'Justin Sun' เศรษฐีคริปโตสายโชว์ - Forbes Thailand

'Justin Sun' เศรษฐีคริปโตสายโชว์

FORBES THAILAND / ADMIN
05 Aug 2025 | 08:01 AM
READ 213

Justin Sun ชอบความสนใจจากสาธารณชน และเมื่อเขายื่นมือเข้าช่วยเหลือธุรกิจคริปโตของ Donald Trump จนทำเงินให้ประธานาธิบดีและครอบครัวได้ถึง 400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นั้น Sun ก็ยิ่งทุ่มเทความพยายามที่จะสร้างระบบชำระเงินสำหรับใช้งานทั่วโลกผ่านแพลตฟอร์ม Tron ของตนเอง ซึ่งเวลานี้มีผู้ใช้งาน 300 ล้านคน และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง


    Justin Sun ผู้ประกอบการธุรกิจบล็อกเชนชาวจีนชื่นชอบ Donald Trump มาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นมัธยมต้น ตอนนั้นเขาอาศัยอยู่ที่ Huizhou เมืองที่มีประชากร 6 ล้านคนในมณฑล Guangdong ทางตอนเหนือของฮ่องกง คุณครูของ Sun แนะนำให้เด็กๆ ดูรายการโทรทัศน์ของสหรัฐฯ เพื่อเรียนรู้ภาษาอังกฤษสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน Sun เลือกโปรแกรมแชร์ไฟล์ BitTorrent (หลายปีต่อมาเขากลายเป็นเจ้าของ BitTorrent เสียเอง!) 

    รายการเรียลลิตีโชว์ได้ให้อะไรเขามากกว่าสอนการออกเสียงคำพูดติดปากของ Trump อย่าง “You’re fired!” เด็กชายที่มีความคิดอ่านเกินวัยอย่าง Sun บอกว่า เขาประทับใจบทเรียนจากเจ้าสัวชาวสหรัฐฯ ในเรื่องของการแข่งขันแบบเอาเป็นเอาตาย ความมั่นหน้า และอีโก้ ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามในสังคมที่หยั่งรากลึกในหลักปรัชญาของขงจื๊อและสังคมนิยมจีน แต่เมื่อถึงต้นยุค 2000 การปฏิรูปของ Deng Xiaoping ได้เปิดประตูประเทศจีนสู่ระบบทุนนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน Shenzhen เมืองที่กำลังเฟื่องฟูซึ่งอยู่ติดกับ Huizhou “ไม่แปลกอะไรที่รายการ The Apprentice จะได้รับความนิยมในจีน” Sun กล่าว

    ราว “ชะตาลิขิต” คำ 4 พยางค์ที่หมายถึงโอกาสสำหรับ Sun เมื่อปลายปีที่ผ่านมา เขาได้ยินว่า World Liberty Financial (WLF) ธุรกิจคริปโตของตระกูล Trump กำลังสั่นคลอน ทั้งที่นายใหญ่ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “ผู้สนับสนุนคนสำคัญของคริปโต” เพิ่งจะได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาหมาดๆ 

    วิเคราะห์ได้ไม่ยาก เอกสาร White Paper ซึ่งเป็นแผนธุรกิจสำหรับคริปโต แต่ World Liberty Financial เรียกมันว่า “Gold Paper” ประดับหน้าปกด้วยภาพของ Trump ตกแต่งให้ดูคล้ายซูเปอร์ฮีโร่ พร้อมหยดทองคำ World Liberty วางตัวเป็นแพลตฟอร์มการเงินแบบกระจายศูนย์แห่งใหม่ ท่ามกลางแพลตฟอร์มอีกนับร้อยๆ แห่งที่มีอยู่เดิม แต่ World Liberty ไม่ได้ให้สิทธิในการเป็นเจ้าของสินทรัพย์ อีกทั้งยังขาดการบริหารจัดการที่น่าเชื่อถือ ขณะที่โทเคนก็ขาดสภาพคล่อง ตระกูล Trump สามารถลงทุน 30 ล้านเหรียญให้กับแพลตฟอร์มดังกล่าวด้วยตัวเองได้ง่ายๆ แต่กลับเลือกที่จะไม่ทำ เป็นการตอกย้ำว่าทำไมคนอื่นจึงไม่อยากลงทุนเช่นกัน (กว่า 30 ปีที่แล้ว Donald Trump เคยเปลี่ยนแนวทางการบริหารอาณาจักรของตนเอง โดยหันไปพึ่งพาเงินของคนอื่น แทนการเสี่ยงลงทุนด้วยเงินตัวเอง)

    แต่สำหรับ Sun วัย 34 ปี เขาไม่ยอมพลาดโอกาสคว้าผลตอบแทนที่วางอยู่ตรงหน้า นับตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2023 เป็นต้นมา Sun เผชิญการฟ้องร้องจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของสหรัฐฯ ที่กล่าวหาว่า เขาปั่นตลาดด้วยเจตนาฉ้อฉลและจำหน่ายหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียน เวลานี้เขาพบโอกาสที่จะได้เป็นผู้สนับสนุนความมั่งคั่งให้กับบุคลที่กำลังจะครองตำแหน่งผู้นำฝ่ายบริหารของรัฐบาลสหรัฐฯ (ก.ล.ต. รวมอยู่ในนี้ด้วย) ด้วยตนเองแต่เพียงผู้เดียว

    ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนหรือเพียง 3 สัปดาห์หลังการเลือกตั้ง Sun ควักกระเป๋า 30 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ “ดูเหมือนจะจำเป็น” สำหรับรองรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน “ผมมองว่า WLF เป็นผู้เล่นที่แข็งแกร่งในสาขาเทคโนโลยีการเงิน” Sun กล่าวอย่างไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก แต่เมื่อถามถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับ Trump ในฐานะชายผู้เป็นเจ้าของ “สูตรโกงเกม” แต่เพียงผู้เดียว Sun ตอบได้อย่างฉะฉาน “ธุรกิจของคุณจะพัฒนาไปได้ไกลกว่าเดิมมาก”

    เงินลงทุน 30 ล้านเหรียญดังกล่าวปลุกกระแสการเข้าซื้ออย่างบ้าคลั่ง ส่งผลให้ตระกูล Trump ได้ประโยชน์ไปเต็มๆ ไม่เพียงเท่านั้น อีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา Sun ลงทุนให้กับ World Liberty Financial อีก 45 ล้านเหรียญ ซึ่ง 75% เข้ากระเป๋า Trump โดยตรงตามเงื่อนไขที่เผยให้เห็นว่า ตระกูล Trump จะได้รับการจัดสรรส่วนแบ่ง 3 ใน 4 ของทุกสิ่งทุกอย่างที่เกินกว่าเงินลงทุน 30 ล้านเหรียญในครั้งแรก 

    ต่อมาในเดือนมกราคมเมื่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปิดตัวมีมคอยน์ $TRUMP ของตัวเอง Sun ลงทุนเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง อย่างไรก็ตามในทางทฤษฎีความทุ่มเททั้งหมดของ Sun ให้ผลตอบแทนเพียงเล็กน้อย ซ้ำร้ายไปกว่านั้นสินทรัพย์ทั้งหมดของเขาใน WLF ยังถูก “ล็อก” ไว้อย่างไม่มีกำหนด ขณะที่ตระกูล Trumps รับส้มหล่นลูกเบ้อเริ่มราว 400 ล้านเหรียญ (Chris Murphy วุฒิสมาชิกจาก Connecticut กล่าวระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภาเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาว่า “จริงๆ ก็เหมือนกับ Trump กำลังป่าวประกาศเลขบัญชีของตัวเองให้ใครก็ได้แอบโอนเงินมาให้ จะมากจะน้อยก็แล้วแต่จะให้”



    คุณงามความดีของ Sun ดูเหมือนจะได้รับผลตอบแทนจนได้ เขาได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นที่ปรึกษาของ World Liberty เกือบจะในทันที และหลังจาก Trump เข้ารับตำแหน่งช่วงต้นปี 2025 ก.ล.ต. สหรัฐฯ ได้ถอนคำฟ้องและยกเลิกการตรวจสอบเกือบทั้งหมดที่มีต่อผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดระเบียบคริปโต ไม่ว่าจะเป็นตลาดซื้อขายอย่าง Coinbase, Kraken และ Robinhood และยัง “พัก” การดำเนินคดีต่อ Sun และบริษัทต่างๆ ของ Sun ไว้ชั่วคราว

    ชีวิตของเศรษฐีพันล้านคริปโตที่แพลตฟอร์มของเขามีการทำธุรกรรมมากสุดก็เป็นเช่นนี้ สำหรับผู้ที่ต้องการวาทกรรมเชิงอุดมคติเกี่ยวกับคำสัญญาของ Satoshi Nakamoto ที่ปรารถนาจะสร้างระบบการเงินใหม่ภายใต้การกำกับดูแลกันเอง ปราศจากอำนาจควบคุมของรัฐบาลกลางหรือยักษ์ใหญ่สายเทคโนโลยีจอมละโมบ ไม่ใช่ Sun แน่ๆ เขาคือผู้แสวงหาโอกาสที่แท้จริง ด้วยทักษะด้านการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีเพียงเล็กน้อย ธุรกิจเกือบทั้งหมดที่เขาสร้างขึ้นหรือมีอำนาจควบคุมนั้นจึงเป็นที่รู้กันว่า อาศัยการลอกเลียนแบบรูปแบบการดำเนินธุรกิจของบรรดาผู้บุกเบิกรายอื่นมาทั้งสิ้น

