พงศ์วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล ผู้สร้างมูลค่าเพิ่มให้เครื่องหมายการค้า KARMART มีหน้าช็อปจำหน่ายเครื่องสำอางที่โดดเด่นสะดุดตาด้วยสีชมพูช็อกกิ้งพิงก์มีตัวการ์ตูนสาวน้อยพรีเซนเตอร์แบรนด์เคที่ดอลล์ ยืนเชิญชวนอยู่หน้าร้าน ทำให้นึกถึงวัยรุ่นหน้าตาสดใสมีชีวิตชีวา
ภายในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี KARMART ทำรายได้แตะหลักพันล้านบาท โดยปี 2562 มีรายได้ 1,526.03 ล้านบาท กำไรสุทธิ 261.24 ล้านบาท ปัจจุบันมี 60 สาขา มีสแตนอะโลน 27 สาขา และช็อปในพื้นที่โซนบิวตี้ฮอลล์ของห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ และโรบินสันอีก 33 สาขา มีร้านค้าตัวแทนจำหน่ายกว่า 800 ราย และวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อไฮเปอร์มาร์เก็ต ซูเปอร์มาร์เก็ต ทั่วประเทศ พงศ์วิวัฒน์ เป็นบุตรคนสุดท้องของ วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล เจ้าของธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ไดสตาร์ ซึ่งผลิตและจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ต่อมาธุรกิจซบเซา เนื่องจากภาครัฐมีนโยบายลดภาษีนำเข้าเครื่องใช้ไฟฟ้า ทำให้มีคู่แข่งเกิดขึ้นหลายราย วิวัฒน์จึงหันไปทำธุรกิจประกอบรถยนต์ รถโดยสารที่ใช้แก๊สธรรมชาติ หลังจากที่บุตรชายได้ริเริ่มธุรกิจนำเข้าเครื่องสำอางจากต่างประเทศในปี 2552 และสร้างยอดขายเติบโตอย่างก้าวกระโดดปี 2554 จึงเบนเข็มมาทำธุรกิจเครื่องสำอางอย่างเต็มตัว โดยเปลี่ยนชื่อจากบริษัท ไดสตาร์ อิเล็คทริก คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) ผลิตเครื่องสำอางและอุปกรณ์เสริมความงามรวม 10 แบรนด์ ส่งออกในกลุ่มประเทศ CLMV อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ไต้หวัน และมีบริษัทร่วมทุนที่เวียดนาม โดยแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ เคที่ดอลล์ (Cathy Doll) และเบบี้ไบร์ท (Baby Bright)
- เครื่องสำอางตอบโจทย์
- สร้างตลาดด้วยความต่าง
แม้จะมีสินค้าถึง 10 แบรนด์ แต่บริษัททำการตลาดเพียง 2 แบรนด์คือ เคที่ดอลล์และเบบี้ไบร์ท เหตุผลคือ มีงบจำกัด จึงเลือกแบรนด์ที่มีแนวโน้มเริ่มโต เพื่อลดความเสี่ยง โดยเคที่ดอลล์มีเป้าหมายเป็นกลุ่มวัยรุ่น ส่วนเบบี้ไบร์ทเป็นกลุ่มวัยทำงาน แม่บ้าน
ช่วงที่รัฐบาลล็อกดาวน์ประเทศปรากฏว่าสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันมียอดขายเพิ่มขึ้น หลังคลายมาตรการล็อกดาวน์เขาจึงวางแผนว่าจะมาโฟกัสผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้เพื่อปั้นดาวดวงใหม่ รวมทั้งมีการปรับแผนการตลาด ดูว่าควรออกสินค้าประเภทไหน ไซซ์เท่าไร เพื่อให้เหมาะกับกำลังการบริโภคของลูกค้า เช่น ผลิตสินค้าขนาดเล็ก จำหน่ายในราคาต่ำลง
