อุปสรรคอันหนักอึ้ง วัดกึ๋น ‘Isidro Consunji’ แห่ง DMCI Holdings ยักษ์ธุรกิจก่อสร้าง-เหมืองแร่ฟิลิปปินส์ ทุ่ม 660 ล้านเหรียญ ซื้อกิจการปูนซีเมนต์ที่กำลังขาดทุน

อุปสรรคอันหนักอึ้ง วัดกึ๋น ‘Isidro Consunji’ แห่ง DMCI Holdings ยักษ์ธุรกิจก่อสร้าง-เหมืองแร่ฟิลิปปินส์ ทุ่ม 660 ล้านเหรียญ ซื้อกิจการปูนซีเมนต์ที่กำลังขาดทุน

FORBES THAILAND / ADMIN
11 Dec 2025 | 09:15 AM
READ 99

Isidro Consunji นักอุตสาหกรรมผู้ต่อยอดบริษัท DMCI Holdings ธุรกิจของครอบครัวใน Manila ให้กลายเป็นกลุ่มบริษัทอันทรงอิทธิพลที่มีกิจการหลากหลายจากการเข้าถือหุ้นในธุรกิจก่อสร้าง พลังงาน เหมืองแร่ และน้ำประปา การเข้าซื้อกิจการปูนซีเมนต์ที่ขาดทุนด้วยเงิน 660 ล้านเหรียญสหรัฐฯ กำลังวัดกึ๋นของเขาในฐานะเซียนผู้ช่ำชองการพลิกฟื้นกิจการที่ประสบปัญหา


    รายงานประจำปี 2024 ของยักษ์ใหญ่ในธุรกิจก่อสร้างและเหมืองแร่ของฟิลิปปินส์อย่าง DMCI Holdings มาพร้อมหน้าปกสะดุดตาที่ออกแบบด้วย AI นำเสนอภาพบล็อกคอนกรีตสีเทาเรียงลดหลั่นกันเสมือนเป็นไซด์งานก่อสร้างแห่งอนาคต บริษัทระบุว่าภาพนี้สื่อถึง “รากฐานที่มั่นคงและความแข็งแกร่งอันยั่งยืน” รวมถึง “วิสัยทัศน์ระยะยาว” ของทางบริษัท แต่ภาพนี้อาจส่งสัญญาณสะท้อนถึงความท้าทายใหม่ที่ Isidro Consunji ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่แห่ง DMCI ลงมือเดิมพันไว้ด้วยตัวเอง

    เดือนธันวาคมที่ผ่านมา บริษัทที่ทำรายได้ 1.02 แสนล้านเปโซ (1.8 พันล้านเหรียญ) แห่งนี้ทุ่มเงิน 660 ล้านเหรียญเข้าซื้อกิจการ (พร้อมหนี้สิน) หน่วยธุรกิจซีเมนต์ในฟิลิปปินส์ของ Cemex บริษัทยักษ์ใหญ่จากเม็กซิโกที่ตกอยู่ในสภาวะขาดทุน ถือเป็นการปิดฉากการดำเนินธุรกิจของ Cemex ในฟิลิปปินส์อย่างเป็นทางการ หลังเปิดกิจการมานานกว่า 25 ปี และเปิดทางให้ DMCI เข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมนี้ที่จับจ้องมาหลายปีแล้ว

    สำหรับ Consunji ซีเมนต์คือชิ้นส่วนที่ขาดหายไปในพอร์ตโฟลิโอของสินทรัพย์ด้านโครงสร้างพื้นฐานของบริษัท ซึ่งนอกจากธุรกิจก่อสร้างดั้งเดิมของครอบครัวแล้ว ยังครอบคลุมเหมืองแร่ พลังงาน การประปา และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้วย เจ้าพ่อธุรกิจวัย 76 ปี ผู้คร่ำหวอดในเรื่องการเข้าฟื้นฟูกิจการที่ประสบปัญหาคนนี้เชื่อมั่นว่า จะทำสำเร็จได้ไม่ยาก “เราตั้งเป้าจะสร้างกำไรให้ได้ภายใน 2-3 ปี” เขาให้สัมภาษณ์ ณ สำนักงานใหญ่ของ DMCI ในอาคารสูง 5 ชั้นที่สร้างอย่างเรียบง่ายบริเวณรอบนอกของ Makati ย่านธุรกิจใจกลาง Manila

