<h2>ช.การช่าง อวดความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้มูลค่ารวม 5,500 ล้านบาท เผยกระแสตอบรับดีเกินคาด สะท้อนความมั่นใจของผู้ลงทุน โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำไปชำระคืนหนี้เดิม และชำระคืนหนี้จากการออกตราสารหนี้ พร้อมเดินหน้าสร้างความแกร่งและสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจรับเหมาก่อสร้างต่อไป </h2>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ&nbsp;CK&nbsp;ได้ประกาศความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้&nbsp;มูลค่ารวม 5,500&nbsp;ล้านบาท โดยเสนอขายให้แก่ประชาชนเป็นการทั่วไประหว่างวันที่&nbsp;18&nbsp;และ&nbsp;21-22&nbsp;เมษายน&nbsp;2568 โดยได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นถึงความไว้วางใจและความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อธุรกิจของบริษัทฯ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับหุ้นกู้ที่บริษัทฯ เสนอขายในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น&nbsp;4&nbsp;ชุด ประกอบด้วยหุ้นกุ้ชุดที่&nbsp;1&nbsp;อายุ&nbsp;3&nbsp;ปี&nbsp;อัตราดอกเบี้ยคงที่&nbsp;3.30% ต่อปี&nbsp;หุ้นกู้ชุดที่&nbsp;2&nbsp;อายุ&nbsp;5&nbsp;ปี&nbsp;อัตราดอกเบี้ยคงที่&nbsp;3.60% ต่อปีหุ้นกู้ชุดที่&nbsp;3&nbsp;อายุ&nbsp;7&nbsp;ปี&nbsp;อัตราดอกเบี้ยคงที่&nbsp;3.80% ต่อปีหุ้นกู้ชุดที่&nbsp;4&nbsp;อายุ&nbsp;10&nbsp;ปี&nbsp;อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.00% ต่อปีกำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก&nbsp;6&nbsp;เดือน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ ในส่วนของหุ้นกู้ชุดที่&nbsp;2-4&nbsp;มีเงื่อนไขให้ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ทั้งจำนวนหรือบางส่วนก่อนครบกำหนดไถ่ถอน ตามเงื่อนไขที่ระบุในข้อกำหนดสิทธิของหุ้นกู้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สำหรับอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ ช.การช่าง จัดอันดับโดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 1 เมษายน2568&nbsp;อยู่ที่ระดับ “A-” แนวโน้ม “Stable” เช่นเดียวกับอันดับเครดิตองค์กร และบริษัทฯ ได้แต่งตั้งธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ในครั้งนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ณัฐวุฒิ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) เผยว่า&nbsp;การเสนอขายหุ้นกู้ ช.การช่าง ในครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะเป็นการเสนอขายท่ามกลางบรรยากาศที่มีความกังวลต่อทิศทางการลงทุนทั่วไป ซึ่งการตอบรับที่ดีกว่าคาดของผู้ลงทุนสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริษัทฯ โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำไปชำระคืนหนี้เดิม และชำระคืนหนี้จากการออกตราสารหนี้​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2025/04/6W7Qsgswj7f1Zaegsr5G.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="6W7Qsgswj7f1Zaegsr5G.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“บริษัทฯ ขอขอบคุณผู้ลงทุนทุกท่านที่ไว้วางใจในหุ้นกู้ของบริษัทฯ และขอขอบคุณสถาบันการเงินทั้ง&nbsp;3&nbsp;แห่งในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ที่ทำให้การเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พร้อมกันนี้ ช.การช่าง ยังพร้อมที่จะเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ในฐานะบริษัทชั้นนำที่ได้รับความไว้วางใจ ด้วยการบริหารงานที่ยึดหลักธรรมาภิบาล ด้วย&nbsp;ESG Rating&nbsp;ประจำปี&nbsp;2567&nbsp;จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่เพิ่มขึ้นจากระดับ&nbsp;A&nbsp;สู่ระดับ&nbsp;AA&nbsp;รวมถึงการได้รับคะแนนประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับ&nbsp;5&nbsp;ดาวหรือ “ดีเลิศ” ต่อเนื่องเป็นปีที่&nbsp;10&nbsp;ในโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนประจำปี&nbsp;2567&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) เพื่อตอกย้ำการเป็นทางเลือกที่ทำให้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้อย่างมั่นใจและสบายใจ”&nbsp;กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ช.การช่าง กล่าวทิ้งท้าย ภาพ : ช.การช่าง เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/news/finance-and-investment/wash-filing-ipo-updated-apr-2025" alt="WashXpress ยื่นไฟลิ่งเตรียมเสนอขาย IPO ตั้งเป้าผู้นำร้านสะอาดซักครบวงจรในไทย">WashXpress ยื่นไฟลิ่งเตรียมเสนอขาย IPO ตั้งเป้าผู้นำร้านสะอาดซักครบวงจรในไทย</a><a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ช.การช่าง อวดความสำเร็จ! หลังเปิดขายหุ้นกู้ 5,500 ล้าน

'Emad Mostaque' บริหารยูนิคอร์นอย่างไรให้เจ๊ง

<h2>สตรีทฟู้ดแบรนด์ดัง ‘ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว’ เร่งพลิกโฉมแต่งหล่อด้วยการวางแผนรุกตลาดต่างประเทศอย่าง ฟิลิปปินส์ และ ญี่ปุ่น พร้อมดึงธุรกิจอาหารในไทยที่น่าสนใจเก็บเข้าพอร์ตอีก 5-10 แบรนด์ก่อนที่จะทำการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปี 2570 พร้อมตั้งเป้ารายได้ 3 ปีหลังจากนี้แตะ 5,000 ล้านบาท </h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;พันธ์รบ กำลา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท&nbsp;ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เผยว่า บริษัทมีแผนที่จะระดมทุนนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) อีก 3 ปี หรือภายในปี 2568-2570 จึงได้เตรียมความพร้อมโดยการปรับกลยุทธ์และจัดการกองทัพหลังบ้านเพื่อยกระดับมาตรฐานธุรกิจแฟรนไชส์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าผลประกอบการในช่วงปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขาย 1,117 ล้านบาท มีกำไรสุทธิเติบโตจากปี 2565 อยู่ที่ 126.6 ล้านบาท คิดเป็นอัตราที่พุ่งสูงขึ้นแบบก้าวกระโดดถึง 121% โดยเป็นผลจากการบริหารจัดการต้นทุนได้ดีกว่าเดิมและชาญฉลาดมากขึ้น จึงตั้งเป้ารายได้ปีนี้อยู่ที่. 1,500 ล้านบาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นราว 20% และ มีจำนวนสาขาแฟรนไชส์ของแบรนด์ที่อยู่ภายใต้ บริษัท&nbsp;ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ทั่วประเทศ เพิ่มขึ้นจากเดิม 4,500 สาขา เป็น 6,500 สาขา ส่วนรายได้สำหรับ 3 ปีข้างหน้าตั้งเป้าไว้ที่ 5,000 ล้านบาท และหวังที่จะเป็น 'เจ้าแห่งสตรีทฟู้ด' มีรายได้แตะหลักหมื่นล้านหลังจากนำธุรกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อระดมทุน​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/mLeUrkmg5MaCHhrcHzst.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="mLeUrkmg5MaCHhrcHzst.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="0"></figure></div> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“ผมกลัวว่าลูกผมจะทะเลาะกัน ฆ่ากันตาย โลโก้ชายสี่มันแบ่งครึ่งกันไม่ได้ การเอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เลยเป็นเรื่องดี ลูกๆ จะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน และยังสามารถเอาเงินที่ระดมทุนได้มาบริหารจัดการให้ธุรกิจเติบโตแบบยั่งยืนต่อไปได้อีก” พันธ์รบ กล่าว &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ด้าน อนุชิต สรรพอาษา กรรมการผู้จัดการ บริษัท&nbsp; ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เผยว่า ปัจจุบันภาพรวมตลาดธุรกิจอาหารสตรีทฟู้ดของไทยมีมูลค่าสูงราวๆ 200,000-300,000 ล้านบาท&nbsp;และยังมีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่อง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ปัจจุบัน ชายสี่ คอร์ปอเรชั่น มีแบรนด์สตรีทฟู้ดในเครือ รวม 7 แบรนด์ ได้แก่ ชายสี่บะหมี่เกี๊ยว ชายสี่พลัส ชายใหญ่ข้าวมันไก่ พันปีบะหมี่เป็ดย่าง อาลีหมี่ฮาลาล ไก่หมุนคุณพัน ลูกชิ้นทอดโอ้มายก๊อด รวมทุกแบรนด์กว่า 4,500 สาขา&nbsp;และยังมีอาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงและพร้อมทานภายใต้แบรนด์ชายสี่โกลด์ พร้อมด้วยเครื่องปรุงเพื่อจำหน่ายอีกกว่า 200 รายการ <div class="se-component se-image-container __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/YjAACjiY1Nu55KTTZ8kJ.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="YjAACjiY1Nu55KTTZ8kJ.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="1"></figure></div>​ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;โดยกลยุทธ์ล่าสุดของบริษัทในปีนี้ยังได้เลือกลงทุนแบบ joint venture กับธุรกิจร้านอาหารที่มีศักยภาพจำนวน 2 ราย ได้แก่ ‘เสือร้องไห้’ ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือชื่อดังจากอยุธยา และ ‘บริกซ์’ แบรนด์เบเกอรี่ที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากกลุ่มนักท่องเที่ยวเข้ามาเก็บไว้ในพอร์ตเพื่อสนับสนุนการเติบโตไปพร้อมๆ กัน และยังมีแผนที่จะลงทุนร่วมกับแบรนด์ร้านอาหารที่น่าสนใจอื่นๆ อีก 5-10 แบรนด์ ภายในปีนี้&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้ อนุชิต ยังกล่าวเสริมด้วยว่า ขณะนี้บริษัทได้ร่วมทุนกับกลุ่ม Cabalen Group บริษัทอาหารในฟิลิปปินส์ คาดว่าภายในสิ้นปีนี้ คงจะได้เห็นแบรนด์ร้านอาหารสตรีทฟู้ดของไทยเข้าไปขยายสาขาแฟรนไชส์ในฟิลิปปินส์ รวมถึงที่ประเทศญี่ปุ่นทางบริษัทเองก็อยู่ในะหว่างการพูดคุยหารือกับบริษัทของที่นั่นเพื่อเตรียมจะผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 'ชายสี่' เพื่อส่งขายในร้านสะดวกซื้อที่ญี่ปุ่นด้วย​<div class="se-component se-image-container __se__float- __se__float-center" contenteditable="false"><figure style="margin: auto;"><img src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/04/EqSzUu9Y1E1tHDLFTvK2.jpg" alt="" data-proportion="true" data-align="center" data-file-name="EqSzUu9Y1E1tHDLFTvK2.jpg" data-file-size="0" data-origin="," data-size="," data-rotate="" data-rotatex="" data-rotatey="" data-percentage="auto,auto" style="" data-index="2"></figure></div> ​ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : <a href="https://www.forbesthailand.com/news/marketing/tanachira-retail-corporation-united-arrows" alt="ธนจิรา เปิดตัว ‘UNITED ARROWS’ เสริมแกร่งพอร์ตธุรกิจแฟชั่น ประเดิมสาขาแรกที่ The Emsphere">ธนจิรา เปิดตัว ‘UNITED ARROWS’ เสริมแกร่งพอร์ตธุรกิจแฟชั่น ประเดิมสาขาแรกที่ The Emsphere</a>​<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

‘ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว’ เล็ง IPO ภายในปี 2570 ตั้งเป้า 3 ปี รายได้แตะ 5 พันล้าน

<h2>​แบรนด์ “เจ้าสัว” ผู้ผลิตและจำหน่ายขนมขบเคี้ยวและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสัตว์ เล็งเพิ่มทุนโดยล่าสุดยื่นไฟลิ่งเตรียมเสนอขาย IPO ไม่เกิน 87.7 ล้านหุ้น เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน</h2> &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ณภัทร โมรินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ CHAO เผยว่า กลุ่มบริษัทฯ เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายขนมขบเคี้ยวและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสัตว์ ภายใต้แบรนด์ “เจ้าสัว” และแบรนด์ “โฮลซัม (Wholesome)” ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมายาวนานกว่า 65 ปี ภายใต้วิสัยทัศน์&nbsp;"นำสูตรลับความอร่อยตำรับเจ้าสัวสู่คุณ" โดยมุ่งเน้นการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ รสชาติอร่อย และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย ใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิต เลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ ทำให้อายุอาหารอยู่ได้ยาวนานขึ้น พร้อมพัฒนาการออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่มีความทันสมัย พกพาง่าย สามารถรับประทานได้ทุกวัน (Everyday Consumption) สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ในทุกโอกาส&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ทั้งนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.&nbsp;ขนมขบเคี้ยว (Snack) ซึ่งประสบความสำเร็จในการทำการตลาดจนได้รับความนิยมจากผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ ด้วยการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างหลากหลาย รวมทั้งการยกระดับวัตถุดิบในประเทศเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทั้งในด้านความหลากหลายของรสชาติและรูปแบบของผลิตภัณฑ์ ส่งผลให้กลุ่มบริษัทฯ เป็นผู้นำในธุรกิจการผลิตและการจัดจำหน่ายขนมขบเคี้ยวไทยรูปแบบใหม่ (Modern Thai Snack)&nbsp; เช่น ข้าวตัง ขนมขบเคี้ยวแปรรูปจากเนื้อหมู แครกเกอร์ธัญพืช หนังปลา และขนมขบเคี้ยวอื่นๆ เป็นต้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และ 2.ผลิตภัณฑ์อาหาร (Meal) ซึ่งประกอบด้วย อาหารพร้อมปรุง (Ready to Cook) เช่น กุนเชียง หมูยอ ไส้กรอกอีสาน และแหนม เป็นต้น และอาหารพร้อมทาน (Ready to Eat) เช่น หมูหยอง หมูสวรรค์ หมูนุ่มเส้น หมูเส้นฝอย และหมูทุบ เป็นต้น ในปัจจุบัน กลุ่มบริษัทฯ จำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางการจัดจำหน่าย 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มร้านค้าปลีกและค้าส่งสมัยใหม่ (Modern Trade) กลุ่มร้านค้าปลีกดั้งเดิม (Traditional Trade) การส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ และช่องทางอื่นๆ เพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคทุกกลุ่ม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;“เราให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของเทรนด์การบริโภคของกลุ่มลูกค้า ผ่านการสร้างความหลากหลายให้กลุ่มผลิตภัณฑ์ ทั้งประเภทสินค้า รูปแบบ และรสชาติความอร่อยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากสูตรลับฉบับเจ้าสัว โดยยึดความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ เพื่อสร้างความประทับใจและประสบการณ์การรับประทานอาหาร ช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน” ณภัทรกล่าว &nbsp; &nbsp; โดยล่าสุด บริษัทฯ ได้แต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน&nbsp; และได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. แล้วเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 87,684,100 หุ้น คิดเป็นร้อยละไม่เกิน 29.2 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญครั้งนี้ แบ่งเป็น (1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 46,944,100 หุ้น และ (2) หุ้นสามัญเดิม จำนวนไม่เกิน 40,740,000 หุ้น โดยบริษัทฯ มีแผนนำเงินที่ได้จากการระดมทุนส่วนหนึ่งเพื่อใช้ในการขยายกำลังการผลิต ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต รวมถึงการขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและการดำเนินการต่างๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อกิจการ เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ :&nbsp;<a href="https://www.forbesthailand.com/world/asia/eduardo-saverin-cofounder-meta-richest-singapore" alt="Eduardo Saverin ผู้ร่วมก่อตั้ง Meta ขึ้นแท่นอันดับ 1 เศรษฐีสิงคโปร์">Eduardo Saverin ผู้ร่วมก่อตั้ง Meta ขึ้นแท่นอันดับ 1 เศรษฐีสิงคโปร์</a> <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/" alt="ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine">ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

"เจ้าสัว" ยื่นไฟลิ่งเตรียมเสนอขาย IPO ไม่เกิน 87.7 ล้านหุ้น

<h2>HappyFresh ซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์ ปิดดีลยักษ์ระดมทุน Serie D มูลค่าราว 65 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 2 พันล้านบาท พร้อมพุ่งทะยานธุรกิจ ตอกย้ำเจ้าตลาด E-Grocery ด้วยตัวเลขเติบโตขึ้นกว่า 20 เท่า</h2>
<img class="alignnone size-full wp-image-49184" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/HappyFresh_003.jpg" alt="" width="450" height="300" />

ล่าสุดจากการระดมทุนรอบ Serie D, HappyFresh ยังคว้ากลุ่มผู้ลงทุนรายใหญ่ นำโดย Naver Financial Corporation และ Gafina B.V ตามด้วย STIC, LB และ Mirae Asset จากประเทศอินโดนีเซีย และกลุ่มทุนจากสิงคโปร์ อย่าง Mirae Asset-Naver Asia Growth Fund และ Z Venture Capital ที่ตบเท้าเข้าร่วมสมทบทุนเพิ่มใน Serie D ทำให้ในรอบนี้ HappyFresh ปิดดีลระดมทุน ได้เกินเป้าที่วางไว้ เหตุนักลงทุนเล็งเห็นความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของธุรกิจ E-Grocery

โดยวิกฤตการณ์โควิดนั้น นับเป็นตัวเสริมอุปสงค์ให้ธุรกิจ E-Grocery พุ่งทะลุ ทะยานสูงสุดในรอบ 6 ปี โดยนับเป็นเวลากว่า 18 เดือน ตั้งแต่วิกฤตการณ์โควิด-19 ได้เริ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้คนทั่วโลกต้องปรับตัวเข้าสู่วิถีชีวิตรูปแบบใหม่ (New Normal) ดัน HappyFresh สู่ผู้นำการให้บริการซื้อและส่งของสดของใช้ออนไลน์ในอาเซียน ด้วยการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากความต้องการของหลายพันครัวเรือนที่หันมาเลือกใช้บริการของเราในการซื้อสินค้าของสดของใช้ อย่างสะดวกและปลอดภัย

เกียม ซาการ์ร่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวถึงธุรกิจ E-Grocery ที่พุ่งทะยานนี้ว่า “เราตั้งเป้าหมายตั้งแต่เริ่มธุรกิจ เพื่อจะส่งมอบของสดของใช้ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าทุกคน โดยตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา ความทุ่มเทของเราได้พิสูจน์ถึงคุณภาพของสินค้าและบริการที่ดีเลิศ รวมถึงสร้างความไว้วางใจให้กับครัวเรือนต่างๆในทั้ง 3 ประเทศ ว่าทุกคนจะได้รับสินค้าที่สด และมีคุณภาพดีที่สุด และเรายังคงมุ่งมันที่จะให้บริการซูเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์ ที่คัดสรรคุณภาพอันดีเยี่ยม เพื่อลูกค้าของเราเช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่เราเริ่มต้นธุรกิจ”

ท่ามกลางวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ เรายังคงแสดงศักยภาพเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมียอดการใช้งานแอปพลิเคชันและเว็บไซต์จาก 3 ประเทศในปี 2564 ที่เติบโตขึ้นกว่า 20 เท่า รวมถึงยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งจากลูกค้าใหม่ และลูกค้าเดิม เป็นการสร้างความเชื่อมันให้นักลงทุน และตอกย้ำถึงการเติบโตของตลาดและโอกาสในธุรกิจสินค้าประเภทของสด ของใช้ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เป็นอย่างดี

“พฤติกรรมของผู้บริโภคได้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น พฤติกรรมการจับจ่าย ความถี่ในการสั่งซื้อสินค้า และยอดซื้อสินค้าในแต่ละการสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ การสั่งซื้อสินค้าส่วนใหญ่ยังมาจากการชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์ โดย HappyFresh ยังคงพัฒนาแและขยายรูปแบบการชำระเงินเพื่อตอบรับกับวิถีชีวิตใหม่ให้มากขึ้น” เกียม กล่าว

อีกทั้งทิศทางธุรกิจออนไลน์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ อันเนื่องมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากวิกฤตการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อปรับรับสถานการณ์โรคระบาด ประกอบกับมูลค่าตลาดค้าปลีก 3.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 1.15 ล้านล้านบาท ปัจจัยเหล่านี้ล้วนตอกย้ำโอกาสทางธุรกิจที่มีมูลค่ามหาศาล

<figure><img class="wp-image-49185 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2021/08/HappyFresh_004.jpg" alt="" width="450" height="517" /><figcaption> เกียม ซาการ์ร่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HapppyFresh</figcaption></figure>
<h3>มุ่งเป้ารับการเติบโตในอาเซียน</h3>
นอกจากนั้น ตลาด E-Grocery ในเอเชียยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากพฤติกรรม ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มีรายได้ และกำลังซื้อสูง อย่างไรก็ตามในปีที่ผ่านมาผู้บริโภคกลุ่มอื่นๆ ก็มีการปรับตัว และมีความเข้าใจในการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งบนเว็บไซต์ และแอปพลิเคชันด้วย

ด้านแผนการลงทุน เกียม ได้กล่าวเสริมว่า “เรายังคงมุ่งมั่นที่จะขยายตลาดไปยังพื้นที่ ที่มีศักยภาพอื่นๆ หวังให้ครอบคลุมพื้นที่บริการทั้งหมด โดยยังคงยึดถือคุณภาพ และมาตรฐาน ความปลอดภัยสูงสุดเป็นสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมาพนักงาน Personal Shopper และพนักงานขนส่งสินค้า ถือเป็นฟันเฟืองที่สำคัญขององค์กร พวกเขาทำงานอย่างหนักหน่วงและไม่ย้อท้อ เพื่อช่วยเหลือ และตอบสนองความต้องการสั่งซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าทุกท่าน การลงทุนในรอบ Serie D นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางในบทใหม่ขององค์กร เราพร้อมและตื่นเต้นไปกับการเดินทางครั้งนี้”

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเราได้ขยายตำแหน่งงานมากขึ้นกว่านับพันตำแหน่ง เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่เพิ่มมากขึ้น

“เรายังคงมุ่งเน้นการให้บริการด้วยมาตรฐานความปลอดภัยอันดีเยี่ยม พร้อมกับการใช้งานที่สะดวกสบาย เป็นสำคัญ นอกจากนั้น เราพร้อมที่จะขยายพื้นที่ให้บริการร่วมกับพันธมิตรธุรกิจค้าปลีกที่เรามี ในทุกประเทศ ด้วยระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพของเรา พร้อมกับพัฒนาประสิทธิภาพด้านการขนส่ง การควบคุมคุณภาพสินค้า เพื่อสร้างประสบการณ์การสั่งซื้อที่ดีให้กับลูกค้า มุ่งหวังที่จะจัดส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้าในสภาพที่สดใหม่ และรวดเร็วที่สุด และแน่นอนว่า ลูกค้าจะสามารถเข้าถึงประสบการณ์การสั่งซื้อของสด ของใช้ ได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วย” เกียม กล่าวเพิ่มเติม

เดวิด ลิม กรรมการผู้จัดการ HappyFresh ประจำประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “เรายังคงมุ่งพัฒนาบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่ออำนวยความสะดวกสบายแก่ลูกค้า และรักษามาตรฐาน ความปลอดภัยของทุกการสั่งซื้อแม้ในช่วงวิกฤติการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มช่องทางการชำระเงินผ่าน QR code พร้อมเพย์ หรือการขยายความร่วมมือไปยังพันธมิตรใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลาย ของสินค้าให้ครอบคลุมกับความต้องการของคนไทย”

“ในช่วงไตรมาสที่ 3 นี้ เราได้เตรียมการขยายพื้นที่ให้บริการให้ครอบคลุมทั่วทั้งกรุงเทพฯ เพื่อตอบรับความต้องการของครัวเรือน และสร้างความเชื่อมั่นว่าทุกครอบครัวจะสามารถเข้าถึง บริการสั่งซื้อและรับสินค้าที่บ้านได้อย่างปลอดภัย อีกทั้งยังมีแผนขยายพื้นที่ให้บริการไปยังจังหวัดอื่นๆ ของประเทศไทย เพราะเราเชื่อว่า ธุรกิจของเราจะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยเหลือ ให้ทุกครอบครัว สามารถเข้าถึงสินค้าอุปโภคบริโภคในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้”

“ด้วยทีมบริหารมืออาชีพ และรูปแบบการให้บริการที่แตกต่าง ทำให้เราได้แสดงถึงศักยภาพขององค์กรที่จะนำไปสู่ความสำเร็จร่วมกับพันธมิตรอื่นๆ แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก นอกจากนั้นเรายังมั่นใจว่ารูปแบบการใช้งานที่ง่ายและสะดวก ประกอบกับมาตรฐาน ความปลอดภัยจะเป็นตัวผลักดันให้เกิดการใช้จ่ายซ้ำ และความภักดีต่อแบรนด์ รวมทั้งจะเป็นแรงผลักให้เป็นผู้นำในตลาดในระยะยาว” ปีเตอร์ นา, Director of Southeast Asia Investments ผู้ร่วมทุนจาก Naver และ กรรมการบริหาร HappyFresh ได้กล่าวไว้

อ่านเพิ่มเติม: <a href="https://forbesthailand.com/leaderboard/global-leaderboard/30-under-30-%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7.html">“30 Under 30” ผลงานสร้างสรรค์เสื้อผ้าสุดเจ๋งในยุค Work from Home</a>

<hr />

<a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

HappyFresh เสริมทุนรอบ Serie D 65 ล้านเหรียญฯ

<h2 class="p1">“ชัชวาลย์ เจียรวนนท์” ทายาทซีพี นำทัพสตาร์ทอัพ Lightnet ระดมทุนรอบซีรีส์ A กว่า 1,000 ล้านบาท ใช้บล็อกเชนมุ่งปฏิวัติตลาดการส่งเงินข้ามประเทศ</h2>
หลังจุดเริ่มต้นจากการพูดคุยกันในร้านกาแฟถึงปัญหาการส่งเงินข้ามประเทศที่ต้องใช้เวลานาน มีค่าธรรมเนียมสูง ทำให้บรรดาผู้ร่วมก่อตั้งสตาร์ทอัพด้านฟินเทค Lightnet ใช้เวลากว่า 10 เดือนในการพัฒนานวัตกรรมการส่งเงินข้ามประเทศนี้จนสำเร็จ และในวันนี้บริษัทของพวกเขาสามารถระดมทุนรอบซีรีส์ A ไปได้แล้ว 31.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 1 พันล้านบาท
โดยกลุ่มนักลงทุนชั้นนำของสตาร์ทอัพรายนี้ นำโดย UOB Venture Management and Hanwha Investment and Securities ซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่และมีอิทธิพลที่สุดในสิงคโปร์และเกาหลีใต้ตามลำดับ รวมถึงบริษัท Seven Bank (TKO: 8410) จากกลุ่มบริษัท Seven &amp; I Holdings ผู้เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ 7-Eleven ทั้งหมดในญี่ปุ่น และร้านสะดวกซื้ออีกประมาณ 6.92 หมื่นแห่งทั่วโลก
นอกจากนี้ยังรวมถึงบริษัท Uni-President Asset Holdings บริษัทด้านการลงทุนของ Uni-President Enterprise Corp. รวมถึงบริษัท Hashkey Capital บริษัทด้านการลงทุนเครือบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านยานยนต์และการเงินในจีนอย่าง WanXiang Group
ชัชวาลย์ เจียรวนนท์ ประธานบริษัทสตาร์ทอัพด้านฟินเทค Lightnet กล่าวว่า บริษัทนี้ก่อตั้งขึ้นเพื่อมาเป็นศูนย์กลางการชำระเงินแห่งใหม่เพื่อให้บริการทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ต้นทุนต่ำ และรวดเร็วทันใจแก่ประชากรมากกว่า 4 พันล้านคนทั่วเอเชีย ผ่านเทคโนโนโลยีบล็อกเชน บนเครือข่ายระบบปฏิบัติการจากสหรัฐอเมริกาในนาม Stellar Network ซึ่งเป็นนวัตกรรมด้านการจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ที่จะมาเปลี่ยนโฉมโลกการเงินออนไลน์ในอนาคต
“เราตั้งเป้าที่จะปฏิรูปตลาดการส่งเงินข้ามประเทศ (cross-border remittance market) ที่มีมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่เกิดจากแรงงานข้ามชาติกว่า 11 ล้านคนที่ยังไม่สามารถเข้าถึงระบบการเงินของธนาคาร ทำให้ต้องพึ่งพาการใช้ระบบการเงินแบบเก่าที่มีต้นทุนสูง ต้องใช้เวลานานกว่าการโอนเงินจะสำเร็จ ทั้งยังมีค่าธรรมเนียมที่แพง”
ชัชวาลย์ ระบุอีกว่า ตลาดแรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งบริการเหล่านี้มีมูลค่าสูงถึง 1.5 แสนล้านเหรียญ นับว่าเป็นต้นทุนที่สิ้นเปลืองและรอการเปลี่ยนแปลงด้วยเทคโนโลยีที่ดีกว่าอย่าง smart contract และบล็อกเชน


<figure><img class="size-full wp-image-25729" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2020/01/lightnet02.jpg" alt="" width="720" height="479" /><figcaption> บรรยากาศการระดมทุนในรอบซีรีส์ A</figcaption></figure>
ด้าน ตฤบดี อรุณานนท์ชัย ผู้ร่วมก่อตั้งและรองประธานบริษัท กล่าวเสริมว่า บริษัทวางเป้า Lightnet จะเป็นนวัตกรรมที่พัฒนาการส่งเงินข้ามประเทศ โดยสามารถให้บริการได้แบบเรียลไทม์ ทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบอี-วอลเล็ต, การชำระเงินด้วย QR code, บัญชีธนาคาร และบัตรเครดิต
“เราตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปีจะมีการทำธุรกรรมการเงินได้มูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาท จากเครือข่ายพันธมิตรของเรา นั่นคือเหตุผลที่เราเน้นย้ำยุทธศาสตร์สำคัญในการสร้างระบบนิเวศแก่ตลาดท้องถิ่น ในการเข้าถึงผู้ใช้บริการได้อย่างทั่วถึง”
ขณะที่ สุวิชชา สุดใจ ผู้ดำรงตำแหน่งซีอีโอ อธิบายเพิ่มเติมว่า นวัตกรรมของบริษัทประกอบไปด้วย 3 โปรดักต์ ได้แก่ BridgeNet, LiquidNet และ SmartNet โดยตอนนี้โครงข่ายหลักของผลิตภัณฑ์ได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว และคาดว่าจะเปิดตัว BridgeNet เป็นอันดับแรกในปี 2563 นี้
“ในด้านของผู้ใช้บริการ เราสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายกว่า 5 แสนรายจากเครือข่ายตัวแทนผู้ให้บริการ นอกจากนี้ เรายังมีแผนที่จะเปิดตัวบนเครือข่ายของพันธมิตรอีกหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ รวมถึงกลุ่มประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
&nbsp;

อ่านเพิ่มเติม
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/world/technology/asia-technology/andy-li-%e0%b8%95%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b8%aa%e0%b8%9b%e0%b8%b5%e0%b8%94%e0%b8%98%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%84%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%94%e0%b9%89%e0%b8%a7%e0%b8%a2-silot.html">Andy Li ติดสปีดธนาคารด้วย Silot</a></li>
</ul>
&nbsp;

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

ทายาทซีพีนำทัพสตาร์ทอัพ Lightnet ระดมทุนรอบซีรีส์ A กว่า 1,000 ล้านบาท

<h2>สตาร์ทอัพธุรกิจแฟชั่น Pomelo ระดมทุน รอบ Series C ไป 52 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมเงินระดมทุนสะสมแล้ว 83 ล้านเหรียญ โดยรอบระดมทุนล่าสุดนี้มี “เครือเซ็นทรัล” เป็นผู้ร่วมลงทุนจากประเทศไทย</h2>
Pomelo สตาร์ทอัพธุรกิจแฟชั่นออกแถลงการณ์การระดมทุนรอบ Series C ของบริษัท สามารถระดมทุนได้ 52 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.57 พันล้านบาท) จากผู้ร่วมลงทุนหลากหลาย ได้แก่ Central Group, Provident Growth Fund, InterVest Star SEA Growth Fund, Andre Hoffman, Toivo Annus, Lombard Private Equity, Ambient Sound Investments OU และ The Luxembourg Company Deverel

ทำให้ Pomelo มีเงินลงทุนสะสมแล้ว 83 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2.51 พันล้านบาท) โดยรอบก่อนหน้าใน Series B และ Series A นั้น มีผู้ร่วมลงทุนกับบริษัท ได้แก่ JD.com, Lombard Investment, Provident Capital Partners และ Jungle Ventures จากสิงคโปร์

รอบระดมทุนครั้งล่าสุดนี้ ปรากฏชื่อ เครือเซ็นทรัล เป็นหนึ่งในผู้ร่วมลงทุน โดยเครือเซ็นทรัลมีการลงทุนในธุรกิจอี-คอมเมิร์ซร่วมกับ JD.com อยู่ก่อนแล้วในชื่อแพลตฟอร์ม JD Central ซึ่ง Pomelo เป็นหนึ่งในแบรนด์ผู้ขายบนแพลตฟอร์มดังกล่าว

<figure><img class="wp-image-20136 size-full" src="https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/09/David-Jou-Casy-Liang-Pomelo.jpg" alt="" width="800" height="593" /><figcaption> David Jou และ Casey Liang สองผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ Pomelo</figcaption></figure>

Pomelo ยังกล่าวในแถลงการณ์ถึงการเติบโตของบริษัทหลังจากการระดมทุนรอบ Series B เมื่อปี 2560 ว่า บริษัทสามารถสร้างยอดขายสินค้าวัดจาก GMV (Gross Merchandise Volume) เพิ่มขึ้น 7 เท่า และมีการเปิดหน้าร้าน 8 สาขาในไทย และ 1 สาขาที่สิงคโปร์ ตามกลยุทธ์การขายแบบ Omnichannel ของบริษัท และยังมีจุด Pomelo Pick-up ให้ลูกค้าทดลองสวมเสื้อผ้าก่อนซื้อ ซึ่งพบว่ายอดขาย 30% เกิดจากช่องทางนี้

รวมถึงบริษัทยังมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา เช่น เครื่องสำอาง BEET, เสื้อผ้าผู้ชาย Pomelo Man และ เสื้อผ้ารักษ์สิ่งแวดล้อม Purpose

“Pomelo เป็นมากกว่าแค่แบรนด์แฟชั่นออนไลน์ ในฐานะบริษัทแฟชั่นเทคโนโลยี เรากำลังพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ภายใต้กรรมสิทธิ์ของบริษัทซึ่งจะช่วยปลดล็อคสิ่งที่ล้ำค่าในวงการธุรกิจแฟชั่นปัจจุบัน เราเห็นโอกาสในการสร้างวิถีและนวัตกรรมใหม่ๆ อยู่เสมอเพื่อที่จะผลิตสินค้าที่ดีขึ้น บริการที่ดีขึ้น และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของช่องทางการขายที่หลากหลายของเรา" David Jou ซีอีโอ Pomelo กล่าวในแถลงการณ์

"แฟชั่นยังคงมีความสำคัญในปัจจุบันไม่น้อยกว่าอดีต และเราตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่จะสร้างหนทางใหม่ๆ เพื่อที่จะให้นิยามใหม่สำหรับการเป็นแบรนด์แฟชั่น”

Jou ให้สัมภาษณ์กับ Forbes Thailand เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาว่า ปีนี้เขาตั้งเป้าที่จะเปิดหน้าร้านออฟไลน์รวมทั้งหมด 17 สาขา โดยในวันเดียวกับการประกาศตัวเลขระดมทุน Series C บริษัทเพิ่งเปิดสาขาล่าสุดที่เซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต เป็นสาขาที่ 10 และเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดในไทยด้วยพื้นที่ 570 ตารางเมตร จัดจำหน่ายสินค้าได้มากกว่า 800 ชิ้น รวมถึงมีฟีเจอร์ใหม่ภายในร้านโดยสามารถจองห้องลองเสื้อผ้าและมี In Store Mode ในแอพพลิเคชั่น
<ul>
 	<li><a href="https://forbesthailand.com/news/marketing/david-jou-%e0%b8%96%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%84%e0%b8%b8%e0%b8%93%e0%b8%a0%e0%b8%b2%e0%b8%9e%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b9%89-pomelo.html">David Jou ถักทอคุณภาพให้ Pomelo วาดแพทเทิร์น Omnichannel สูตรขายเสื้อผ้า Fast Fashion</a></li>
</ul>
Pomelo ยังมีแผนที่จะเติบโตอีก 400% ในปีนี้จากการบุกเปิดตลาดใหม่ที่จีนและฟิลิปปินส์ และมีความฝันระยะยาวที่จะเป็นแบรนด์ fast-fashion ระดับโลกแข่งขันกับแบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง Mango และ Zara

&nbsp;

<hr />

ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ <a href="https://www.facebook.com/ForbesThailandMagazine/">เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine</a>

Pomelo ระดมทุน 52 ล้านเหรียญใน Series C “เครือเซ็นทรัล” ร่วมวงอัดฉีดเม็ดเงิน

อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ พร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ระดมทุนขยายสาขา-ชำระหนี้-ซื้อเครื่องจักร

<h2>AnyMind Group ประกาศการเข้าซื้อกิจการส่วนใหญ่ของ Moindy Digital Co Ltd หรือ Moindy จาก บริษัท ทีวี ธันเดอร์ จำกัด (มหาชน) (TV Thunder) ด้าน Kosuke Sogo ประธานผู้บริหารเผยผลการระดมทุน Series B Plus จำนวน 8 ล้านเหรียญฯ</h2>
Kosuke Sogo ประธานบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง AnyMind Group พร้อมผู้บริหารระดับสูง เผยการจบดีล Moindy โดยไม่เปิดเผยตัวเลข ด้วยความเชี่ยวชาญและทรัพย์สินต่างๆ ของ Moindy จะอยู่ในภายใต้การบริหารงานของ CastingAsia บริษัทที่พัฒนาแพลตฟอร์มการตลาดแบบครบวงจรโดยใช้ AI ขับเคลื่อนการทำงานในกลุ่ม AnyMind Group

“การเข้าซื้อกิจการ Moindy ทำให้เรามีความเชี่ยวชาญในการสร้างเครือข่ายอินฟลูเอนเซอร์และการบริหารจัดการคนที่มีความสามารถ และการเปิดตัว CastingAsia Creators Network ช่วยให้เราสามารถให้บริการด้านการตลาดด้วยอินฟลูเอนเซอร์ครบวงจรครอบคลุมทุกการให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ” Kosuke Sogo ประธานบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง AnyMind Group กล่าว

ด้าน พันธ์ศักดิ์ ลิ้มวัฒนายิ่งยง กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้ง Moindy อธิบายเพิ่มเติมว่า Moindy เริ่มต้นขึ้นในปี 2547 ในชื่อเดิมคือ Mobile Indy เพื่อช่วยเหลือค่ายเพลงอิสระและนักดนตรีสร้างรายได้จากเพลงผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ โดยปี 2557 บริษัทเริ่มธุรกิจเครือข่ายหลายช่องทาง (MCN) ของ Youtube

“ปี 2560 บริษัทถูกซื้อกิจการโดย บริษัท ทีวีธันเดอร์ จำกัด (มหาชน) และเปลี่ยนชื่อเป็น Moindy พร้อมขยายไปยังช่องทางเพิ่มเติมรวมถึงการออกอากาศทางโทรทัศน์และผู้มีชื่อเสียง ปัจจุบัน Moindy มีช่องทาง YouTube และ LineTV มากกว่า 500 ช่องในเครือข่ายของบริษัท และมีสมาชิกผู้ติดตามมากกว่า 30 ล้านราย มีจำนวนการดูกว่า 600 ล้านครั้งต่อเดือน” พันธ์ศักดิ์ ลิ้มวัฒนายิ่งยง กล่าวเสริม

ด้าน พิรัฐ เย็นสุดใจ รองประธานบริหารของ TV Thunder เผยว่า “ด้วยการบุกเบิก TV Thunder ในการให้บริการด้านเนื้อหาสำหรับอุตสาหกรรมทีวีดิจิทัลในประเทศไทยเป็นเวลากว่า 27 ปี เรามั่นใจว่าประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของเราในอุตสาหกรรมโทรทัศน์จะสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยม การทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนา KOL (Key Opinion Leader) หรือ อินฟลูเอนเซอร์ สำหรับ CastingAsia และ Moindy”

ปัจจุบันแพลตฟอร์ม CastingAsia มีฟังก์ชั่นการค้นหาโดยขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ช่วยให้นักการตลาดสามารถค้นหาอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสมตรงตามความต้องการกับแคมเปญและแบรนด์ พร้อมเสริมด้วย CastingAsia Marketplace ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับอินฟลูเอนเซอร์ในการลงทะเบียนสำหรับแคมเปญ แพลตฟอร์มนี้ยังสนับสนุนการจัดการของอินฟลูเอนเซอร์ และการสื่อสารบนโซเชียลมีเดีย พร้อมกับการรายงานผลและติดตามแคมเปญ

<figure><img class="wp-image-5754 size-full" src="http://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2019/03/AnyMind-02.jpg" alt="anymind group" width="638" height="359" /><figcaption> จากขวา พิรัฐ เย็นสุดใจ รองประธานบริหารของ TV Thunder, พันธ์ศักดิ์ ลิ้มวัฒนายิ่งยง กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้ง Moindy,  ศิวัตม์ วิลาสศักดานนท์ กรรมการบริหารของ Moindy และ กรรมการผู้จัดการของ CastingAsia Creators   Kosuke Sogo ประธานบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง AnyMind Group</figcaption></figure>

ด้าน ศิวัตม์ วิลาสศักดานนท์ กรรมการบริหารของ Moindy และ กรรมการผู้จัดการของ CastingAsia Creators เผยว่า การจบดีลครั้งนี้จะช่วยเสริมการทำงานโดยการดึงจุดเด่นของทั้งสองบริษัทมาใช้ โดยการใช้ AI ในการประมวลผล ส่วนเครือข่ายอินฟลูเอนเซอร์ ของ Moindy เองนั้น มีทุกระดับ ตั้งแต่ระดับไมโคร-อินฟลูเอนเซอร์, แมคโคร-อินฟลูเอนเซอร์

“อินฟลูเอนเซอร์ แม้จะไม่มีฐานแฟนจำนวนมาก แต่คีย์ความสำคัญคือเขามีสัดส่วนสำคัญในการเกิดซื้อสินค้าที่บรรดาอินฟลูเอนเซอร์เหล่านั้นเลือกใช้ โดย Moindy ทำหน้าช่วยปั้นให้อินฟลูเอนเซอร์เติบโตในแง่คุณภาพและฐานแฟน ให้ก้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้นไป ด้วยระบบสัญญา เราและ KOL จะแบ่งรายได้ต่อกัน เรามี อินฟลูเอนเซอร์ ที่มีชื่อเสียงอาทิ ดีเจเพชรจ้า, โจ๊กโซลคูล เป็นต้น ปัจจุบันเราแบ่ง อินฟลูเอนเซอร์ ราว 25 ประเภท”

การเปลี่ยนแปลงจากทีวีแบบดั้งเดิมไปเป็น YouTube และแพลตฟอร์มการรับชมอื่นๆ รวมถึงการตลาดด้วยอินฟลูเอนเซอร์นั้นเป็นแนวโน้มทิศทางการตลาดของทั่วโลก ด้วยสำนักงานกว่า 13 แห่งใน 11 ประเทศ พร้อมทีมสนับสนุนในตลาดส่วนท้องถิ่นเหล่านั้น CastingAsia Creators Network จึงเติบโตในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นอกจากนี้ CastingAsia ยังเปิดตัวเครือข่าย CastingAsia Creators Network ในประเทศไทย, อินโดนีเซีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย พร้อมจะมีการขยายตลาดไปสู่ตลาดที่มีการดำเนินการของ CastingAsia รวมถึง ฮ่องกง, ไต้หวัน และ ญี่ปุ่น

ภายในปีนี้ CastingAsia จะมีอินฟลูเอนเซอร์ทั้งในระดับ Micro และ Macro มากกว่า 35,500 คนในตลาด 17 แห่ง โดยมีผู้ติดตามรวมกว่า 180 ล้านคน ใน Facebook, Instagram, YouTube, LINE และ Twitter

“ในที่สุดแล้วเราต้องการสนับสนุนและยกระดับระบบธุรกิจการตลาดด้วยอินฟลูเอนเซอร์ในเอเชียด้วยเครื่องมือทางเทคโนโลยีที่ครอบคลุมสำหรับนักการตลาด และเป็นพื้นฐานสำหรับอินฟลูเอนเซอร์ที่จะเติบโตต่อไป พร้อมให้ความรู้สร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรม เพื่อความปลอดภัย, ความโปร่งใส และเพื่อการตลาดด้วยอินฟลูเอนเซอร์ที่มีประสิทธิภาพ” Kosuke Sogo ประธานบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง AnyMind Group กล่าว

ทั้งนี้ Kosuke Sogo กล่าวเพิ่มเติมถึงการระดมทุน Series B Plus จำนวน 8 ล้านเหรียญฯ จาก VGI Global Media  Plc (VGI) และ Tokyo Century Corporation “การระดมทุนในรรอบ Series B มีมูลค่ารวมกว่า 21.4 ล้านเหรียญสหรัฐ และเงินทุนทั้งหมดในปัจจุบันเป็น 35.9 ล้านเหรียญสหรัฐ นักลงทุนรายใหม่ ได้แก่ VGI Global Media  Plc (VGI) ผู้ให้บริการโซลูชั่นส์ออฟไลน์สู่ออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มโฆษณา แพลตฟอร์มชำระเงิน และแพลตฟอร์มโลจิสติกส์และ Tokyo Century Corporation บริษัทให้บริการด้านการเงินของญี่ปุ่น”

AnyMind Group เข้าซื้อกิจการ Moindy เครือข่ายอินฟลูเอนเซอร์ไทย

<h2>เเบรนด์เก่าเเก่ที่มีอายุกว่า 145 ปี ต้นกำเนิดกางเกงยีนส์ตัวเเรกของโลกอย่าง Levi Strauss &amp; Co วางเเผนนำหุ้นออกขายต่อสาธารณะ หรือ IPO ในช่วงไตรมาสเเรกปีหน้า ตามรายงานข่าวของ CNBC</h2>
โดยแหล่งข่าวบอกกับ CNBC ว่าบริษัทมีแผนจะระดมทุนประมาณ 600-800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะออกสู่สาธารณะภายในไตรมาสแรกของปี 2019 พร้อมตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าบริษัทเเตะ 5 พันล้านเหรียญ

อย่างไรก็ตาม Levi Strauss &amp; Co ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นต่อกระเเสข่าวนี้ ขณะที่ Goldman เเละ J.P. Morgan ก็ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแผนการเสนอขายหุ้นของบริษัท

ผู้ผลิตกางเกงยีนส์ Levi’s เคยนำบริษัทเข้าตลาดหุ้นมาเเล้วเมื่อปี 1971 เเต่ลูกหลานผู้สืบทอดกิจการได้นำบริษัทออกจากตลาดหุ้นหลังจากนั้นเพียงไม่นาน จึงนับเป็นครั้งเเรกในรอบ 5 ทศวรรษที่บริษัทจะขายหุ้นต่อสาธารณะอีกครั้ง

ทั้งนี้ ปัจจุบัน Chip Bergh นั่งเก้าอี้ซีอีโอเเละประธานกรรมการบริหารของ Levi ’s มาตั้งเเต่ปี 2011 หลังทำงานบริหารที่ Procter &amp; Gamble มากว่า 30 ปี

โดย Levi Strauss &amp; Co ได้ออกแบบและจัดจำหน่ายเครื่องแต่งกายภายใต้แบรนด์ Levi’s, Dockers และ Denizen ดำเนินกิจการร้านค้าปลีกกว่า 2.9 พันร้าน เเละวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในร้านค้าปลีกทั่วไปกว่า 5 หมื่นร้านใน 110 ประเทศทั่วโลก

สำหรับผลประกอบการของ Levi Strauss &amp; Co ในไตรมาสล่าสุด มียอดขายเพิ่มขึ้น 10% อยู่ที่ 1.39 พันล้านเหรียญ และมีรายได้สุทธิเพิ่มขึ้นถึง 44% จากความต้องการสินค้าทั้งจากห้างค้าปลีกและตลาดออนไลน์

&nbsp;

ที่มา
<ul>
 	<li><a href="https://www.cnbc.com/2018/11/14/levi-strauss-plans-ipo-that-values-maker-of-the-first-blue-jeans-at-up-to-5-billion-sources-say.html">Levi Strauss plans IPO that values company at up to $5 billion, sources say</a></li>
 	<li><a href="https://www.reuters.com/article/us-levi-strauss-co-ipo/levi-strauss-is-planning-to-go-public-cnbc-idUSKCN1NJ2OW">Levi Strauss is planning to go public: CNBC</a></li>
</ul>
&nbsp;
ภาพ REUTERS/David Mdzinarishvili

Levi Strauss วางเเผนออกหุ้น IPO ปีหน้า

<h2 class="p1">อาณาจักร 'สิงห์' ถึงเวลาปรับตัวครั้งใหญ่รับกระแสเทคโนโลยีมาแรง ตั้ง 'Singha Ventures' ภายใต้การนำของ ภูริต ภิรมย์ภักดี ซึ่งรับหน้าที่ประธานกรรมการบริหาร ทุ่มงบ 25 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 800 ล้านบาท หนุนสตาร์ทอัพดาวเด่นให้เติบโตระดับสากล พร้อมผลักดันไทยเป็นฮับของสตาร์ทอัพระดับโลก</h2>
ภูริต เผยว่า สิงห์มีความคิดจะจัดตั้งบริษัทในรูปแบบ VC (Venture Capital) มานาน เมื่อทุกอย่างลงตัวจึงก่อตั้ง Singha Ventures ในปี 2560 ภายใต้ บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด และจดทะเบียนที่ฮ่องกงเพื่อความคล่องตัวในการเป็น VC ระดับสากล โดยไม่จำกัดตัวเองแค่ในประเทศ

ปีที่ผ่านมา Singha Ventures ใช้งบ 25 ล้านเหรียญลงทุนใน 2 กองทุน คือ Kejora Ventures แพลตฟอร์มด้าน technology ecosystem ที่ใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุง Jakarta ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งลงทุนในธุรกิจไปแล้วเกือบ 30 ธุรกิจ และ Vertex Ventures บริษัท VC ในกลุ่ม Temasek Holdings ของสิงคโปร์ ที่มีเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีทั่วโลก ซึ่งทั้งสองบริษัทที่ลงทุนไปล้วนให้ผลประกอบการที่ดีทั้งสิ้น

“ต้องบอกว่าเราเต็มที่กับ Singha Ventures และบริหารจัดการโดยไม่ต้องผ่านบอร์ด โดยงบจะมาเป็นก้อนๆ ทำให้บริหารจัดการได้เร็วและคล่องตัวขึ้น” ภูริตกล่าว

ประธานกรรมการบริหาร ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า Singha Ventures จะเน้นลงทุนใน 3 กลุ่มหลักทั้งในไทยและต่างประเทศ คือ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค อาทิ อาหาร เครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์ต่างๆ ฯลฯ เนื่องจากเล็งเห็นว่าประชากรโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จำเป็นต้องมีเทคโนโลยีด้านดังกล่าวมารองรับ กลุ่มเทคโนโลยีด้านการขนส่งและจำหน่ายสินค้า ทั้งการขนส่งระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ (B2B) และการขนส่งแบบอี-คอมเมิร์ซ และ กลุ่มโซลูชั่น/โปรแกรม เพื่อช่วยในการทำงานขององค์กร

อย่างไรก็ตาม ยังเปิดกว้างโอกาสการลงทุนในธุรกิจอื่น เช่น ธุรกิจด้านสุขภาพ เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีสำหรับอสังหาริมทรัพย์ (PropTech) ด้วยเช่นกัน  นอกจากนี้ ทั้งหมดจะเน้นการลงทุนในสตาร์ทอัพที่มีรูปแบบธุรกิจที่ชัดเจน มีความมั่นคง มีตลาดรองรับ และอยู่ในระดับ Series A ขึ้นไป แต่หากยังเป็นสตาร์ทอัพที่อยู่ในระดับ Seed Funding ธุรกิจดังกล่าวก็ต้องมีความโดดเด่น สามารถนำมาพัฒนาต่อยอดเพื่อเสริมศักยภาพของสิงห์และเป็นประโยชน์ต่อพันธมิตร

<figure><img style="width: 650px; height: 433px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/dc7beff3a7389c6e6d36adb11d5ae56f.png" alt="" width="650" height="433" /><figcaption> ภูริต ภิรมย์ภักดี (ซ้าย) และ วรภัทร ชวนะนิกุล (ขวา) สองผู้บริหาร Singha Ventures</figcaption></figure>

ด้าน วรภัทร ชวนะนิกุล กรรมการผู้จัดการ Singha Ventures เสริมว่า นอกจากเงินทุนสนับสนุนแล้ว บริษัทจะนำจุดแข็งของสิงห์มาผสานกับจุดเด่นของสตาร์ทอัพแต่ละรายและเร่งการเติบโตให้ไประดับโลก สตาร์ทอัพสามารถใช้ทรัพยากรของสิงห์ ไม่ว่าจะเป็นด้านการขายและการตลาด แผนกวิจัยและพัฒนา (R&amp;D) รวมทั้งการเข้าถึงร้านค้าปลีก 400,000 แห่งทั่วประเทศ และการร่วมมือกับพันธมิตรของสิงห์ทั่วโลก

“เราจะเข้าไปลงทุนเริ่มต้นที่ 25% ในสตาร์ทอัพ เพื่อให้เขามีพลังในการทำงาน เราไม่คิดลงทุน 100% เพราะไม่ต้องการดำเนินธุรกิจสตาร์ทอัพเอง ปีนี้เรายังไม่ได้ตั้งงบลงทุนเพราะขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและจังหวะ แต่น่าจะไม่น้อยกว่าปีที่แล้ว"

“สำหรับเมืองไทย เราวางแผนจะลงทุนในกองทุน 500 TukTuks และจะเริ่มลงทุนโดยตรงกับสตาร์ทอัพ จากปีก่อนที่ลงในกองทุนอย่างเดียว อันดับต่อไปเราอาจตั้งกองทุนขึ้นมาเองก็ได้ แต่ตอนนี้เราอยากสร้างยูนิคอร์นให้เกิดขึ้นในไทยให้ได้จริงๆ โดยจะนำความรู้จากต่างประเทศเข้ามาปรับใช้เพื่อช่วยให้เกิดขึ้น และจะหนุนให้ไทยเป็นฮับของสตาร์ทอัพระดับโลก” ภูริตปิดท้าย

ได้เวลา 'สิงห์' ขยับ ตั้ง 'Singha Ventures' ทุ่ม 25 ล้านเหรียญหนุนสตาร์ทอัพโตไกลระดับโลก

<h2 class="p1">หากมองย้อนกลับไปยังอุตสาหกรรมบล็อกเชน ปี 2017 จะถูกจดจำว่าเป็นปีที่พลิกโฉมประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ ในบรรดาสิ่งสำคัญที่ได้เกิดขึ้นหลายอย่าง Initial Coin Offering (ICO) อาจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดจากทั้งหมด</h2>
แม้ว่าเราอาจจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการที่ ICO จะกลายเป็นกระบวนการระดมทุนที่ถูกกฎหมาย นั่นหมายความว่าผู้ประกอบการจะต้องปฎิบัติอย่างมีความรับผิดชอบและเป็นมืออาชีพ โดยการอธิบายวิธีการที่ใช้ในการระดมทุน นำเงินลงทุนจาก ICO ไปใช้อย่างไร และแสดงความโปร่งใสให้แก่นักลงทุน รวมไปถึงเรื่องอื่นๆ เช่น การปฎิบัติตามสัญญาและข้อผูกมัด

เพื่อช่วยเหลือเหล่า Founder ในกระบวนการนี้ และให้มุมมองในทุกด้านที่พวกเขาต้องพบบนเส้นทางการ ICO ผมจึงได้รวบรวมสิ่งที่จำเป็นและปัจจัยพื้นฐานเข้าด้วยกันเป็น Checklist ให้สำหรับทุกคนที่สนใจ

&nbsp;
<h2 class="p1">Checklist 14 ข้อในการทำ ICO</h2>
1. คอนเซปท์ของไอเดียหรือ project เหมือนสตาร์ทอัพทั่วไป ทุกอย่างเริ่มจากไอเดียที่จะแก้ปัญหา

2. รวบรวมทีมหลัก ผู้ก่อตั้งต้องรวบรวมทีมงานที่จะทำให้ project เกิดขึ้นได้จริง

3. วางแผนผลิตภัณฑ์ ด้วยทีมที่มีความสามารถหลากหลาย จะมีการตัดสินใจที่สำคัญๆ อย่างเช่น เทคโนโลยีที่จะใช้ การใช้งานของผลิตภัณฑ์ ลักษณะ Token/ICO ฯลฯ

4. หาที่ปรึกษา แก้ไขข้อจำกัดของทีมคุณด้วยคนที่มีประสบการณ์ในการให้คำแนะนำ คำปรึกษา และเครือข่าย

5. การตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์หรือ Community สร้าง community ที่กระตือรือร้น และนำ project เข้าสู่พื้นที่นั้น สร้างแผนการสื่อสารการตลาด (Communication plan) เพื่ออธิบายผลิตภัณฑ์และวิสัยทัศน์ของ project

6. เขียน White paper เขียน White paper เพื่ออธิบายปัญหา วิธีการแก้ไข ผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่ใช้ token และ ICO รวมไปถึง ทีมงาน ธุรกิจ ฯลฯ

7. ปล่อย roadmap นำเสนอแผนดำเนินการที่สามารถทำได้จริงและพันธกิจในการพัฒนา project รวมถึงสร้าง milestone เพื่อแสดงความรับผิดชอบของทีมต่อ community และผู้สนับสนุน

8. หาคำปรึกษาทางกฎหมาย ทำความเข้าใจอำนาจทางกฎหมาย และหาคำปรึกษาเพื่อปฏิบัติตามข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น โครงสร้างองค์กร ภาษี หลักทรัพย์ กฎหมาย AML และ KYC ฯลฯ

9. การตลาดสำหรับการขาย Token ประกาศและพัฒนากลยุทธ์การสื่อสาร เพื่อให้ผู้คนได้รับรู้ถึงการขาย token คุณสมบัติของ token ช่องทางการจำหน่าย เงื่อนไขของการซื้อ เป็นต้น

10. ปล่อยโค้ดและหาที่ตรวจสอบ ปล่อยโค้ดของ smart contract ของคุณเพื่อให้การตรวจสอบ และหากเป็นไปได้ก็ควรหาผู้ตรวจสอบเพื่อทบทวน smart contract แก้ไขจุดบกพร่องเพื่อไม่ให้การระดมทุนมีปัญหา

11. ขาย Token (หรือ pre-sale ก่อนก็ได้) ดำเนินการขาย Token ในรอบจริง หรือรอบ pre-sale (ขายทั้งแบบสาธารณะหรือแบบส่วนตัว) เพื่อระดมทุน “seed money” ในการพัฒนา

12. การแปรรูปเงินทุน ทีมต้องแปลงเงินที่ได้รับบางส่วนเป็นเงินสดเพื่อแจกจ่ายทีม ค่าเทคโนโลยี และค่าใช้จ่ายทางธุรกิจ

13. ปล่อย prototype ยิ่งเปิดตัว prototype ได้เร็วมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี โดยเฉพาะถ้าหากสามารถเปิดตัวได้ก่อน ICO

14. รายงานความโปร่งใสและรายงานภายหลังจากการขาย หลังจากพ้นการ ICO แล้ว งานที่แท้จริงและความรับผิดชอบต่อ community จะเกิดขึ้น สิ่งที่จำเป็นได้แก่ ความโปร่งใส มีความคืบหน้า และต้องคอยรายงานความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง

&nbsp;
<h2 class="p1">พื้นฐานสำหรับการ ICO ของ project บล็อกเชนของคุณ</h2>
ถึงแม้บาง project ที่ประสบความสำเร็จนั้นอาจจะไม่ได้ผ่านทุกขั้นตอนข้างต้น แต่มีคุณสมบัติพื้นฐานที่ project บล็อกเชนของคุณจำเป็นที่จะต้องมี

ข้อดังต่อไปนี้คือเกณฑ์เบื้องต้นที่เกิดขึ้นในวงการเพื่อใช้ในการคัดเลือก project ที่จริงจังและน่าสนใจ คุณจะต้องมีครบทุกอย่างนี้ตั้งแต่ในช่วงเริ่มต้น ซึ่งปัจจัยที่นักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความสนใจได้แก่

1. ทีม

สิ่งแรกที่นักลงทุนอาจมองในการพิจารณา project คือ มีใครบ้างที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ project นี้ การเปิดเผยหน้าตาและประสบการณ์จะช่วยสร้างความเชื่อใจได้เป็นอย่างดี บาง project อาจใช้สมาชิกทีมที่แตกต่างกัน คุณควรสร้างทีมที่สามารถแสดงประสบการณ์ทางเทคนิค ความสามารถในการพัฒนาธุรกิจ และมีความรู้ในเรื่องบล็อกเชน (ทั้งเชิงเทคนิคและความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม) การร่วมพัฒนาแบบ open-source จะช่วยได้เป็นอย่างดีในวงการ

2. กลุ่มที่ปรึกษา

คุณจะต้องแก้ไขข้อจำกัดของทีมคุณโดยการมีที่ปรึกษา เช่น ความรู้ทางเทคนิค (การหานักพัฒนาบล็อกเชนที่มีประสบการณ์เป็นเรื่องที่ยากมาก ดังนั้นการมีที่ปรึกษาจึงช่วยได้เป็นอย่างมาก) หรือคนที่มีความรู้วงในเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่คุณกำลังพัฒนา project (เช่น ถ้าคุณจะสร้างบล็อกเชนในอุตสาหกรรมประกันภัย การมีคนที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมนั้นก็จะดูน่าเชื่อถือขึ้น) เลือกที่ปรึกษาโดยวัดจากคุณค่าที่เขาจะสามารถช่วยใน project ของคุณ มากกว่าเลือกเพราะชื่อเสียงของเขา คุณจะได้รับประโยชน์จากพวกเขามากกว่าในระยะยาว

3. White paper (หากมี position และ Yellow paper จะยิ่งดี)

อาจเป็นเพราะว่าบล็อกเชนที่โด่งดังที่สุดทั้งสอง ได้แก่ Bitcoin และ Ethereum ริเริ่มด้วย White paper จึงทำให้เอกสารนี้กลายเป็นสิ่งใช้ยืนยันความน่าเชื่อถือและความจริงจังของ project ถึงแม้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยในขณะนี้ แต่การมี White paper ที่อธิบายเชิงลึกถึงวิธีการทำงานของ project คุณสำคัญเป็นอย่างมาก นักลงทุนที่จริงจังและคนที่สนใจแพลตฟอร์มของคุณด้วยเหตุผลที่ไม่ใช่เพื่อเก็งกำไรจะอยากอ่าน White paper ก่อนจะลงทุน

Position paper: บาง project อาจเผยแพร่ก่อนที่จะปล่อย White paper ซึ่งเอกสารนี้จะมีข้อโต้แย้งที่ชัดเจน 2-3 หน้า ที่สนับสนุนเทคโนโลยีของคุณเพื่อรับ feedback จาก community ไปใช้ในการพัฒนา White paper ต่อไป

Yellow paper: บริษัทด้าน crypto หรือบล็อกเชน ที่ซับซ้อนมากขึ้นจะนำเสนอ Yellow paper หรือ White paper ฉบับที่สอง ซึ่งฉบับนี้จะอธิบายอย่างละเอียดของเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ถูกสร้างขึ้นหรือที่ขอเสนอสร้าง

4. Code และ/หรือ Prototype

คุณอาจจะสื่อสารวิสัยทัศน์ได้ดีเยี่ยม แต่คำถามคือ คุณจะสามารถสร้างได้จริงหรือเปล่า การแสดง code repository หรือจะยิ่งดีขึ้นไปอีกหาก แสดง prototype ที่ใช้งานได้ เป็นหนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุดที่จะบรรลุได้ และในขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่สร้างความแตกต่างได้มากที่สุดเช่นกัน ในปัจจุบัน ICO ส่วนมากระดมทุนจากการให้คำมั่นสัญญาว่าจะสร้างผลิตภัณฑ์ ดังนั้น การพัฒนา prototype ที่ใช้งานได้จะสร้างความได้เปรียบเป็นอย่างมาก

5. Roadmap

เมื่อคุณได้รับเงินมาแล้ว คุณก็ควรจะสร้างเครื่องมือที่ทำให้คนอื่นไว้วางใจคุณได้ นี่คือหนึ่งในจุดประสงค์หลักของการสร้าง roadmap โดยที่คุณควรนำเสนอแผนในปีต่อๆ ไปของ project และ milestone หลักๆ ของคุณ รวมถึงการให้เห็นตารางการเปิดตัวแต่ละเวอร์ชั่นของผลิตภัณฑ์ก็เป็นสิ่งสำคัญ

6. เงื่อนไขการขาย Token

นอกเหนือจากแพลตฟอร์มและคุณประโยชน์ของ Token แล้ว นักลงทุนจะอยากรู้ว่าเงื่อนไขการขาย Token ของคุณเป็นอย่างไร มีจำนวน Token เท่าไหร่ในการเปิดขาย และจำนวนเท่าไหร่ที่จะถูกจัดเก็บ ระยะเวลาในการขาย มี soft cap (ยอดขายขั้นต่ำ) หรือ hard cap (จำกัดยอดขาย) เท่าไหร่ หรือเครื่องมืออื่นๆ ที่มีผลต่อความสนใจของนักลงทุน

การมีปัจจัยครบทั้งหมดและเข้าใจล่วงหน้าถึงขั้นตอนที่คุณจะต้องพบในการ ICO เป็นเพียงขั้นตอนแรกในการเตรียมความพร้อม เพราะการดำเนินการ ICO เป็นหนทางที่ยาวไกลที่ใช้ระยะเวลาหลายเดือน (เป็นอย่างน้อย) ที่จะต้องพบเจออุปสรรคมากมาย ผมหวังว่าผมจะสามารถทำให้คุณมีพื้นฐานเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่คุณกำลังจะต้องพบ และจะทำอย่างไรให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้

ขั้นตอนการทำ ICO : สตาร์ทอัพจะประสบความสำเร็จด้วย Initial Coin Offering จากไอเดียสู่เงินทุนได้อย่างไร

<h2 class="p1">Techsauce-เทคซอส เปิดข้อมูลสตาร์ทอัพไทยได้รับเงินระดมทุนพุ่งในปี 2560 จัดเวทีเสวนาเปิดมุมมององค์กรเอกชน 4 แห่งต่อระบบนิเวศสตาร์ทอัพ</h2>
อรนุช เลิศสุวรรณกิจ ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ บริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสตาร์ทอัพและระบบนิเวศในประเทศไทย ช่วงปี 2555-2560 มีสตาร์ทอัพไทยที่ได้รับการลงทุนไปแล้วไม่ต่ำกว่า 90 ราย มีเวนเจอร์แคปิตอลที่เข้ามาลงทุนในไทย 96 ราย มี angel investors 44 ราย และ accelerator 8 ราย

ในช่วงปี 2554-2560 สตาร์ทอัพไทยมีการระดมทุนรวม 105 ล้านเหรียญสหรัฐ (ไม่รวมการระดมทุนด้วย ICO) โดยพบว่าปี 2559-2560 คือช่วงปีที่สามารถระดมทุนได้สูงสุดและเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด

สำหรับธุรกิจที่ได้รับการลงทุนมากที่สุดคือกลุ่มอี-คอมเมิร์ซหรือมาร์เกตเพลซ แต่กลุ่มที่น่าจับตาคือกลุ่มธุรกิจอาหารซึ่งมาแรงมากเนื่องจากกระแสของบริการจัดส่งอาหาร (food delivery)

<img style="width: 680px; height: 510px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/2eff2beebccaf7e8372ec0d32ec5435e.jpg" alt="" />

ภายในงาน เทคซอสได้จัดงานเสวนาพิเศษ "Tech Ecosystem Talk: ยกระดับ Tech Ecosystem ไทยสู่ระดับภูมิภาคอย่างแท้จริงได้อย่างไร" โดยมี 4 องค์กรเอกชนเข้าร่วมเสวนา ได้แก่ ภูญดา สวัสดิโกศล หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท ทรู ดิจิทัล พาร์ค จำกัด, จิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยี บริษัท สิริ เวนเจอร์ จำกัด, ภรณี เจียมศักดิ์ศิริ Principal บริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด และ Xinming Zhao หัวหน้าทีมวิศวกรรม บริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด

&nbsp;
<h2 class="p1">แต่ละบริษัทช่วยสนับสนุนระบบนิเวศ (ecosystem) ให้กับสตาร์ทอัพอย่างไร?</h2>
จิรพัฒน์: สิริ เวนเจอร์สจะเน้นพร็อพเทคโดยเราจะเป็นสปริงบอร์ดให้สตาร์ทอัพไทยได้ไปโตต่อระดับโลก ไปที่จีน หรือ Tel Aviv ในขณะเดียวกันก็เป็นตัวกลางให้สตาร์ทอัพต่างประเทศที่อยากมาลงทุนในไทย

Zhao: เนื่องจากเราเป็นแอพพลิเคชั่น เรามองการเติบโตของแอพฯ ปัจจุบันนี้มันมีลักษณะ overflow คือมีเยอะมากจนการดึงดูดให้คนอยู่กับแอพฯ เดียวมันยากขึ้น มีคนใช้เวลาในหนึ่งแอพฯ น้อยลง วิธีของเราจึงเป็นการเปิดให้สตาร์ทอัพได้ใช้ Line เป็นตัวกลางในการเข้าถึงคนไทย 42 ล้านคนที่ใช้ Line อยู่ คนทำแอพฯ อื่นก็มาผูกผ่านเรา อย่างเช่นที่เรามี Line Taxi หรือ Line Man

ภรณี: วิธีการสนับสนุนของดิจิทัล เวนเจอร์สให้กับสตาร์ทอัพ คือทุกคนรู้ว่าสตาร์ทอัพส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่จะมีอยู่กลุ่มหนึ่งที่อีกนิดเดียวจะถึงเส้นชัยแล้ว ตรงนี้ที่เราจะช่วยเขาให้ได้เชื่อมต่อกับเวนเจอร์แคปิตอล (VCs) ได้มากกว่าเดิม

ภูญดา: สำหรับทรู ดิจิทัล พาร์ค เรามองตัวเองเป็น Community Infrastructure Provider คือเป็นพื้นที่สำหรับให้ผู้เล่นหลักในระบบนิเวศสตาร์ทอัพมารวมกัน ทั้งสตาร์ทอัพเองมาใช้พื้นที่เดียวกัน สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น หรือ VCs เข้ามาเป็น mentor ช่วยแนะนำ ซึ่งทรู ดิจิทัล พาร์คกำลังจะเกิดขึ้นที่วิสซ์ดอม 101 BTS ปุณณวิถี พื้นที่ใช้สอย 7 หมื่นตร.ม.

&nbsp;
<h2 class="p1">มองศักยภาพการเติบโตของสตาร์ทอัพไทยอย่างไร</h2>
ภรณี: ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทยมีศักยภาพเป็นที่สามรองจากอันดับ 1 คือสิงคโปร์ พูดตรงๆ คือประชากรเขารวย และอันดับ 2 คืออินโดนีเซีย เพราะประชากรเขาเยอะ สองอย่างนี้ทำให้เขาได้เปรียบในแง่กำลังผู้บริโภค

Zhao: ในไทยมีสตาร์ทอัพเยอะขึ้นมาก แต่คนที่ไปได้ถึงรอบระดมทุน Series A มีแค่ 10% นั่นแปลว่าคนไทยมีปัญหาการ scale up ธุรกิจขยายลำบาก นี่เป็นปัญหาที่ทำให้โตได้ไม่มากพอ

<img style="width: 680px; height: 453px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/5152189c4fc5b0fc72a9fe2d8514ed6a.png" alt="" />

&nbsp;
<h2 class="p1">สิ่งที่สตาร์ทอัพไทยควรปรับตัว</h2>
จิรพัฒน์: สิ่งที่ควรมาเติมเต็มมองว่าเป็น 1.คอนเน็คชัน รู้จักคนให้มากขึ้น 2.มุมมองจากองค์กรขนาดใหญ่ ตอนนี้เป็นจังหวะที่ดีเลยเพราะองค์กรใหญ่จำนวนมากตั้ง CVC (Corporate Venture Capital) แล้ว เขาพร้อมจะบอกปัญหาที่ควรแก้ (pain point) ให้คุณนำไปพัฒนาเป็นธุรกิจ สตาร์ทอัพน่าจะเปิดรับมุมมองจากองค์กรเข้าไปให้มากขึ้น

ภรณี: อยากให้สตาร์ทอัพดูตลาดต่างจังหวัดมากกว่านี้ อย่ามีมุมมองเฉพาะคนเมือง เพราะตลาดที่แท้จริงใหญ่จริงอยู่ที่ต่างจังหวัด และเตรียมมองไปไกลระดับภูมิภาคหรือสากล

ภูญดา: Tech Talent เรามีไม่พอ สถาบันการศึกษาหรือภาคส่วนต่างๆ ต้องมีส่วนร่วมในการผลิตคนที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยีมากขึ้น

Zhao: Mindset หรือระบบความคิด คนยังมองว่ามาเป็นสตาร์ทอัพจะสบาย แต่จริงๆ ไม่ใช่ คุณต้องพร้อมที่จะทุ่มเทกับมัน ต้องใช้ความพยายามสูงมาก

&nbsp;
<h2 class="p1">สิ่งที่รัฐควรยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ</h2>
Zhao: เปิดรับ Tech Talent มากกว่านี้ มีความยืดหยุ่นให้คนที่มีความสามารถจากต่างประเทศเข้ามาได้โดยให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ หรือทำวีซ่าสำหรับสตาร์ทอัพ

จิรพัฒน์: เพราะของเราเป็นพร็อพเทค เราจึงอยากเห็นกฎหมายที่ปรับใช้กับการทำ sandbox ให้กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เหมือนกับที่ฟินเทคมี sandbox ให้ทดลองใช้งานเทคโนโลยีใหม่ ของเราอาจจะเป็นเขตบางเขตที่ปรับกฎหมายเฉพาะ

ภรณี: ตอนนี้สตาร์ทอัพไทยเลือกจดทะเบียนบริษัทที่สิงคโปร์หรือเกาะเคย์แมน เพราะอะไร? เพราะมันมีประโยชน์เรื่องสิทธิภาษีมาเกี่ยวข้อง ที่ไทยเก็บภาษีนิติบุคคล 30% เทียบกับประเทศอื่นนั้นสูงมาก และยังมีภาษีอื่นอีกยิบย่อยที่ทำให้เป็นปัญหา ถ้ารัฐลดภาษีตรงนี้ไปให้สตาร์ทอัพก็จะจูงใจได้อีกมาก

ทั้งนี้ เทคซอสยังเตรียมจัดงาน Techsauce Global Summit 2018 เป็นเวทีการสัมมนาและโชว์เคสด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ ในครั้งนี้คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 1 หมื่นคนจาก 30 ประเทศทั่วโลก ภายในงานมีเวทีสัมมนาโดยวิทยากรกว่า 200 คน จากองค์กรชื่อดังที่เกี่ยวข้อง อาทิ Techstars, Sequoia Capital, Energy Blockchain Labs เป็นต้น งานจะจัดขึ้นในวันที่ 22-23 มิถุนายนนี้ ที่ เซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัล เวิลด์

เทคซอสชี้สตาร์ทอัพไทยปี 2560 ยอดระดมทุนพุ่ง เปิดมุมมององค์กรเอกชน 'ระบบนิเวศ' สตาร์ทอัพไทยควรพัฒนาอย่างไร

<h2>เว็บไซต์ด้านเทคโนโลยี techsauce.co เปิดข้อมูลยอดระดมทุนสตาร์ทอัพปี 2559 พุ่งสูงเกือบ 3,000 ล้านบาท จากดีลระดมทุนขนาดใหญ่กลุ่มฟินเทคและธุรกิจ e-book คาดปีนี้อาจลดความร้อนแรงแต่ยังเป็นกราฟขาขึ้น ฟากเอกชนตื่นตัว ต้นปี 2560 องค์กรขนาดใหญ่ตั้งเวนเจอร์แคปิตอลแล้ว 6 ราย</h2>
อรนุช เลิศสุวรรณกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด ผู้พัฒนาเว็บไซต์ด้านเทคโนโลยี techsauce.co เปิดเผยข้อมูลการเติบโตของสตาร์ทอัพไทยนับตั้งแต่ปี 2555-2560 มีการระดมทุนรวม 261.13 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 9,050 ล้านบาท

โดยปี 2559 ถือเป็นปีที่สตาร์ทอัพไทยระดมทุนได้สูงที่สุด คิดเป็นมูลค่า 86.02 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 2,981 ล้านบาท เนื่องจากมีสตาร์ทอัพหลายบริษัทที่สามารถระดมทุนจำนวนมากได้ในปีเดียวกัน เช่น Ookbee ธุรกิจหนังสือ e-book, Omise ธุรกิจฟินเทค

“การระดมทุนปีนี้อาจจะไม่ได้สูงเท่าปี 2559 เพราะปีที่ผ่านมายอดพุ่งสูงมากจากดีลใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้น แต่คาดว่าจะยังเป็นขาขึ้นถ้าเทียบกับปี 2558 ซึ่งปีนั้นมียอดระดมทุน 33 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1,155 ล้านบาท) ปีนี้ก็น่าจะยังโตได้มากกว่า” อรนุชกล่าว

<figure><img style="width: 680px; height: 455px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/753b6a1005e0db0c4910a1bb30093f5b.png" alt="" width="680" height="455" /><figcaption> อรนุช เลิศสุวรรณกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด </figcaption></figure>

นอกจากนี้ techsauce.co ยังเปิดเผยมูลค่ารวมการขายบริษัทสตาร์ทอัพไทย เก็บสถิติตั้งแต่ปี 2550-2559 ตั้งแต่ยุคการขายบริษัทของเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง sanook.com มีมูลค่ารวมทั้งหมด 108.17 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 3,786 ล้านบาท

อรนุชกล่าวต่อว่า ในมุมของนักลงทุน สถานการณ์ภาคเอกชนของไทยมีความตื่นตัวเรื่องสตาร์ทอัพมากกว่าที่คาดไว้เป็นเท่าตัว เพียงช่วง 4 เดือนแรกของปี 2560 ก็มีองค์กรเอกชนจัดตั้งกองทุนเวนเจอร์แคปิตอล (Corporate Venture Capital: CVC) แล้ว 6 ราย และมีแนวโน้มที่บริษัทต่างๆ จะจัดตั้ง CVC เพิ่มอีกใน 8 เดือนที่เหลือของปีนี้

