Kimberley Ho ปั้นแบรนด์ Evereden สกินแคร์เด็กตอบโจทย์ Gen Alpha กวาดรายได้ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี

Kimberley Ho ปั้นแบรนด์ Evereden สกินแคร์เด็กตอบโจทย์ Gen Alpha กวาดรายได้ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี

​Kimberley Ho ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอวัย 35 ปี ของสกินแคร์เด็กแบรนด์ Evereden เคยติดอยู่ในลิสต์ Forbes 30 Under 30 ประจำปี 2019 หมวดหมู่ธุรกิจค้าปลีกและ E-Commerce เธอตัดสินใจลาออกจากงานประจำจากศูนย์กลางการลงทุนอย่าง Wall Street แล้วหันมาก่อตั้งปั้นแบรนด์ธุรกิจของตนเองให้กับเด็กๆ Gen Alpha ปัจจุบันธุรกิจ 'Evereden' ของเธอกำลังเติบ


    โต๊ะอาหารที่ทำจากหินอ่อนลายแกรนิตสีขาวของ Kimberley มักจะรกอยู่เสมอ เพราะเธอชอบทดลองลิปสติกสีสันสดใสรูปทรงดินสอสีและผลิตภัณฑ์ความงามอื่นๆ ที่มุ่งเป้าเจาะตลาดไปที่กลุ่มเด็กๆ Gen Alpha หรือผู้ที่เกิดหลังปี 2010 “ถึงแม้ว่าตอนนี้เราจะมีห้องปฏิบัติการพร้อมนักเคมีและผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนา แต่ฉันก็ไม่อยากทิ้งงานส่วนนี้ไปเลย เพราะการหลงใหลในผลิตภัณฑ์มันฝังอยู่ใน DNA” Kimberley บอก



    นับตั้งแต่ปี 2018 ที่เธอกับสามี Huang Lee อดีตพนักงานของ Goldman Sachs ได้ร่วมกันก่อตั้งพร้อมปลุกปั้นธุรกิจนี้ขึ้นมา ปัจจุบันแบรนด์นี้มียอดขายสูงถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี  หลังจากค้นพบตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเส้นผมที่ตอบโจทย์กลุ่มสมาชิกครอบครัวโดยเฉพาะกลุ่มเด็กเล็กและเด็กๆ ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ลูกค้ารายแรกๆ ของเธอหลายคนเป็นคุณแม่วัยรุ่นที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์ปลอดภัยสำหรับทารกที่มีผิวแพ้ง่าย Evereden ได้ระดมทุนจากกองทุนร่วมลงทุนประมาณ 40 ล้านเหรียญระหว่างปี 2018 ถึง 2021 

    ฐานลูกค้า Evereden เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยขยายธุรกิจไปสู่ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า ครีมนวดผม รวมถึงน้ำหอมที่คิดค้นและทำการตลาดสำหรับเด็ก เด็กก่อนวัยรุ่น และคุณแม่ตั้งครรภ์โดยเฉพาะ แม้ว่าบริษัทจะจำหน่ายสินค้าใน Sephora ใน 8 ประเทศนอกสหรัฐอเมริกา รวมถึงแคนาดา ออสเตรเลีย และฟิลิปปินส์ แต่รายได้ส่วนใหญ่มาจากการขายตรงถึงผู้บริโภคทางออนไลน์ “เม็ดเงินลงทุนหลายพันล้านเหรียญถูกทุ่มไปกับผลิตภัณฑ์ความงาม เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสำหรับผู้หญิง แต่นวัตกรรมและการลงทุนเหล่านั้นกลับไม่ได้ถูกนำไปใช้จริงกับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสำหรับครอบครัว ความไม่สอดคล้องกันแบบนี้ไม่สมเหตุสมผลสำหรับฉันเลย” Kimberley กล่าวเสริม