    จนถึงตอนนี้การลอกเลียนแบบยังคงได้ผลเป็นอย่างดี Ethereum บล็อกเชนที่มีฟังก์ชันการทำงาน เคยเป็นลูกรักแห่งวงการคริปโต Sun สร้าง Tron ซึ่งสามารถทำงานได้เร็วกว่าและมีราคาถูกกว่า จนมีมูลค่าตามราคาตลาดสูงถึง 2.2 หมื่นล้านเหรียญ นอกจากนี้ Sun ยังเป็นสักขีพยานความล้มเหลวและความสำเร็จของ Binance และ FTX และตัดสินใจเข้าซื้อตลาดซื้อขาย Poloniex ในปานามา รวมถึง HTX (เดิมชื่อ Huobi) ที่เน้นตลาดเอเชียเป็นสำคัญ เมื่อ Sun ได้เห็นการเติบโตของ Uniswap ซึ่งเป็นโปรโตคอลการเงินแบบกระจายศูนย์ (DeFi) เขาจึงสร้าง SunSwap ขึ้นมา

    ความเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและการลอกเลียนแบบทำให้ Sun ร่ำรวยแบบไม่ธรรมดาอย่างเร็วแบบสุดๆ เช่นเดียวกับ Trump ไอดอลในวัยเด็ก Sun เองอยากให้ Forbes พูดถึงมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ซึ่งเขาบอกว่ามีอยู่เกิน 4 หมื่นล้านเหรียญ โดยรวมถึงการถือคริปโต เช่น Bitcoin และ Ether เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ เขายังเป็นเจ้าของงานศิลปะ ซึ่งรวมถึงผลงานของ Picasso และ Warhol และเครื่องบินเจ็ต Airbus 330

    และก็เช่นเดียวกับ Trump อีกเช่นกัน คำพูดของ Sun ยากนักที่จะเชื่อถือได้ อย่างน้อยก็ในเรื่องของการถือครองทรัพย์สิน เขามีกระเป๋าเงินมากมายชวนเวียนหัว และยังเก็บทรัพย์สินบางส่วนไว้ในชื่อคนอื่น ในการคำนวณจึงต้องใช้ส่วนลดจำนวนมากหักออกจากทรัพย์สินหลายรายการที่เขาอ้างถึง (เช่น ตลาดซื้อขาย HTX ซึ่งเขาบอกว่า เก็บซ่อนคริปโตส่วนตัวไว้มากมาย) และยังไม่นับทรัพย์สินเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้

    ท่ามกลางข้อกังขานานา แต่ Forbes ยังประเมินว่า Sun มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 8.5 พันล้านเหรียญ และยอมรับด้วยว่า ตัวเลขที่แท้จริงน่าจะสูงกว่านี้มาก และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกหลังได้รับการผ่อนผันจาก ก.ล.ต. สหรัฐฯ

    Sun เกิดเมื่อปี 1990 ในมณฑล Qinghai อันไกลโพ้นและมีพรมแดนติดทิเบต เมื่ออายุ 4 ขวบ เขาและครอบครัวย้ายมาอาศัยอยู่ที่มณฑล Guangdong อันคึกคัก เขาเติบโตมาท่ามกลางการใช้ถ้อยคำ ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่ที่เป็นนักข่าวกีฬาให้กับหนังสือพิมพ์รายวันประจำเมือง Huizhou ขณะที่คุณพ่อเป็นนักข่าวสายการเมืองอยู่ที่มณฑล Qinghai รักแรกของเขาจึงมีให้กับงานวรรณกรรม โดยได้รับแรงบันดาลใจจากผลงานของ Mo Yan นักเขียนนวนิยายชาวจีนเจ้าของรางวัลโนเบล และ Michel Foucault นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ผู้สร้างสรรค์งานเขียนเพื่ออธิบายว่าอำนาจสามารถกำหนดและควบคุมความรู้ได้อย่างไร 

    ในปี 2007 Sun คว้ารางวัลจากการแข่งขันการเขียนระดับประเทศ และได้รับคัดเลือกเข้าศึกษาต่อที่ Peking University อันมีชื่อเสียง ตอนแรกเขาตั้งใจจะศึกษาด้านวรรณคดีเพื่อเป็นนักเขียนที่มีบทบาทสำคัญ แต่เมื่อได้เข้าเรียน เขากลับสนใจประวัติศาสตร์โลก “เพราะประวัติศาสตร์โลกทำให้ผมมองเห็นโลกทั้งใบเป็นหนึ่งเดียว”

    Sun ก็เหมือนกับนักศึกษาชาวจีนมากมายที่เต็มไปด้วยความฝัน สหรัฐฯคือเป้าหมายต่อไป ในปี 2011 เขาเข้าเรียนที่ University of Pennsylvania สถาบันเก่าของ Trump เพื่อศึกษาต่อระดับปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง แต่เมื่อถึงปี 2012 บทความเกี่ยวกับบิตคอยน์ในหนังสือพิมพ์ New York Times กลายเป็นจุดเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง “หลายคนบอกว่า มันคือเงินแห่งอนาคตและเงินสำหรับโลกอินเทอร์เน็ต” Sun กล่าว เขาดาวน์โหลดกระเป๋าเงินบิตคอยน์ บวกกับเพื่อนส่งมาให้อีกจำนวนหนึ่ง จากนั้นเขาก็ถอนตัวไม่ขึ้น เขาใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนจมอยู่ในกระดานสนทนาเกี่ยวกับบิตคอยน์ เขมือบทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้ค้นพบเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่นี้

