จาก Hollywood สู่โปรตีนอัดแท่ง เป้าหมายที่สูงขึ้นของ Patrick Schwarzenegger

จาก Hollywood สู่โปรตีนอัดแท่ง เป้าหมายที่สูงขึ้นของ Patrick Schwarzenegger

FORBES THAILAND / ADMIN
26 Nov 2025 | 08:18 AM
READ 128

หลังจากโลดแล่นในแวดวงการแสดงมากว่าทศวรรษ Patrick Schwarzenegger นักแสดงจาก The White Lotus ก็กำลังเริ่มพบที่ทางของตนเองภายใต้แสงแดดของ California ได้ในที่สุด แต่ Hollywood ก็ไม่ใช่สิ่งเดียวที่อยู่ในใจเขา เพราะการลงทุนที่ทำรายได้งามและธุรกิจโปรตีนอัดแท่งที่กำลังเติบโตได้เติมเต็มบทบาทในชีวิตของเขาได้เกือบเต็มที่


    จากความอ่อนล้าจากการเดินทางและความหิวโหย Patrick Schwarzenegger จึงมองไปยังโต๊ะบริการอาหารซึ่งมีทั้งขนมอบและแซนด์วิชวางอยู่เรียงราย ก่อนจะเบนความสนใจไปยังซูชิที่ร้าน Sugarfish นำมาส่งและจัดวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า

    ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมานักแสดงและนักธุรกิจวัย 31 ปีผู้นี้แทบไม่มีเวลาหายใจ หลังจากที่ต้องเดินทางไปถึง 15 ประเทศเพื่อโปรโมตซีรี่ส์ดังของ HBO อย่าง The White Lotus

    “ผมพกโปรตีนบาร์ติดตัวไว้เสมอ” เขากล่าวพลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบแท่งโปรตีน Mosh ออกมา 2 ชิ้น ซึ่งเป็นแบรนด์ที่เขาร่วมก่อตั้งขึ้นมาในปี 2021 “โดยเฉพาะเวลาถ่ายทำที่คุณไม่มีทางรู้เลยว่าเขาจะมีของว่างอะไรมาให้บ้าง ผมก็เลยพกของตัวเองติดไปด้วยตลอด”

    ไม่ต่างจากตัวละครใน The White Lotus อย่าง Saxon Ratliff ที่คลั่งไคล้โปรตีนแบบเขย่าก่อนดื่ม Schwarzenegger ก็ใส่ใจกับสิ่งที่เขาทานเช่นกัน ความคล้ายคลึงยังมีมากกว่านั้น ตัวเขาเองก็จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำพร้อมปริญญาด้านธุรกิจ เกิดในครอบครัวที่ทรงอิทธิพล และเติบโตท่ามกลางความมั่งคั่ง แต่ในขณะที่ Saxon ยังติดอยู่กับชีวิตหรูหราที่ได้รับมาจากพ่อแม่ Schwarzenegger กลับเลือกที่จะสร้างชื่อเสียงด้วยตัวเองทั้งในแวดวงธุรกิจและวงการบันเทิง

    Patrick เป็นลูกชายของ Arnold Schwarzenegger และ Maria Shriver เขาเติบโตมาในโลกของคนชั้นสูงแห่ง Hollywood และการเมือง ในฐานะลูกชายของผู้ว่าการรัฐ California นักแสดงที่กลายเป็นเศรษฐีพันล้านและนักข่าวโทรทัศน์ที่บังเอิญเป็นสมาชิกตระกูล Kennedy ตกหลุมรักการแสดงตั้งแต่ในเยาว์วัย บ่อยครั้งจะไปที่กองถ่ายของพ่อ

    “มีช่วงที่ผมคิดว่า ‘โอ้ พระเจ้า ชื่อเสียงของพ่อนี่มันยิ่งใหญ่เหลือเกิน เราควรเปลี่ยนนามสกุลไหมหรือใช้ชื่อในวงการดีไหม?’ เขายอมรับว่าเรื่องพวกนี้แวบเข้ามาในหัวอยู่บ้าง “แต่สุดท้ายแล้วผมก็ภูมิใจในตัวพ่อมาก ภูมิใจในชีวิตที่ท่านให้ผม ในชื่อเสียงที่พ่อสร้างไว้ และในแบรนด์ที่พ่อสร้างมันขึ้นมา”