    Cemex ติดอันดับ 1 ใน 5 บริษัทผู้ผลิตซีเมนต์ระดับแถวหน้าในฟิลิปปินส์ ด้วยโรงงาน 2 แห่ง และกำลังการผลิตปีละ 7.2 ล้านตัน (เพิ่งขยายจาก 5.7 ล้านตัน) แต่ก็ต้องเผชิญกับคู่แข่งทุนหนา เช่น Holcim Philippines และ Eagle Cement บริษัทลูกในเครือ San Miguel ของเศรษฐีพันล้าน Ramon Ang หรือ Republic Cement แห่งตระกูล Aboitiz ผู้มั่งคั่ง

    ยอดขายที่ลดลงและต้นทุนพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้บริษัทเริ่มเข้าสู่สภาวะขาดทุนเมื่อ 3 ปีก่อน และยังติดลบอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งในไตรมาสแรกของปี 2025 ที่ปรากฏว่าขาดทุนสุทธิถึง 868 ล้านเปโซ Consunji บอกว่า แผนของเขาที่จะเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างกำไรจากหน่วยธุรกิจนี้ให้ได้ในที่สุดจะประกอบไปด้วยการอาศัยประโยชน์จากการจับมือกับบริษัทในเครือ ตัวอย่างเช่น ในฐานะบริษัทลูกในเครือ DMCI หน่วยธุรกิจนี้สามารถจัดซื้อถ่านหินและไฟฟ้าจากบริษัทในเครือเพื่อประหยัดต้นทุนได้ และในทางกลับกันก็จะมีโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยและโครงสร้างพื้นฐานของ DMCI เป็นลูกค้าคอยสั่งซื้อซีเมนต์ด้วย

    เพื่อขยายความวิสัยทัศน์ของเขา Consunji ชี้ไปที่ประโยชน์ที่จะได้รับจากการขยายกำลังการผลิตของหน่วยธุรกิจที่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็น Concreat Holdings Philippines หรือเป็นการเล่นคำโดยผสมพยางค์แรกของนามสกุลตระกูลนี้คือ “Con” เข้ากับคำว่า “create” ซึ่งเดิมที Cemex ริเริ่มการเปิดสายการผลิตใหม่เอาไว้ ก่อนจะมาเดินเครื่องได้จริงภายใต้การบริหารของ DMCI เมื่อเดือนเมษายนปีนี้

โรงงานซีเมนต์ของ Concreat


    การเพิ่มกำลังการผลิตของ Concreat อาจดูเหมือนไม่ค่อยจะถูกจังหวะเวลา ท่ามกลางปัญหาอุปทานล้นตลาดที่ฟิลิปปินส์ในปัจจุบัน ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตคอนกรีตแห่งฟิลิปปินส์ระบุว่า ซีเมนต์ราคาถูกทะลักเข้ามาจากต่างประเทศจนทำให้ราคาดิ่งอย่างหนัก โรงงานในประเทศเดินเครื่องผลิตเฉลี่ยเพียงครึ่งหนึ่งของกำลังการผลิต บางโรงงานต้องปิดกิจการชั่วคราว ซึ่ง John Gatmaytan ประธานกรรมการ Luna Securities ใน Manila กล่าวว่า “แนวโน้มธุรกิจซีเมนต์ไม่สดใส หลักๆ เป็นเพราะการทุ่มตลาดจากจีนและเวียดนาม”

    อย่างไรก็ตาม Consunji บอกว่า เขามองไปข้างหน้าและเตรียม Concreat ไว้พร้อมรับโอกาสที่กำลังจะมาถึง ตามข้อมูลของ DMCI อัตราการใช้ซีเมนต์ต่อหัวในฟิลิปปินส์อยู่ที่ 304 กิโลกรัม น้อยกว่าที่เวียดนามเกินครึ่งหนึ่ง ซึ่งเขาคาดว่าความต้องการซีเมนต์จะได้รับแรงกระตุ้นจากโครงการ Build Better More ของรัฐบาล ที่ตั้งเป้าเพิ่มการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น โครงการรถไฟใต้ดินยาว 33 กิโลเมตรใน Metro Manila ที่คาดว่าจะใช้งบถึง 4.89 แสนล้านเปโซ กระทรวงการคลังคาดการณ์ว่า รัฐบาลจะทุ่มงบประมาณพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเป็น 2 ล้านล้านเปโซ ภายในปี 2028 จากเดิม 1 ล้านล้านเปโซภายในปีนี้

    “DMCI จะเป็นบริษัทหนึ่งที่ได้กอบโกยผลประโยชน์จากแผนทุ่มงบประมาณพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลไปเต็มๆ” George Ching ผู้จัดการฝ่ายวิจัยอาวุโสของ COL Financial กล่าว บริษัทโบรกเกอร์ใน Manila แห่งนี้ประเมินให้ DMCI เป็นหุ้นที่น่าซื้อ และตั้งเป้าหมายราคาหุ้นในระยะ 12 เดือนอยู่ที่ 13.60 เปโซ หรือสูงกว่าราคาปิดตลาด ณ วันที่ 27 มิถุนายนที่ราคา 11.18 เปโซถึง 22%

    Consunji ยังฝากความหวังไว้กับการซื้อซีเมนต์เพิ่มเติมจาก DMCI Homes หน่วยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังมองลู่ทางธุรกิจผ่านการตอบโจทย์ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยในประเทศ ไม่ต่างจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นๆ โดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่ความต้องการยังสูงเมื่อเทียบกับ Metro Manila ฟิลิปปินส์จะ ประสบภาวะขาดแคลนที่อยู่อาศัยถึงประมาณ 10 ล้านครัวเรือนภายในปี 2028 เพิ่มขึ้นจาก 6.5 ล้านครัวเรือนในปี 2024 ตามการคาดการณ์ของกระทรวงการพัฒนาเขตเมืองและที่อยู่อาศัยของมนุษย์ที่ดูแลงานด้านที่อยู่อาศัยในฟิลิปปินส์

    ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา DMCI ต้องเผชิญความผันผวนตามวัฏจักรธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์ ตัวรายได้และกำไรสุทธิลดลงถึง 2 หลัก เนื่องจากราคาถ่านหิน นิกเกิล และไฟฟ้าที่ดิ่งลง จนปรากฏว่ารายได้ลดลง 17% และกำไรสุทธิร่วงลง 23% ในปี 2024 ตามหลังปี 2023 ที่รายได้และกำไรดิ่งลงทั้งคู่ในอัตราใกล้เคียงกัน

    Consunji ฝ่าฟันขวากหนามมามากมาย แต่ตลอดเส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเขาก็ยังรักษาสถานะครอบครัวที่มั่งคั่งที่สุดตระกูลหนึ่งของประเทศไว้ได้ตามรอย David Consuniji พ่อผู้ล่วงลับและผู้ก่อตั้ง DMCI ที่วางรากฐานและปลุกปั้นกิจการขึ้นมากับมือ Consunji ผู้พ่อไต่เต้าเข้าสู่ทำเนียบคนรวยที่สุดของฟิลิปปินส์ในปี 2007 ด้วยทรัพย์สินเพียง 210 ล้านเหรียญ ก่อนที่อีก 5 ปีต่อมาเขาจะกลายเป็นเศรษฐีพันล้านและรักษาสถานะนี้เอาไว้ได้จนกระทั่งจากโลกนี้ไปในปี 2017 ทรัพย์สินของเขาแบ่งให้ลูกๆ ทั้ง 8 คน ซึ่งปัจจุบันเป็นชื่อของ Isidro Consunj ลูกชายคนโตที่ดูแลทรัพย์สินมูลค่า 3.4 พันล้านเหรียญของครอบครัว ทำให้ตระกูลนี้อยู่ในอันดับที่ 5 ของทำเนียบคนที่ร่ำรวยที่สุด 50 อันดับแรกของฟิลิปปินส์ ประจำปี 2024 (ทั้ง Consunji และน้องๆ แต่ละคนต่างไม่ได้มีสถานะเป็นเศรษฐีพันล้านด้วยตัวเอง)

David Consunji (เสียชีวิตปี 2017)