    จากการศึกษาแนวโน้มผู้บริโภคที่จัดทำโดย Ulta Beauty เมื่อปีที่แล้ว กลุ่ม Gen Alpha จะเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์ความงามครั้งแรกเมื่ออายุ 8 ขวบ เนื่องมาจากโซเชียลมีเดีย ซึ่งแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจากกลุ่ม Millennials รุ่นเยาว์และกลุ่ม Generation Z ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วจะเริ่มมีส่วนร่วมกับอุตสาหกรรมนี้ครั้งแรกเมื่ออายุ 15 และ 12 ปี ตามลำดับ “เห็นได้ชัดว่าผู้บริโภครุ่นใหม่เหล่านี้สนใจผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและติดตามข่าวสารทางอินเทอร์เน็ต...พวกเขาอาจต้องการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช่ ไม่เช่นนั้น พวกเขาคงเลือกผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาสำหรับผิวผู้ใหญ่ ซึ่งอาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขา” Dan Su นักวิเคราะห์จาก Morningstar กล่าว

      Kimberley Ho เกิดและเติบโตมากับพ่อแม่ผู้เป็นสตาร์ทอัพในการก่อตั้งบริษัทพิมพ์ ในกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงที่พลุกพล่านของมาเลเซีย สมัยเป็นวัยรุ่น เธอหมกมุ่นอยู่กับการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยไอวีลีก ต่อมาเธอจึงตัดสินใจสมัครเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดตั้งแต่เนิ่นๆ โดยดูจากรูปถ่ายมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียอันสดใสบนเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยเป็นหลัก

    ในช่วงภาคเรียนแรกของเธอที่เรียนเอกเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เธอได้เห็นเพื่อนๆ หลายคนพยายามจะเข้าขากับตัวแทนของ Goldman Sachs ในงานรับสมัครงาน ไม่กี่ปีต่อมาในปี 2013 เธอได้เป็นนายธนาคารเพื่อการลงทุนให้กับบริษัทชั้นนำในแมนฮัตตันอยู่หลายปีหลังจากเรียนจบ และต่อมาได้ย้ายไปทำงานที่บริษัทจัดการสินทรัพย์ Oaktree สำหรับการทำงานที่นี่... Kimberley เริ่มเห็นรูปแบบที่น่ากังวลในแบรนด์ความงามยักษ์ใหญ่หลายแบรนด์ที่เธอเคยร่วมงานด้วย นับตั้งแต่คดีความมูลค่าหลายพันล้านเหรียญเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ยังไม่เปิดเผย ไปจนถึงแบรนด์ขายตรงถึงผู้บริโภคจำนวนมากที่แยกไม่ออก ไปจนถึงปัญหาคุณภาพเล็กๆ น้อยๆ ที่ถูกซุกซ่อนไว้ใต้พรม

    “สิ่งที่ทำให้ฉันอึดอัดใจในฐานะผู้บริโภค ผู้ที่รักความงาม และคนที่เติบโตมากับผิวที่บอบบางมาก คือการขาดความใส่ใจ ช่วงเวลาแห่งการรู้แจ้งเกิดขึ้นตอนที่เพื่อนๆ ของฉันที่บ้านเกิดในมาเลเซียกำลังสร้างครอบครัว และพวกเขามักจะขอร้องให้ฉันนำแบรนด์ใหญ่ๆ ของอเมริกาที่เรียกกันว่า ‘สะอาดและปลอดภัย’ กลับบ้าน แต่เนื่องจากฉันเป็นนักลงทุนเบื้องหลังของแบรนด์เหล่านี้หลายแบรนด์ ฉันจึงรู้ว่าพวกเขาไม่ได้ซื่อสัตย์อย่างที่พวกเขาอ้าง” CEO ของ Evereden กล่าว



    หลังจากเห็นช่องว่างขนาดใหญ่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวระดับพรีเมียม เธอจึงตัดสินใจลาออกจาก Oaktree ในปี 2017 เพื่อเปิดตัวแบรนด์เครื่องสำอางสำหรับครอบครัวระดับไฮเอนด์ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นแบรนด์ Evereden ในปัจจุบัน... โฮได้ส่งอีเมลข้อเสนอของเธอไปยังแพทย์ผิวหนัง 50 คนในสถาบันทางการแพทย์ชั้นนำ เพื่อช่วยเธอคิดค้นสูตรผลิตภัณฑ์ 