    สิ่งที่เขารับมาจากพ่อก่อนเรื่องอื่นคือ ความสนใจในธุรกิจ แม่ของเขาเล่าว่า ตอนเป็นเด็กก่อนวัยรุ่น เขาติดรายการ Shark Tank มากถึงขนาดนั่งเฝ้าหน้าจอและเคยขอเงินวันเกิดไม่กี่ร้อยเหรียญเพื่อนำไปเปิดบัญชี E-Trade เพื่อซื้อหุ้นของ Apple

    ในปี 2008 ตอนนั้นเขามีอายุเพียง 15 ปี Schwarzenegger ไปฝึกงานกับ John Davis ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ลงทุนใน Wetzel’s Pretzels และเพิ่งขายหุ้นของตัวเอง (ร่วมกับกลุ่มนักลงทุน) ได้ประมาณ 36 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่า 13 เท่าจากเงินลงทุนตั้งต้น

    นั่นดึงดูดความสนใจของเด็กมัธยมอย่างเขา โดยเฉพาะเมื่อได้รู้ว่า Elise และ Rick Wetzel กำลังจะเริ่มธุรกิจใหม่เปิดร้านขายพิซซ่าแบบจานด่วน พ่อแม่ของเขาจึงให้เขากู้เงินราว 50,000 เหรียญเพื่อให้เขาลงทุนใน Blaze Pizza ซึ่งมีนักลงทุนร่วมอย่าง LeBron James ด้วย 6 ปีต่อมาในปี 2014 Schwarzenegger ก็ได้เปิดร้าน Blaze Pizza สาขาแรกจาก 2 แห่งของตัวเองในบ้านเกิดที่ Los Angeles

    “สิ่งที่ผมได้เห็นคือ ผู้บริโภคกำลังมองหาทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น อย่างท็อปปิ้งแบบวีแกน หรือแป้งพิซซ่าที่ดีต่อสุขภาพ” เขากล่าว “ผมก็เลยคิดว่างั้นผมก็จะลงทุนในบริษัทอื่นๆ ที่ทำธุรกิจแบบนี้ต่อไปเช่นกัน”

    ในปี 2015 เกือบ 8 ปีหลังจากการลงทุนครั้งแรก Schwarzenegger (ซึ่งตอนนั้นเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัย) ขายหุ้น Blaze ของเขาไปได้เงินมาอย่างน้อยราว 2 ล้านเหรียญตามการประเมินของ Forbes จากนั้นเขาก็นำเงินก้อนแรกนั้นมาใช้คืนเงินที่กู้ยืมมาจากพ่อแม่ และนำเงินส่วนที่เหลือไปลงทุนในแบรนด์เพื่อสุขภาพอื่นๆ เช่น แบรนด์ผงเกลือแร่ Liquid I.V. และโซดาพรีไบโอติก 2 ยี่ห้อคือ Olipop และ Poppi ซึ่งรายหลังเพิ่งขายกิจการไปเมื่อต้นปีนี้ในมูลค่าถึง 2 พันล้านเหรียญ

    ในขณะที่พอร์ตการลงทุนของเขาขยายตัว บทบาททางการแสดงของเขาก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ระหว่างที่เรียนอยู่ที่ USC นั้น Schwarzenegger เริ่มลงเรียนคลาสการแสดง ความมุ่งมั่นฝึกฝนต่อสัปดาห์ที่เขาทุ่มเทเพื่อสร้างอนาคตในอีก 10 ปีข้างหน้า ในช่วงแรกๆ เขาได้รับบทเล็กๆ ทั้งในภาพยนตร์และโทรทัศน์ไม่กี่เรื่องซึ่งรวมไปด้วย Grown Ups 2 และทีวีซีรี่ส์ Scream Queens แต่ก็ยังไม่มีบทไหนที่ทำให้เขาได้แจ้งเกิดอย่างแท้จริง