“สิ่งที่เราทำช่วงโควิด-19 คือ ผลิตเจลทิชชูเปียก แอลกอฮอล์ และหน้ากากอนามัย เอามาเป็นโปรโมชั่นแจกให้ลูกค้าเราขายเจลแอลกอฮอล์ ขนาด 50 กรัม หลอดละ 39 บาทตั้งแต่ยังไม่มีแบรนด์อื่นทำกำไรน้อยมาก จัดโปรโมชั่นขายแอลกอฮอล์ขวดใหญ่ 300 กว่าบาทแถมหน้ากากอนามัย 1 กล่อง 50 ชิ้น ทำไมทำได้ เพราะเราซื้อเครื่องจักรมาผลิตหน้ากากเอง เพื่อเป็นโปรโมชั่นแถมพ่วงกับตัวสินค้า เป็น strategy ทำให้สินค้าอื่นๆ ขายดีขึ้น”
สาเหตุที่บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนให้ต่ำได้ เพราะมีห้องแล็บ มีโรงงานแบ่งบรรจุ และทำแพ็กเกจจิ้งเอง เอ่ยมาถึงตอนนี้พงศ์วิวัฒน์ลุกขึ้นไปหยิบตัวอย่างผลิตภัณฑ์สำหรับทาปากที่วางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ ราคาแท่งละ 59 บาท และบอกว่า ทำยากมาก โดยบริษัทลงทุนซื้อที่ฉีดพลาสติกและพัฒนาสูตรเอง
“เราพยายาม exercise cost ให้ดีที่สุด ขยันและแตกพาร์ตออกมาแต่ละส่วน ทำให้ได้ต้นทุนดีที่สุด นี่เป็นสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ ทำอย่างไรให้เป็นโปรดักต์ที่มีคุณภาพดีไม่แพ้ของต่างประเทศ...เราพยายามลดต้นทุนเพื่อให้ราคาขายปลีกลดลงด้วย ถ้าเปรียบเทียบแบรนด์ของเรากับแบรนด์ในตลาดอาจเป็น ETUDE หรือ cute press สินค้า 1 ไอเท็มแตกหลาย SKU มีหลายไซซ์ หากขายในตลาดค้าส่งทำไซซ์กลาง ขายเป็นซองในมินิมาร์ตและคอนวีเนียนสโตร์ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า รวมทุกแบรนด์มีเกือบ 2,000 SKU”
พงศ์วิวัฒน์สรุปถึงปัจจัยความสำเร็จของบริษัทว่า สินค้าต้องมีคุณภาพ ราคาจับต้องได้ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องให้ตรงกับความต้องการของตลาด
“ในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า ธุรกิจเราอาจจะเป็นหมื่นล้านก็ได้ ต้องตั้งเป้าไว้ก่อนเราเชื่อว่าธุรกิจเครื่องสำอางเป็นหมื่นล้านได้ไม่ยาก ต้องจับจุดให้ถูก ดูแลแต่ละแบรนด์ ไม่ลืมพัฒนาแบรนด์เก่าๆ"
"สินค้า household ที่เคยทำเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน ตอนนั้นมาร์จิ้นน้อยแต่ตอนนี้เราพร้อมกลับมาทำใหม่ เริ่มมีทุน มี know-how สินค้านี้ถ้าจุดติดผู้บริโภคใช้ระยะยาว เราจะลดความเสี่ยงธุรกิจเครื่องสำอาง ก็หาอะไรมาทดแทนด้วย...เครื่องสำอางคือแฟชั่นที่ต้องพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ต้องดูว่าเขาแต่งตัวอย่างไร ใช้แบรนด์อะไรกัน เสื้อผ้าหน้าผมความต้องการผู้บริโภค ต้องใช้ความใส่ใจและ research ทุกวัน”
คลิกอ่านฉบับเต็ม “พงศ์วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล ปั้น KARMART ให้สวยทุกองศา” ได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2563 ในรูปแบบ e-magazine