ส่วนระบบนิเวศของสตาร์ทอัพขณะนี้ มองว่ายังขาดเรื่องกฎหมาย หากรัฐบาลมีระบบจูงใจด้านภาษีในลักษณะเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์ จะทำให้สตาร์ทอัพที่มีศักยภาพเลือกจดทะเบียนในประเทศไทยมากขึ้น หรือสามารถออก ESOP (Employee Stock Options) ให้หุ้นกับผู้บริหารหรือพนักงานที่เข้ามาทำงานกับบริษัทสตาร์ทอัพได้ ก็จะทำให้การเติบโตของสตาร์ทอัพง่ายขึ้น เพราะสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของสตาร์ทอัพคือการดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถเข้ามาร่วมงาน ซึ่งบุคลากรเหล่านี้มักจะต้องการหุ้นในบริษัทเป็นสิ่งตอบแทนความเสี่ยง

<figure><img style="width: 680px; height: 454px;" src="http://forbesthailand.com/uploads/library/5250d94dc499a0a73533247dc2ca52f9.png" alt="" width="680" height="454" /><figcaption> บรรยากาศงาน Techsauce Summit 2016 เมื่อปีก่อน</figcaption></figure>

ทั้งนี้ techsauce.co เตรียมจัดงาน Techsauce Global Summit 2017 เป็นเวทีแบ่งปันความรู้จากซีอีโอ นักลงทุน วิทยากรด้านสตาร์ทอัพ-เทคโนโลยีจากทั่วโลกรวมกว่า 250 คน เช่น Dave McClure จาก 500 Startups, Vitaly M.Golomb จาก HP Tech Ventures, Mike Peng จาก IDEO Tokyo เป็นต้น

การสัมมนาในงานจะครอบคลุมเนื้อหาที่น่าสนใจและเป็นเทรนด์อยู่ในขณะนี้ อาทิ FinTech, UrbanTech, EnergyTech มีการ showcase เทคโนโลยีให้ผู้ร่วมงานได้สัมผัสและเข้าใจจากประสบการณ์จริง เช่น AI, Blockchain, Machine Learning รวมถึงการจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) ระหว่างสตาร์ทอัพกับเวนเจอร์แคปิตอลภายในงานด้วย โดยงาน Techsauce Global Summit 2017 จะจัดขึ้นวันที่ 28-29 กรกฎาคมนี้ ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์

Techsauce เผยยอดระดมทุนสตาร์ทอัพปี 2559 พุ่งสูงสุด

<h2>แวดวงการเงินและบันเทิงช่างดูห่างไกลกัน แต่ในที่สุด FinTech เทคโนโลยีทางการเงินก็เชื่อมสองโลกนี้เข้าด้วยกันได้</h2>
Asiola ก่อตั้งขึ้นเมื่อปลายปี 2558 เพื่อเป็นช่องทางระดมทุนสาธารณะเพื่อศิลปินโดยเฉพาะ ในรูปแบบของการให้ผลตอบแทนแก่ผู้สนับสนุน แลกเปลี่ยนกับเงินทุน (Reward-based) ข้อมูลจากเว็บไซต์บริษัท ณ สิ้นเดือนเมษายน 2559 มีโครงการระดมทุนทั้งหมด 16 แคมเปญอยู่ระหว่างดำเนินการ 6 แคมเปญ ปิดโครงการไปแล้ว 10 แคมเปญ โครงการที่บรรลุเป้าหมาย 5 แคมเปญ

น่าแปลกที่โครงการซึ่งมีอัตราการระดมทุนสูงสุดกลับไม่ใช่ของศิลปินชื่อดัง แต่ทว่าเป็นศิลปินที่ไม่เคยมีใครรู้จัก คือ “Street Strength: Bangkok by WeGotTheSpot” ระดมทุนได้สูงสุด 135% ของเป้าหมาย เพื่อสนับสนุนกิจกรรมแนวสตรีตในกรุงเทพฯ เป็นการโปรโมตให้คนหันมาสนใจไลฟ์สไตล์เพื่อสุขภาพ รองลงมาคือโครงการ “Peace for Bangkok by Alex Face” ระดมทุนได้ 132% ของเป้าหมาย เพื่อการสร้างสัญลักษณ์ใหม่แห่งสันติภาพให้กรุงเทพมหานคร

“ทั้งสองโครงการนี้เข้ามาติดต่อเราเอง มาพร้อมกับรายละเอียดสิ่งที่เขาต้องการ ทำการบ้านมาแล้วทั้งหมดประสบความสำเร็จเร็วมาก เพราะแต่ละศิลปินมีกลุ่มผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่ง เป็น very specific community ซึ่งทุกคนมี passion ในกิจกรรมที่ทำเป็นประจำ” เจ-มณฑล จิรา หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Asiola เล่าให้ Forbes Thailand ฟังถึงเบื้องหลังความสำเร็จ

Street Strength เริ่มต้นต้องการเงินทุนเพื่อสนับสนุนค่าสถานที่และค่าใช้จ่ายในการจัดคอนเสิร์ตให้สมาชิกในกลุ่มประมาณ 1.5 แสนบาท ผู้สนับสนุนจะได้รับของตอบแทนแตกต่างกันตามจำนวนเงินที่ให้การสนับสนุน เช่น รูปถ่ายใส่กรอบเป็นภาพนิ่งท่วงท่าการเคลื่อนไหว เพลย์ลิสต์สำหรับปาร์ตี้ที่จัดให้โดยดีเจของกลุ่ม คอร์สเรียนเต้นฟรีหรือราคาพิเศษ เวิร์กช็อปพื้นฐานการเคลื่อนไหวของร่างกายหรือการเต้นหลายแบบ ทั้งการเต้นแดนซ์ ฮอลล์ การเต้นฟั้งก์ เสื้อยืดเอ็กซ์คลูซีฟ ฯลฯ

เงินที่ผู้สนับสนุนโอนเข้ามาสนับสนุนโครงการจะเก็บไว้ที่ Asiola โดยมีธนาคารกสิกรไทยพันธมิตรทางธุรกิจเป็นคนกลางดูแลเงินจำนวนนี้ เมื่อแคมเปญระดมเงินได้ครบตามเป้าหมาย Asiola จะหักค่าธรรมเนียมในอัตราที่ตกลงกันไว้ บริษัทจะโอนเงินให้ศิลปินตามความคืบหน้าของงานโดยแบ่งเป็น 3 งวด คือ เงินส่วนแรก 30% เพื่อนำไปผลิตผลงานตามที่แจ้งไว้ในโครงการ เงินงวดที่สอง 30% จะโอนเพิ่มเติมเมื่องานมีความคืบหน้า และ 40% ที่เหลือจะโอนเมื่อผลงานเสร็จตามเป้าหมายที่ระบุไว้

กรณีที่การระดมทุนไม่ประสบผลสำเร็จคือมีผู้สนับสนุนไม่ถึง 100% ธนาคารกสิกรไทย จะดำเนินการคืนเงินให้ผู้สนับสนุนทุกราย

เนื่องจากโครงการ “Street Strength: Bangkok” ถึงเป้าหมายเร็วที่สุดภายในเวลาเพียง 22 วัน Asiola จึงเพิ่มเป้าหมายสิ่งตอบแทนพิเศษ 3 ลำดับขั้น ซึ่งเป็นเคล็ดลับที่ทำให้ระดมทุนได้สูงเกินเป้า ได้แก่ คลาสเรียนเต้น Zumba สอนโดย Beatriz Busch ที่จัดให้ทุกคนในงานได้ร่วมสนุกเมื่อร่วมคราวด์ฟันดิ้งได้ถึง 110% เมื่อถึง 115% ทีม Asia Parkour จะมาร่วมให้ทุกคนได้สนุกกับการออกกำลังกายแบบข้ามสิ่งกีดขวาง และจะมีปาร์ตี้ปิดท้ายงานรอบสองอีกหลังสามทุ่มหากถึง 120% ซึ่งผู้ให้การสนับสนุนกลุ่ม WeGotThespot แห่ง Street Strength: Bangkok มีชุมชนประมาณ 1,000 คนร่วมกันทำสำเร็จ

<img style="width: 680px; height: 345px;" src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/1f57bbb8cc574832a1fb9841fb9046af.png" alt="" />


“กลุ่มคนที่มีความชอบคล้ายกันมีผลมากต่อ ความสำเร็จของโครงการ อาจจะมากกว่าโครงการซึ่งนำเสนอโดยคนที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วประเทศ ด้วย” เจกล่าวถึงประสบการณ์ใหม่ในสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน ตอนที่เริ่มตั้งกลุ่มเป้าหมายไปที่ศิลปินซึ่งมีแฟนคลับอยู่จำนวนมากด้วยเชื่อว่ากลุ่มแฟนคลับที่ชื่นชอบศิลปินจะเป็นผู้ช่วยสนับสนุนผลงานในระยะแรก ยังไม่มีศิลปินรายไหนสามารถระดมทุนเกินกว่าหนึ่งแคมเปญ

อย่างไรก็ตาม เจกล่าวว่า ผลงานที่ประสบความสำเร็จและความสำคัญของกระบวนการทำงานที่ช่วยให้การระดมทุนได้สูงกว่าเป้าหมาย จะเป็นสิ่งดึงดูดให้ศิลปินกลับมาใช้บริการระดมทุนในครั้งต่อๆ ไป

ขณะนี้กลุ่ม WeGotTheSpot อยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการสองที่พร้อมจะสร้าง permanent community เพื่อหาสถานที่แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ไม่เฉพาะนักเต้นสตรีตแดนซ์ แต่รวมไปถึงศิลปินแขนงอื่นที่เข้ามาแลกเปลี่ยนไอเดียทางศิลปะ

เจกล่าวว่า เขาและผู้ก่อตั้งเชื่อในพลังของมวลชน เชื่อว่าสิ่งเล็กๆที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังจะสามารถผลักดันไอเดียให้ประสบความ สำเร็จได้รวมถึงการให้การระดมทุนแบบ Equity Crowdfunding ซึ่งช่วยให้ไอเดียดีๆ ของผู้ประกอบการอายุน้อยมีโอกาสสำเร็จมากขึ้น

ปัจจุบันนี้บริษัทได้ทาบทามที่ปรึกษาทางการเงินและทีมงานซึ่งจะมาช่วยดูแลระดมทุนแบบ Equity Crowdfunding ซึ่งต้องอาศัยผู้มีความชำนาญด้านนี้โดยเฉพาะ “เราอยากมีส่วนร่วมในทุกอย่างที่เป็น Crowdfund...ไม่เคยคิดว่าจะมาเป็น Financial intermediary เลย แต่เมื่อเริ่มแล้วเราก็ต้องทำให้ดีที่สุด” เจพูดทิ้งท้ายก่อนจากลา Forbes Thailand

&nbsp;

เรื่อง: ดรณ์ มาลัยธรรม ภาพ: บจ. เอซิโอลา

<hr />

<a href="http://goo.gl/OZxiKM">คลิกอ่านบทความทางธุรกิจเพิ่มเติมได้ที่ Forbes Thailand ฉบับ JUNE 2016 ฉบับพิเศษ The Essential for Enrichment ในรูปแบบ e-Magazine</a>
<a href="http://goo.gl/OZxiKM"><img src="http://www.forbesthailand.com/uploads/library/441b6411414884484587f9b67c175966.png" alt="" /></a>

News

Forbes lists

World

Leaderboard

Commentaries

Forbes life

Events