    กระดานสนทนาหนึ่งทำให้เขาได้รู้จักกับ Stefan Thomas ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานหัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีของ Ripple Labs เวลานั้น Ripple Labs กำลังพยายามพัฒนาทางเลือกแบบกระจายศูนย์สำหรับใช้แทน SWIFT ซึ่งเป็นเครือข่ายการส่งข้อความระหว่างธนาคารทั่วโลก คริปโต XRP ของ Ripple เป็นสกุลเงินที่มีเป้าหมายใช้เชื่อมโยงสกุลเงินอย่างเป็นทางการทั่วโลก ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยเครือข่ายเกตเวย์ในประเทศต่างๆ และในปี 2013 Thomas ก็ขอให้ Sun เข้ามาดำรงตำแหน่งหัวหน้าตัวแทนของ Ripple ในประเทศจีน

    หลังจากที่ Sun ร่วมงานกับ Ripple ได้ไม่นาน Ethereum ซึ่งเป็นบล็อกเชนที่รองรับฟังก์ชันการทำงานในระดับสูงด้วยระบบสัญญาอัจฉริยะก็กลายเป็นกระแสความนิยมใหม่ Sun ลงทุนในช่วง ICO (การเสนอขายเหรียญดิจิทัลแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก) ของ Ethereum เมื่อปี 2014 แต่ในที่สุดเขาก็เริ่มเชื่อแล้วว่า ต่อให้ Ethereum จะประมวลผลการทำธุรกรรมได้เร็วกว่า Bitcoin มาก แต่ก็ยังไม่เร็วมากพอ ขณะทีการบูรณาการสัญญาอัจฉริยะของ Ripple ก็ไม่ประสบความสำเร็จ Sun ปิ๊งไอเดียขึ้นมาทันที บล็อกเชนใหม่ที่มีความเร็วเท่ากับ XRP และมีการใช้ระบบสัญญาอัจฉริยะ “อะไรสักอย่างที่มีราคาถูกกว่า มีความเร็วสูงกว่า และทำงานเข้ากับ Ethereum ได้” เขาอำลา Ripple ในปี 2015 และเปิดตัว Tron ในอีก 2 ปีต่อมา 

    นับตั้งแต่เริ่มดำเนินการบล็อกเชนใหม่ของ Sun ไม่เคยร้างข้อครหาว่า แผนธุรกิจของเขาคัดลอกมาจากเอกสารของ Ethereum และบล็อกเชนอีกระบบหนึ่ง ในปี 2018 Juan Benet ผู้ก่อตั้ง Protocol Labs ซึ่งเป็นคณะทำงานผู้อยู่เบื้องหลังบล็อกเชนจัดเก็บข้อมูลอย่าง Filecoin เผยแพร่ข้อความทาง Twitter กล่าวหาว่า เอกสารของ Tron ดึงเนื้อหามาจากแผนธุรกิจของเขาเป๊ะๆ ถึง 9 หน้า ในปีเดียวกัน Vitalik Buterin ผู้ก่อตั้ง Ethereum ชาวแคนาดาเชื้อสายรัสเซีย ตอบกลับข้อความทาง Twitter ของ Sun โดยล้อว่า ข้อแตกต่างระหว่าง Ethereum กับ Tron คือ “ความสามารถในการเขียนแผนธุรกิจได้ดีกว่า: (Control+C + Control+V ทำผลงานได้ดีกว่าการเคาะแป้นพิมพ์เนื้อหาใหม่)”

    Sun ไม่สะทกสะท้าน เขายืนยันว่าเป็นความตั้งใจให้เอกสารออกมาคล้ายกับ Ethereum “ในตอนนั้นสิ่งที่สำคัญมากๆ คือ ความเข้ากันได้กับ Ethereum”

    ไม่มีใครมีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จในช่วงแรกของ Sun มากไปกว่า Changpeng “CZ” Zhao เศรษฐีพันล้านผู้ก่อตั้ง Binance ซึ่ง Sun บอกว่า เขาได้พบกับ Zhao ครั้งแรกในปี 2015 สมัยยังทำงานให้กับบริษัทที่พัฒนาเป็น Blockchain.com ในเวลาต่อมา ในเดือนสิงหาคม ปี 2017 Binance รับหน้าที่ดูแล ICO ให้กับ Tron จนสามารถระดมทุนได้ 70 ล้านเหรียญเพียงไม่กี่วันก่อนที่จีนจะมีคำสั่งห้ามเสนอขายแบบเก็งกำไรโดยเด็ดขาด

    เดือนพฤศจิกายน ปี 2018 หลังจากฟองสบู่ ICO แตก Zhao เปิดตัวโครงการ Gold Label Project ของ Binance อันเป็นความพยายามที่จะส่งเสริมการเสนอขายคริปโตที่กำลังซบเซา พร้อมกับ “ยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมในด้านคุณภาพของสารสนเทศ” โดยสนับสนุนให้โครงการต่างๆ เผยแพร่ความคืบหน้าล่าสุดในโครงการพัฒนาของตนอยู่เสมอ Tron เป็นโครงการแรกๆ ที่ได้รับการสนับสนุน 