    Dr. Joyce Teng หัวหน้าภาควิชาผิวหนังเด็ก คณะแพทยศาสตร์สแตนฟอร์ด ได้เชิญเธอไปนำเสนอบริษัทด้วยตนเอง แนวคิดของเธอโดนใจ Dr. Joyce ในทันที หลังจากเล่าเรื่องราวการต่อสู้กับโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอย่างรุนแรงของลูกสาวคนเล็ก ไม่นานนัก Dr. Joyce ก็เข้ามารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์ของบริษัท และต่อมาก็มีคุณแม่อีกสองคนที่เคยทำงานเป็นแพทย์ที่คณะแพทยศาสตร์ฮาร์วาร์ดเข้าร่วมด้วย ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางไม่จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา (FDA) ก่อนวางจำหน่าย แต่ครีมกันแดดและผลิตภัณฑ์สำหรับโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ต้องได้รับการอนุมัติ Evereden ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) สำหรับผลิตภัณฑ์ที่เลือกสรรเหล่านี้ และทีมแพทย์ของบริษัททำให้บริษัทสามารถอ้างว่าปลอดภัยและ "ผ่านการทดสอบทางคลินิก" แล้วสำหรับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทั้งหมด

    Evereden เป็นที่รู้จักในสินค้าหมวดหมู่ย่อยหลายหมวดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนเว็บไซต์ Amazon เพราะภายในเวลาไม่กี่เดือนหลังจากวางจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมของบริษัทก็เติบโตจนขึ้นเป็นอันดับ 1 ในหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมสำหรับเด็กของ Amazon ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ได้รับความสนใจมากนักในธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ยักษ์ใหญ่แห่งนี้ ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กก่อนวัยรุ่นกลายเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เติบโตเร็วที่สุดของ Evereden อย่างรวดเร็ว

    ทั้งนี้ Evereden นังระดมทุนได้ถึงสองครั้งในปี 2021 รอบ Series C ของบริษัทระดมทุนได้ 32 ล้านเหรียญ นำโดย GSR Ventures ซึ่งตั้งอยู่ที่ Menlo Park เงินทุนส่วนใหญ่ที่ระดมทุนได้จากการระดมทุน Series C ถูกใช้ไปกับการสร้างห้องปฏิบัติการพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์และทีมนักเคมีเฉพาะทางของบริษัทเอง “นี่ไม่ใช่เรื่องปกติในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหรือความงาม เพราะโดยทั่วไปแล้ว มีเพียง L’Oreal, Unilevers และ P&G ทั่วโลกเท่านั้นที่มีห้องปฏิบัติการพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์ของตนเอง” Kimberley ย้ำ

    แบรนด์เครื่องสำอางกำลังมาแรงส่วนใหญ่ รวมถึง Rhode Beauty ของ Hailey Bieber ที่เพิ่งขายให้กับ Elf Beauty ไปในราคา 1 พันล้านเหรียญ มักใช้นักเคมีและห้องปฏิบัติการจากภายนอกที่คิดราคาคงที่สำหรับสูตรผลิตภัณฑ์ ในขณะเดียวกันก็คิดราคาแบบเดียวกันนี้กับธุรกิจคู่แข่งอีกหลายสิบแห่ง มาตรฐานอุตสาหกรรมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่กับบริษัทเอาท์ซอร์สเหล่านี้มักจะใช้เวลาประมาณ 18 เดือน "แต่ห้องปฏิบัติการของเรา วงจรชีวิตการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเราอยู่ที่ 3-6 เดือนเท่านั้น เราจึงสามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์ได้เร็วกว่าคู่แข่งถึง 3-4 เท่า” 


    Evereden เริ่มเปิดตัวผลิตภัณฑ์ประมาณ 10 รายการต่อปี และตลอด 4 ปีมานี้ บริษัทได้เพิ่มผลิตภัณฑ์ให้เพียงพอต่อความต้องการทุกกลุ่มอายุ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ผิวกาย น้ำหอม และผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง จนกลายเป็นร้านค้าผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลแบบครบวงจรสำหรับครอบครัว ตั้งแต่ปี 2021 ซึ่ง Amazon เป็นหนึ่งในช่องทางที่เติบโตเร็วที่สุดของแบรนด์ แม้ว่า Evereden จะมีสาขาในต่างประเทศ แต่ยอดขายเกือบทั้งหมดยังคงมาจากการสั่งซื้อออนไลน์ อีกทั้งบริษัทยังมีกำไรสุทธิในปีที่แล้วหลังจากทำยอดขายได้ถึง 100 ล้านเหรียญ !!!

