ่งที่เขารับเป็นมรดกตกทอดมา โดยแนวทางของบริษัทเขาคล้ายคลึงกับของ Warren Buffett นั้นคือ จ่ายเงินในราคาที่สมเหตุสมผลเพื่อซื้อหุ้นของบริษัทที่ไม่สามารถหาบริษัทไหนมาแทนที่ได้ ซึ่งมีผู้นำองค์กรที่มีวินัยและปล่อยให้บริษัททำกำไรไป&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การตัดสินใจซื้อกิจการไหนจะขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยด้วยกัน ปัจจัยแรกคือ Davis กับทีมงานของเขาจะคำนวณสิ่งที่เขาเรียกว่า ผลตอบแทนจากกำไรในส่วนของเจ้าของกิจการ หรือเงินสดที่ธุรกิจสร้างขึ้นหลังจากที่หักส่วนที่จะใช้นำกลับเข้าไปลงทุนเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันเอาไว้ แล้วหารด้วยราคาที่เข้าไปซื้อธุรกิจนั้น ซึ่งในการขุดลึกลงไปในงบการเงินของบริษัท ทีมงานของเขาจะให้ความสนใจกับภาระหนี้ และกำหนดเวลาในการชำระคืนหนี้ โอกาสในการรีไฟแนนซ์หนี้ และการใช้ประโยชน์จากสัญญาเช่า รวมถึงรายการที่อาจะทำให้กำไรสุทธิของบริษัทโตเป็นพิเศษ เช่น อัตราภาษีที่ต่ำเกินความคาดหมาย กำหนดการตัดค่าเสื่อมราคาที่นานเป็นพิเศษ หรือ การจ่ายค่าตอบแทนเป็นหุ้น ปัจจัยที่ 2 คือ พวกเขาจะเน้นความสำคัญไปที่โอกาสในการที่บริษัทจะนำกำไรที่ได้กลับเข้ามาลงทุนในบริษัท ซึ่ง Davis บอกว่า บริษัทที่มีโอกาสให้กลับเข้ามาลงทุนอีกอย่างน่าสนใจอาจจะมีค่ามากกว่าบริษัทที่ไม่มีโอกาสแบบนี้อย่างมากก็ได้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นานกว่า 5 ปีแล้วที่พอร์ตหุ้นของ Venture Fund เน้นหนักไปที่บริษัทในธุรกิจการเงิน อย่างเช่น Berkshire Hathaway และธนาคารอย่าง Capital One และ Bank of New York Mellon ซึ่งหุ้นเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของ Fed ทั้งนี้ Davis บอกว่าผลตอบแทนดียังใช้ได้ แต่ว่าช่องว่างระหว่างอัตราการเติบโตของกำไรกับมูลค่าตลาดของหุ้นถ่างออกจากกันมากขึ้นเรื่อยๆ “สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เม็ดเงินหลั่งไหลไปยังที่ที่ผู้คนพากันตื่นเต้นไปตามกระแส ไม่ได้ไหลไปยังที่ที่มีคุณค่า” เขากล่าว “ความบิดเบือนอย่างมโหฬารนี้มันเป็นเพราะเราอยู่ในยุคประหลาดที่ได้เงินมาฟรีๆ”&nbsp;	&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Meta กลายมาเป็นหุ้นที่มีน้ำหนักมากที่สุดในพอร์ตของ Davis โดยในปัจจุบันคิดเป็น 8.5% ของ Venture Fund ซึ่งก่อนหน้านี้ Davis Advisors ถือหุ้นอยู่แล้วบางส่วน แต่เมื่อถึงเดือนพฤศจิกายน ปี 2022 หุ้น Meta ตกหนักถึง 76% จากระดับสูงสุด รายได้หดลงจากการที่คนหนุ่มสาวพากันเลี่ยงใช้งาน Facebook ในขณะที่ TikTok เข้ามาแย่งผู้ใช้ไปจาก Instagram และ Mark Zuckerberg ซึ่งเป็นซีอีโอก็สูญเงินนับพันล้านเหรียญไปกับการลงทุนในเมตาเวิร์ส	&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ระหว่างช่วงเดือนกันยายน และ 3 พฤศจิกายน ปี 2022 Davis บอกว่า เขาได้เข้าไปซื้อหุ้น Meta เกือบ 125 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 113 เหรียญ แต่ปัจจุบันราคาหุ้นวิ่งลิ่วไปอยู่แถวๆ 500 เหรียญ โดยผลตอบแทนของ Davis จากการลงทุนในหุ้น Meta ในปี 2023 อยู่ที่ 194%	&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มการเงินก็ยังช่วยหนุนผลตอบแทนของ Davis ในปี 2023 ด้วยเช่นกัน โดยในปีที่แล้ว Capital One ขึ้นมา 44%, JP Morgan Chase ขึ้นมา 31% และ Wells Fargo ขึ้นมา 23% เขายังคงรักหุ้นกลุ่มการเงิน ซึ่งมีน้ำหนักถึงเกือบ 50% ของกองทุนของเขา แต่เขาบอกว่า เขามองบวกเฉพาะบางตัวเท่านั้น ในขณะที่หุ้นตัวอื่นที่เขาถืออยู่เป็นจำนวนมาก ได้แก่ Amazon, Applied Materials และ บริษัทยา Viatris&nbsp;	&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Davis เป็นห่วงไหมว่าสถานการณ์ที่ผลตอบแทนกลับสู่ภาวะปกติซึ่งส่งผลดีต่อบริษัทของเขาจะสลายหายไปเมื่อมีการลดดอกเบี้ย? “เราเดิมพันว่า ในอีก 15 ปีข้างหน้าอัตราดอกเบี้ยโดยเฉลี่ยจะสูงกว่าเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมาและนั่นคือเรื่องปกติ” เขากล่าว “ยุคของเงินที่ได้มาฟรีๆ ได้จบลงไปแล้ว”&nbsp; ​เรื่อง: Bob Ivry เรียบเรียง: พิษณุ พรหมจรรยา ภาพ: Aleksandr Karnyukhin&nbsp; ​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/america/jorge-mas-a-new-dimension-in-football-industry" alt="Jorge Mas มิติใหม่แห่งวงการลูกหนัง">Jorge Mas มิติใหม่แห่งวงการลูกหนัง</a>​<a href="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/833398be-f87c-4d1f-bc2b-1f516f075a7c/july-2024" alt="คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกรกฎาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกรกฎาคม 2567 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float-none" contenteditable="false"><figure><a href="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/833398be-f87c-4d1f-bc2b-1f516f075a7c/july-2024" alt="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/833398be-f87c-4d1f-bc2b-1f516f075a7c/july-2024" data-image-link="image"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/08/hjAQMj24TZJDrWShQGfV.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="hjAQMj24TZJDrWShQGfV.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="300px,auto" data-rotate="" origin-size="320,420" data-image-link="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/833398be-f87c-4d1f-bc2b-1f516f075a7c/july-2024" style="width: 300px; height: auto;" data-index="0"></a></figure></div>​

Christopher Davis ยิ้มออกเมื่อดอกเบี้ยขึ้น

<h2>การขายชอร์ตมือเปล่าเป็นปัญหาใหญ่ ใช่เสียที่ไหน แต่บรรดาคนเจ้าเล่ห์ นำโดยทนายความจอมขวางโลกก็ยังไม่หยุดยกมาเป็นข้อแก้ตัวเมื่อหุ้นมีมให้ผลตอบแทนล้มไม่เป็นท่าและเป็นเชื้อไฟชั้นดีสำหรับกลุ่มคนพิลึกผู้ต่อต้านทฤษฎีสมคบคิดใน Wall Street </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Wes Christian ก็เหมือนกับผู้มีศรัทธาที่แท้จริงส่วนใหญ่ เขาสนทนาด้วยความมั่นใจแบบหักดิบซึ่งยากที่จะได้เจอในโลกอันซับซ้อนของเรานี้ แต่แทนที่จะเป็นศาสนาหรือการเมือง Christian สนใจเรื่องของ Wall Street โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นมีม (meme stock เป็นหุ้นที่ซื้อกันมาก) และและหุ้นเด่นอื่นๆ ที่มีแนวโน้มจะหล่นจากฟ้าโดยไม่ทันตั้งตัวก็เพราะเรื่องหยุมหยิมอย่างตัวเลขทางการเงินพื้นฐาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Christian ยังเห็นตัวร้ายของเรื่องอีกรายคือ บริษัทเทรดดิ้งรายใหญ่ที่ “รู้วิธีทำเงินจากการฆ่าบริษัทอื่นให้ตายเรียบมากกว่าจะสร้างบริษัทใหม่ๆ”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เขามั่นใจว่านักเชิดลับๆ เหล่านี้ใช้วิธีการที่ว่ากันว่าเป็นการปั่นหุ้นในรูปแบบที่เรียกว่า “การขายชอร์ตมือเปล่า” (naked short selling) กล่าวคือ ผู้ขายจะเสนอขายหุ้นที่ตนไม่ได้ถืออยู่ในมือ (การขายชอร์ตแบบคลาสสิก) โดยไม่สนจะกู้ยืมหุ้นมาหักกลบกันด้วยซ้ำ ก่อนจะผลักดันราคาหุ้นให้ตกต่ำลงในที่สุด ซึ่งเป็นจุดที่ผิดกฎหมาย เรื่องเล่าแสนสนุกนี้ Christian บอกว่า เป็นเรื่องราวของเครือข่ายทะมึนที่ทำเงินไปแล้วราว 100 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เมื่อราคาหุ้นจะตกต่ำซีอีโอจำนวนหนึ่งจะหันมารับฟังเรื่องเล่านี้ บางครั้งก็ด้วยความช่วยเหลือด้านกฎหมายจาก Christian&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เช่นเดียวกับเรื่องเล่าในตำนานทั้งหลาย เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง แม้กระทั่ง “การขายชอร์ตมือเปล่า” ยังชวนสงสัยว่า ปัจจุบันยังมีอยู่จริงหรือเปล่า Pradeep Yadav อาจารย์จาก University of Oklahoma ผู้ศึกษาด้านตลาดการเงินบอกว่า เมื่อปี 2008 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ได้แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบที่เรียกว่า “Regulation SHO” ทำให้การขายชอร์ตมือเปล่าแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีทางที่ “ความล้มเหลวในการสร้างผลตอบแทนครั้งใดครั้งหนึ่งจะเกี่ยวข้องกับการขายชอร์ต”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ต่อให้ทำได้ ความคิดที่ว่าการขายชอร์ตดังกล่าวทำเงินได้ถึง 100 ล้านล้านเหรียญ สูงกว่ามูลค่าตลาดของบริษัทมหาชนทุกแห่งในสหรัฐฯ รวมกันกว่าเท่าตัวก็ช่างน่าหัวเราะสิ้นดี “ไม่เคยมีตัวอย่างบริษัทที่ประกอบกิจการดีและแข็งแกร่งที่เราสามารถประเมินมูลค่าบริษัทและใช้เฉพาะการขายชอร์ตมือเปล่ามาอธิบายราคาที่ตกต่ำลงได้” J.B. Heaton สมาชิกฝ่ายบริหารของ One Hat Research บริษัทผู้ให้บริการคำรับรองจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับฟ้องร้องดำเนินคดี การประเมินมูลค่า และการประนีประนอมยอมความกล่าว “เป็นการให้คำปรึกษาทางกฎหมายที่แย่มาก ทั้งที่มีโอกาสจะเกิดปัญหาทางกฎหมาย”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โชคร้าย ผลลัพธ์ที่จะได้จากคนอย่าง Christian กลับไม่ตลกเลย แนวคิดท้าทายข้อเท็จจริงดังกล่าวกำลังคืบคลานเข้าสู่ Wall Street แบบเดียวกับที่คำโกหกเกี่ยวกับวัคซีน การเลือกตั้ง และสมาคมลับๆ ได้สร้างชนชั้นแห่งความคลั่งขึ้นบนความคิดสุดโต่งทางการเมือง บ่อนทำลายสถาบันที่สร้างสหรัฐฯ ให้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรืองและประชาธิปไตยระดับโลก ปลุกกระแส “ตลาดถูกโกง!” จากยุค Occupy Wall Street หล่อเลี้ยงด้วยระบบเผด็จการ ความเขลา และเครื่องมือดิจิทัลของ QAnon&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คุณรู้สึกได้เลยว่าน้ำกำลังเดือดปุดๆ นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากที่กำลังดิ้นรนด้วยเหตุผลเดียวกับที่ต้นไม้โตไปไม่ถึงท้องฟ้าเสียทีหันมาโทษและขู่ทำร้ายผู้แจ้งเบาะแส นักข่าว และเจ้าหน้าที่กำกับดูแล “เจ้าหน้าที่ก็ห่วงชีวิตตัวเอง” Christian กล่าวพร้อมหัวเราะระหว่างการสัมภาษณ์ เขากำลังพูดถึงกระแสที่เขาเองมีส่วนปลุกขึ้น “ผมได้คุยกับเจ้าหน้าที่กำกับดูแลจากแคนาดาและยังเป็นสมาชิกคณะกรรมการเขาบอกว่า ‘ตายแล้ว คงต้องย้ายหนีไปแบบไม่มีตัวตน เพราะพวกเขาจะต้องมารุมกระทืบเอาแน่ๆ’” เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2022 สถานการณ์ยิ่งเลวร้าย หน่วยงานกำกับดูแลอุตสาหกรรมการเงิน (Financial Industry Regulatory Authority: FINRA) แนะนำให้เจ้าหน้าที่ทำงานจากที่บ้านเป็นการชั่วคราว&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Christian วัย 70 ปี เป็นคนกวนน้ำให้ขุ่น แม้เขาจะอ้างเหตุผลทั่วไปที่ทำให้ราคาหุ้นตก ไม่ว่าจะเป็นการฉ้อโกง การดันราคาหุ้นขึ้นแล้วทุบทิ้ง การบริหารจัดการผิดพลาด แต่เขาจะวกกลับมาที่ผู้ร้ายอย่างการขายชอร์ตมือเปล่าอยู่เสมอ และมักจะกล่าวย้ำทั้งในการให้สัมภาษณ์หรือในสารคดีที่ไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ เช่น ในรายการ Gaming Wall St ทาง HBO ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปี 2022&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในรายการ Gaming Wall St เขากล่าวชมตัวเองด้วยท่าทีอึกอัก “ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาหนึ่งในจุดที่ผมเข้าไปทำคดีในเชิงรุกอย่างไม่หยุดหย่อนคือเรื่องนี้ เพราะผมเชื่อว่าเป็นการฉ้อโกงทางการค้าครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ” ​เรื่อง: BRANDON KOCHKODIN เรียบเรียง: รัน-รัน ภาพประกอบ: JOE MORSE ​​เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ&nbsp;:&nbsp;<a target="_blank" href="https://forbesthailand.com/world/global-world/10-billionaires-who-gained-wealth-of-the-year-2023" alt="10 อันดับ “มหาเศรษฐีรวยเพิ่มขึ้น” มากสุดแห่งปี 2023"></a><a href="https://www.forbesthailand.com/world/america/mark-zuckerberg-on-the-day-of-growing-up" alt="ในวันที่เติบใหญ่ของ Mark Zuckerberg">ในวันที่เติบใหญ่ของ Mark Zuckerberg</a>​ ​​<a href="https://buffet.ookbee.com/magazine/forbes/issue/e05f13b4-8402-40df-acea-d1073274e800" alt="คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2566 ในรูปแบบ e-magazine">คลิกอ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนธันวาคม 2566 ในรูปแบบ e-magazine</a><div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure style="margin: 0px;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/01/1SvbJCHRLSrrBNCqLVk9.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="1SvbJCHRLSrrBNCqLVk9.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> ​