    เมื่อเกิดโควิดระบาดในปี 2020 และอุตสาหกรรมภาพยนตร์หยุดชะงัก เขาก็ย้ายกลับไปอยู่กับแม่ และทั้งสองได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Mosh โปรตีนอัดแท่งที่ออกแบบมาเพื่อเสริมสุขภาพสมอง (Maria Shriver เป็นผู้สนับสนุนงานวิจัยเกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์มาอย่างยาวนาน หลังจากได้เห็นผลกระทบของโรคนี้ที่มีต่อ Sargent Shriver พ่อที่เสียชีวิตไปแล้วของเธอ ซึ่งเขาเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Peace Corps, Head Start และโครงการอื่นๆ ในยุค Kennedy) Mosh มีส่วนผสมอย่างซิติโครีน (citicoline) เห็ด lion’s mane และโอเมก้า-3 ซึ่งถูกมองว่าเป็นส่วนผสมที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมอง

    “[แม่] เป็นพวกที่มองเห็นภาพอนาคตก่อนใคร ส่วนผมเป็นคนที่ทำให้ฝันของเธอเป็นจริง” Schwarzenegger กล่าว “และก็เป็นคนที่คอยตั้งคำถามในเชิงธุรกิจอยู่เสมอด้วย”

    ทั้งสองแม่ลูกได้ลงทุนเพื่อสร้างความเติบโตให้กับ Mosh ด้วยเงินส่วนตัวไปแล้วเกือบ 1 ล้านเหรียญจนถึง ณ เวลานี้ “มันไม่ได้เป็นแบบแบรนด์ที่มีคนดังหนุนหลังแล้วก็ไปหานักลงทุนหรือจ้างเอเจนซี่มาทำให้หรอก” เขากล่าว “เราพัฒนาสูตรโปรตีนอัดแท่งนี้ร่วมกับหมอและผู้เชี่ยวชาญด้านสูตรอาหาร เราทำเองทุกอย่างเลย แต่ตอนนั้นก็เป็นช่วงโควิดพอดี ห่วงโซ่อุปทานก็แย่มาก อะไรที่พลาดได้ก็ผิดพลาดมันไปหมดนั่นแหละ”

    แต่กระนั้นการเลือกเริ่มต้นในเวลานั้นกลับเป็นความลงตัว อุตสาหกรรมโปรตีนอัดแท่งที่กำลังเติบโตและมีรายได้รวมประมาณ 5 พันล้านเหรียญในปี 2024 เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังปี 2020

    เมื่อข้อจำกัดจากโควิดเริ่มคลี่คลาย Mosh ทำยอดขายได้ 4 ล้านเหรียญในปี 2022 ซึ่งเป็นผลงานเต็มปีครั้งแรกของบริษัท

    “เขาวางแผนเรื่องการสร้างธุรกิจไว้อย่างรอบคอบมาก” Shriver กล่าว “ฉันอยากให้เอาสินค้านี้เข้าไปขายในร้าน Target ตั้งแต่ปีแรกเลยด้วยซ้ำ แต่เขาบอกว่า ‘ยังไม่ได้ เราต้องสร้างฐานก่อน เราต้องรู้จักผู้บริโภคของเราให้ดีกว่านี้’ เขาอาจจะไม่ใช่คนใจเย็นในทุกเรื่องของชีวิต แต่ในเรื่องธุรกิจเขาใจเย็นและรู้จริง”

    ในปี 2023 Mosh ระดมทุนได้อีก 3 ล้านเหรียญในรอบซีรี่ส์ A เพื่อขยายสู่การค้าปลีก ซึ่งการลงทุนครั้งนั้นนำโดยบริษัทลงทุนของที่ปรึกษาทางการเงินของ Arnold Schwarzenegger ที่ร่วมงานกันมานาน ปีนั้น Mosh ทำรายได้ได้ถึง 7 ล้านเหรียญ และในปี 2024 ผลิตภัณฑ์ของ Mosh เริ่มวางขายในร้าน Erewhon และ Sprouts โดยจบปีด้วยยอดขาย 12 ล้านเหรียญ แม้ยังไม่สามารถทำกำไรได้

