INFINITE REALITY ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ใน Florida อ้างว่า บริษัทได้รับเงินลงทุนมากกว่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จากนักลงทุนนิรนามรายหนึ่ง หากเป็นเช่นนั้นจริงการระดมทุนครั้งนี้จะนับเป็นหนึ่งในข้อตกลงธุรกิจมูลค่ามหาศาลที่สุดแห่งปี ทว่าเรื่องราวอาจไม่ได้เป็นดังที่ปรากฏทั้งหมด
ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา John Acunto ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Infinite Reality วิ่งขึ้นไปบนเวทีขนาดใหญ่ภายในสตูดิโอแห่งหนึ่งใน Los Angeles ก่อนจะกล่าวคำปราศรัยที่ทรงพลัง แต่แฝงความพยายามแก้ต่างอยู่ในที
“ไม่มีคำพูดเหลวไหลอีกต่อไป” Acunto วัย 53 ปี ประกาศอย่างมั่นใจท่ามกลาง แสงไฟสีน้ำเงินที่ส่องสว่างเป็นฉากหลัง “คุณคิดจริงหรือว่าเราจะกล้าอ้างถึงการระดมทุนมูลค่า 3 พันล้านเหรียญพร้อมกับการก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม ถ้าเราไม่ได้ลงมือทำจริงตามที่เราพูด?”
เขากล่าวในการประชุมนักลงทุนซึ่ง Forbes ทบทวนย้อนหลังจากคลิปวิดีโอ “วันนี้คือวันแห่งการเฉลิมฉลองของพวกคุณที่ได้มอบเงินทุนให้กับเรา โปรดลุกขึ้นยืนและปรบมือให้กับตัวเอง....พวกคุณคือคนที่ร่วมกันสร้างบริษัทมูลค่า 1.2 หมื่นล้านเหรียญ!” Amish Shah ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจของ Infinite Reality กล่าว กับผู้ถือหุ้นราว 100 คนอย่างชื่นชม “เป้าหมายของเราคือการสร้างบริษัทให้มีมูลค่าแตะ 5 หมื่นล้านเหรียญ ถึง 1 แสนล้านเหรียญภายในปีนี้”
ถือเป็นเป้าหมายที่มีความทะเยอทะยานและยิ่งใหญ่ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับน่าฉงนและดูห่างไกลจากความเป็นจริงยิ่งกว่า Acunto และบริษัทที่ตั้งอยู่ใน Florida ของเขากำลังเผชิญคดีฟ้องร้องอย่างต่อเนื่องจากเจ้าหนี้หลายรายที่อ้างว่าไม่ได้รับชำระหนี้ อีกทั้งยังมีคดีในกระบวนพิจารณาของศาลรัฐบาลกลางที่ต้องการให้บริษัทส่งมอบเอกสารตามคำสั่งของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
การระดมเงินทุนมูลค่า 3 พันล้านเหรียญที่ Acunto ประกาศอย่างครึกโครมเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่ามาจากกระเป๋าของนักลงทุนนิรนามเพียงรายเดียว “อาจเป็น การร่วมลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพครั้งใหญ่ที่สุดแห่งปี” Song Ma อาจารย์ด้านการเงินจากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัย Yale กล่าว ทั้งนี้ตามข้อมูลจาก Pitch- Book ระบุว่า ในปีที่ผ่านมามีเพียง 5 บริษัทเท่านั้นที่สามารถระดมทุนในมูลค่าสูงกว่านี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และมีชื่อเสียงในวงกว้าง ได้แก่ OpenAl, Anthropic, xAI, Databricks และ Waymo
ในช่วงกลางเดือนเมษายน Infinite Reality ปรับมูลค่าประเมินกิจการเพิ่มขึ้นอีกครั้งเป็น 1.55 หมื่นล้านเหรียญหลังจากเข้าซื้อธุรกิจสร้างอวาตาร์เสมือนจริงด้วยเทคโนโลยี AI โดยชำระเป็นหุ้นของบริษัททั้งหมด ตัวเลขดังกล่าวดูจะเกินจริงไปมาก Infinite Reality ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้เพิ่งเปิดตัวผลิตภัณฑ์หลักอย่างเครื่องมือเปลี่ยนเว็บไซต์ให้กลายเป็น “ร้านค้าเสมือน 3 มิติ" กล่าวว่า บริษัทมีรายได้ 75 ล้านเหรียญในปี 2024 เพิ่มขึ้นจาก 50 ล้านเหรียญเมื่อปี 2023 หากมูลค่าประเมินอยู่ที่ 1.55 หมื่นล้านเหรียญ เท่ากับว่าบริษัทมีมูลค่ามากกว่ารายได้ถึง 200 เท่า ซึ่งสูงกว่าสตาร์ทอัพด้าน AI ที่ ร้อนแรงที่สุดในขณะนี้อย่าง Anthropic (มูลค่ามากกว่ารายได้ประมาณ 44 เท่า) และ OpenAl (ประมาณ 24 เท่า) อย่างเทียบไม่ติด
เมื่อบริษัทสตาร์ทอัพที่ได้รับเงินสนับสนุนจากธุรกิจเงินร่วมลงทุนประกาศแผนการลงทุนหรือระดมเงินทุนขนาดใหญ่อย่างเช่นในกรณีนี้ ไม่ได้มีข้อบังคับว่าพวกเขาต้องยืนยันหรือเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ โดยปกติเงื่อนไขและรายละเอียดของแผนการลงทุนจะเป็นที่รับรู้ระหว่างบริษัทกับนักลงทุน เท่านั้น อย่างไรก็ดี ก.ล.ต. มีอำนาจกำกับดูแลครอบคลุมธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับหลักทรัพย์ทุกรูปแบบ และสามารถเรียกขอเอกสารเพิ่มเติมได้