    นอกจากนี้ Tron ยังกลายเป็นตัวเลือกเริ่มต้นสำหรับผู้ใช้บริการ Binance 10 ล้านคนที่ต้องการใช้สเตเบิลคอยน์ USDT ของ Tether ในการชำระเงินสกุลเหรียญสหรัฐฯ ธุรกิจของ Tron จึงขยายตัวอย่างกว้างขวาง ปลายปี 2019 Binance ให้การสนับสนุน Sun อีกครั้ง โดยเสนอดอกเบี้ยให้กับผู้ที่ถือสเตเบิลคอยน์ของ Tether ผ่านแพลตฟอร์ม Tron ในอัตราสูงถึง 16% ต่อปีจากยอดคงเหลือ และยังแอบให้บริการถอนและโอนคอยน์ภายในเครือข่ายโดยไม่มีค่าธรรมเนียม ทำให้ Tron ถือความได้เปรียบในการแข่งขันเหนือการโอน Ethereum อย่างมาก จากการศึกษาของ Messari พบว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม ปี 2019 มูลค่าเหรียญ USDT ของ Tether ที่มีในแพลตฟอร์ม Tron เติบโตแบบก้าวกระโดด จากราว 100 ล้านเหรียญจนเกือบแตะ 1 พันล้านเหรียญ หรือคิดเป็น 30% ของอุปทานสเตเบิลคอยน์ทั้งหมดที่มีอยู่ในเวลานั้น

    ปี 2023 CZ กับ Binance ต้องเผชิญปัญหา เมื่อ Binance ต้องยอมจ่ายเงิน 4 พันล้านเหรียญให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ ตามข้อกล่าวหาฟอกเงินและข้อกล่าวหาอื่นๆ เมื่อถึงกลางปี 2024 CZ ต้องรับโทษจำคุกเป็นเวลา 4 เดือน หลังจากที่เขารับสารภาพว่า ไม่สามารถดำเนินโครงการป้องกันการฟอกเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น การสนับสนุนจาก Binance ที่มีให้กับ Tron ได้ออกดอกออกผลให้เห็น เมื่อเหรียญ USDT ของ Tether กลายเป็นสกุลคริปโตที่มีการซื้อขายมากที่สุดในโลก 

    และ Tron กลายเป็นแพลตฟอร์มบล็อกเชนหลักของ USDT ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสภาพคล่อง เนื่องจากผู้คนและกิจการจำนวนมากในประเทศเกิดใหม่ต่างปรารถนาจะได้เงินเหรียญสหรัฐฯ มาใช้อำนวยความสะดวกในการซื้อขายและชำระเงิน พวกเขาจึงนำเหรียญดิจิทัลของ Tether มาใช้แทน อันที่จริงแล้ว Tron มีผู้ใช้งาน 300 ล้านคนทั่วโลก มีมูลค่าการทำธุรกรรมในแต่ละเดือนกว่า 5 แสนล้านเหรียญ และกลายเป็นระบบรองรับการชำระเงินแบบไร้คนกลาง (Peer-to-peer) ที่ขาดไม่ได้เลยทีเดียว

    “ทุกครั้งที่ผมพูดถึงสเตเบิลคอยน์ สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า 70% คือ เหรียญ USDT ที่ซื้อขายทาง Tron” Chris Maurice จากทำเนียบ 30 Under 30 ของ Forbes กล่าว เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ Yellow Card บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านการชำระเงินและการโอนเงินในทวีปแอฟริกา 20 ประเทศ 

    ค่าบริการราคาย่อมเยาเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ขับเคลื่อน Tron ด้วยค่าธรรมเนียมการซื้อขายเพียงครั้งละ 30 เซนต์ ขณะที่ Ethereum เรียกเก็บค่าบริการสูงถึง 50 เหรียญ ทำให้ Sun สามารถชิงส่วนแบ่งการตลาดมาครองได้อย่างรวดเร็ว “คุณกำลังพูดถึงตลาดที่มีความอ่อนไหวต่อราคามากที่สุดในโลก” Maurice กล่าว “ในบางประเทศหลายคนต้องยอมเสียเวลาวันละ 8 ชั่วโมงเพียงเพื่อจะประหยัดเงินไม่กี่เหรียญ เมื่อเปรียบเทียบเงิน 50 เหรียญกับเงินเพียงไม่กี่เซนต์ มันต่างกันมาก”

    USDT มีมูลค่าหมุนเวียนในระบบ 1.44 แสนล้านเหรียญ เกือบครึ่งหนึ่งอยู่ในระบบ Tron เมื่อ Tron ได้ครองตลาด ค่าธรรมเนียมของพวกเขาเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 10 เท่า ในปี 2024 Tron มีรายได้จากบล็อกเชน 2.2 พันล้านเหรียญ เป็นรองเพียง Ethereum ที่มีรายได้ 2.5 พันล้านเหรียญ

    การเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วของคริปโตที่ไร้การควบคุม แล้วอะไรละคือปัญหาที่ตามมาคุณสมบัติของ USDT ทางแพลตฟอร์ม Tron ที่ทำให้ USDT น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ถูกกฎหมายย่อมดึงดูดผู้ก่อการร้าย ผู้ค้ายาเสพติด นักฟอกเงิน และมิจฉาชีพได้เช่นกัน Inca Digital บริษัทข่าวกรองด้านบล็อกเชนพบว่า องค์กรก่อการร้ายต่างๆ ซึ่งรวมถึง Hamas และ Hezbollah มีการใช้บล็อกเชนของ Sun ในการเคลื่อนย้ายเงินทุนกว่า 2 พันล้านเหรียญ ขณะที่รายงาน Crypto Crime ของ TRM Labs รายงานว่า ในบรรดาธุรกรรมคริปโตผิดกฎหมายทั้งหมดในปีที่ผ่านมาคิดเป็นมูลค่าเกือบ 1 หมื่นล้านเหรียญนั้น 58% เกิดขึ้นในระบบของ Tron ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่า Ethereum และ Bitcoin รวมกันเสียอีก 

    Sun อ้างว่า เขากำลังพยายามพัฒนา Tron ให้มีความปลอดภัยมากขึ้น เมื่อเดือนกันยายน Tron ร่วมกับ Tether และ TRM Labs ประกาศโครงการความร่วมมือ T3 Financial Crime Unit เพื่อกวาดล้างกิจกรรมผิดกฎหมายที่เกิดขึ้นทาง Tron ซึ่ง T3 บอกว่า พวกเขาอายัดทรัพย์ไปแล้ว 130 ล้านเหรียญนับตั้งแต่เริ่มดำเนินการ

    สหรัฐฯ ดูเหมือนจะมีความน่าสงสัยมากที่สุด ผู้ผลิตสเตเบิลคอยน์อย่าง Circle ยกเลิกการทำธุรกิจกับบล็อกเชนของ Sun อย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ในเดือนธันวาคม ปี 2024 Coinbase ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายระดับบลูชิพได้ถอดบิตคอยน์เวอร์ชันที่เรียกว่า Wrapped Bitcoin (wBTC) ออกจากระบบ โดย wBTC ทำงานในบล็อกเชน Ethereum และยังตกเป็นข่าวลืออย่างกว้างขวางว่า มี Sun เป็นผู้ควบคุมอยู่นั่นเอง Coinbase ยื่นคำฟ้องต่อศาลในเรื่องดังกล่าว โดยบอกว่า “Mr. Sun มีความเกี่ยวข้องและอาจมีอำนาจควบคุม wBTC ก่อให้เกิดความเสี่ยงอันไม่อาจยอมรับได้ต่อผู้ใช้งานและจรรยาบรรณตลาดซื้อขายของเรา” อย่างไรก็ตาม Sun ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น

    ข้อกล่าวหาของ ก.ล.ต. สหรัฐฯ แม้จะระงับไว้ แต่ก็ถือว่าร้ายแรง Sun ตลอดจน Tron และ BitTorrent ซึ่งเป็นองค์กรที่ถูกกล่าวหาว่าอยู่ภายใต้การควบคุมของ Sun นั้นไม่เพียงแต่จะถูกกล่าวหาว่าจำหน่ายหลักทรัพย์ไม่จดทะเบียนเท่านั้น แต่ยังมีการปั่นราคา TRX โทเคนในบล็อกเชนของตนผ่านการซื้อขายกันเองแบบปลอมๆ ในปี 2018 และ 2019 

    นอกจากนี้ เขายังถูกกล่าวหาว่ามีคำสั่งให้พนักงานเปิดบัญชีขึ้นมาหลายบัญชีสำหรับทำการซื้อขายเป็นจำนวนมาก เพื่อให้ดูเหมือนกับมีความต้องการมหาศาล ก.ล.ต. สหรัฐฯ ยังกล่าวหา Sun ด้วยว่า ปั่นราคาโทเคนของตนเองด้วยการว่าจ้าง Lindsay Lohan และ Jake Paul ให้ทำการโฆษณาโดยไม่เปิดเผยว่ามีการจ่ายค่าตอบแทน (Sun ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นต่อคำฟ้องของ ก.ล.ต.) 

    ทั้งหมดนี้ยิ่งทำให้การจับมือเป็นพันธมิตรกับ Trump เกิดขึ้นถูกที่ถูกเวลา แม้ Sun จะบอกว่า เขาไม่เคยพบกับประธานาธิบดีด้วยตนเอง แต่เมื่อไม่นานมานี้เขาเพิ่งจะได้ใช้เวลาร่วมกับลูกชายของ Trump ทั้ง 2 คนคือ Eric และ Donald Jr. ซึ่งทั้งคู่เป็นหุ้นส่วนใน WLF รวมถึงลูกชายของ Steve Witkoff เพื่อนของ Trump ที่ดำรงตำแหน่งทูตพิเศษของสหรัฐฯ ประจำตะวันออกกลาง

    Sun ตระหนักดีว่า คริปโตต้องอาศัยความเชื่อมั่นจากสาธารณชน เขาเชื่อว่าหากประธานาธิบดีสหรัฐฯ เข้ามาเล่นในตลาดคริปโตจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในกลุ่มนักลงทุนรายย่อยได้ “$TRUMP ทำลายขีดจำกัดระหว่างโลก Web3 กับโลกปัจจุบันของเรา” Sun กล่าว “แม่ผมยังเคยถามถึงโทเคนนี้เลย”