    Consunji ยอมรับว่าสมัยหนุ่มๆ เขาไม่ได้อยากเดินตามรอยพ่อ ทีแรกเขาเคยสมัครเข้าเรียนในคณะเศรษฐศาสตร์ที่ Ateneo de Manila University ซึ่งขณะนั้นเป็นสถาบันชายล้วน แต่ไม่นานก็ย้ายไปเรียนวิศวกรรมโยธาที่ University of the Philippines ที่เป็นสหศึกษาแทน พ่อของเขาเองก็จบการศึกษาจากที่นี่แต่สิ่งที่ดึงดูดเขาไม่ใช่หลักสูตร กลับเป็นโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับสาวๆ เสียมากกว่า “ผมบอกพ่อว่า ผมเปลี่ยนใจแล้ว พ่อไม่ถามว่าทำไม เขาดีใจ เพราะเป็นไปตามที่ต้องการแล้ว” เขาเปิดใจเล่าอย่างตรงไปตรงมา

    ระหว่างปิดภาคเรียน Consunji เริ่มทำงานในคลังยานพาหนะของ DMCI คอยดูแลการให้เช่ารถบรรทุกและเครน งานของเขารวมถึงการตระเวนไปตามย่านไชน่าทาวน์และลานขายของเก่าต่างๆ เพื่อซื้ออะไหล่ ในปี 1971 วิศวกรโยธาที่พึ่งจบใหม่คนนี้ถูกพ่อส่งไปยังเกาะ Mindanao ทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ให้ช่วยพลิกฟื้นธุรกิจตัดไม้ที่กำลังประสบปัญหา ซึ่งใช้เวลา 2 ปีจึงจะประสบความสำเร็จ (ปัจจุบันครอบครัวนี้เป็นเจ้าของสวนทุเรียนในพื้นที่ภายใต้การดูแลของ Dacon Holdings บริษัทเอกชนอีกแห่งในความครอบครอง)

    เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ขึ้น Consunji พักการทำงานนาน 2 ปี เพื่อศึกษาต่อสาขา MBA ที่ Asian Institute of Management ใน Manila ก่อนจะกลับไปทำงานกับพ่อภายใน 3 ปี เขาพบเป้าหมายที่อยากจะเข้าซื้อกิจการที่แรกคือบริษัทตัดไม้ที่กำลังมีปัญหาการเงิน Consunji เข้าควบคุมการบริหารด้วยการจัดหาเครื่องจักรหนักมาแลกกับหุ้นของบริษัทนี้ และคว้าตัวเพื่อนร่วมชั้นสมัยเรียนสาขาบริหารธุรกิจมาช่วยฟื้นฟูกิจการ ด้วยแรงหนุนจากพ่อเขายังซื้อบริษัทผลิตไม้ที่กำลังล้มลุกคลุกคลานได้อีก 2 แห่ง ก่อนจะกลับบ้านไปช่วยบริหารธุรกิจก่อสร้างของครอบครัว

    ในปี 1995 เมื่อทางครอบครัวพร้อมนำ DMCI Holdings เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Consunji พิสูจน์ความสามารถตัวเองแล้วจึงได้นั่งเก้าอี้กรรมการผู้จัดการใหญ่ โดยเขาและพ่อดูแลการขายหุ้นถึง 34% ในแผนงาน IPO ที่ระดมทุนได้ 3.5 พันล้านเปโซ ก่อนจะเปิดระดมทุนอีกครั้งใน 2 ปีถัดมาด้วยการออกหุ้นบุริมสิทธิ จนรวบรวมเงินทุนมาได้ 2.3 พันล้านเปโซสำหรับการกระจายธุรกิจ ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ครอบครัวนี้ให้ความสำคัญมากที่สุด และการระดมทุนครั้งนี้ก็เรียกว่าทำได้ถูกจังหวะ

    วิกฤตการณ์การเงินเอเซียที่เกิดขึ้นไม่นานหลังจากนั้นเปิดโอกาสให้ DMCI ระดมซื้อกิจการต่างๆ ที่มีปัญหา โดยซื้อหุ้น 40% ของ Semirara Mining บริษัทผลิตถ่านหินที่กำลังขาดแคลนกระแสเงินสด กิจการนี้ตั้งชื่อตามเกาะห่างไกลในจังหวัด Antique ซึ่งเป็นที่ตั้งของเหมือง กระทั่งปี 2004 ที่เป็นปีฉลองครบรอบ 50 ปีของ DMCI บริษัท Semirara กลับมามั่นคงจน DMCI เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 95% แล้ว