    การเติบโตของ Evereden ยังสอดคล้องกับจำนวนเด็กก่อนวัยรุ่นที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งหลั่งไหลเข้ามายังร้านค้าปลีกและโซเชียลมีเดียเพื่อทดลอง ซื้อ และอวดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่หลากหลายและน่าขบขัน รายงานประจำปี 2023 ของ Sephora ระบุว่าจำนวนลูกค้าที่มีอายุระหว่าง 9 ถึง 12 ปีเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และตลาดเครื่องสำอางสำหรับเด็กทั่วโลกของปี 2024 ก็มีมูลค่าสูงราว 1.6 พันล้านเหรียญ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 51,880 ล้านบาท

    และแม้ว่า Evereden จะได้รับประโยชน์จากการเติบโตของกลุ่มที่เรียกว่า “เด็ก Sephora” แต่การเติบโตของแบรนด์ในช่วงที่ผ่านมา ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับเด็กที่ได้รับอิทธิพลจาก TikTok เหตุผลประการหนึ่งคือ Evereden ยังไม่ได้วางจำหน่ายในร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เช่น Sephora หรือ Ulta แม้ว่าทางแบรนด์หวังจะได้เป็นพันธมิตรทางธุรกิจรายใหญ่ในปีนี้

    ในส่วนของราคา แบรนด์ Evereden ค่อนข้างสูงกว่าแบรนด์อื่นๆ ตามท้องตลาดทั่วไป โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับโลชั่นเด็กอย่าง Johnson’s Baby Lotion ขวดละ 5 เหรียญ แต่เมื่อเทียบกับแบรนด์ระดับพรีเมียมสำหรับผู้ใหญ่ที่เด็กๆ ให้ความสนใจอย่าง ครีมบำรุงผิวแบรนด์ Drunk Elephant ขนาด 50 มล. ราคาขวดละ 69 เหรียญ ราคาของแบรนด์ Evereden ก็จะถูกกว่าถึงครึ่งหนึ่ง เหลือเพียง 28 เหรียญ ถือเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ



    อย่างไรก็ตาม Dan Su นักวิเคราะห์จาก Morningstar ได้ให้ความเห็นว่า Evereden อาจจะต้องเผชิญกับความท้าทาย เนื่องจากอาจมีข้อมูลผู้บริโภคไม่เพียงพอที่จะช่วยเหลือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในอนาคต และเธอยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า บริษัทต่างๆ ทั่วโลกได้รับโอกาสในการระบุและทำความเข้าใจผู้บริโภครุ่นใหม่จากการใช้โซเชียลมีเดีย ขณะที่ Kimberley เจ้าของแบรนด์บอกว่า “คนทุกเจเนอเรชันในยุคนี้เติบโตเร็วกว่าเจเนอเรชันก่อนหน้า และกลุ่มคน Gen Alpha ก็เติบโตมากับโซเชียลมีเดีย และพวกเขาทุกคนมีโทรศัพท์มือถือตั้งแต่อายุ 8 ขวบ”


ภาพ: Evereden

แปลและเรียบเรียงจากบทความ: Teens And Tweens Are Obsessed With This Skincare Brand For Babies - Now It Brings In $100 Million A Year




เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Kim Kardashian รวยขึ้นอีก! ทรัพย์สินเพิ่มเป็น 1.9 พันล้านเหรียญ หลัง Skims ระดมทุนครั้งใหม่ ทำมูลค่าบริษัทพุ่งอีก 5 พันล้านเหรียญ

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine