Ron Shaich เปิดเบเกอรี่ร้านแรกของตัวเองตอนอายุ 26 ปี หลายทศวรรษหลังจากนั้นเขาร่ำรวยจากการเป็นนักทำนายอนาคตของธุรกิจอาหาร การค้นพบและการนำร้านอาหารที่ติดกลุ่มแบรนด์ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเข้าสู่ตลาด และต่อไปนี้คือสิ่งที่เขามองว่าจะเป็นก้าวใหม่
Ron Shaich ดูผ่อนคลาย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบรรยากาศรอบข้าง เศรษฐีพันล้านนักปั้นร้านอาหารนั่งเอกเขนกอยู่ในโฮมออฟฟิศที่บ้านพักตากอากาศของเขาที่ Jumby Bay เกาะส่วนตัวใกล้ชายฝั่งของประเทศเกาะ Antigua โดย Shaich วัย 71 ปี กำลังสบายอารมณ์เพราะได้พูดคุยถึงสิ่งที่เขาชอบ นั่นคือ โลกของร้านอาหารในอเมริกาที่ “คนชนะกวาดเรียบ” เขาประกาศว่า “ธุรกิจร้านอาหารก็เหมือนทำไร่ทำนา” ถึงส่วนใหญ่จะเจอแต่ดิน แต่ก็ขุดเจอทองได้เป็นพักๆ ถ้ารู้จักเลือกขุดเป็นพิเศษ “ผมชอบเวลาที่ผมคิดได้ก่อนคนอื่น”
กว่า 4 ทศวรรษมาแล้วที่ Shaich คว้าชัยชนะครั้งใหญ่อย่างต่อเนื่องด้วยการทำแบบนั้น เมื่อปี 1981 เขาซื้อหุ้นใหญ่ในเครือร้านเบเกอรี่กึ่งคาเฟ่เล็กๆ ที่มีแค่ 3 สาขาชื่อว่า Au Bon Pain 12 ปี ต่อมาเขาควบรวมเครือร้านนี้กับเครือที่ใหญ่กว่านิดหน่อย (20 สาขา) ชื่อ Saint Louis Bread Co. ซึ่งปัจจุบันเป็นที่รู้จักในนาม Panera Bread โดย Shaich บริหาร Panera ในฐานะซีอีโอมาจนถึงปี 2017 แล้วก็ขายกิจการให้กลุ่มบริษัทเยอรมัน JAB Holdings ไปในราคา 7.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งตัวเขาเองได้เงินจากการซื้อขายครั้งนี้ 300 ล้านเหรียญหลังหักภาษี
จากนั้นเขาก็ตั้งบริษัท Act III Holdings ที่เมือง Miami (เปรียบว่าบริษัทนี้เป็นองก์ที่ 3 ในชีวิตการทำงานของเขา) แล้วเข้าไปลงทุนประมาณ 175 ล้านเหรียญในเครือร้านอาหารเมดิเตอร์เรเนียนแบบ fast casual ชื่อ Cava
การวางเดิมพันกับ Cava ให้ผลตอบแทนแก่ Shaich อย่างงามที่สุดเท่าที่เคยได้มา บริษัทนี้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2023 ด้วยมูลค่าประเมินเกือบ 5 พันล้านเหรียญ และตอนนี้มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอยู่ที่ 8.6 พันล้านเหรียญ จึงถือว่ามีมูลค่าสูงกว่า Panera ตอนที่ขายกิจการให้ JAB ไปเสียอีก แม้ Cava จะมีจำนวนสาขาแค่ 1 ใน 5 ก็ตาม
Shaich ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของ Cava เมื่อตอนที่นำบริษัทเข้าตลาดและยังเป็นประธานกรรมการของแบรนด์นี้อยู่ในปัจจุบันจึงกลายเป็นเศรษฐีพันล้านจากการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนั้น Forbes ประเมินว่า ปัจจุบันนักธุรกิจใหญ่คนนี้มีทรัพย์สิน 1.2 พันล้านเหรียญหลังจากขายหุ้นไปแล้ว 640 ล้านเหรียญ (ก่อนหักภาษี) ตั้งแต่ IPO และเขายังมีหุ้นในบริษัทโตเร็วแห่งนี้อีก 4%