 Wes Christian กับความปั่นป่วนใน Wall Street

<h2>หุ้น Pfizer ดิ่งหนักเมื่อวันพุธที่ 13 ธันวาคม 2023 ที่ผ่านมา หลังบริษัทผู้ผลิตยารายใหญ่แห่งนี้เผยการคาดการณ์รายได้และผลกำไรปี 2024 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์จาก Wall Street ประเมิน สืบเนื่องจากความต้องการผลิตภัณฑ์สำหรับโควิด-19 ที่เคยพุ่งสูงกลับอ่อนลงอย่างมากในตอนนี้</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Pfizer ยังตั้งเป้าลดรายจ่ายลงอีก 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากแผนการเดิม 3.5 พันล้านเหรียญ ทำให้รวมแล้ว Pfizer หั่นงบรายจ่ายเป็นมูลค่ามากถึง่ 4 พันล้านเหรียญ&nbsp; &nbsp;&nbsp;บริษัทประมาณการรายได้ปี 2024 ไว้ที่ราว 5.85 - 61.5 หมื่นล้านเหรียญ ในขณะที่ Wall Street คาดหวังตัวเลข 6.317 หมื่นล้านเหรียญ อ้างอิงจากผลสำรวจนักวิเคราะห์โดย LSEG ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มข้อมูลด้านการเงิน หรือในชื่อเดิมคือ Refinitiv&nbsp; &nbsp;&nbsp;การประมาณการของ Pfizer ชี้ว่ารายได้ในปีหน้าอาจลดลงหรือไม่ต่างจากปี 2023 เท่าใดนัก โดยในปีนี้พวกเขาคาดการณ์ไว้ที่ 5.8 - 6.1 หมื่นล้านเหรียญ&nbsp; &nbsp;&nbsp;สำหรับยอดขายปี 2024 บริษัทผู้ผลิตยารายนี้คาดว่า 5 พันล้านเหรียญจะมาจากวัคซีนโควิด-19 และอีก 3 พันล้านเหรียญจากยาต้านไวรัส Paxlovid รวมทั้งสิ้น 8 พันล้านเหรียญในกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับโควิด-19 ซึ่งต่ำกว่าตัวเลข 13.8 พันล้านเหรียญที่นักวิเคราะห์ด้านการขายประเมินไว้ไปไกลโข&nbsp; &nbsp;&nbsp;“เราไม่ได้คาดหวังว่าอัตราการฉีดวัคซีนและการติดเชื้อโควิด-19 จะเปลี่ยนแปลงมากขึ้นในปี 2024 เมื่อเทียบกับปีนี้ เราจึงตั้งคาดการณ์ยอดขาย Corminaty และ Paxlovid ปี 2024 ต่ำลง” Dave Denton ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Pfizer บอกกับบรรดานักลงทุนในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยทั้ง Corminaty และ Paxlovid ต่างเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับโควิด-19​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/12/CVRQdRMudh72s5rDY7hx.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="CVRQdRMudh72s5rDY7hx.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0" origin-size="720,480"></figure></div>​ &nbsp; &nbsp;&nbsp;ผู้ผลิตยารายใหญ่คาดการณ์กำไรต่อหุ้นหลังปรับตัวเลขโดยอิงจากการดำเนินงานของบริษัท (Adjsted EPS) ที่ราว 2.05 - 2.25 เหรียญ ในขณะที่ LSEG เผยว่านักวิเคราะห์ตั้งความคาดหวังไว้ที่ 3.16 เหรียญ&nbsp; &nbsp;&nbsp;ที่สำคัญคือ Pfizer ยังคาดหวังว่ามูลค่าหุ้นจะเพิ่มขึ้น 40 เซนต์ต่อหุ้น สืบเนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการเข้าซื้อบริษัทผู้พัฒนายารักษามะเร็ง Seagen มูลค่า 4.3 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งคาดว่าจะปิดดีลได้อย่างเป็นทางการในวันนี้ (พฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม 2023)&nbsp; &nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ หุ้น Pfizer ปิดลบ 7% เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 10 ปี โดยในปีนี้หุ้นของ Pfizer ตกลงเกือบ 50% และมีการซื้อขายอยู่ในระดับต่ำกว่าเมื่อโควิด-19 เริ่มแพร่ระบาดช่วงต้นปี 2020&nbsp; &nbsp;&nbsp;ด้านพาร์ทเนอร์สัญชาติเยอรมัน BioNTech เองก็ปิดลบ 1% ในวันพุธเช่นกัน ส่วนคู่แข่งอย่าง Moderna ยังคงทรงตัวที่ราคาเดิม&nbsp; &nbsp;&nbsp;หลังกวาดเงินมหาศาลจากผลิตภัณฑ์สำหรับโควิด-19 Pfizer ก็ดิ้นรนแสวงหาโอกาสในโลกหลังโรคระบาดผ่านพ้นไป และพยายามสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนเกี่ยวกับศักยภาพในการเติบโตของบริษัท โดยหวังหันเหความสนใจของบรรดานักลงทุนไปยังผลิตภัณฑ์ยาอื่นๆ แทน ซึ่งรวมถึงยารักษามะเร็งจาก Seagen&nbsp; &nbsp;&nbsp;Pfizer คาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์จาก Seagen จะสร้างยอดขาย 3.1 พันล้านเหรียญในปี 2024 โดยบริษัทเผยว่า Seagen จะสร้างรายได้ให้พวกเขา 1 หมื่นล้านเหรียญภายในสิบปี&nbsp; &nbsp;&nbsp;สำหรับ Seagen คือผู้นำการพัฒนายาที่เรียกว่า Antibody-Drug Conjugate หรือ ADC ซึ่งออกแบบมาให้ฆ่าเซลล์มะเร็งและละเว้นเซลล์ที่ดีเอาไว้ ปัจจุบัน ADC คือหนึ่งในยารักษามะเร็งอันเป็นที่ต้องการที่สุด เมื่อเร็วๆ นี้ Merck, Bristol Myers Squibb และ AbbVie ก็เพิ่งเซ็นสัญญามูลค่าพันล้านเหรียญเพื่อเข้าถึงยาชนิดนี้ แปลและเรียบเรียงจาก&nbsp;<a href="https://www.cnbc.com/2023/12/13/pfizer-forecasts-2024-revenue-below-wall-street-expectations.html" alt="Pfizer shares fall as 2024 revenue and profit forecast disappoints">Pfizer shares fall as 2024 revenue and profit forecast disappoints</a>​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/other/kkp-research-thai-education-economy-fail" alt="ผลวิจัย KKP ชี้ไทยโคม่า การศึกษาตกต่ำ ฉุดเศรษฐกิจประเทศไร้กำลังแข่งขัน">ผลวิจัย KKP ชี้ไทยโคม่า การศึกษาตกต่ำ ฉุดเศรษฐกิจประเทศไร้กำลังแข่งขัน</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

โควิดซาแล้วไม่เฟื่องฟู หุ้น Pfizer ดิ่งหนักในรอบสิบปี หลังคาดการณ์รายได้ปีหน้าต่ำกว่านักวิเคราะห์ 

<h2>แม้สัญญามูลค่ามหาศาลกับยักษ์ใหญ่แห่งธุรกิจลงทุนในหุ้นนอกตลาดจะต่างพากันจับจองพื้นที่สื่อ แต่ Ares Management แอบสะสมสินทรัพย์อยู่เงียบๆ จนมีมูลค่า 3.41 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ แล้ว ด้วยข้อเสนอผลตอบแทนที่มั่นคง โดยไม่สนใจสถานการณ์ในตลาดหุ้น</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สมัยที่ Michael Arougheti ยังเป็นแฟนเบสบอลรุ่นเยาว์ของทีม New York Yankees ในปี 1986 เด็กชายหัวการค้า&nbsp;วัย 13 ปี ทำธุรกิจซื้อขายแลกเปลี่ยนการ์ดเบสบอล เมื่อถึงวันหยุดสุดสัปดาห์เด็กชายจะตระเวนตั้งโต๊ะขายการ์ดตามงานรวมของสะสมที่จัดขึ้นที่ชานเมือง New York City แม้ว่า Arougheti จะสามารถสร้างรายได้ก้อนโตแต่เขาพบว่า การพลิกการ์ดนับร้อยๆ ใบ สั่งสมกำไรทีละเล็กน้อยเป็นกลยุทธ์ที่ดีกว่าการห่วงแต่จะตามหาการ์ดรุกกี้ของ Hank Aaron ที่หาได้ยากเย็น แม้อาจจะทำราคาได้สูงนับหมื่นเหรียญ แต่การจะหาให้พบนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย นับตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา Arougheti ดำรงตำแหน่งซีอีโอประจำ Ares Management บริษัทบริหารสินทรัพย์ทางเลือกที่เน้นเรื่องสินเชื่อเป็นสำคัญ ซึ่งเติบโตจนกลายเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จสูงสุดแห่งหนึ่งของ Wall Street อย่างไรก็ตาม Ares เลือกกลยุทธ์ที่แตกต่างจากบริษัทลงทุนในหลักทรัพย์เอกชนอื่นที่มีชื่อเสียงกว่า พวกเขาเก็บเล็กผสมน้อยจนออกดอกออกผลได้อย่างเหนือความคาดหมาย&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Ares บริษัทจาก Los Angeles มีมูลค่าสินทรัพย์ 3.41 แสนล้านเหรียญ เติบโตกว่า 3 เท่าตัวในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา โดย 2.04 แสนล้านเหรียญเป็นสินทรัพย์ในธุรกิจสินเชื่อ ซึ่งให้กู้ยืมเงินแก่บริษัทขนาดกลางจากทั่วโลกที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนัก ในขณะที่บริษัทหลายแห่ง เช่น KKR เป็นที่รู้กันดีว่านิยมเดิมพันด้วยการทุ่มเงินลงทุนในตราสารทุนอย่างหนักแลกกับโอกาสได้รับผลตอบแทนไร้ขีดจำกัด แต่กำไรส่วนมากของ Ares มาจากดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืม ซึ่งมักจะยึดตามอัตราอ้างอิงต่างๆ เช่น LIBOR เท่านี้ก็เป็นที่น่าพอใจแล้วสำหรับบรรดาลูกค้ากองทุนบำเหน็จบำนาญ บริษัทประกันภัย และลูกค้าสถาบันรายอื่นๆ นับ 2,000 แห่ง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“หลายคนต้องการผลตอบแทนที่มั่นคง เราเป็นคนยุคแรกๆ ที่หันมาให้ความสำคัญกับผลตอบแทนแบบทบต้น” Arougheti วัย 50 ปีกล่าว เขาบอกด้วยว่า ธุรกิจนี้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วจากสถานการณ์ตกต่ำในตลาดหุ้น สวนทางอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Ares ยืนตระหง่านในทำเนียบ Forbes Financial All-Stars ซึ่งเพิ่งจัดทำขึ้นเป็นครั้งแรก โดยเป็นการรวบรวมรายชื่อบริษัทด้านการเงิน 50 แห่งทั่วโลก ครอบคลุม 7 กลุ่มธุรกิจคือ ธนาคาร การประกันภัย ตลาดทุน สินเชื่อเพื่อผู้บริโภค ธุรกิจจำนอง เทคโนโลยีการเงิน (ฟินเทค) และการพัฒนาธุรกิจ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นักวิเคราะห์จาก KBW มองว่า ในรอบระยะเวลา 5 ปีบริษัทเหล่านี้จะให้ผลตอบแทนที่ปรับตามความเสี่ยงในอัตราสูง อีกทั้งยังมีโครงสร้างพื้นฐานที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น และการเติบโตของรายได้ ในรอบ 5 ปีซึ่งสิ้นสุดเมื่อเดือนกันยายน ปี 2022 Ares มีผลตอบแทนสะสมรวมทั้งสิ้น 316% เทียบกับ S&amp;P 500 ที่ให้ผลตอบแทน 56% (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้จากคอลัมน์ด้านขวา) เช่นเดียวกับผู้จัดการสินทรัพย์ทางเลือกที่ประสบความสำเร็จรายอื่นๆ Ares กลายเป็นโรงงานผลิตเศรษฐีพันล้าน&nbsp;จากการประเมินของ Forbes คาดว่า Arougheti กับ 2 ผู้ร่วมก่อตั้งคือ Bennett Rosenthal วัย 59 ปี และ David Kaplan วัย 55 ปี ขึ้นแท่นเศรษฐีพันล้านแล้วทุกคน ขณะที่ Antony Ressler ประธานกรรมการบริหารและเจ้าของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของทีมบาสเกตบอล Atlanta Hawks ในศึก NBA มีมูลค่าทรัพย์สินราว 6.3 พันล้านเหรียญในเวลานี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เมื่อปี 1997 Ressler วัย 37 ปีในตอนนั้น ร่วมก่อตั้ง Ares ขึ้นเป็นหน่วยธุรกิจสินเชื่อให้กับ Apollo Global Management ซึ่งเป็นบริษัทที่เขากับเพื่อนร่วมงานจาก Drexel Burnham Lambert ที่นำโดย Leon Black จัดตั้งขึ้นก่อนเมื่อปี 1990 Drexel ภายใต้การนำของ Michael Milken บุกเบิกตลาด “ตราสารหนี้ขยะ” ที่ออกเสนอขายครั้งแรก ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ Drexel ได้มอบหลักสูตรสินเชื่อเข้มข้นให้กับ Ressler ก่อนที่ Drexel จะล้มละลายในปี 1990&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“สินทรัพย์ประเภทนี้ทำให้คุณกลายเป็นนักวิเคราะห์และต้องรู้จักบริษัท เพราะจากอดีตที่ผ่านมาถ้าเป็นวาณิชธนกิจส่วนมากมักจะให้การสนับสนุนทางการเงินแก่บริษัทในกลุ่มชั้นนำที่ไม่ต้องวิเคราะห์อะไรมากมายนัก” Ressler วัย 62 ปีกล่าว “เป็นการปูพื้นฐานเส้นทางอาชีพทั้งสำหรับตัวผมเองและ Ares การทำความเข้าใจและการตีราคาความเสี่ยงคือพื้นฐานการทำธุรกิจของเรา”&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บนเส้นทางสู่ความสำเร็จในวันนี้ Ares เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาตั้งแต่ Arougheti และ Kipp deVeer หัวหน้า Ares Credit Group คนปัจจุบัน เข้ามาร่วมงานกับบริษัทในปี 2004 เพื่อจัดตั้งธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคล ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้วสินเชื่อส่วนบุคคลยังเป็นเป็นแนวคิดที่แปลกใหม่ โดยทั่วไปแล้วบรรดานักลงทุนในหนี้สินภาคสถาบันมักจะซื้อสินเชื่อธนาคารยกชุดที่วาณิชธนกิจนำออกเสนอขายผ่านกองทุนสินเชื่อสภาพคล่อง แต่ Ares ตัดคนกลางออกไป และปล่อยเงินให้กู้ยืมด้วยตนเอง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;Ares ก็เหมือนกับนักวิเคราะห์หุ้นทั่วไป พวกเขาต้องประเมินความเสี่ยงเอง เข้าพบผู้บริหาร และเฟ้นหาการเติบโต อัตรากำไรสวยๆ และผลตอบแทนงามๆ จากเงินลงทุน ในปี 2021 Ares มีส่วนร่วมสนับสนุนทางการเงินให้กับ Thoma Bravo ในการลงทุนซื้อบริการไปรษณีย์ออนไลน์ Stamps.com ในราคา 6.6 พันล้านเหรียญ เช่นเดียวกับ Microstar Logistics ซึ่งเป็นบริษัทให้เช่าถังเบียร์รายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ก็อาศัยเงินกู้ยืมจาก Ares นับร้อยๆ ล้านเหรียญตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ข้อเสนอที่ Ares มอบให้แก่นักลงทุนเกือบทั้งหมดมีตราสารอัตราดอกเบี้ยลอยตัวที่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิรวมอยู่ด้วย เท่ากับว่ามีทรัพย์สินของผู้กู้ยืมรองรับ ความมั่นคงดังกล่าวช่วยให้บริษัทประสบความสำเร็จได้แม้ในตลาดที่มีความผันผวน ในปี 2021 Ares ระดมทุนใหม่รวมทั้งสิ้น 7.7 หมื่นล้านเหรียญ และอีก 4.5 หมื่นล้านเหรียญในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2022 มีรายได้จากค่าธรรมเนียมบริหารจัดการ (คิดในอัตรา 0.35-1.5% สำหรับกองทุนสินเชื่อ) 2 พันล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในรอบระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ในขณะที่บริการสินเชื่อเป็นรายได้หลัก แต่ Ares ยังคงมีสินทรัพย์ในกลุ่มอื่นอีก 1.37 แสนล้านเหรียญ ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือหุ้นเอกชนนอกตลาด ซึ่งรวมถึงกองทุน “โอกาสพิเศษ” มูลค่า 5.4 พันล้านเหรียญ ซึ่งเป็นการลงทุนด้านการปรับโครงสร้าง พวกเขาลงทุนใน Frontier Communications และ Hertz อดีตกิจการล้มละลาย ช่วยให้กองทุนสร้างผลตอบแทนได้ปีละ 26% นับตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา Ares เปิดตัวกองทุนโอกาสพิเศษกองที่ 2 ระดมทุนได้ 7.1 พันล้านเหรียญ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ ยังลงทุนในธุรกิจกีฬา สื่อมวลชน และความบันเทิง รวม 3.7 พันล้านเหรียญ ผ่านการเข้าซื้อหนี้หรือเป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อยในบริษัท 19 แห่ง ซึ่งรวมถึง Ottawa Senators ทีมในลีกฮอกกี้ NHL และ McLaren Racing แห่งศึก Formula 1 นอกจากสินทรัพย์ของบริษัทแล้ว Rosenthal ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รายหนึ่งของทีมฟุตบอลจาก Los Angeles ในศึก Major League Soccer ด้วย &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อ่านเพิ่มเติม :<a href="https://www.ookbee.com/shop/magazine/FORBES/94d74c10-0f6d-44bb-85ec-6e06b637d615/july-2023" alt="คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกรกฎาคม 2566 ในรูปแบบ e-magazine">&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;คลิกอ่านฉบับเต็มและบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกรกฎาคม 2566 ในรูปแบบ e-magazine</a>&nbsp;<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-none" contenteditable="false"><figure><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2023/08/ZAsxxTMa5JaCBesZQBKz.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="none" data-file-name="ZAsxxTMa5JaCBesZQBKz.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="208px,273px" data-rotate="" origin-size="750,984" style="width: 208px; height: 273px;" data-index="0"></figure></div>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;

Ares Management หนึ่งในบริษัทที่ประสบความสำเร็จสูงสุดแห่ง Wall Street

<h2>กฎพื้นฐานในการเลือกซื้อหุ้นในตลาดหุ้น Wall Street ฉบับกูรูด้านการลงทุน 'William Baldwin' คือ ให้เลือกจากตัวคนขายสินค้าไม่ใช่จากตัวสินค้า กฎข้อนี้สามารถใช้ได้กับการลงทุนในหุ้นนอกตลาดด้วย</h2>
ซึ่งในกรณีนี้ Blackstone ถือเป็นหุ้นที่น่าจะมีพอร์ต กฎข้อนี้ยังใช้ได้กับอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายด้วย หากจะว่าไปแล้วไม่มีนักลงทุนที่มีวินัยคนไหนที่อยากจะเข้าไปซื้อหุ้น Class C ของ John Hancock Disciplined Value Fund ซึ่งมีอัตราค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1.8% แต่ราคาหุ้น Manulife Financial ธุรกิจประกันสัญชาติแคนาดาที่เป็นเจ้าของ Hancock กลับซื้อขายที่ระดับที่น่าสนใจที่ 9.8 เท่าของประมาณการกำไรปีนี้ที่ประเมินโดย Value Line

ในขณะที่เรามองว่าผลิตภัณฑ์ประกันประเภท variable annuity ไม่น่าซื้อ แต่หุ้นของ Lincoln National ที่เป็นผู้เล่นรายใหญ่ ที่เน้นขายผลิตภัณฑ์นี้กลับน่าสนใจ โดยที่ระดับราคาคิดเป็น 9.5 เท่าของประมาณการกำไรที่ประเมินโดย Value Line

&nbsp;

<img class="alignnone wp-image-59845" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/03/William-Baldwin.png" alt="William Baldwin" width="300" height="299" />

William Baldwin
เป็นคอลัมนิสต์ด้านกลยุทธ์การลงทุนของ Forbes

&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม:
<ul id="crumbs">
 	<li><a style="color: #008000;" href="https://forbesthailand.com/commentaries/insights/%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b1%e0%b8%9a%e0%b8%81%e0%b8%a5%e0%b8%a2%e0%b8%b8%e0%b8%97%e0%b8%98%e0%b9%8c-%e0%b8%98%e0%b8%b8%e0%b8%a3%e0%b8%81%e0%b8%b4%e0%b8%88%e0%b8%84%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%9b%e0%b8%a5.html">ปรับกลยุทธ์ ธุรกิจค้าปลีก รับพฤติกรรมใหม่นักช็อปชาวไทย</a></li>
 	<li><a style="color: #008000;" href="https://forbesthailand.com/news/jccb-%e0%b8%a1%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b9%84%e0%b8%97%e0%b8%a2%e0%b8%9f%e0%b8%b7%e0%b9%89%e0%b8%99%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b8%a7-%e0%b8%a7%e0%b8%b2%e0%b8%87%e0%b9%81%e0%b8%9c%e0%b8%99%e0%b8%a5%e0%b8%87.html">JCCB มองไทยฟื้นตัว วางแผนลงทุนเศรษฐกิจใหม่</a></li>
</ul>

<hr />

<a href="https://bit.ly/3GpDqJa">คลิกอ่านฉบับเต็ม และบทความทางด้านธุรกิจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ในรูปแบบ e-magazine</a>

<a href="https://bit.ly/3GpDqJa"><img class="lazy alignnone wp-image-59362 lazy-loaded" src="https://i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/02/273008015_3029138657301204_8261853869594269048_n.jpg" sizes="(max-width: 300px) 100vw, 300px" srcset="//i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/02/273008015_3029138657301204_8261853869594269048_n.jpg 457w, //i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/02/273008015_3029138657301204_8261853869594269048_n-229x300.jpg 229w" alt="" width="300" height="394" data-lazy-type="image" data-lazy-src="//i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/02/273008015_3029138657301204_8261853869594269048_n.jpg" data-lazy-srcset="//i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/02/273008015_3029138657301204_8261853869594269048_n.jpg 457w, //i0.wp.com/forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/02/273008015_3029138657301204_8261853869594269048_n-229x300.jpg 229w" data-lazy-sizes="(max-width: 300px) 100vw, 300px" /></a>

HOW TO PLAY IT: กฎพื้นฐานในการเลือกซื้อหุ้นในตลาดหุ้น Wall Street โดย William Baldwin

Baiju Bhatt และ Vladimir Tenev เจ้าพ่อแห่งทุนนิยมกาสิโนดิจิทัล "Robinhood"

Tracy Maitland กับกลยุทธ์ลงทุน "มีแต่ได้ ไม่มีเสีย" ท่ามกลางโควิด-19

<h3 class="topic">แม้แต่บรรดาราชาแห่งตลาดหุ้น Wall Street เองก็ยังประสบปัญหาความเหลื่อมล้ำของรายได้ ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่มีรายได้สูงสุด 5 อันดับแรกทำเงินรวมกันได้เกือบครึ่งหนึ่งของการจัดอันดับครั้งนี้</h3>
1.68 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นตัวเลขที่เรารวบรวมเพื่อทำการจัดอันดับผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่มีรายได้สูงที่สุด 25 อันดับประจำปีนี้ และผู้จัดการกองทุน 5 อันดับแรกคือผู้ทำรายได้ครึ่งหนึ่งของตัวเลขดังกล่าว

ปีนี้เราต้อนรับสมาชิกใหม่ 2 คนอย่าง Philippe Laffont (อันดับ 11 ร่วม) และ John Armitage (อันดับ 23) เป็นเศรษฐีพันล้านหมาดๆ เนื่องจากได้รับค่าจ้างอย่างงาม ทั้งสองเป็นนักเลือกหุ้นผู้แน่วแน่ซึ่งเป็นบุคคลประเภทที่ดูเหมือนจะหาได้ยากในสมัยนี้

ทั้งนี้ Forbes Thailand ได้คัดสรร 10 อันดับแรกมานำเสนอ พร้อมกับเรื่องราวฉบับย่อของ 3 ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่น่าจับตามอง

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/97926082c7078c2b7934b1a810ce9ba1.png" alt="" />

Michael Platt (อันดับ 1)

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/22b935dd6f5fe30a056e3366f67fc55a.jpg" alt="" />

หลังจากชำระเงินคืนให้กับนักลงทุนที่เป็นบุคคลภายนอกเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา Platt ได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนด้วยเงินกู้ยืมและลงทุนในระดับความเสี่ยงที่สูงขึ้น สูตรการลงทุนใหม่ของเขาได้ผลดี ในปี 2017 BlueCrest Capital ของเขาให้ผลตอบแทน 54% จากสินทรัพย์ทั้งหมดหลังหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว

Daniel Loeb (อันดับ 7)

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/c300cd559c0550af6f95ab1c1d1db9e2.jpg" alt="" />

Loeb เป็นที่รู้จักจากการส่งจดหมายอันดุเดือดถึงคณะกรรมการบริหารบริษัทต่างๆ และกองทุนหลักของเขาให้ผลตอบแทน 18.2% เขาแซงหน้าเพื่อนร่วมวงการอย่างเงียบๆ ด้วยผลการดำเนินงานที่เข้มแข็งตลอดระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้

Christopher Hohn (อันดับ 9 ร่วม)

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/83f74f1e0334d462740c2d935d5a6094.jpg" alt="" />

หนึ่งในผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ร้อนแรงที่สุดในขณะนี้ ปีที่แล้วกองทุนหลักมูลค่า 1.85 หมื่นล้านเหรียญของนักลงทุนหัวรุนแรงผู้นี้ให้ผลตอบแทนหลังหักค่าธรรมเนียม 27%

&nbsp;

<hr />

<a href="http://bit.ly/2KBKIko">คลิกอ่านรายชื่อ "ผู้ทรงอิทธิพลเฮดจ์ฟันด์ทั้ง 25 อันดับ" ได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ กรกฎาคม 2561 ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="http://bit.ly/2KBKIko"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/a6c991f2a6aeac318115eabc06469951.png" alt="" /></a>

10 อันดับผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์รายได้สูงที่สุดแห่ง Wall Street ปี 2018

ทำอย่างไรถึงเอาชนะทั้ง WALL STREET และ SILICON VALLEY ไปพร้อมกันได้

มนุษย์ทองคำรุ่นใหม่แห่ง Wall Street

ตั้งแต่การธนาคาร ไปจนการเข้าซื้อกิจการ การซื้อขายไปจนการครอบงำกิจการ นักการเงินทั้ง 40 คนนี้เป็นเจ้าแห่งโลกการเงิน พวกเขามีตั้งแต่ผู้จัดการกองทุนบริหารความเสี่ยง ผู้บริหารกองทุนไพรเวทอิควิตี้ และนายธนาคารที่ควบคุมกระแสเงินหลายล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในระบบเศรษฐกิจโลก ที่ส่งผลกระทบต่อเราแทบทุกคนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ในการรวบรวมรายชื่อ เราพิจารณาผู้ที่ทำธุรกิจทั้งฝั่งซื้อและขายด้วยเงินจำนวนมาก ที่ Wall Street เงินเท่านั้นที่มีความหมาย ดังนั้น เราจึงตัดสินผู้เข้ารอบด้วยเกณฑ์ 4 ประการ ได้แก่ สินทรัพย์สุทธิ ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร ผลงานย้อนหลังสามปี และอิทธิพลที่มีต่อตลาด

กูรูการเงินแห่ง Wall Street ลำดับที่ 1-10

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/c8be1fcb75f09c8a61241544957ae3e5.png" alt="" />
ลำดับที่1: Stephen Schwarzman
สังกัด: Blackstone Group
ภูมิลำเนา: New York City
สินทรัพย์สุทธิ: 1.02 หมื่นล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 3.44 แสนล้านเหรียญ

แม้กระทั่งหลังจากปั่นราคาสินทรัพย์ได้เป็นที่น่าพอใจแล้ว เจ้าพ่อบริษัทบริหารกองทุนไพรเวทอิควิตี้ ยังพยายามหาทางนำเงินไปต่อเงิน ซึ่งรวมถึงดีลอสังหาริมทรัพย์ที่อินเดียเมื่อเร็วๆ นี้ ตอนนี้ Blackstoneเป็นเจ้าของพื้นที่สำนักงาน 30 ล้านตารางฟุตในเมืองใหญ่ๆ หลายแห่งของอินเดีย “ถ้าเราซื้อทุกอย่างในราคาสูง มันจะไม่สนุกเท่ากับซื้อในราคาต่ำ” Schwarz-man กล่าว “สิ่งสำคัญก็คือเราต้องทำให้ได้เหนือตลาดอยู่เสมอ”

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8eabc7d70f4b3cf710a2d181b238480d.png" alt="" />
ลำดับที่2: David Tepper
สังกัด: Appaloosa Management
ภูมิลำเนา: Miami Beach
สินทรัพย์สุทธิ: 1.14 หมื่นล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 1.8 หมื่นล้านเหรียญ

ผู้จัดการกองทุนบริหารความเสี่ยงระดับตำนานคิดว่าตลาดเริ่มผ่อนคลายลงเพราะนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน “เมื่อใดที่ตลาดตราสารทุนมาเกี่ยวข้อง ก็เป็นเรื่องของตลาดมูลค่าที่แท้จริงเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ร้ายๆ อย่างอังกฤษจะออกจากสหภาพยุโรปหรือผลการเลือกตั้งพลิกโผ ซึ่งตอนนี้ก็ไม่ค่อยเห็นแล้ว คุณจะได้เห็นตลาดตราสารทุนของสหรัฐฯ ที่โตขึ้นอย่างช้าๆ” Tepper กล่าว “คำถามก็คือ ณ จุดไหน ที่ดอกเบี้ยจะขึ้น ผมคิดว่าเฟดจะรอคอยอย่างอดทนมากๆ เพราะพวกเขามีความเห็นว่าสามารถอดทนกับเงินเฟ้อได้ แต่จะทำให้เกิดเงินเฟ้อในโลกนี้เป็นอะไรที่ยากเย็นแสนเข็ญ ผมจึงเห็นว่าเฟดจะรอต่อไป” Tepper กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับเฟดว่า “พวกเขาพูดมาสักล้านครั้งแล้ว แต่ตลาดอาจเพิ่งเห็นว่าต้องเป็นอย่างนั้น คือพวกเขาจะรอให้เกิดภาวะเงินเฟ้อสักพักแล้วค่อยจัดการกับมัน”

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/10e686bb0e736effa9fd552dc896c811.png" alt="" />
ลำดับที่3: Jamie Dimon
สังกัด: JPMorgan Chase &amp; Co.
ภูมิลำเนา: New York City
สินทรัพย์สุทธิ: 700 ล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 2.4 ล้านล้านเหรียญ

ชายผู้ถือกุญแจสู่ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา Dimon บริหารงานสถาบันการเงินที่มียอดเงินเคลื่อนไหววันละ 5 ล้านล้านเหรียญ JP Morgan กำลังฝ่าความผันผวนของตลาดโลก แต่ Dimon กำลังคิดถึงภาพใหญ่กว่านั้น เขาคิดถึงนโยบายที่ไร้ประสิทธิภาพอย่างกฎหมายภาษีที่ล้าสมัย ซึ่งเขาบอกว่าทำให้งบดุลของธนาคารมีความเสี่ยงยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/a5e55adefd06dc4f723aeed873731134.png" alt="" />
ลำดับที่4: Warren Buffett
สังกัด: Berkshire Hathaway
ภูมิลำเนา: Omaha
สินทรัพย์สุทธิ: 6.85 หมื่นล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 5.52 แสนล้านเหรียญ

คำแนะนำที่ดีที่สุดของ Buffet สำหรับผู้อ่าน FORBES ในวันนี้คืออะไร “จงไปอ่านหนังสือ The Intelligent Investor” เขากล่าว “และอ่านอีกรอบเมื่อตลาดตกต่ำรุนแรง” Buffet เป็นแฟนหนังสือของ Benjamin Graham เกี่ยวกับการลงทุนแบบเน้นคุณค่าเล่มนี้มานานแล้ว ในจดหมายถึงนักลงทุนปี 2016 ของ Buffet เขาบอกกับผู้ถือหุ้นของ Berkshire Hathaway ว่า เด็กที่เกิดในอเมริกาทุกวันนี้ “เป็นผลิตผลที่โชคดีที่สุดในประวัติศาสตร์”

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/80a3be0c149dd0b0d026b471b8af7f18.png" alt="" />
ลำดับที่5: Laurence Fink
สังกัด: BlackRock
ภูมิลำเนา: New York City
สินทรัพย์สุทธิ: 550 ล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 4.6 ล้านล้านเหรียญ
Fink เป็นซีอีโอของบริษัทบริหารสินทรัพย์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ เขาส่งจดหมายถึงผู้บริหารบริษัทใน S&amp;P 500 ทุกคน เรียกร้องให้พวกเขาเลิกมองอะไรสั้นๆ และจัดพิมพ์แผนยุทธศาสตร์ประจำปีเพื่อให้นักลงทุนใช้เป็นข้อมูลเปรียบเทียบ
<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/9d7364fd1453ba4ae1a029847756e7ed.png" alt="" />
ลำดับที่6: Ken Griffin
สังกัด: Citadel
ภูมิลำเนา: Chicago
สินทรัพย์สุทธิ: 7.6 พันล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 2.5 หมื่นล้านเหรียญ

ผู้จัดการกองทุนที่ประสบความสำเร็จผู้นี้กำลังสร้างสถาบันการเงินที่รวมเอาโบรกเกอร์ที่เป็นนายหน้าขายตราสารทุนอันดับหนึ่งของสหรัฐฯ “ทีมที่ดีต้องสนุกกับงาน พวกเขาชอบแก้ปัญหาที่เป็นปัญหาของยุคเรา และก็ชอบเอาชนะ” Griffin กล่าว “ผมโชคดีจริงๆ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมแบบที่ว่า ทีมที่มีจินตนาการที่จะมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น เชื่อมั่นพอที่จะเสี่ยง และลงมือก่อนใคร”
<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4adc58777500a7330a25f5471bdfd7d2.png" alt="" />
ลำดับที่7: Jeffrey Gundlach
สังกัด: Doubleline Capital
ภูมิลำเนา: Los Angeles
สินทรัพย์สุทธิ: 1.4 พันล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 9.5 หมื่นล้านเหรียญ

ราชาพันธบัตรกำลังจดจ้องบรรดาธุรกิจขยะไม่วางตา โดยเฉพาะบริษัทพลังงานที่กำลังเผชิญขาลงครั้งเลวร้าย เขาไม่คิดว่าดอกเบี้ยจะเปลี่ยนแปลงมากนักและแนะนำนักลงทุนให้ลงทุนกับกองทุนพันธบัตรระยะกลาง เขาไม่ตื่นเต้นกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นสถานที่ซึ่งคนที่อึดที่สุดเท่านั้นจึงจะอยู่รอด และหุ้นก็มีราคาแพง “บางครั้ง การรักษาเงินทุนไว้ก็เป็นเรื่องดี และนี่ก็เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ว่านั้น”Gundlach กล่าว

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1ff291b85557b862d7ccd6d0be87c938.png" alt="" />
ลำดับที่8: Carl Icahn
สังกัด: Icahn Enterprises
ภูมิลำเนา: New York City
สินทรัพย์สุทธิ: 1.76 หมื่นล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 4.2 หมื่นล้านเหรียญ

เขาเป็นทั้งนักลงทุนและนักเคลื่อนไหว ขณะที่กำลังป้องกันความเสี่ยงให้พอร์ตของตัวเองนั้น เขาก็กำลังทุบโต๊ะเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงด้านการคลังของประเทศ เช่นการแก้ปัญหาภาษีที่จะทำให้บริษัทสัญชาติอเมริกันส่งเงินสดที่อยู่นอกประเทศกลับเข้าประเทศ “เราต้องผ่าทางตันในคองเกรสอันจะนำไปสู่มาตรการทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะเฟดกุมอำนาจเหนือเศรษฐกิจลำพังผู้เดียว ผมคิดว่าจะให้เป็นแบบนั้นต่อไปไม่ได้ ความเป็นไปได้ที่จะเป็นเช่นนั้นจะยิ่งมากขึ้นถ้า Trump ได้รับเลือกตั้ง” Icahn กล่าว “ผลกระทบมันรุนแรงและคาดไม่ถึง เช่นตอนนี้ที่ฟองสบู่กำลังก่อตัวเพราะดอกเบี้ยต่ำ”

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/cecf4d2608194001399b6618fd7ea52c.png" alt="" />
ลำดับที่9: Lloyd Blankfein
สังกัด: Goldman Sachs
ภูมิลำเนา: New York City
สินทรัพย์สุทธิ: 700 ล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 8.78 แสนล้านเหรียญ

Goldman Sachs กำลังลุยเจาะกลุ่มลูกค้าใน Silicon Valley เพื่อหาทางลดต้นทุนธุรกิจและเปิดตลาดใหม่ “เทคโนโลยีมีความสำคัญกับทุกสิ่งที่เราทำ” Blankfein ระบุในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นประจำเดือนกุมภาพันธ์ ล่าสุดมีการเปิดตัว Marquee โปรแกรมการทำงานสำหรับลูกค้าที่ลงทุนกับบริษัท และธนาคารออมทรัพย์แบบออนไลน์

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8c89ecba531df27d2bba9e11b2f3cde4.png" alt="" />
ลำดับที่10: George Soros
สังกัด: Soros Fund Management
ภูมิลำเนา: Katonah, N.Y.
สินทรัพย์สุทธิ: 2.49 หมื่นล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 2.9 หมื่นล้านเหรียญ

ในวัย 85 ปี Soros เป็นนักลงทุนตัวฉกาจ เขาเริ่มต้นปี 2016 ด้วยการเดิมพันอย่างแข็งขันกับสกุลเงินในเอเชีย ไม่นานมานี้ เขาออกมาโต้ว่าจีนจะก่อวิกฤตการเงินโลกรอบใหม่หากยังพึ่งพาการก่อหนี้มากจนเกินไป เช่นเดียวกับที่อเมริกาเคยทำก่อนเกิดหายนะครั้งที่ผ่านมา

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/c9720009b5c4422b7fc8e742d568c906.png" alt="" />
กูรูการเงินแห่ง Wall Street ลำดับที่ 11-20

<a href="https://goo.gl/erWKEz"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f2077a8e683604f73cec5bbe05bf749b.png" alt="" /></a>
กูรูการเงินแห่ง Wall Street ลำดับที่ 21-30

<a href="https://goo.gl/M5Pbp0"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/46c7acf083bc942059b051d7bd90b57f.png" alt="" /></a>
กูรูการเงินแห่ง Wall Street ลำดับที่ 31-40

<hr />

<a href="http://goo.gl/WtgACX">คลิ๊กอ่านการจัดอันดับ "กูรูการเงินแห่ง Wall Street" ฉบับเต็ม ได้ที่ Fobes Thailand Magazine ฉบับ AUGUST 2016
<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/2f0ec01727a29e20bcfe4afe88d91599.png" alt="" width="281" height="370" /></a>

กูรูการเงินแห่ง Wall Street ลำดับที่ 1-10

ตั้งแต่การธนาคาร ไปจนการเข้าซื้อกิจการ การซื้อขายไปจนการครอบงำกิจการ นักการเงินทั้ง 40 คนนี้เป็นเจ้าแห่งโลกการเงิน พวกเขามีตั้งแต่ผู้จัดการกองทุนบริหารความเสี่ยง ผู้บริหารกองทุนไพรเวทอิควิตี้ และนายธนาคารที่ควบคุมกระแสเงินหลายล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในระบบเศรษฐกิจโลก ที่ส่งผลกระทบต่อเราแทบทุกคนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ในการรวบรวมรายชื่อ เราพิจารณาผู้ที่ทำธุรกิจทั้งฝั่งซื้อและขายด้วยเงินจำนวนมาก ที่ Wall Street เงินเท่านั้นที่มีความหมาย ดังนั้น เราจึงตัดสินผู้เข้ารอบด้วยเกณฑ์ 4 ประการ ได้แก่ สินทรัพย์สุทธิ ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร ผลงานย้อนหลังสามปี และอิทธิพลที่มีต่อตลาด

กูรูการเงินแห่ง Wall Street ลำดับที่ 31-40

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/4b6a5513f6bed52f2bd2779ec5eaadfa.png" alt="" />

ลำดับที่ 31: Paul Singer
หน่วยงาน: Elliott Management
ภูมิลำเนา: New York City
สินทรัพย์สุทธิ: 2.2 พันล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 2.7 หมื่นล้านเหรียญ

ข้อตกลงหนี้ก้อนมหาศาลกับ Argentina ผู้จัดการกองทุนบริหารความเสี่ยงมีคำแนะนำไม่ให้เชื่อคำแนะนำ “จุดหักเหสำคัญในตลาดไม่เคยได้รับการทำนายล่วงหน้าอย่างแม่นยำโดย ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ และผู้กำหนดนโยบาย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเพราะตลาดและทิศทางเศรษฐกิจไม่ใช่ปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่กำหนดรูปแบบได้ แต่เป็นตัวอย่างพฤติกรรมหมู่ของมนุษย์ ซึ่งไม่มีวันทำนายได้อย่างเที่ยงตรง” Singer ชี้ “แต่ที่น่าแปลกใจก็คือแม้แต่นักลงทุน นายหน้า หรือนักวิเคราะห์ที่เจนจัด กลับยังพึ่งพาการทำนายจากผู้ที่ไม่เคยมีประวัติว่าคาดการณ์ได้ถูกต้อง”

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/258659ada49e4c683cec9c4d213d5f37.png" alt="" />
ลำดับที่ 32: Brian Moynihan
หน่วยงาน: Bank Of America
ภูมิลำเนา: Charlotte, N.C.
สินทรัพย์สุทธิ: 35 ล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 2.2 ล้านล้านเหรียญ

ทนายความประจำ Wall Street ผู้นี้รับมือกับปัญหาในยุควิกฤตของ Bank of America ด้วยการแจกเงินหลายหมื่นล้านเหรียญในรูปแบบการชำระค่าปรับและหนี้ “เราทำตามกลยุทธ์ในการลดขั้นตอน สร้างความแข็งแกร่งให้เงินทุนและสภาพคล่องของเรา ลงทุนในบริษัทและศักยภาพของเรา” เขากล่าว ตอนนี้ Moynihan กำลังตื่นเต้นกับอนาคตของธนาคาร “ผู้บริโภคชาวอเมริกันกำลังจับจ่ายและเราเห็นกิจกรรมทางธุรกิจที่สำคัญ เพราะฉะนั้นเราจึงวางตัวเองในจุดที่เหมาะสมเพื่อช่วยกระตุ้นภาคเศรษฐกิจจริง”

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/9fa0de746191d6da44f9fde7f7e62c8b.png" alt="" />
ลำดับที่ 33: Uday Kotak
หน่วยงาน: Kotak Mahindra Bank
ภูมิลำเนา: Mumbai
สินทรัพย์สุทธิ: 7.1  พันล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 3.46 หมื่นล้านเหรียญ

มหาเศรษฐีขาวอินเดียทำเงินจากการปล่อยกู้ให้กับประชากรจำนวนมหาศาลใน Mumbai และ Delhi เขาเชื่อว่าการลงทุนในอินเดียก็เหมือนภาพยนตร์ Bollywood ยาวแต่จบแบบมีความสุขชั่วนิรันดร

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/e10f24bad9814abe2b3123653f8774a8.png" alt="" />
ลำดับที่ 34: Pollyanna Chu
หน่วยงาน: Kingston Securities
ภูมิลำเนา: Hong Kong
สินทรัพย์สุทธิ: 3.8 พันล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 2 พันล้านเหรียญ

ประสบความสำเร็จอย่างดีกับเดิมพันที่บ้านเกิดของเธอคือ ฮ่องกง Kingston Securities ได้ประโยชน์จากความเชื่อมโยงทางการค้าใหม่กับจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งสามารถดึงดูดนักลงทุนชาวจีนที่กำลังเสียขวัญมายังตลาดฮ่องกง

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/3eed1cd76268ddd6915ddc4b864aa37c.png" alt="" />
ลำดับที่35: Yngve Slyngstad
หน่วยงาน: Norwegian Sovereign Wealth Fund
ภูมิลำเนา: Oslo
สินทรัพย์สุทธิ: 3 ล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 8.689 แสนล้านเหรียญ

แม้ว่ากองทุนบำนาญที่ใหญ่ที่สุดในโลกจะให้ผลตอบแทนแค่ 2.7% ในปี 2015 Slyngstad ยังไม่ถอยทัพไปไหน “เราไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมการขาย และผมไม่คิดว่าเราจะทำ” เขากล่าวระหว่างการนำเสนอครั้งหนึ่งเมื่อหุ้นตกในช่วงฤดูหนาว

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/069fbeca18d2e76fc5cdbe636a2954cc.png" alt="" />
ลำดับที่36: Andrew Beal
หน่วยงาน: Beal Bank
ภูมิลำเนา: Dallas
สินทรัพย์สุทธิ: 1.05 หมื่นล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 7 พันล้านเหรียญ

เช่นเดียวกับในช่วงก่อนเกิดวิกฤตการเงิน Beal พยายามควบคุมการปล่อยกู้ของธนาคารเพราะเป็นกังวล “ตลาดทุนตลาดเงินของโลกกลายมาเป็นสนามเด็กเล่นสำหรับนักวิชาการธนาคารกลางหลายๆ แห่งในโลก พวกเรารู้ดีว่าตลาดที่รัฐบาลควบคุมจะเป็นยังไงในท้ายที่สุด” Beal กล่าว “มันเป็นอุบายลวงโลกที่เล่นกับความไว้เนื้อเชื่อใจของเรา ซึ่งมักจะลงเอยแบบเดียวกัน ก็คือการสูญเสียความไว้ใจ”

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/0deb2528123f53f6bffd4f37f1f23ea9.png" alt="" />
ลำดับที่37: Robert Smith
หน่วยงาน: Vista Equity Partners
ภูมิลำเนา: Austin, Tex.
สินทรัพย์สุทธิ: 2.5 พันล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 2 หมื่นล้านเหรียญ

นักลงทุนกองทุนไพรเวทอิควิตี้ผู้นี้ยังจดจ่อกับการลงทุนในซอฟต์แวร์ “การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 กำลังเกิดขึ้นแล้ว และเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก” Smith บอก “มันขึ้นอยู่กับความสามารถของบริษัทในการใช้ประโยชน์จากข้อมูลซึ่งถูกดักได้จากการปฏิสัมพันธ์แบบ Real-time ที่กำลังเกิดขึ้นในเครือข่ายของลูกค้าของบริษัทเหล่านั้น” สำหรับ Smith กุญแจสำคัญสำหรับนักลงทุนก็คือเลือกสรรผู้บริหารที่เข้าใจในพลวัตของข้อมูลขนาดใหญ่ และสามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และแนวทางธุรกิจแบบรู้คิด (Cognitive solution) ที่มีพื้นฐานจากการวิเคราะห์
<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/056ebc9f4632dc593b09ec80a89a4ee7.png" alt="" />
ลำดับที่38: Joseph Safra
หน่วยงาน: Safra Group
ภูมิลำเนา:  Sao Paulo
สินทรัพย์สุทธิ: 1.72 หมื่นล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 1.5 แสนล้านเหรียญ

บริษัทบริหารสินทรัพย์ของนายธนาคารที่รวยที่สุดในโลกกำลังเรียกร้อง “กฎเกณฑ์การลงทุนที่ยืดหยุ่นกว่านี้” สำหรับปี 2016 โดยกล่าวว่า “ตลาดหุ้นจะถูกบดบังด้วยความเสี่ยงและความไม่แน่นอนทางการเมือง” Safra เองก็กำลังเจอกับความไม่แน่นอนและกำลังเจอข้อกล่าวหาคอร์รัปชันในบราซิล Safra Group ระบุว่าข้อกล่าวหานี้ไม่มีมูล

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/aebf06b36117ca0b16ebc5b1a40af4e2.png" alt="" />
ลำดับที่39: David Booth
หน่วยงาน: Dimensional Fund Advisors
ภูมิลำเนา: Austin, Tex.
สินทรัพย์สุทธิ: 1.4 พันล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 4.09 แสนล้านเหรียญ

หลายสิบปีแล้วที่ Booth สนใจในงานของ Eugene Fama นักเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัล Nobel และ Kenneth French คู่หูของเขา ทั้งคู่เป็นผู้บริหารที่ Dimensional Fund Advisors ผลงานวิจัยสรุปว่า ตลาดมีประสิทธิภาพ หุ้นที่เน้นคุณค่า โดยมากจะมีผลการดำเนินงานโดดเด่นกว่าหุ้นที่เน้นการเติบโตและบริษัทเล็กจะมีผลประกอบการดีกว่าบริษัทใหญ่

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/889279505ea3783bb776ed9f6836f72f.png" alt="" />
ลำดับที่40: James Coulter
หน่วยงาน: TPG Capital
ภูมิลำเนา: San Francisco
สินทรัพย์สุทธิ:  2.1 พันล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 7 หมื่นล้านเหรียญ

ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งและผู้นำดาวรุ่งของหนึ่งในบริษัทกองทุนไพรเวทอิควิตี้ที่ใหญ่ที่สุด Coulter ต้องการทดสอบแนวคิดใหม่ๆ “การเป็นผู้นำหมายถึงความสามารถในการปรับตัวได้ ตลอดจนมีทักษะและความเชื่อมั่นที่จะประสบความสำเร็จในตลาดใหม่ๆ” เขาบอก “ทุกวันนี้ เราขยายเป้าหมายไปยังเหล่าบริษัทที่เรียกว่า Disruptor (บริษัทน้องใหม่ที่สร้างความท้าทายแก่อุตสาหกรรมโลก – ผู้เรียบเรียง) อย่าง Airbnb และ Uber รวมถึงสินเชื่อขนาดย่อมในอินเดียและศรีลังกา หนี้มีปัญหาใน Puerto Rico และอิตาลี ตลอดจนธุรกิจบริการเนื้อหาอย่าง Cirque de Soleil, Creative Artists Agency และ STX

<a href="https://goo.gl/hp3Nch"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f437bd6718597a3f7f6a5b1adb6656b8.png" alt="" /></a>
กูรูการเงินแห่ง Wall Street ลำดับที่ 1-10

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/c9720009b5c4422b7fc8e742d568c906.png" alt="" />
กูรูการเงินแห่ง Wall Street ลำดับที่ 11-20

<a href="https://goo.gl/erWKEz"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f2077a8e683604f73cec5bbe05bf749b.png" alt="" /></a>
กูรูการเงินแห่ง Wall Street ลำดับที่ 21-30

<hr />

<a href="http://goo.gl/WtgACX">คลิ๊กอ่านการจัดอันดับ "กูรูการเงินแห่ง Wall Street" ฉบับเต็ม ได้ที่ Fobes Thailand Magazine ฉบับ AUGUST 2016
<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/2f0ec01727a29e20bcfe4afe88d91599.png" alt="" width="281" height="370" /></a>

กูรูการเงินแห่ง Wall Street ลำดับที่ 31-40

ตั้งแต่การธนาคาร ไปจนการเข้าซื้อกิจการ การซื้อขายไปจนการครอบงำกิจการ นักการเงินทั้ง 40 คนนี้เป็นเจ้าแห่งโลกการเงิน พวกเขามีตั้งแต่ผู้จัดการกองทุนบริหารความเสี่ยง ผู้บริหารกองทุนไพรเวทอิควิตี้ และนายธนาคารที่ควบคุมกระแสเงินหลายล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในระบบเศรษฐกิจโลก ที่ส่งผลกระทบต่อเราแทบทุกคนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ในการรวบรวมรายชื่อ เราพิจารณาผู้ที่ทำธุรกิจทั้งฝั่งซื้อและขายด้วยเงินจำนวนมาก ที่ Wall Street เงินเท่านั้นที่มีความหมาย ดังนั้น เราจึงตัดสินผู้เข้ารอบด้วยเกณฑ์ 4 ประการ ได้แก่ สินทรัพย์สุทธิ ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร ผลงานย้อนหลังสามปี และอิทธิพลที่มีต่อตลาด

กูรูการเงินแห่ง Wall Street ลำดับที่ 21-30

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/348a0879b71a0d9d43b7d9f9f1dbfb12.png" alt="" />
ลำดับที่21: John Elkann
หน่วยงาน: ExorSpA
ภูมิลำเนา: Turin, ประเทศอิตาลี
สินทรัพย์สุทธิ: 850 ล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 1.41 หมื่นล้านเหรียญ

Elkann ทายาทแห่งตระกูล Agnelli เปลี่ยนธุรกิจครอบครัวให้กลายเป็นบริษัทโฮลดิ้งแบบ Berkshire Hathaway ทำธุรกิจครอบคลุมตั้งแต่รถยนต์ (Fiat Chrysler) เครื่องจักร (CNH) ประกันภัยต่อ (PartnerRe) สื่อ (The Economist) และทีมฟุตบอล (Juventus) “ในฐานะที่เราทำธุรกิจระยะยาว เราลงทุนในเงินทุนถาวร ฝึกฝนทักษะการจัดการเพื่อสนับสนุนบริษัทชั้นนำที่มีศักยภาพในระดับโลก” Elkann กล่าว

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/7f2b50813f5aa4e8aaa4687d19a97445.png" alt="" />
ลำดับที่22: Mary Erdoes
หน่วยงาน: J.P. Morgan Asset Management
ภูมิลำเนา:  New York City
สินทรัพย์สุทธิ: 60 ล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 1.7 ล้านล้านเหรียญ

“สำหรับพวกเราหลายคนที่เข้าสู่แวดวงการลงทุนในช่วงทศวรรษที่ 80 และ 90 ตลาดที่พวกเรารู้จักนั้นถ้าไม่เป็นขาขึ้นแบบมีทิศทางเป็นเวลาหลายๆ ปี ก็เป็นตลาดที่มีการลงทุนกระจุกตัวและเผชิญความตกต่ำรุนแรง Erdoes กล่าว “วันนี้เราอาจกำลังเข้าสู่ยุคที่คล้ายๆ กับช่วงทศวรรษที่ 60 และ 70 ซึ่งเห็นผลตอบแทนที่ไร้ทิศทางและต่ำเตี้ยเป็นเวลานานและหลายๆ ช่วง” แล้วบริษัทบริหารสินทรัพย์ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลกมีคำแนะนำว่าอย่างไร “การจัดพอร์ตอย่างต่อเนื่องจะเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันมากที่สุด ขณะที่การเลือกลงทุนจะเป็นตัวเลือกเฉพาะบุคคลมากขึ้น ภาคอุตสาหกรรมและตัวเลือกในระดับภูมิภาคจะสำคัญกว่าการลงทุนในดัชนีตลาดด้วยกลยุทธ์เชิงรับ”

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/98984421e25be2dd6bdcc16d49f96552.png" alt="" />
ลำดับที่23: Henry Kravis
หน่วยงาน: KKR
ภูมิลำเนา: New York City
สินทรัพย์สุทธิ: 4.3 พันล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 1.2 แสนล้านเหรียญ

Kravis เขย่าวงการอาหารของอเมริกาเมื่อ KKR เข้าเทคโอเวอร์กิจการของ RJR Nabisco สามทศวรรษต่อมาเขามองไปยังผู้บริโภค ผู้ที่เขาคิดว่ากำลังเริ่มได้ประโยชน์จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ตกต่ำ “ผู้บริโภคใช้เงินต่างจากในอดีตมาก พวกเขายอมจ่ายเพื่อซื้อ ‘ประสบการณ์’ มากกว่า ‘สิ่งของ’” Kravis ตั้งข้อสังเกต นั่นคือพยายามตักตวงจากการสร้างครอบครัว การทะลุทะลวงของอินเทอร์เน็ต ตลอดจนหมวดสินค้าและบริการเพื่อการดูแลตัวเอง อย่างการดูแลสุขภาพและความสวยความงาม

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/8f1ff67c2bf272385bb96d092245245d.png" alt="" />
ลำดับที่24: Andreas Halvorsen
หน่วยงาน: Viking Global Investors
ภูมิลำเนา:  Darien, Conn.
สินทรัพย์สุทธิ: 3.1 พันล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 3.3 หมื่นล้านเหรียญ

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/08866508a74aa59af4ca436f5c6fbbaf.png" alt="" />
ลำดับที่25: Howard Marks
หน่วยงาน: Oaktree Capital
ภูมิลำเนา: New York City
สินทรัพย์สุทธิ: 1.9 พันล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 9.7 หมื่นล้านเหรียญ

Capital บริษัทที่ลงทุนในสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ เห็นสินทรัพย์ของบริษัทเติบโตจาก 5 พันล้านเหรียญ ในปี 1995 เป็นเกือบ 1 แสนล้านเหรียญ ลูกค้าของเขาประกอบไปด้วยกองทุนบำนาญที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ 74 กองทุนจาก 100 กองทุน คำแนะนำของเขาคือ “เลือกหุ้นส่วนและลูกค้าอย่างพิถีพิถัน”

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/c16567b8affe988bd7852cd768db9780.png" alt="" />
ลำดับที่26: Mark Walter
หน่วยงาน: Guggenheim Partners
ภูมิลำเนา: Chicago
สินทรัพย์สุทธิ: 2.3 พันล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 2.4 แสนล้านเหรียญ

ผู้ร่วมก่อตั้งธุรกิจบริหารพอร์ตหลักทรัพย์ที่ใหญ่และโตวันโตคืนมองเห็นความท้าทายทางเศรษฐกิจอีกมากในอนาคต “แน่นอน โอกาสยังมีให้เห็นอยู่เสมอ” Walter กล่าว “โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับประชากรสูงวัยและการบูรณะโครงสร้างสาธารณูปโภค”

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/213e9a57c188a2edaefb42b82e6c53fc.png" alt="" />
ลำดับที่27: Jiang Jianqing
หน่วยงาน: Industrial &amp; Commercial Bank of China
ภูมิลำเนา: Beijing
สินทรัพย์สุทธิ: น้อยกว่า 1 ล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 3.4 ล้านล้านเหรียญ

บริหารธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกคนนี้กำลังหาทางเพิ่มผลกำไรท่ามกลางอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงของจีน เขาพยายามมองสถานการณ์อย่างรอบด้าน “พิจารณาจากดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยทั้งหมดจนถึงตอนนี้ ผมคิดว่าจีนยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก” Jiang กล่าวในการประชุมไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/532dde8e0c659eaa878da8fb9ec7eb63.png" alt="" />
ลำดับที่28: Daniel Loeb
หน่วยงาน: Third Point
ภูมิลำเนา: New York City
สินทรัพย์สุทธิ: 2.6 พันล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 1.5 หมื่นล้านเหรียญ

นักลงทุนผู้นี้พยายามสร้างความเปลี่ยนแปลงในองค์กร เขาเดิมพันครั้งใหญ่กับธุรกิจบริการสุขภาพ พร้อมๆ กับทำหน้าที่นักเคลื่อนไหวของ Baxter International และ Amgen ยังพยายามผลักดันการปฏิรูปองค์กรในญี่ปุ่น และชัยชนะเป็นของเขาเมื่อทำให้ซีอีโอของ 7-Elevan ยอมลาออก “ความผันผวนนำมาซึ่งโอกาสอันยอดเยี่ยม” Loeb ระบุในสาส์นการลงทุนประจำเดือนเมษายน “ความซับซ้อนที่ทวีคูณตลอดสองสามเดือนที่ผ่านมาจะยังอยู่ต่อไป และไม่มีเวลาไหนที่การจัดพอร์ตเชิงรุกเพื่อชิงความเหนือกว่าจะสำคัญไปกว่านี้อีกแล้ว

&nbsp;

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1f18ae725d0126cb46f8cc701d9b65a4.png" alt="" />
ลำดับที่29: Israel Englander
หน่วยงาน: Millennium Management
ภูมิลำเนา: New York City
สินทรัพย์สุทธิ: 5 พันล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 3.3 หมื่นล้านเหรียญ

ด้วยจำนวนพนักงาน 1,800 คน บริษัทของ Englander จัดสรรเงินให้ทีม 180 ทีม ทีมที่มีผลงานน่าพอใจจะได้เงินเพิ่ม ทีมที่ผลงานย่ำแย่ต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านไปมีรายงานว่าเมื่อเร็วๆ นี้ Millennium ปลดพนักงานซื้อขายหุ้นที่เชี่ยวชาญหุ้นการเงินออกหลายตำแหน่ง

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/2c3de7d41bd5d3380a03e79fd00ffb6a.png" alt="" />
ลำดับที่30: William Conway
หน่วยงาน: the Carlyle Group
ภูมิลำเนา: McLean, Va.
สินทรัพย์สุทธิ: 2.5 พันล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 1.78 แสนล้านเหรียญ

นักบุกเบิกกองทุนไพรเวทอิควิตี้ผู้นี้กำลังโฟกัสที่ภาพใหญ่ “อย่าประเมินพลังเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ต่ำเกินไป” Conway กล่าว “เช่นเดียวกับรถไฟสินค้าที่วิ่งอย่างช้าๆ มันมีพลังและโมเมนตัมซ่อนอยู่ ถึงเราจะคาดหมายอัตราเติบโตต่ำเตี้ยที่ 1% ในปีนี้ แต่อัตราการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยกว่าเดือนละ 2 แสนตำแหน่ง ตลอดห้าปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความอึดของเศรษฐกิจสหรัฐฯ” Conway เสริมอีกว่า “แม้เฟดจะออกมาระบุว่าดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกสักพัก แต่เรายังจับตาปัจจัยอย่างค่าจ้างและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อาจเป็นเหตุให้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นโดยไม่คาดหมายหรือในอัตราสูง

<a href="https://goo.gl/hp3Nch"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f437bd6718597a3f7f6a5b1adb6656b8.png" alt="" /></a>
กูรูการเงินแห่ง Wall Street ลำดับที่ 1-10

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/c9720009b5c4422b7fc8e742d568c906.png" alt="" />
กูรูการเงินแห่ง Wall Street ลำดับที่ 11-20

<a href="https://goo.gl/M5Pbp0"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/46c7acf083bc942059b051d7bd90b57f.png" alt="" /></a>
กูรูการเงินแห่ง Wall Street ลำดับที่ 31-40

<hr />

<a href="http://goo.gl/WtgACX">คลิ๊กอ่านการจัดอันดับ "กูรูการเงินแห่ง Wall Street ลำดับที่ 21-30" ฉบับเต็ม ได้ที่ Fobes Thailand Magazine ฉบับ AUGUST 2016
<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/2f0ec01727a29e20bcfe4afe88d91599.png" alt="" width="281" height="370" /></a>

กูรูการเงินแห่ง Wall Street ลำดับที่ 21-30

ตั้งแต่การธนาคาร ไปจนการเข้าซื้อกิจการ การซื้อขายไปจนการครอบงำกิจการ นักการเงินทั้ง 40 คนนี้เป็นเจ้าแห่งโลกการเงิน พวกเขามีตั้งแต่ผู้จัดการกองทุนบริหารความเสี่ยง ผู้บริหารกองทุนไพรเวทอิควิตี้ และนายธนาคารที่ควบคุมกระแสเงินหลายล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในระบบเศรษฐกิจโลก ที่ส่งผลกระทบต่อเราแทบทุกคนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ในการรวบรวมรายชื่อ เราพิจารณาผู้ที่ทำธุรกิจทั้งฝั่งซื้อและขายด้วยเงินจำนวนมาก ที่ Wall Street เงินเท่านั้นที่มีความหมาย ดังนั้น เราจึงตัดสินผู้เข้ารอบด้วยเกณฑ์ 4 ประการ ได้แก่ สินทรัพย์สุทธิ ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร ผลงานย้อนหลังสามปี และอิทธิพลที่มีต่อตลาด

กูรูการเงินแห่ง Wall Street ลำดับที่ 11-20

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1e62b78b017a16e5be037e80cd856bbe.png" alt="" />
ลำดับที่11: Ray Dalio
หน่วยงาน: Bridgewater Associates
ภูมิลำเนา: Greenwich, Conn.
สินทรัพย์สุทธิ: 1.56 หมื่นล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 1.5 แสนล้านเหรียญ

ผู้ก่อตั้งบริษัทกองทุนบริหารความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดในโลกมองไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมจะต้องเกิดวิกฤตหนี้และเศรษฐกิจแบบปี 2008 อีก “ยังไงก็ตาม เมื่อปริมาณหนี้มาก จึงยากที่นโยบายการเงินจะเอื้อต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ผลตอบแทนที่คาดหมายจากสินทรัพย์ในการลงทุนก็ไม่เพียงพอจะนำมาใช้หนี้ ผมคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะชะงักงันไปอีกพักใหญ่ โดยที่ตลาดจะผันผวนแต่ไม่มากนัก ดังเช่นที่ญี่ปุ่นตลอด 20 ปีที่ผ่านมา” Dalio กล่าว “ผมยังคาดด้วยว่า ผลิตภาพจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากฐาน big data และจักรกลอัจฉริยะ และมันจะนำไปสู่การที่คนถูกแทนที่โดยเครื่องจักร อันจะทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนที่กว้างอยู่แล้วขยายขึ้นอีก”

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/39efb2c4996671b4925e327ab5930895.png" alt="" />
ลำดับที่12: Abigail Johnson
สังกัด: Fidelity Investments
ภูมิลำเนา: Milton, Mass.
สินทรัพย์สุทธิ: 1.54 หมื่นล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 2 ล้านล้านเหรียญ

รับตำแหน่งบอสใหญ่ของกองทุนรวมขนาดยักษ์เมื่อปี 2014 Johnson สนับสนุนแนวทางการบริหารกองทุนเชิงรุกอันเป็นกลยุทธ์ของ Fidelity แม้กองทุนที่บริหารเชิงรับจะเป็นที่นิยมอย่างมาก ไม่นานมานี้ เริ่มมีโฆษณาบอกเล่า “พลังของการบริหารเชิงรุก” ในระยะยาว โดยบรรดาผู้จัดการกองทุนชื่อดัง

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/3677f97681809b447faa8714c8c75cde.png" alt="" />
ลำดับที่13: Jorge Paulo Lemann
สังกัด: 3G Capital
ภูมิลำเนา: Zurich
สินทรัพย์สุทธิ: 3.06 หมื่นล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 3.23 หมื่นล้านเหรียญ

บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของบราซิลมีความชื่นชอบในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มชื่อดังเป็นพิเศษ และมักจะรีดกำไรจากบริษัทเหล่านั้นด้วยการลดต้นทุนแบบหักดิบ เดิมพันใหญ่ๆ มีทั้ง Restaurant Brands International เจ้าของ Burger King รวมทั้ง Heinz เขายังควบกิจการระหว่าง Anheuser-Busch InBey และ SABMiller ด้วย

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/e98cc96075bd97f03806acaf77d972fa.png" alt="" />
ลำดับที่:14 John Stumpf
สังกัด: Wells Fargo
ภูมิลำเนา: San Francisco
สินทรัพย์สุทธิ: 200 ล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 1.8 ล้านล้านเหรียญ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ เมื่อพิจารณาจากมูลค่าตลาด กล่าวในที่ประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีเมื่อเร็วๆ นี้ว่าอัตราดอกเบี้ยอาจอยู่ในระดับต่ำไปนานกว่าที่ใครๆ คาดคิด เพิ่มแรงกดดันในการทำกำไรที่ธนาคารส่วนใหญ่กำลังเผชิญ

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/d9d67467f8eab26363f7e8c6684db2db.png" alt="" />
ลำดับที่15: John Grayken
สังกัด: Lone Star Funds
ภูมิลำเนา: London
สินทรัพย์สุทธิ: 6.3 พันล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 6.4 หมื่นล้านเหรียญ

หนึ่งในนักลงทุนทรัพย์สินด้อยคุณภาพ (Distressed assets) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยเฉพาะทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์ Greyken เชื่อในการซื้อสินทรัพย์ราคาถูกและขายอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทุกวันนี้เขาใช้เวลาส่วนใหญ่มองหาดีลดีๆ ในยุโรป

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/87c2cbdeba305e0a1e1dd785d808c115.png" alt="" />
ลำดับที่16: Steven Cohen
สังกัด: Point72 Asset Management
ภูมิลำเนา: Greenwich รัฐ Conn.
สินทรัพย์สุทธิ: 1.27 หมื่นล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 1.1 หมื่นล้านเหรียญ

บริษัทของ Cohen บริหารเฉพาะทรัพย์สินส่วนตัวของเขา เขาเชื่อในการกระจายความเสี่ยงของสินทรัพย์ผ่านผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน 350 คน ที่ Point72 พนักงานของเขาแบ่งการทำงานเป็นทีมตามหมวดอุตสาหกรรม
<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/84f32a54d758c732b6d6087444a4cc82.png" alt="" />
ลำดับที่17: James Simons
สังกัด: Renaissance Technlogies
ภูมิลำเนา: East Setauket, N.Y.
สินทรัพย์สุทธิ: 1.55 หมื่นล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 2.9 หมื่นล้านเหรียญ

แม้จะเกษียณจากบริษัทกองทุนบริหารความเสี่ยงที่ใช้คอมพิวเตอร์ตัดสินใจแทนคน หรือ Quantitative Hedge Fund ที่สร้างมากับมือSimons ยังมีอิทธิพลต่อเทรดเดอร์ที่ใช้คณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์และข้อมูลในการจับทิศทางตลาด “วันหนึ่งๆ เรารับข้อมูลมหาศาล” Simons กล่าวในการให้สัมภาษณ์ที่งาน TED เมื่อปีกลาย “คุณมองหาความผิดปกติ ความผิดปกติหนึ่งอาจเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ถ้าคุณมีข้อมูลเพียงพอ คุณจะบอกได้ว่ามันไม่บังเอิญ”

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f0d2761d23e7868cc6b80aab7407aeeb.png" alt="" />
ลำดับที่18: Leon Black
สังกัด: Apollo Global Management
ภูมิลำเนา: New York City
สินทรัพย์สุทธิ: 4.8 พันล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 1.7 แสนล้านเหรียญ

Apollo ขึ้นชื่อในเรื่องความสามารถในการกดราคาสินทรัพย์กับผู้ขาย เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ บริษัทซื้อหุ้นตัวเองกลับคิดเป็นมูลค่า 250 ล้านเหรียญ ในราคาที่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมาถึง 50% “เราไม่คิดว่าราคาหุ้นบริษัทในปัจจุบันสะท้อนความแข็งแกร่งของโมเดลธุรกิจ ตลอดจนโอกาสในการเติบโตของเรา” Black กล่าว ตั้งแต่นั้นราคาหุ้นของ Apolla ขยับขึ้น 25% เท่ากับว่าการเดิมพันกับตัวเองครั้งนี้ส่งผลดีกับบริษัท และมีกองทุนไพรเวทอิควิตี้หลายแห่งทำตาม
<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/dab9c95d45c940eba37895fe5e26c988.png" alt="" />
ลำดับที่: 19 James Gorman
สังกัด: Morgan Stanley
ภูมิลำเนา: New York City
สินทรัพย์สุทธิ: 50 ล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 8.07 แสนล้านเหรียญ

Gorman ปรับขบวนทัพให้ Morgan Stanley หลังเกือบล้มละลายในช่วงวิกฤต “เราผ่านมาตั้งแต่ช่วงอ่อนแอ ได้รับการเยียวยา จนกลับมายืนได้อย่างมั่นคง ตอนนี้เรากำลังเข้าสู่ยุคของการเติบโต” Gorman กล่าว ธุรกิจด้านบริหารความมั่งคั่งที่มั่นคงช่วยปกป้องบริษัทจากเศรษฐกิจชะลอตัวในช่วงต้นปี 2016 “ในสภาวะแวดล้อมที่ยากลำบาก เรายังยืนหยัดอยู่ได้ ถือว่าเป็นเรื่องดีมาก” Gorman ชี้ เขาวางแผนจะนำเงิน 1.5 แสนล้านเหรียญ ที่ลูกค้านำมาลงทุน ไปปล่อยกู้ให้กับลูกค้าสินทรัพย์สูง

<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/6dc7f5107c54b84b48c6971b0ff1b4e8.png" alt="" />
ลำดับที่: 20 Jonathan Gray
สังกัด: Blackstone Group
ภูมิลำเนา: New York City
สินทรัพย์สุทธิ: 1.5 พันล้านเหรียญ
ทรัพย์สินภายใต้การบริหาร: 1.01 แสนล้านเหรียญ

ชายผู้นี้บริหารการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เขากล่าวว่าวัฏจักรค่อนข้างสุกงอมแล้ว แต่ก็ยังเร็วไปที่จะบอกว่ามันยุติแล้ว “อุปทานและอุปสงค์ยังเอื้อต่อสหรัฐฯ ขณะที่เศรษฐกิจเติบโตร้อยละ 2 อุปทานใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นว่าอะไรๆ เริ่มปรับตัวขึ้นทั้งค่าเช่า อัตราการจับจอง และกระแสเงินสด” Gray กล่าว เขามักมองหาส่วนที่อุปทานเป็นลบมากๆ อย่างเช่นบ้านสำหรับครอบครัวเดี่ยว ซึ่งการปริมาณการก่อสร้างใหม่ยังต่ำกว่าอุปสงค์ด้านประชากร

<a href="https://goo.gl/hp3Nch"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f437bd6718597a3f7f6a5b1adb6656b8.png" alt="" /></a>
กูรูการเงินแห่ง Wall Street ลำดับที่ 1-10

<a href="https://goo.gl/erWKEz"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/f2077a8e683604f73cec5bbe05bf749b.png" alt="" /></a>
กูรูการเงินแห่ง Wall Street ลำดับที่ 21-30

<a href="https://goo.gl/M5Pbp0"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/46c7acf083bc942059b051d7bd90b57f.png" alt="" /></a>

<hr />

<a href="http://goo.gl/WtgACX">คลิ๊กอ่านการจัดอันดับ "กูรูการเงินแห่ง Wall Street ลำดับที่ 11-20" ฉบับเต็ม ได้ที่ Fobes Thailand Magazine ฉบับ AUGUST 2016
<img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/2f0ec01727a29e20bcfe4afe88d91599.png" alt="" width="281" height="370" /></a>

กูรูการเงินแห่ง Wall Street ลำดับที่ 11-20

Mizu-Who? ดีลระดับโลกต้องมีเขา

เรื่อง: Steven Bertoni เรียบเรียง: พิษณุ พรหมจรรยา
<h2>Sean Rad ได้เปลี่ยนวิถีการจับคู่ของผู้คนด้วยการสร้างแอพฯ หาคู่ที่ฮอตที่สุดในโลกอย่าง Tinderขึ้นมา และทำให้นักลงทุนใน Wall Street เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อ Barry Diller ด้วย แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังไม่พอที่จะทำให้เขารักษาตำแหน่งหน้าที่การงานเอาไว้ได้</h2>
<div>ความยอดเยี่ยมของแอพฯ Tinder อยู่ตรงทำให้การจีบกันมาอยู่ในรูปดิจิทัล ทำได้ง่ายๆ ผ่านสมาร์ตโฟน เพียงแค่เชื่อมเข้ากับบัญชี facebook ของคุณ ก็จะเปิดดูรูปคนนับไม่ถ้วนที่อาจเป็นคู่เดตที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงกับคุณได้ โดยไม่จำเป็นต้องตอบแบบสอบถามหรือแบบฟอร์มใดๆ Tinder จะเชื่อมคุณกับคนที่คุณชอบผ่าน chatbox</div>
<div></div>
<div>Sean Rad หนุ่มวัย 28 ปี ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO กล่าวว่า เราช่วยกำจัดความกลัวในการโดนปฏิเสธจากฝ่ายตรงข้าม</div>
<div></div>
<div>“ถ้าผมเดินเข้าไปคุยกับคนแปลกหน้าสักคนในบาร์ ผมก็กังวลว่าจะถูกปฏิเสธ ขณะที่คนๆ นั้นก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกล่า แต่เราทำให้ความรู้สึกเหล่านั้นหมดไป การจับคู่ของ Tinder ก็เหมือนกับการมองสบตาปิ๊งใครสักคนที่อยู่คนละมุมห้อง”</div>
<div></div>
<div>Justin Mateen เพื่อนของ Rad ช่วยทำให้ Tinder โด่งดัง ด้วยการเจาะตลาดมหาวิทยาลัยชั้นนำ จนเกิดเป็นกระแสในมหาวิทยาลัยของสหรัฐฯ จากนั้นก้าวสู่กลุ่มผู้ใช้งานวงกว้าง เมื่อ Mateen นำไปเผยแพร่ในปาร์ตี้คนโสดที่หมู่บ้านนักกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่ Sochi ประเทศรัสเซีย จนเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ทำให้บริษัทแม่อย่าง IAC ซึ่งมี Barry Diller เริ่มหันมาสนใจ</div>
<div></div>
<div>อย่างไรก็ตาม กลับเกิดเรื่องอื้อฉาวในหมู่ผู้ก่อตั้ง เมื่อ Whitney White สาววัย 24 ปี ในตำแหน่งรองประธาน ซึ่งมีสัมพันธ์กับ Mateen ออกมาแฉว่าตัวเธอโดน Mateen และผู้ร่วมก่อตั้งรายอื่นๆ ล่วงละเมิดทางเพศ และถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุที่เป็นผู้หญิง  แม้ว่าสุดท้ายจะประนีประนอมยอมความกันได้ แต่ IAC คงไม่อาจปล่อยให้กิจการที่กำลังจะทำเงินมหาศาลออกนอกลู่นอกทางได้</div>
<div></div>
<div>เมื่อปลายปีแล้ว ขณะที่ Rad กำลังรอเวลาขึ้นเวที Forbes 30 Under 30 ซึ่งมีคนดังมากมาย ไม่ว่า Monica Lewinsky หรือ Malala Yousafzai  เขาได้รับโทรศัพท์สายตรงจาก IAC  แจ้งว่าถูกปลดจากตำแหน่ง CEO ของบริษัทที่เขาก่อตั้งขึ้นเรียบร้อยแล้ว</div>
<div>

<hr />

อ่าน “Sex, Lies &amp; iPhones” ฉบับเต็มได้ใน Forbes Thailand ฉบับ JANUARY 2015

</div>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events