    “ผมมองว่าเมื่อ Trump ได้รับการเลือกตั้ง เขาเริ่มผลักดันธุรกิจคริปโต ซึ่งจริงๆ แล้วยิ่งเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมในภาพรวมในช่วงนาทีทองเช่นตอนนี้เป็นอย่างยิ่ง” เขากล่าวเสริม โดยยกตัวอย่างกระแสตอบรับจากทั่วโลกที่มีให้กับเหรียญ $TRUMP หลังการเปิดตัว Sun บอกว่า HTX แพลตฟอร์มซื้อขายของเขานั้นมีผู้ใช้ใหม่ลงทะเบียนถึง 1 ล้านรายในสัปดาห์แรกหลังจากที่ Trump เสนอขายเหรียญ หลายคนมาจากประเทศจีน ซึ่งในทางเทคนิคแล้วเป็นประเทศที่คริปโทเป็นของต้องห้าม ยิ่งไปกว่านั้น Sun บอกว่า หน่วยงานที่มีอำนาจของจีนยังปล่อยให้มีมคอยน์ดังกล่าวเป็นกระแสในสื่อสังคมออนไลน์อยู่หลายวัน

    “รัฐบาลจีนไม่อยากถูกมองว่าพวกเขาต่อต้าน Trump พวกเขาอาจจะกลัวว่าจะมีคนไปบอก Trump ว่า ‘รัฐบาลจีนกำลังสั่งห้ามเหรียญของคุณ” Sun กล่าว

    Sun อาจจะยังไม่เคยได้พบกับ Trump ก็จริง แต่เขาได้ซึมซับบทเรียนจากนักการตลาดผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ แม้ผู้นำในแวดวงคริปโตจำนวนมากไม่ต้องการจะเปิดเผยตัวตน แต่ Sun กลับเลือกทางตรงกันข้าม เขาทุ่มเงินนับล้านๆ เหรียญเพื่อให้ตกเป็นเป้าความสนใจของสาธารณะ

    ในปี 2019 เขายอมจ่ายเงิน 4.6 ล้านเหรียญเพื่อให้ได้รับประทานอาหารกลางวันกับ Warren Buffett อันเป็นกิจกรรมหนึ่งในงานประมูลการกุศลประจำปีของ Buffett ซึ่งดึงดูดความสนใจได้ดีทีเดียว Sun ยิ่งสร้างกระแสอย่างต่อเนื่องด้วยการยกเลิกนัดล่วงหน้าเพียง 3 วัน (ในที่สุดเขาก็ได้รับประทานอาหารกับ Buffett ที่ Omaha ใน Nebraska ในอีก 1 ปีต่อมา) เขาใช้ตำราเดิมอีกครั้งในปี 2021 โดยเสนอราคา 28 ล้านเหรียญเพื่อให้ได้เป็นผู้โดยสารคนแรกที่จ่ายเงินขึ้นยานอวกาศ Blue Origin ของ Jeff Bezos เอาเข้าจริงๆ แล้ว เขาไม่ได้ร่วมการเดินทางในครั้งนี้ โดยให้เหตุผลว่าตารางงานชนกัน ซึ่งกลับยิ่งดึงดูดความสนใจได้มากกว่าเดิมเสียอีก

    เมื่อเดือนพฤศจิายนที่ผ่านมา ขณะที่ Sun กำลังง่วนอยู่กับการลงทุนให้กับ Trump ในขั้นตอนสุดท้าย เขาควักกระเป๋า 6.2 ล้านเหรียญซื้อผลงานศิลปะ The Comedian ซึ่งเป็นกล้วยหอมติดเทปยึดไว้กับผนัง ผลงานของศิลปินชาวอิตาเลียน Maurizio Cattelan ที่ Sotheby’s เพียง 10 วันหลังจากนั้น เขากินกล้วยลูกนั้นโชว์ต่อหน้านักข่าวในฮ่องกง

    Sun เรียกตัวเองว่า “ฯพณฯ” หลังจากที่ได้รับตำแหน่งทูตองค์การการค้าโลกประจำกรีเนดา ประเทศที่เป็นเกาะเล็กๆ ในทะเลแคริบเบียน นอกจากนี้ ยังพ่วงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอิสระลิเบอร์แลนด์ ประเทศขนาดจิ๋วหลิวที่อ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่ตามแนวแม่น้ำดานูบในโครเอเชีย “ฯพณฯ” คนนี้เป็นชาวจีนโดยกำเนิด แต่ดำรงตำแหน่งชวนสงสัยหลายตำแหน่ง และดูเหมือนจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในฮ่องกง อีกทั้งในประวัติที่แสดงทาง X ยังระบุที่อยู่ว่าสวิตเซอร์แลนด์ เขามองตัวเองเป็นพลเมืองของประเทศใดกันแน่ “ผมว่าอาจจะเป็นเซนต์คิตส์ก็ได้”