ความสำเร็จระดับนี้อาจทำให้บางคนสั่งเช็กบิลแล้วกลับบ้านไปนอนตีพุง แต่ Shaich ไม่เอา เขากล่าวว่า ที่เขาขายหุ้นส่วนใหญ่ของเขาใน Cava เพราะเขามาถึงจุดที่หวังพึ่งธุรกิจเดียวมากเกินไปแล้ว หรือถ้าจะเปรียบเทียบกับการ “ทำไร่ทำนา” อย่างที่เขาพูดก่อนหน้านี้ก็คือ “ผมอยากเก็บเกี่ยวผลผลิตตอนที่คนกำลังชื่นชอบและมูลค่าพุ่ง” (ซึ่งจังหวะของ Shaich ก็ดีด้วย เพราะเขาขายหุ้น Cava ที่ซื้อมา 11.7 ล้านเหรียญออกไปได้กว่า 60% ในปี 2024 ก่อนที่ราคาจะร่วง 35% ในปีนี้
แต่นักวิเคราะห์โทษว่า เรื่องนี้เป็นเพราะความกังวลในตลาดโดยรวม ไม่ใช่ปัญหาจากผลการดำเนินงานของบริษัทเอง) ปัจจุบันเขาเตรียมจะใช้เงินทุนในมือดันร้านอาหารแบบอื่นให้ขึ้นมาเป็นผู้ชนะบ้าง และเขาก็พอมีไอเดียแล้วว่าจะเป็นร้านอะไรดี

Shaich เริ่มทำธุรกิจร้านอาหารตั้งแต่อายุ 26 ปี เขาเกิดในครอบครัวฐานะปานกลางค่อนข้างดีในเมือง Newark รัฐ New Jersey เขาเรียนรู้ความเป็นผู้ประกอบการจากพ่อ ผู้เป็นนักบัญชีที่มีบริษัทของตัวเอง (Pearl แม่ของเขาอยู่บ้านเลี้ยง Shaich และน้องสาว) หลังจากเรียนจบด้านการเมืองที่ Clark University ในเมือง Worcester รัฐ Massachusetts เขาซึ่งชั่งใจอยู่ว่าจะทำงานสายการเมืองหรือธุรกิจดีก็ตัดสินใจเลือกธุรกิจ เขาได้ปริญญาโทบริหารธุรกิจจาก Harvard ในปี 1978 และได้งานเป็นผู้จัดการภาคที่ The Original Cookie Company เครือร้านขายคุกกี้แบบกูร์เมต์ เขาเล่าว่า เขาสนใจอุตสาหกรรมร้านอาหารเพราะ “วงการนี้เหมาะกับผู้ประกอบการ” ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะเข้ามาทำไม่ยากและใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้เยอะ
2 ปีต่อมา Shaich ใช้เงินเก็บของเขาเอง 25,000 เหรียญกับเงินจากพ่อ 75,000 เหรียญ (ที่ “เบิกล่วงหน้า” มาจากมรดกของเขาเอง 250,000 เหรียญ) เปิดร้าน The Cookie Jar เป็นร้านคุกกี้เล็กๆ ในเมือง Cambridge รัฐ Massachusetts เขาเพิ่มเมนูโดยเริ่มจากการซื้อครัวซองต์กับขนมอบอื่นๆ จากร้านเบเกอรี่ในเมืองที่ชื่อ Au Bon Pain และนี่คือจุดที่เขามองเห็นโอกาสอันน่าสนใจ
Shaich เล่าว่า Au Bon Pain มีสินค้าดีเยี่ยม แต่บริหารแย่และส่งของไม่ทันเวลาอยู่บ่อยๆ เขาจึงตัดสินใจนำร้าน Cookie Jar ซึ่งสร้างเงินสดได้มาควบรวมกับร้าน Au Bon Pain 3 สาขาซึ่งขาดทุน งานนี้เขาไม่ต้องจ่ายอะไรเลย แค่ตกลงว่าจะใช้หนี้ 3.5 ล้านเหรียญให้ Au Bon Pain จากนั้นเขาก็ยกเครื่องการดำเนินงานของบริษัท เพิ่มสาขาเป็นประมาณ 50 สาขา แล้วนำเครือร้านที่เติบโตอย่างรวดเร็วนี้เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 1991