สำหรับกรณีของ Infinite Reality ทาง ก.ล.ต. เริ่มเข้ามาตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมหลังจากบริษัทประกาศอย่างเป็นทางการว่ามูลค่ากิจการของบริษัทอยู่ที่ 1.9 พันล้านเหรียญในเดือนธันวาคม ปี 2022 ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเม็ดเงินจากธุรกิจเงินร่วมลงทุนได้หลั่งไหลเข้าสู่ธุรกิจสตาร์ทอัพเทคโนโลยีในอัตรามหาศาล
เมื่อ 10 ปีก่อนหน้านี้ บริษัทเทคโนโลยีสามารถระดมทุนได้รวมกันราว 8.7 หมื่นล้านเหรียญ เมื่อ 5 ปีที่แล้วตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็น 1.75 แสนล้านเหรียญ และในปีที่ผ่านมายอดระดมทุนพุ่งทะยานขึ้นไปถึง 2.09 แสนล้านเหรียญ นับเป็นเงินมหาศาลที่ไหลเข้าสู่อุตสาหกรรมและส่วนใหญ่เป็นการเข้าลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพที่คนทั่วไปแทบไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน
เป็นเรื่องที่น่าสังเกตว่า หนึ่งในธุรกิจที่นักลงทุนร่วมลงทุนให้ความสนใจลดลงคือบริษัทสตาร์ทอัพที่มุ่งเน้นเทคโนโลยีโลกเสมือนจริงอย่าง Infinite Reality สาเหตุ เนื่องมาจากความล้มเหลวครั้งใหญ่ของ Mark Zucker- berg นับตั้งแต่ ปี 2020 Meta ผลาญเงินไปมากกว่า 5 หมื่นล้านเหรียญเพื่อการพัฒนาโลกเสมือนที่เขาเรียกว่า metaverse และถึงขั้นดำเนินการเปลี่ยนชื่อบริษัทจาก Facebook เป็น Meta ในปี 2021
ทว่าความพยายามส่วนใหญ่นั้นไม่ประสบความสำเร็จเนื่องด้วยข้อบกพร่องทางเทคนิค ผู้ใช้งานให้ความสนใจน้อย และรูปร่างอวาตาร์สุดประหลาดที่ไม่มีขา Horizon Worlds ผลิตภัณฑ์หลักจากเทคโนโลยี metaverse ของ Meta มีผู้ใช้งานไม่ถึง 200,000 รายต่อเดือนในปี 2022 โดยอ้างอิงข้อมูลจาก Wall Street Journal ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายที่มีผู้รายงานตัวเลขเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นี้
โดยรวมแล้วมูลค่าการลงทุนจากธุรกิจเงินร่วมลงทุนและกองทุนหุ้นเติบโตในธุรกิจ metaverse ลดลงจาก 5.6 พันล้านเหรียญเหลือเพียง 1.4 พันล้านเหรียญ ในช่วงปี 2022-2024 ตามข้อมูลจาก PitchBook ที่ได้ระบุไว้ ส่งผลให้ตัวเลขการระดมทุนที่ Infinite Reality กล่าวอ้างดูน่ากังขามากยิ่งขึ้น
รายได้เกือบทั้งหมดของ Infinite Reality ในปัจจุบันมาจากธุรกิจสตาร์ทอัพ 10 กว่าแห่งที่บริษัทดำเนินการเข้าซื้อมาตั้งแต่ ปี 2022 ข้อตกลงธุรกิจจากการเข้าซื้อกิจการเหล่านี้ทำให้บริษัทได้รับความสนใจในสื่ออยู่บ้าง เช่น การประกาศเข้าซื้อกิจการของ Napster เมื่อต้นปีที่ผ่านมา (แม้ Napster จะมีชื่อเสียงในวงกว้างแต่ในปัจจุบันเป็น เพียงแอปพลิเคชันเพลงที่มีรายได้อยู่ในอันดับ 39 บน App Store เท่านั้นตามข้อมูลจาก Data. A)
ส่วน Infinite Reality เองก็เป็นบริษัทที่แทบไม่มีใครในแวดวงอุตสาหกรรมรู้จัก และการประกาศระดมทุนครั้งใหญ่ก็สร้างความประหลาดใจอย่างมาก “ไม่มีใคร เคยได้ยินเกี่ยวกับบริษัทนี้มาก่อน” Sara Gherghelas นักวิเคราะห์จาก DappRadar บริษัทวิจัยด้านโลกเสมือนจริงและ Web3 ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ ณ ประเทศลิทัวเนีย กล่าว
นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ Herman Narula ผู้ก่อตั้ง Im-probable บริษัทพัฒนาแพลตฟอร์ม metaverse ระดับ ยูนิคอร์นซึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก SoftBank และ Andreessen Horowitz ได้ยินชื่อของบริษัทสตาร์ทอัพรายนี้
“เราเคยจัดงานกิจกรรมบนโลกเสมือนจริงร่วมกับแบรนด์ยักษ์ใหญ่จากทั่วโลกมาหลายร้อยครั้ง และมีผู้เข้าร่วมเป็นหมื่นๆ คนในช่วงปีที่ผ่านมา แต่จนถึงปัจจุบันผมยังไม่เคยพบเจอบริษัทนี้ ไม่ว่าจะในฐานะคู่ค้าหรือลูกค้า และไม่เคยมีผู้ร่วมจัดงานรายใดเอ่ยถึงชื่อของบริษัทนี้มาก่อน” Narula กล่าว