    “คนส่วนใหญ่อาจจะคิดว่า ทั้งหมดที่ผมทำไปนี้เพื่อเรียกร้องความสนใจจากทุกคน” Sun กล่าว “แต่ในความเป็นจริงนั้นสิ่งที่ผมลงมือทำเกี่ยวกับคริปโต เมื่อมันกลายเป็นจริงขึ้นมาต่างหากที่ผมจะได้รับความสนใจมากที่สุด”

    จริงๆ แล้วการแสดงเหล่านี้กลับเบี่ยงเบนความสนใจไปจากสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นกลยุทธ์การเติบโตอันแยบยลอย่างแท้จริง SunSwap ตลาดซื้อขายรูปแบบ DeFi ที่เขาลอกเลียนแบบและนำมาพัฒนาต่อยอดจากบล็อกเชน Tron มีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นระเบิดระเบ้อในปี 2024 ด้วยกลยุทธ์ค่าธรรมเนียมเริ่มต้นราคาถูกอย่างที่ใช้กับ USDT โดยเมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมามีมูลค่าการซื้อขาย Wrapped Token กว่า 4 พันล้านเหรียญ ในทำนองเดียวกัน SunPump ซึ่ง Sun เลียนแบบมาจากโรงงานมีมคอยน์บนแพลตฟอร์ม Solana ก็กำลังเร่งผลิตโทเคนติดตลกจนเป็นกระแส 

    แม้ว่าโทเคนจำนวนทั้งสิ้น 9.7 หมื่นเหรียญที่ SunPump ผลิตออกมาตั้งแต่เริ่มดำเนินการเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมาจะสร้างผลตอบแทนได้เพียง 37 ล้านเหรียญ เมื่อเปรียบเทียบกับผลตอบแทนรวม 600 ล้านเหรียญของ Solana เมื่อปี 2024 แต่ Sun ยังเชื่อว่า เอเชียจะเป็นตลาดขนาดใหญ่สถานีต่อไปสำหรับมีมคอยน์ และเขากำลังวางตำแหน่ง SunPump ให้เป็นผู้นำตลาด “ผมคิดว่า มีมคอยน์กำลังใช้อินเทอร์เน็ตให้เป็นประโยชน์”

    แล้วหลังจากนั่น? “ทุกวันนี้ผมกำลังคิดถึงเรื่องเอเจนต์ AI” Sun เป็นคนตามกระแสอยู่เสมอ และเวลานี้เขายกให้ Elon Musk เป็นไอดอล Sun ต้องการพัฒนา Tron ที่มีคุณสมบัติการทำธุรกรรมได้อย่างรวดเร็วนั้นให้กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินหลักสำหรับโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรอัจฉริยะ เช่น หากต้องการทำงานหนึ่งให้สำเร็จ และเอเยนต์ AI ตัวหนึ่งมอบหมายงานให้อีกตัวหนึ่ง ซึ่งมอบหมายงานให้กับเอเจนต์อีก 10 ตัวภายในเวลา 1 นาที ระบบเดิมที่มีอยู่จะทำไม่ได้ เพราะต้องจัดการทั้งบัญชีเงินเดือน บัญชีธนาคาร ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาถึง 6 เดือนในการลงมือทำครั้งแรก

    “แต่สำหรับเครือข่ายที่สามารถขยายตัวได้มาก ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถทำเสร็จได้ภายใน 5 นาทีหรือ 5 วินาทีเท่านั้น ซึ่งจะทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเป็นไปได้ ลองนึกถึงการใช้งาน AI ในระดับโลก แน่นอนว่าจะต้องมีเครือข่ายการชำระเงินที่เชื่อถือได้สำหรับรองรับการทำงานทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด”

    แม้จะฟังดูบ้า แต่ก็ไม่เป็นปัญหาอะไรสำหรับ Sun ผู้ที่ชื่นชอบการเป็นจุดสนใจ เขาชินแล้วกับการถูกประเมินความสามารถต่ำกว่าความเป็นจริง และดูจะไม่สะทกสะท้านหากจะถูกมองว่า การเป็นพันธมิตรกับตระกูล Trump อาจทำให้เขาได้ (หรือไม่ได้) มาซึ่งสิทธิพิเศษก็เป็นได้

    “หน่วยงานกำกับดูแลมักจะคิดว่า ทุกคนจะต้องปฏิบัติตาม แต่กฎระเบียบส่วนใหญ่กำหนดขึ้นมาจากอดีต และนำมาใช้กำกับการดำเนินกิจกรรมในอนาคต” Sun กล่าว “ผมอยากสร้างโลกแห่งอนาคต แต่เราจะต้องมองให้เห็นภาพก่อนว่า โลกแห่งอนาคตจะเป็นอย่างไร” รายงานเพิ่มเติมโดย Javier Paz


เรื่อง: Steven Ehrlich และ Nina Bambysheva เรียบเรียง: รัน-รัน 

ภาพ: Gareth Brown



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : "Ron Renaud" ไขโอกาสบริษัทยาจีน

อ่านบทความฉบับเต็มและเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนกรกฎาคม 2568 ในรูปแบบ e-magazine