หลัง IPO ได้ไม่นาน Shaich ก็เจอเป้าหมายต่อไป St. Louis Bread Co. ก่อตั้งโดยผู้ประกอบการชื่อ Ken Rosenthal เมื่อปี 1987 ในย่าน Kirkwood ชานเมือง St. Louis เครือร้านนี้มีเบเกอรี่กึ่งคาเฟ่ 20 สาขาทั่วภูมิภาคมิดเวสต์ Shaich ชอบเมนูขนมปัง บรรยากาศติดดิน และการที่ร้านนี้ได้ใจคนในย่านชานเมือง ซึ่งเขามองว่าจะช่วยเสริมกันอย่างดีกับ Au Bon Pain ซึ่งยิ่งได้รับความนิยมมากกว่าในเขตเมืองใหญ่
Au Bon Pain จึงซื้อเครือร้านนี้ด้วยราคา 24 ล้านเหรียญแล้วเปลี่ยนชื่อเป็น Panera Bread (Shaich ขาย Au Bon Pain ไปในปี 1999 เพื่อเขาจะได้ดูแล Panera อย่างเต็มที่ แต่ภายหลัง Panera ก็ซื้อ Au Bon Pain กลับมา แล้วก็ขายไปอีกครั้ง) ในช่วง 2 ทศวรรษต่อมา Shaich ขยายกิจการ Panera ด้วยความเร็วเหลือเชื่อ จนเครือร้านซุป สลัด และแซนด์วิชเครือนี้มียอดขายรวม 5 พันล้านเหรียญ และมีร้านกว่า 2,000 สาขาในปี 2017
“(Ron) มีไอเดียตั้งแต่แรกเลยว่าอยากได้ร้านบรรยากาศสบายๆ ที่คนนัดมาเจอกัน มีกลุ่มนักอ่านมานั่งคุยเรื่องหนังสือกัน” Bill Moreton เล่า เขามาทำงานกับ Panera เมื่อปี 1998 แล้วต่อมาก็ขึ้นเป็นรองประธานกรรมการบริหาร Moreton อยู่ในคณะกรรมการของ Cava ด้วยจนถึงปี 2022 ก่อนจะเกษียณออกไป และปัจจุบันยังให้คำปรึกษาแก่ Act III เป็นครั้งคราว Moreton พูดถึง Shaich ว่า “เขาเป็นคนเซนส์ดีเหลือเชื่อโดยธรรมชาติ มีสัมผัสพิเศษในตัวที่ทำให้รู้จักและรู้ว่าผู้บริโภคอยากได้อะไร”
Shaich ปั้นเครือร้าน Panera จนได้รับการยกย่องให้เป็นผู้บุกเบิกโมเดล “fast casual” สำหรับร้านอาหารในอเมริกา ซึ่งผสานองค์ประกอบของร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด (บริการรวดเร็ว) กับร้านระดับสูงกว่านั้น (คุณภาพอาหารดีกว่าและราคาสูงกว่าเล็กน้อย) ร้านประเภทนี้ซึ่งพูดแล้วก็น่าจะนึกถึง Chipotle, Shake Shack และ Cava นั้น “สมัยก่อนไม่เคยมี” Danilo Gargiulo นักวิเคราะห์ธุรกิจร้านอาหารอาวุโสของ Bernstein กล่าว “ส่วนตัวผมคิดว่าเขาได้ทำอะไรที่สุดยอดเลย (ด้วย Panera)”
ถึงกระนั้นช่วงเวลาที่เขาเป็นผู้บริหารก็ไม่ได้มีแต่เรื่องดี เมื่อปี 2017 Shaich ให้เหตุผลว่า ตลาดมหาชนมีมุมมองแง่ลบในระยะสั้น และเขาเองก็อยากอยากเปลี่ยนไปทำธุรกิจอื่นๆ เขาจึงตกลงขายกิจการ Panera ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไปด้วยราคา 7.5 พันล้านเหรียญ สูงกว่ามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 30%
แต่หลังจากขายหุ้นได้แค่ไม่กี่เดือน นักลงทุนกลุ่มหนึ่งของ Panera ก็ยื่นคัดค้านราคาหุ้นต่อศาลชานเซอรีรัฐ Delaware (Delaware Chancery Court) โดยแย้งว่า Shaich และผู้นำของ Panera คนอื่นๆ เร่งขายหุ้นด้วยราคาประเมินต่ำเกินไป แต่ในปี 2020 ผู้พิพากษาตัดสินว่า ผู้ถือหุ้นได้รับเงินอย่างเป็นธรรมแล้ว นอกจากนี้ Shaich กับ Panera เองก็แลกหมัดกันหลายคดี
หลังจาก Shaich คว้าพนักงานสายเทคโนโลยี 3 คนของ Panera ไปทำงานกับ Act III บริษัทกล่าวหาว่า Shaich พยายามขโมยความลับทางการค้า ส่วน Shaich โต้ว่า บริษัทไม่มีมูลฐานที่จะเอาสัญญาห้ามแข่งขันมาบังคับใช้กับพนักงานเหล่านี้ ต่อมาเอกสารที่ยื่นในเดือนพฤศจิกายน ปี 2021 ระบุว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงสงบศึกในที่สุด ซึ่ง Shaich กล่าวว่า คดีเหล่านั้นได้ข้อยุติที่ “น่าพอใจมาก” แต่เขาไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้เพราะติดสัญญาไม่เปิดเผยข้อมูล ส่วนโฆษกของ Panera ไม่ตอบรับคำขอสัมภาษณ์ของ Forbes ในประเด็นนี้
Shaich มีไอเดียอยู่บ้างแล้วตอนที่เขาออกมาจาก Panera ไอเดียแรกคือ ลงทุนในร้านอาหารเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเขาอธิบายว่าเป็น “อาหารอันดับ 1 ในอเมริกา” ตามมุมมองของเขาเอง “ทุกครั้งที่คุณไปหาหมอ หมอจะพูดถึงอาหารเมดิเตอร์เรเนียน ทุกครั้งที่หยิบนิตยสารมันก็จะพูดถึงอาหารเมดิเตอร์เรเนียน” เขากล่าว
“ผมไม่รู้ว่ามันจะไปได้ไกลแค่ไหน แต่ผมรู้ว่าอาหารเมดิเตอร์เรเนียนมีศักยภาพจะเป็นเหมือนอาหารเม็กซิกันที่มาก่อน เหมือนร้านซุป สลัด แซนด์วิชที่มาก่อน เหมือนพิซซ่าที่มาก่อน” ไอเดียนี้นำเขามาสู่ Cava ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 2006 เป็นร้านสแตนอโลนในเมือง Rockville รัฐ Maryland

โดย 3 สหายที่คบกันมาแต่เด็ก Shaich เข้าซื้อหุ้นเครือนี้นิดหน่อยด้วยเงินของเขาเองในปี 2015 ตั้งแต่ตอนที่เขายังบริหาร Panera อยู่ ซึ่งตอนนั้น Cava มีร้านแค่ 2 สาขา Shaich ก่อตั้ง Act III ในปี 2018 1 ปีหลังจากขายหุ้น Panera แล้วนำเงินของตัวเองประมาณ 250 ล้านเหรียญมาเป็นทุนของบริษัท เขานำเงินประมาณ 70% มาใช้ควบรวมกิจการของ Cava ซึ่งเป็นร้านเล็กที่มาแรงกับ Zoe’s Kitchen คู่แข่งที่ใหญ่กว่า Cava ประมาณ 5 เท่า แต่กำลังตกที่นั่งลำบาก
แค่ชั่วข้ามคืนเครือร้านนี้ขยายจาก 66 สาขาเป็นกว่า 260 สาขา และหลังจากนั้นก็โตขึ้นเป็นเกือบ 400 สาขาทั่วสหรัฐฯ โดยมีแผนจะไปให้ถึง 1,000 สาขาภายในปี 2032 ซึ่งทั้งหมดเป็นร้านที่บริษัทเป็นเจ้าของ Cava ร้าน fast casual สไตล์เดียวกับ Chipotle ซึ่งให้ลูกค้าเลือกส่วนผสมในสลัดหรือข้าวหน้าแบบเมดิเตอร์เรเนียนได้เองนั้นมีรายได้เพิ่มเป็นเท่าตัวจาก 470 ล้านเหรียญในปี 2022 เป็น 954 ล้านเหรียญในปีที่แล้ว และเริ่มมีกำไรในปี 2023
เครือร้านนี้ดูเหมือนจะรักษาตัวเองได้ดีเป็นพิเศษจากผลกระทบของภาษีนำเข้าที่ประธานาธิบดี Donald Trump เรียกเก็บจากชาติต่างๆ เพราะทางร้านนำเข้าส่วนผสมและวัตถุดิบจากต่างประเทศแค่บางอย่างเท่านั้น เช่น อะโวคาโดจากเม็กซิโก และมะกอกคาลามาตาจากกรีซ

Shaich ยังเชื่อว่า Cava จะไปได้สวย แม้เขาจะขายหุ้นไปแล้ว 7 ล้านหุ้นในช่วงไม่ถึง 2 ปี ซึ่งเขากล่าวว่า การขายหุ้นเอาเงินสดคืนมาจะช่วยให้ Act III รุกเข้าไปลงทุนในกิจการอื่นๆ ได้มากขึ้น ร้านที่เป็นดาวเด่นที่สุดในกลุ่มนี้คือ Tatte ซึ่งเปิดมาตั้งแต่ตอนที่ Shaich ยังบริหาร Panera อยู่เหมือนกัน และเขาเคยซื้อหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทนี้ในนาม Panera ในที่สุด Shaich ก็เจรจาขอเป็นเจ้าของ Tatte เองโดยให้เป็นส่วนหนึ่งในผลประโยชน์ที่เขาได้รับตอนออกมาจาก Panera
Tatte ก่อตั้งโดยเชฟขนมอบชาวอิสราเอล Tzurit Or ในเมือง Boston ร้านนี้มีเมนูหลากหลายทั้งขนมอบ อาหารเช้า อาหารกลางวัน และกาแฟแบบพิถีพิถัน ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาหารอิสราเอล แอฟริกาเหนือ และเลบานอน ปัจจุบัน Tatte มี 46 สาขา ส่วนใหญ่อยู่ในรัฐ Massachusetts และกิจการก็มีแนวโน้มจะทำรายได้ประมาณ 250 ล้านเหรียญในปีนี้ตามที่ Noah Elbogen หุ้นส่วนและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Act III บอกไว้

เขาพบกับ Shaich เป็นครั้งแรกตอนที่เขายังทำงานให้ Luxor Capital Group ซึ่งเป็นนักลงทุนนักเคลื่อนไหวกดดันใน Panera (2 คนนี้เริ่มต้นจากเป็นคู่ปรับแต่กลายเป็นเพื่อนกันทีหลัง) ตัวเลขรายได้นี้หมายความว่า Tatte มียอดขายต่อสาขาประมาณ 5 ล้านเหรียญ หรือเกือบเท่าตัวของยอดขายจากร้านซึ่งบริหารโดยผู้ซื้อแฟรนไชส์ของ Panera โดยเฉลี่ย
Elbogen กล่าวว่า Act III กำลังอัดฉีดเงินสดแบบ “เป็นเนื้อเป็นหนัง” เพื่อใช้เป็นทุนเปิดร้าน Tatte สาขาใหม่อีก 9 สาขาทั่วภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือในปีนี้ ซึ่งรวมถึงสาขาแรกในเมือง New York City และจะมีอีก 10 สาขาในปีหน้า นอกจากนี้ บริษัทเพิ่งเปิด “เบเกอรี่กลาง” ขนาด 1,860 ตารางเมตรใน New York ซึ่งจะมีพ่อครัวขนมอบแบบพิถีพิถันทำขนมอบและขนมปังสดใหม่ให้ Tatte
การลงทุนใหญ่อีกอย่างหนึ่งของ Act III คือ Level 99 บริษัททำสนามเด็กเล่นที่ให้ผู้ใหญ่มาร่วมแข่งขันเกมกันโดยท้าให้ผู้เล่นเอาชนะ “เกมประลองร่างกายและสมองในบรรยากาศสุดอาร์ต” 50 เกม เช่น โรงฝึกนินจา วิหารแอซเท็ก และปล้นพิพิธภัณฑ์ บริษัทเตรียมจะเปิดอีก 2 สาขาในปีนี้ รวมถึงอีก 1 สาขาที่ Disney Springs ศูนย์การค้าใน Walt Disney World Resort ที่เมือง Orlando รัฐ Florida แต่ยังไม่เผยกำหนดเปิด
เมื่อเดือนมกราคม Act III ยังลงทุนในร้านอาหารใหม่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา หลังจากที่หารือกันมา 1 ปีบริษัทก็ได้เข้าซื้อหุ้นใน Honest Greens ร้านอาหารในเมือง Barcelona ที่ขาย “อะโวคาโดโทสต์หน้าแน่น” “พุดดิ้งบลูเบอร์รี่ใส่เมล็ดเจีย” และอาหารเพื่อสุขภาพอื่นๆ ที่ทำจากวัตถุดิบในประเทศโดยมี 30 สาขาในยุโรป ทีม Act III มองว่านี่คือโอกาสเติบโตในตลาดร้านอาหาร fast casual ที่ยังใหม่อยู่ในยุโรป
“ตอนนี้ Ron จับงาน 4-5 อย่างพร้อมกัน แต่เราก็ทำตามรูปแบบที่คล้ายกันมาก” Elbogen กล่าว “แต่ละร้านเป็นร้านคนละประเภท แต่ละร้านมียอดขายสูงที่สุดในประเภทนั้น และแต่ละร้านมีสภาวะการแข่งขันที่เราคิดว่าเอื้อให้เราอย่างมาก” นี่คือตำรากลยุทธ์ที่ “อาจจะพูดได้ว่า แข่ง 3 ครั้งก็ชนะ 3 ครั้ง” หุ้นส่วนของ Act III เสริม
Shaich ไม่ยอมบอกว่า เขาลงทุนในแต่ละกิจการไปเท่าไร หรือมูลค่าปัจจุบันเป็นเท่าไร แต่เขากล่าวว่า Act III ไม่ได้ทำตัวเหมือนบริษัทเงินร่วมลงทุนแบบดั้งเดิม (VC) “เราเป็นนักสร้างธุรกิจ ไม่ใช่นักลงทุน” เขากล่าว และอธิบายว่า โดยทั่วไปแล้วกองทุนของเขาซึ่งมีพนักงานประมาณ 25 คนจะซื้อหุ้นเกือบทั้งหมดของบริษัทที่อยู่ในพอร์ตโฟลิโอหลังจากที่เข้าไปเป็นผู้สนับสนุนรายเดียวของบริษัทนั้น Shaich ถือหุ้น 97% ของกิจการโดยรวม ซึ่งเขาเป็นผู้ออกเงินทุนคนเดียวเกือบทั้งหมด “เราจะพูดว่าพอเราเข้าไปร่วมงานกับคุณแล้ว คุณก็รับเงินทุนจากเราแค่ที่เดียวจบได้เลย เราเป็นธนาคารให้เอง”
เขาอธิบายว่า บริษัทของเขาคัดเลือกการลงทุนอย่างละเอียดสุดๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบริษัทนี้อยู่ในสถานะซึ่งหาได้ยาก นั่นคือมีเงินเยอะแต่ไม่รู้จะใช้ทำอะไร “ปัญหาของเราคือ การใช้เงินทุน” เขากล่าว “เราอยากทำแต่เรื่องสุดยอดเท่านั้น”
ประธานกรรมการของ Cava ยืนยันว่า แรงบันดาลใจที่ทำให้เขาอยากลงทุนต่อไปไม่ใช่แค่เพื่อเงิน แต่เขาพอใจจะทำตัวเป็น “เศรปา” (sherpa) ให้ธุรกิจที่กำลังโต เขาเปรียบตัวเองกับไกด์ผู้เชี่ยวชาญชาวเนปาลที่ช่วยพานักปีนเขาไต่ขึ้นภูเขาเอเวอเรสต์
“ผมอาจจะไม่ใช่คนที่ควรพูดแบบนี้ แต่ผมไม่คิดว่าความเหลื่อมล้ำของรายได้ในประเทศเรามันเป็นเรื่องดี และไม่คิดว่ามันช่วยสร้างชาติเราให้ดีขึ้น” Shaich กล่าว เมื่อปี 2010 เขาเคยช่วยตั้งกลุ่ม No Labels ที่สนับสนุนการเมืองสายกลางเพื่อยุติการเมืองแบบสุดโต่ง กลุ่มนี้พยายามและล้มเหลวในการส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2024 เพื่อเป็นทางเลือกอื่นนอกจาก Donald Trump และ Kamala Harris
Shaich มีทฤษฎีส่วนตัวว่าคนที่เอาแต่อยากได้เงินไม่เคยทำเงินได้จริง “คนที่รวยได้คือ คนที่ทำอะไรให้มันดีขึ้น” นี่คือคำพูดของบุคคลเบื้องหลังร้านอาหารที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดหลายแบรนด์ในสหรัฐฯ “พวกเขาจะคิดวิธีทำสิ่งที่ดีกว่าให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย แบบนี้แหละระบบถึงจะตอบแทนคุณ”
เรื่อง: JEMIMA MCEVOY
เรียบเรียง: ธรรดร โสตถิอำรุง
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ‘ขจัดอาชญากรรมทั่วอเมริกา’ คือฝันอันสูงสุดของซีอีโอ Flock Safety ผู้บุกเบิกกล้องระวังภัยขับเคลื่อนด้วย AI