ในทำนองเดียวกันนี้ Yat Siu ผู้ก่อตั้ง Animoca Brands บริษัท ยูนิคอร์นที่มีมูลค่าเกินพันล้านเหรียญ ซึ่งเป็นหนึ่งในนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในธุรกิจ Web3 และ metaverse ได้ระบุว่าข่าวการระดมทุนของ Infinite Reality "ไม่ได้สร้างแรงกระเพื่อมใดๆ ในอุตสาหกรรม” ในช่วงกิจกรรม “พบผู้เชี่ยวชาญ” ครั้งล่าสุดที่เปิดให้ผู้สนใจพูดคุยปรึกษาเชิงเทคนิคเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หลักของ Infinite Reality โดยไม่มีค่าใช้จ่ายมีผู้เข้าร่วมเพียง 2 คน และหนึ่งในนั้นคือผู้สื่อข่าวจาก Forbes
Karina Kogan ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของ Infinite Reality ยืนยันว่าบริษัทไม่ได้ “มองว่าตัวเองเป็นบริษัท metaverse" อีกต่อไป และกำลังหันมามุ่งเน้นความเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เธอ กล่าวว่า แม้คนทั่วไปอาจไม่เคยได้ยินชื่อบริษัท Infinite Reality แต ก็อาจคุ้นชื่อบริษัทในเครือของเรา
Infinite Reality ส่งอีเมลถึง Forbes เป็นครั้งแรกเพื่อแจ้งว่า บริษัทสามารถระดมเงินทุนได้ 3 พันล้านเหรียญ เมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา บริษัทติดต่อเข้ามาอีกครั้งในวันที่ 11 กุมภาพันธ์โดยเสนอชื่อ Acunto ซึ่งถือหุ้น 12% ของบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ใน Boca Raton รัฐ Florida ว่าเป็น “ผู้ทรงคุณสมบัติ” ที่ควรได้รับพิจารณาให้ติดทำเนียบเศรษฐีพันล้านของ Forbes
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ Forbes เริ่มดำเนินการสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับ Acunto และ Infinite Reality อย่างจริงจัง โดยติดต่อไปยังนักลงทุน คนวงในอุตสาหกรรม พันธมิตร ลูกค้า ธุรกิจเงินทุนร่วมลงทุน อดีตพนักงาน และนักกฎหมายมากกว่า 60 ราย จนสุดท้ายสามารถพูดคุยกับผู้ให้ข้อมูลมากกว่า 30 ราย
นอกจากนี้ Forbes ยังได้โทรศัพท์พูดคุยกับ Infinite Reality และ Acunto อีกหลายครั้ง อย่างไรก็ตามแม้จะมีการหารือ เพื่อนัดหมายประชุมทางโทรศัพท์กับนักลงทุนนิรนาม มูลค่า 3 พันล้านเหรียญรายดังกล่าว Infinite Reality กลับหลีกเลี่ยงโดยอ้างเหตุผลเรื่องการรักษาความลับทางธุรกิจ การติดภารกิจเดินทางของนักลงทุน และภายหลังอ้างถึง “ความกังวลเกี่ยวกับเนื้อหาและทิศทางของการเขียนบทความ
ไม่นานหลังจาก Forbes รายงานผลการสืบสวนเบื้องต้นในเดือนเมษายนที่ผ่านมา Infinite Reality ได้แถลงข่าวว่า “หลังจากได้รับความสนใจอย่างมากจากสื่อ นักลงทุนนิรนามมูลค่า 3 พันล้านเหรียญของ Infinite Reality จึงตัดสินใจออกมาเปิดเผยตัว” และระบุ ว่า Sterling Select บริษัทด้าน “พัฒนาธุรกิจเงินร่วมลงทุน" จาก New York “เป็นตัวแทนดูแลการลงทุน มูลค่า 3 พันล้านเหรียญครั้งนี้”
เมื่อเราขุดลึกลงไปก็ยิ่งพบเรื่องราวที่คลุมเครือของบริษัท ซึ่งทุกคำตอบกลับทำให้เกิดคำถามเพิ่มเติมตามมา ไม่ว่าจะเกี่ยวกับแหล่งเงินทุน การประเมินมูลค่า ไปจนถึงนักลงทุน ลูกค้า หรือแม้แต่ประวัติความเป็นมาของซีอีโอ “มีหลายอย่างที่ดูไม่ธรรมดา” Kogan ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด กล่าวเมื่อถูกถามเกี่ยวกับรอบการระดมทุนที่ดูผิดแปลกแต่นั่นเป็นทั่วไป
ภาพลักษณ์ด้านอาชีพของ Acunto ด่างพร้อยจากคุณสมบัติที่ดูน่าสงสัยและหนี้สินค้างชำระที่เกิดขึ้นตั้งแต่ 2 ทศวรรษก่อน ในเอกสารประวัติส่วนตัวที่จัดทำโดยตัวแทนของบริษัทและยื่นต่อ ก.ล.ต. ในปี 2022 ระบุว่า เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านคณิตศาสตร์ จาก University of Florida หลังจากจบปริญญาโท สาขาวิทยาการข้อมูล จาก Harvard อย่างไรก็ตามมหาวิทยาลัยทั้งสองแห่งไม่พบข้อมูลในระบบว่าเขาเป็นศิษย์เก่า
Acunto กล่าวกับ Forbes ว่า เอกสารดังกล่าวมีความผิดพลาดในการจัดทำ เนื่องจากช่วงนั้น Infinite Reality ขาดแคลนบุคลากร "มันไร้สาระมากที่พวกเขานำร่างเอกสารนั้นไปใช้” สิ่งที่เขาพูดอาจเป็นเรื่องจริงก็ได้ ทว่าข้อความเดียวกันกลับปรากฏอีกครั้งในเอกสาร ปี 2024 ของโรงเรียนที่ลูกๆ ของเขาเคยศึกษา Acunto กล่าวเพียงว่าเขา “เรียนจบมาจากหลายแห่ง” แต่ปฏิเสธที่จะระบุชื่อสถาบันหรือยืนยันว่าเคยเรียนในระดับมหาวิทยาลัยจริงหรือไม่
Acunto ซึ่งแสดงท่าทีไม่เต็มใจที่จะพูดถึงอดีตของตัวเองกับ Forbes เคยดำเนินธุรกิจสื่อโฆษณาดิจิทัลและความบันเทิงหลายแห่ง ทว่าไม่มีธุรกิจใดประสบความสำเร็จอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตามธุรกิจเหล่านั้นได้นำไปสู่การถูกฟ้องร้องใน 6 รัฐเป็นอย่างน้อยทั้งในนามบริษัทเก่าและตัว Acunto เอง ซึ่งหลายคดีมีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการไม่ชำระหนี้หรือค้างชำระค่าสินค้าและบริการ
คดีความยืดเยื้ออยู่นานหลายปี แต่มี 2 คดีที่เพิ่งได้ข้อยุติเมื่อไม่นานนี้ โดย Acunto ตกลงชำระเงิน 400,000 เหรียญในเดือนกันยายนปีที่ผ่านมาเพื่อระงับข้อพิพาทที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2006 ซึ่งเกี่ยวข้องกับบริษัทโฆษณา Adsouth ที่ปัจจุบันเลิกกิจการไปแล้ว และชำระเงินอีก 780,000 เหรียญเมื่อเมษายนที่ผ่านมาจากคดีความปี 2010 ซึ่งเกี่ยวข้องกับธุรกิจซอฟต์แวร์ถอดความเสียง “ใครก็ตามที่ฟ้องผมคงมีเหตุผลที่ดีในใจ” Acunto กล่าว “ผมไม่มีคำตำหนิหรือความรู้สึกแง่ลบต่อใครทั้งนั้น”
เรื่องราวของ Infinite Reality เริ่มต้นขึ้นในปี 2019 จากการที่ Acunto และนักลงทุนกลุ่มหนึ่งเข้าซื้อ Tsu ธุรกิจสื่อสังคมออนไลน์ที่ขณะนั้นล้มละลายและต่อมาได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Display Social ในช่วงเวลา 3 ปีแรกบริษัททำรายได้รวมเพียง 150,000 เหรียญ ในเอกสารที่ยื่นต่อ ก.ล.ต. Display Social อ้างว่า บริษัทสามารถระดมทุนได้ 44 ล้านเหรียญก่อนสิ้นปี 2021
Forbes ทำการติดต่อธุรกิจเงินร่วมลงทุน 4 แห่งที่มีชื่อปรากฏใน PitchBook ว่าเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนช่วงแรกให้กับบริษัทที่ต่อมากลายเป็น Infinite Reality แห่งนี้ ทว่าไม่มีรายใดตอบกลับและหนึ่งในนั้นเลิกกิจการไปแล้ว
ด้วยหุ้นที่กล่าวอ้างว่ามีเงินทุนหนุนหลังมูลค่าหลายล้านเหรียญ Acunto เริ่มเดินหน้าเข้าซื้อกิจการ เขาเข้าซื้อบริษัทผลิตรายการ Thunder Studios และสตาร์ทอัพพัฒนาเทคโนโลยีเสมือนจริงที่เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจชื่อ Infinite Reality โดยชำระเป็นหุ้นของบริษัททั้งหมดในมูลค่า 235 ล้านเหรียญ ในเดือนมกราคม ปี 2022 ซึ่งทำให้บริษัท ของ Acunto มีมูลค่าประเมินอยู่ที่ 1 พันล้านเหรียญ ตามข้อมูลที่ยื่นต่อ ก.ล.ต. ที่ได้ระบุไว้
หลังจากนั้นเขาควบรวม 2 บริษัทนี้เข้าด้วยกันและเปลี่ยนชื่อเป็น Infinite Reality ก่อนจะเดินหน้าเข้าซื้อ ReKTGlobal บริษัท e-sports ขนาดเล็กในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกันด้วยมูลค่า 470 ล้านเหรียญผ่านการแลกหุ้นทั้งหมดเช่นเคย โดย Acunto อ้างว่า ดีลนี้ช่วยเพิ่มมูลค่าประเมินกิจการ ของ Infinite Reality ขึ้นเป็นเท่าตัว
ในช่วงปลายปี ดังกล่าว Infinite Reality ได้ยื่นขอจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ผ่านกระบวนการควบรวมกิจการแบบย้อนกลับ (reverse merger) แต่ Acunto เปิดเผยว่า เขาตัดสินใจยกเลิกแผนในเดือนธันวาคม ปี 2022 เนื่องจากภาวะตลาดที่ผันผวน บริษัทยื่นความประสงค์เข้าตลาด หลักทรัพย์อีกครั้งผ่านบริษัทในรูปแบบ SPAC ทว่า สุดท้ายข้อตกลงธุรกิจนี้ก็ไม่เกิดเช่นกัน
ในปี 2024 Infinite Reality ยังคงรุกซื้อกิจการเพิ่มเติมโดยใช้กลยุทธ์ดีลแลกหุ้นแทนการใช้เงินสด บริษัทเหล่านั้น รวมถึง Drone Racing League (250 ล้านเหรียญ) ซึ่งเคยมีข้อตกลงถ่ายทอดสดกับ ESPN ในช่วงสั้นๆ แต่ ไม่ได้จัดการแข่งขันใดๆ มานานกว่า 2 ปีแล้ว, Landvault (450 ล้านเหรียญ) เครือธุรกิจโฆษณาที่อยู่เบื้องหลังกิจกรรมการตลาดที่แปลกใหม่อย่าง “บาร์” Heineken เสมือนจริง, Action Face สตาร์ทอัพที่ล้มละลายไปแล้ว ซึ่งพัฒนาเทคโนโลยีแปลงภาพเซลฟี่เป็นอวาตาร์ 3 มิติ หรือฟิกเกอร์พลาสติกขนาดเล็ก (10 ล้านเหรียญ), Ethereal Engine (75 