    แม้เขาจะยังไม่ละทิ้งอาชีพนักแสดง แต่ในช่วงต้นของการเปิดตัว Mosh ก็มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาคิดจะหันหลังให้วงการ Hollywood “ถ้าการแสดงไปต่อไม่ได้” กระทั่งเขาได้รับบทในมินิซีรี่ส์ของ HBO Max ที่นำแสดงโดย Colin Firth จากนั้นก็ได้รับบทนำในซีรี่ส์ภาคแยกของ The Boys จาก Amazon Prime ในปี 2023 ก่อนจะได้ร่วมแสดงใน The White Lotus เขาเดินทางไปถ่ายทำซีรี่ส์ยอดฮิตของ Mike White ที่ประเทศไทยในช่วงต้นปี 2024 แต่การทำ 2 หน้าที่ควบกันก็ส่งผลกระทบกับตัวเขา

    “มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำงานให้ Mosh ไปด้วยระหว่างถ่ายทำที่ประเทศไทย” Schwarzenegger เล่าย้อน “บางคืนผมต้องตื่นมาตอนตี 2 ตี 3 เพื่อเข้าประชุมทาง Zoom กับ Sprouts หรือ Kroger”

    ณ ตอนนี้เขายังไม่มีแผนจะออกจากบริษัทแม้ว่าเขาจะพา Mosh ไปถึงเป้าหมายแรกของตัวเองแล้วก็ตาม นั่นคือการทำธุรกิจให้มีรายได้เกิน 10 ล้านเหรียญ “นั่นแหละเป้าหมายของผม เป็นหัวเรือนำพาธุรกิจไปให้ถึงเป้าหมาย” เขากล่าว “แต่มันเป็นอีกเรื่องเลยนะ การสร้างธุรกิจจาก 0 ไปถึง 10 ล้านเหรียญ กับจาก 10 ล้านไป 100 ล้าน คุณต้องมีคนที่ลงพื้นที่จริงทุกวัน ทุกเวลา เพื่อพาธุรกิจไปถึงระดับถัดไปให้ได้”

    ในปีนี้ Mosh กำลังอยู่ในเส้นทางที่จะทำรายได้เกิน 20 ล้านเหรียญ และกำลังระดมทุนอีกครั้งในช่วงซัมเมอร์นี้เพื่อเร่งการเติบโตในช่องทางค้าปลีกและเดินหน้าสู่การทำกำไร Jeff Gamsey กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Mosh กล่าว ด้าน Schwarzenegger และ Shriver ก็กำลังวางแผนขยายแบรนด์ให้เข้าสู่ร้าน Costco และ Walmart

    ระหว่างนี้ชีวิตของเขาก็ยิ่งยุ่งขึ้นไปอีก แต่สำหรับ Schwarzenegger แล้วยิ่งยุ่งก็ยิ่งดี “เมื่อไม่กี่ปีก่อนมีผู้บริหารค่ายหนังคนหนึ่งบอกผมว่า ให้หยุดทำธุรกิจได้แล้ว มันมากเกินไปที่จะเหยียบเรือสองแคมอยู่แบบนี้” เขาเล่า “แต่ผมคิดว่าระหว่างวงการหนังกับธุรกิจ มันมีความเชื่อมโยงกันอยู่ และพอเข้าใจสิ่งนี้แล้วผมก็หวังว่าพอแบรนด์ของผมโตขึ้น อาชีพนักแสดงของผมจะเติบโตไปด้วย เพราะสุดท้ายแล้วในฐานะนักแสดง คุณก็คือธุรกิจ คุณคือแบรนด์”



เรื่อง: Simone Melvin

เรียบเรียง: จารุณี แตมสำราญ

ภาพ: Cody Pickens



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Adam Waheed สายฮาพารวย

อ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนตุลาคม 2568 ในรูปแบบ e-magazine