ล้านเหรียญ) แพลตฟอร์มสำหรับสร้างพื้นที่เสมือนจริงแนว metaverse โดยที่ผู้ใช้งานสามารถ เขียนด้วยโค้ดที่ซับซ้อนน้อยลง ทั้งนี้แต่ละดีลล้วนผลักดันให้มูลค่ากิจการตามที่บริษัทประเมินด้วยตนเองเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงกลางปี 2024 บริษัทอ้างว่า มูลค่าประเมินกิจการอยู่ที่กว่า 5 พันล้านเหรียญ “นั่นเป็นตัวเลขในจินตนาการที่คุณทึกทักเอาเองมากกว่า” อดีตผู้บริหารรายหนึ่งของบริษัทที่ Infinite Reality เข้าซื้อกิจการและถูกเลิกจ้างในปี 2024 กล่าว “ผมกับเพื่อนร่วมงาน ในองค์กรหลายคนต่างรู้สึกว่า โอ้โฮ หลายอย่างที่เกิดขึ้น ดูเหมือนกับเป็นกลลวง”
อย่างไรก็ดี Infinite Reality ยืนยันว่าราคาควบรวมกิจการและมูลค่าประเมินของบริษัทมีความเหมาะสม พร้อมระบุว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้รับโอกาสในการสอบทานธุรกิจและตรวจสอบข้อมูลอย่างครบถ้วน ทางด้าน Matthew Schwartz ทนายความจาก Gibson Dunn ซึ่งเป็นตัวแทนฝ่ายกฎหมายของ Infinite Reality ในการเข้าซื้อกิจการปฏิเสธที่จะแสดงความเห็น
แม้ตลอดช่วงเวลาดังกล่าว Infinite Reality จะรายงานต่อ ก.ล.ต. ว่า บริษัทมีมูลค่าหลายพันล้านเหรียญ แต่จากข้อมูลในคดีความจำนวนหนึ่งพบว่า บริษัทกลับประสบปัญหาในการชำระหนี้ บริษัทด้านการลงทุน Summit Partners กล่าวหาว่า Infinite Reality ไม่ยินยอมให้บริษัทดำเนินการขายหุ้นคืนมูลค่า 27 ล้านเหรียญตามคำฟ้องเดือนธันวาคม ปี 2022 ซึ่งมีการแก้ไขเพิ่มเติมในเดือนมกราคม ปี 2025 ทั้งนี้ Infinite Reality ชี้แจงว่า บริษัท “ไม่มีเงินทุนหรือ ช่องทางการจัดหาเงินที่เพียงพอที่จะชำระเงินทั้งหมด หรือบางส่วน” ของยอดเงินดังกล่าว คดีนี้ยุติลงในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดย Kogan ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของ Infinite Reality กล่าวว่า “ขณะนี้อยู่ในระหว่างการชำระเงิน”
ในช่วงต้นปี 2024 ธนาคารเพื่อการลงทุน TD Cowen ได้ยื่นฟ้องบริษัทจากการค้างชำระค่าธรรมเนียมอัน เกี่ยวเนื่องกับการเข้าซื้อกิจการ ReKTGlobal ศาลมี คำสั่งให้ Infinite Reality ชำระเงินจำนวน 3.3 ล้านเหรียญในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังมีคู่สัญญารับจ้างและคู่ค้าอีก 7 รายที่ยื่นฟ้องบริษัทในช่วงปลายปี 2023 ถึงพฤษภาคม ปี 2025 ในประเด็นการผิดนัดชำระเงิน
“เห็นได้ชัด (จาก) ประสบการณ์ที่เคย ติดต่อกับพวกเขาแม้เพียงเล็กน้อยว่าบริษัทมีปัญหา สภาพคล่องทางการเงินอย่างรุนแรง และพวกเขาได้ร่าง เงื่อนไขสัญญาทางธุรกิจโดยตระหนักถึงข้อจำกัดนี้” อดีตคู่สัญญารับจ้างรายหนึ่งซึ่งเคยร่วมงานกับ Infinite Reality กล่าว
Kogan ยอมรับว่า “บริษัทประสบปัญหาด้านกระแส เงินสด” แต่ย้ำว่า ประเด็นนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพ เธอกล่าวเสริมว่า เมื่อดูจากจำนวนกิจการที่บริษัทเข้าซื้อหลายแห่งย่อมเป็นไปได้ที่จะมีคดีความเกี่ยวกับการผิดนัดชำระเงินหรือประเด็นอื่นๆ “โผล่ขึ้นมา” และทางบริษัทกำลังเดินหน้าจัดการปัญหาซึ่งต้องใช้เวลา ไม่ใช่เพราะว่าบริษัทไม่มีเงินเพียงพอ แต่เพราะมี “เอกสารจำนวนมากที่ต้องจัดการ”
สำหรับฝั่งของ Acunto เขามองว่าคดีความต่างๆ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ โดยมองว่าเรื่องเหล่านี้เป็นต้นทุนปกติของการดำเนินธุรกิจ “คุณก็น่าจะเดาได้ว่าเราอาจมี ข้อพิพาทกับคู่ค้า เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติ...คุณก็รู้ว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตลอดเวลาอยู่แล้ว”
สำหรับเรื่องราวของ Infinite Reality บางทีก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าอะไรคือความจริง เว็บไซต์ของบริษัทโปรโมทว่ามี “นักลงทุนชั้นนำ” จากแวดวงกีฬา สื่อ และ บันเทิง อย่างเช่น Lerer Hippeau, Lux Capital, บริษัท ตัวแทนนักกีฬา CAA ไปจนถึง RSE Ventures ของ Matt Higgins กรรมการในรายการ Shark Tank และ Stephen Ross เศรษฐีพันล้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และ Exor บริษัทเพื่อการลงทุนของตระกูลเศรษฐีพันล้าน Agnelli จากอิตาลี
แต่ความเป็นจริงนักลงทุนชื่อดังเหล่านี้ กลายมาเป็นผู้ถือหุ้นของ Infinite Reality เนื่องจาก บริษัทเข้าซื้อ Drone Racing League ที่พวกเขาเคยลงทุนไว้ก่อนหน้านั้นหลายปี ไม่มีนักลงทุนรายใดลงทุน โดยตรงใน Infinite Reality และแทบไม่มีใครแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสตาร์ทอัพแห่งนี้ Lux Capital ยืนยันว่าได้ลงทุนผ่าน Drone Racing League ใน ปี 2016 ส่วนรายอื่นๆ รวมถึง Exor ซึ่ง Infinite Reality ใช้โลโก้ของบริษัทผิดในเว็บไซต์ปฏิเสธที่จะให้ความเห็น หรือไม่ตอบกลับ ทั้งนี้หน้าเว็บไซต์เกี่ยวกับนักลงทุนถูกถอดออกไปหลังจากที่ Forbes เริ่มตั้งคำถาม
Infinite Reality ประโคมข่าวความร่วมมือ “ครั้งยิ่งใหญ่” กับสโมสรฟุตบอลอังกฤษ Manchester City ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่โฆษกของสโมสรได้ส่งอีเมลถึง Forbes ยืนยันว่าบริษัทไม่ได้มีสถานะเป็น “พันธมิตรหรือผู้จัดหาอย่างเป็นทางการ” และ “ไม่มีความเกี่ยวข้องใดเพิ่มเติมกับสโมสร” บริษัท ภายนอกรายหนึ่งได้ว่าจ้าง Thunder Studios ธุรกิจย่อยในเครือของ Infinite Reality ให้ทำงาน “เพียงส่วนเล็กๆ” ในแผนงานที่มีหลายฝ่ายร่วมดำเนินการเท่านั้น
เมื่อถูกขอให้ชี้แจงตัวเลขทางการเงินที่ใช้ประเมินมูลค่ากิจการ Acunto ตอบว่า “ผมจะให้ข้อมูลบางส่วนแล้วคุณลองปะติดปะต่อดู” เขาอ้างถึง “แผนร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระยะเวลา 5 ปี” กับ Google ว่า “เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มูลค่าประเมินสูง” ในการนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุนเมื่อธันวาคมที่ผ่านมาเขาขยายความต่อว่า "Google ไม่ได้เป็นแค่พันธมิตร แต่เป็นลูกค้าของเรา...และยังเปิดประตูพาเราไปถึงลูกค้าทุกรายของพวกเขาด้วย” ทว่า Google ให้ข้อมูลที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง โดยให้ข้อมูลกับ Forbes ว่า Infinite Reality เป็นเพียงลูกค้าทั่วไปของ Google Cloud เท่านั้น
ก.ล.ต. เริ่มตั้งข้อสงสัยและยื่นฟ้องต่อศาลในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยระบุว่า Infinite Reality ไม่ยอมทำตามคำสั่งที่กำหนดให้บริษัทจัดส่งข้อมูลทางการเงินที่ใช้ในประเมินมูลค่าตามที่ระบุไว้ก่อนหน้านี้ที่ 1.9 พันล้านเหรียญ อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนเข้าตลาดผ่านบริษัทในรูปแบบ SPAC ที่ถูกยกเลิกไป
ในเอกสารยื่นฟ้อง “ก.ล.ต. ระบุว่าคณะกรรมการได้รับหลักฐานที่บ่งชี้ว่าบุคคลและ/หรือหน่วยงานบางรายอาจเคยมี หรือยังมีส่วนเกี่ยวข้องในการให้ข้อมูลเท็จอันมีสาระสำคัญ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่สำคัญต่อนักลงทุน”
ในช่วงที่ตีพิมพ์บทความนี้คดีถูกพักการพิจารณาชั่วคราว หลังจาก Infinite Reality ยินยอมที่จะส่งมอบเอกสารสำคัญให้กับทางการ โดย Gillian Sheldon โฆษกของบริษัทเขียนถึง Forbes ว่า “ไม่มีการกล่าวหาว่าใคร ฝ่าฝืนกฎหมาย รวมถึง Infinite Reality เช่นกัน...เมื่อเราปฏิบัติตามคำสั่งครบถ้วนแล้ว เราคาดว่า (คดีความ) ดังกล่าวจะถูกยกฟ้อง”
คำถามที่สำคัญที่สุดยังคงอยู่ที่ว่า ใครคือผู้ลงทุนรายใหญ่มูลค่า 3 พันล้านเหรียญ ตามข้อมูลจาก Shah ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจของ Infinite Reality แผนลงทุนดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียว แต่เป็นการลงทุนต่อเนื่องที่มีมูลค่ารวม 3.4 พันล้านเหรียญ โดยเริ่มจากการจัดสรรเงินทุน 350 ล้านเหรียญ ในเดือนกรกฎาคม ปี 2024 จากสำนักงานบริหารความมั่งคั่งของครอบครัวหลายแห่ง ตามมาด้วยอีก 500 ล้านเหรียญในเดือนตุลาคม และส่วนที่เหลือในเดือนมกราคม ปี 2025 เงินทั้งหมดดูเหมือนจะมาจากนักลงทุนรายเดียวกันที่ ยังคงไม่เปิดเผยชื่อ
ยิ่งไปกว่านั้น Shah ยังได้อ่าน แถลงการณ์จากนักลงทุนรายนี้ให้ผู้ถือหุ้นฟังในการ ประชุมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งมีข้อความว่า “โปรด ทราบว่า ความเชื่อมั่นของผมที่มีต่อคณะกรรมการและทีมผู้บริหารยังคงมั่นคง และผมพร้อมเสมอที่จะสนับสนุนเชิงกลยุทธ์หรือให้การช่วยเหลือด้านการเงินเพิ่มเติมตามความจำเป็นผ่านช่องทางที่เหมาะสม”

ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา Infinite Reality ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับการลงทุนมูลค่า 3 พันล้านเหรียญโดยอ้างถึง Michael Sullivan หุ้นส่วนจากสำนักงานกฎหมาย Ashcroft ซึ่งตั้งอยู่ใน Boston และก่อตั้งโดย John Ashcroft อดีตอัยการสูงสุดแห่งสหรัฐฯ Sullivan ถูกอ้างคำพูดว่านักลงทุนรายนี้ซึ่งเป็นลูกค้าของ Ashcroft “รู้สึกประทับใจเป็นพิเศษกับสิ่งที่เขาเชื่อว่าเป็นผลิตภัณฑ์ปฏิวัติวงการของ (Infinite Reality) ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับผู้ใช้งานและนิยามความเป็นเจ้าของในยุคดิจิทัลขึ้นใหม่
เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้พูดเช่นนั้น เมื่อ Forbes ติดต่อไปพื่อสอบถาม Sulivan ปฏิเสธว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นกับแผนลงทุนดังกล่าว “ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับรอบการระดมทุน หรือประกาศที่เกี่ยวข้องเลย” Sullivan กล่าวในอีเมล ถึง Forbes เมื่อเดือนมีนาคม "คำพูดที่ปรากฏในข่าวประชาสัมพันธ์ไม่ใช่ของผม ในความเป็นจริงผมไม่เคยตรวจสอบหรือให้ความเห็นชอบกับเนื้อหาก่อนที่ข้อมูลจะถูกเผยแพร่ครั้งแรก” ในอีเมลอีกฉบับที่ส่งถึง Forbes หลังจากนั้น Lori Day หุ้นส่วนผู้บริหารของสำนักงานกฎหมาย Ashcroft ยืนยันว่า “ลูกค้าของบริษัทได้โอนเงินรวมทั้งสิ้น 3.36 พันล้านเหรียญ ให้กับ Infinite Reality" โดยอ้างอิงถึงหลักฐานการโอนเงินจากธนาคาร (พวกเขา ปฏิเสธที่จะแสดงหลักฐานต่อ Forbes) แต่ชี้แจงว่า บริษัทไม่ได้ “ให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าเกี่ยวกับข้อตกลงหรือธุรกรรมในครั้งนี้”
Ashcroft ไม่ได้มีหน้าที่ตามกฎหมายในการตรวจสอบความถูกต้องของหลักฐานการโอนเงินเหล่านั้นหรือแม้กระทั่งการตรวจสอบว่าธุรกรรมเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เนื่องจากบริษัทไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อตกลง โดยตรง และไม่ได้มีบทบาทในการเชิญชวนหรือจัดหาการลงทุนเพิ่มเติม ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทยังไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบในการตรวจสอบว่าลูกความมีสินทรัพย์เพียงพอที่จะดำเนินการโอนเงินจำนวนดังกล่าวหรือไม่
แถลงการณ์ที่เกิดขึ้นหลังบทความในเดือนเมษายนของ Forbes มีจุดประสงค์เพื่อไขข้อสงสัยเกี่ยวกับนักลงทุนปริศนา แต่กลับกลายเป็นว่าเนื้อหายากที่จะตีความให้ชัดเจน ในช่วงต้นมีการระบุว่า “การลงทุน”
มีบริษัท Sterling Select “บริษัทพัฒนาเงินร่วมลงทุน” จาก New York เป็นผู้แทน โดยบริษัทอธิบายบทบาท ว่า ตนเองเป็นบริษัทที่ให้การสนับสนุนผู้ที่ไม่มี “ชื่อเสียงหรือศักยภาพทางการเงิน” ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน (ในเวลาต่อมาแถลงการณ์ฉบับดังกล่าวได้ถูกแก้ไขโดยเปลี่ยนคำว่าการลงทุนเป็นนักลงทุน)
นอกจากนี้ ข่าวประชาสัมพันธ์ยังอ้างว่า Sterling Select “มีความเกี่ยวข้องกับ” Sterling Equities ซึ่งมี Saul Katz และ Fred Wilpon อดีตเจ้าของหลักของทีมเบสบอล New York Mets เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง (ทั้งสองเคยถูกฟ้องร้องในคดีอื้อฉาวด้านการลงทุนของ Bernie Madoff และตกลงจ่ายค่าชดเชย 162 ล้านเหรียญในปี 2012)
แต่จากคำชี้แจงของ Gregory Nero ทนายความของ Sterling Equities ระบุว่า บริษัท “ไม่ได้อยู่ในกลุ่มผู้ลงทุนมูลค่า 3 พันล้านเหรียญใน Infinite Reality” และไม่มีแผนที่จะ ลงทุนในบริษัท ความเชื่อมโยงเพียงอย่างเดียวของ บริษัทกับ Sterling Select คือ การที่ David ลูกชายของ Saul Katz หนึ่งในหุ้นส่วนของ Sterling Equities เป็น ผู้ร่วมก่อตั้ง Sterling Select เท่านั้น เริ่มสับสนหรือยัง?
ในขณะเดียวกัน Sterling Select ไม่มีเว็บไซต์ทางการแต่ชัดเจนว่าบริษัทมีบทบาทในการช่วยก่อตั้ง ReKTGlobal ซึ่งต่อมาถูก Infinite Reality เข้าซื้อกิจการ บริษัท ฟ้องร้อง ReKTGlobal ในปี 2021 จากการผิดนัดชำระเงิน โดยทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงยอมความกันในปี 2024 Chris Steele ผู้ร่วมก่อตั้ง Katz ระบุในหน้า LinkedIn ของเขาว่า มีเพียง 2 บริษัทที่มีความสัมพันธ์เชิงธุรกิจกับ Sterling Select นั่นคือ Infinite Reality และ SPAT Media บริษัทสตาร์ทอัพด้านสื่อดิจิทัล (ซึ่งปัจจุบันยุติความ ร่วมมือกันแล้ว) ทั้ง Sterling Select และผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทอย่าง Chris Golden และ Steele ปฏิเสธที่จะ แสดงความคิดเห็น Kogan ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาด ของ Infinite Reality กล่าวกับ Forbes ในภายหลังว่า Sterling Select ไม่ได้มีส่วนร่วมลงทุนในดีล 3 พันล้านเหรียญ แต่เป็นผู้แนะนำ Infinite Reality ให้รู้จักกับนักลงทุนรายดังกล่าว
เมื่อวันที่ 28 เมษายนที่ผ่านมา Infinite Reality ได้ยื่นเอกสารแบบฟอร์ม D ต่อ ก.ล.ต. โดยรายงานว่า บริษัทระดมทุนได้รวมมูลค่า 3.36 พันล้านเหรียญจาก การเสนอขายที่เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว หากบริษัทสามารถระดมทุนได้มหาศาลเช่นนั้นจริง ปัญหาทางการเงินของบริษัทก็ควรหมดไป ทว่า Infinite Reality ยังคงเผชิญกับการถูกฟ้องร้องหลายคดีด้วยข้อหาค้างชำระเงิน
ในช่วงต้นไตรมาส 2 ที่เพิ่งผ่านมา บริษัทคู่สัญญารายหนึ่งได้ยื่นฟ้อง Infinite Reality และ Drone Racing League บริษัทย่อยในเครือด้วยเหตุผลว่า บริษัทไม่ได้ชำระเงินราว 250,000 เหรียญตามใบแจ้งหนี้ซึ่งลงวันที่ ระหว่างเดือนตุลาคม ปี 2024 ถึงมีนาคม ปี 2025 ศาลตัดสินให้ Infinite Reality แพ้คดีโดยไม่มีการสู้คดี เนื่องจากบริษัทไม่ตอบสนองต่อคำฟ้อง
ในเดือนเมษายนบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับดีลในการก่อตั้งบริษัทใน รูปแบบ SPAC เพื่อเข้าซื้อกิจการ แต่ถูกยกเลิกไปโดย Infinite Reality ได้ยื่นฟ้องด้วยประเด็นค้างชำระเงิน ค่าธรรมเนียม 7 ล้านเหรียญ ส่วนบริษัทบัญชี CFGI ฟ้องเรียกค่าเสียหาย 2.3 ล้านเหรียญจากกรณีค้างชำระ ค่าบริการ Infinite Reality ดำเนินการฟ้องกลับ โดย กล่าวหาว่า CFGI ได้รับผลประโยชน์อันมิชอบและทำให้ บริษัทได้รับความเสียหายที่มีมูลค่าสูงกว่า
ประเด็นที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ไม่ได้ทำให้ Infinite Reality ชะลอแผนดำเนินการเข้าซื้อกิจการเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัทเข้าซื้อ Napster ด้วยมูลค่ากว่า 200 ล้านเหรียญ ในช่วงกลางเดือนเมษายน บริษัทประกาศแผนลงทุน 500 ล้านเหรียญ (ชำระโดยการออกหุ้นแทนการจ่ายด้วยเงินสดทั้งหมด) เพื่อเข้าซื้อ Touchcast บริษัทผู้พัฒนาเครื่องมือเว็บไซต์และอวาตาร์ด้วย AI ให้กับลูกค้าหลายรายซึ่งรวมถึง Accenture
หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมบริษัทประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น Napster และแจ้งนักลงทุนผ่านทางโทรศัพท์ว่าพวกเขาสามารถขายหุ้นคืนได้ในราคา 20 เหรียญต่อหุ้น (ก่อนค่าธรรมเนียม) เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป เนื่องจากมีนักลงทุนนิรนามรายหนึ่งเข้ามาสนับสนุนการลงทุนถือเป็นครั้งที่ 4 นับจากปี 2022 ที่บริษัทให้คำมั่นว่าจะเปิดโอกาสให้นักลงทุนออกจากการลงทุน แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่เคยมีครั้งใดเกิดขึ้นจริง ถ้าโครงสร้างจำนวนหุ้นของ Infinite Reality ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาจะเท่ากับว่ามูลค่าประเมินของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 1.8 หมื่นล้านเหรียญ
“ตัวเลขดูแปลกจนไม่น่าเชื่อ” Ed Zimmerman ทนายความด้านการลงทุนในสตาร์ทอัพจาก Lowen- stein Sandler กล่าวถึงมูลค่ากิจการของ Infinite Reality “แต่บางทีบริษัทแห่งนี้อาจเป็นบริษัทที่มีศักยภาพมากที่สุดในโลก"...หรือไม่ก็เป็นแค่โครงสร้างลวงตาที่พร้อมจะพังลงเมื่อไรก็ได้
เรื่อง : PHOEBE LIU และ IAIN MARTIN
เรียบเรียง : นวตา สัันติิวััฒนา
ภาพ : Jamel toppin
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : จดหมายสุดท้ายของปีจาก Buffett เสียงที่เงียบลง ... สู่มรดกที่ยังดังก้อง การส่งต่อสู่บทใหม่ของ Berkshire Hathaway