    “เราทุ่มเวลาฟื้นฟูบริษัทนี้นาน 7 ปีเต็ม” Consunji เล่าให้ฟัง “ทั้งต้องเรียนรู้ ลองผิดลองถูกเรื่อยๆ” การลดต้นทุนที่สำคัญอย่างหนึ่งคือการเปลี่ยนจากการทำเหมืองเปิดที่ใช้รถขุดบุ้งกี่หมุนราคาแพง ทำงานในระบบต่อเนื่องไปเป็นเหมืองถ่านหินแบบเดิมที่ใช้รถลำเลียงและจอบเสียม แต่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมน้อยกว่า

    สินค้าโภคภัณฑ์และการส่งออกไปจีนที่เฟื่องฟูทำให้ Semirara กลายเป็นบ่อเงินบ่อทองของ DMCI ซึ่งปัจจุบันบริษัทนี้ผลิตถ่านหินถึง 97% จากที่ผลิตได้ทั้งหมดในประเทศ และแม้ราคาถ่านหินจะดิ่งลงจนกระทบกับรายได้เมื่อปีที่แล้ว แต่ก็ยังคิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งของกำไรสุทธิ 1.9 หมื่นล้านเปโซของ DMCI

    ในปี 2009 ทางบริษัทเปลี่ยนชื่อเป็น Semirara Mining and Power หลังทุ่มเงิน 362 ล้านเหรียญเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าถ่านหินของรัฐที่ขาดทุนในเมือง Calaca จังหวัด Batangas โรงไฟฟ้าแห่งนี้บำรุงรักษามาอย่างย่ำแย่และใช้งานได้ไม่เต็มศักยภาพ โดยผลิตไฟฟ้าได้เพียง 160 เมกะวัตต์จากกำลังการผลิต 600 เมกะวัตต์ ซึ่ง Consunji ใช้เงิน 9.9 พันล้านเปโซกับเวลาอีกประมาณ 15 เดือนดำเนินการปรับปรุงขนานใหญ่ พร้อมติดตั้งกังหันใหม่เพื่อเพิ่ม ปริมาณการผลิตไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 540 เมกะวัตต์แล้ว

    “เรื่องการดำเนินงานไม่ได้ยากเท่าไร” Consunji เผย “สิ่งที่ท้าทายคือการเปลี่ยนวัฒนธรรมตอนที่โรงงานเป็นของรัฐลูกจ้างก็ไม่ต้องสนใจเรื่องกำไรหรือขาดทุน เราต้องมาปรับแนวคิดของพวกเขาให้เข้าใจว่าต้องทำเงินตลอด ทุกอย่างที่ทำต้องได้มูลค่า”

    หลายปีมานี้การทำธุรกิจเหมืองและไฟฟ้าของ Semirara ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากกลุ่มนักอนุรักษ์เรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ในปี 2016 หลังการพัฒนาโรงไฟฟ้า Calaca ให้มีกำลังการผลิตเพิ่ม 300 เมกะวัตต์ นักกิจกรรมต่างประท้วงเรื่องมลภาวะในพื้นที่ “เราเข้าใจถึงความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับถ่านหิน” DMCI กล่าว ทางบริษัทระบุว่าปลูกต้นไม้ 2.8 ล้านต้นในพื้นที่เกือบ 700 เฮกตาร์รอบๆ เหมืองถ่านหิน

    แม้จะทราบดีว่ารัฐบาลพยายามส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน แต่ Consuniji กลับไม่เชื่อว่าความต้องการพลังงานแบบเดิมจะลดลงในเร็วๆ นี้ “ราคาไฟฟ้าจะพุ่งขึ้นหากเปลี่ยนไปใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียนทั้งหมด” เขายืนยัน “เราจึงยังต้องใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอยู่”

    Semirara กำลังชุบชีวิตแผนสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 700 เมกะวัตต์ โดยใช้เงินทุน 1.4 พันล้านเหรียญ ภายในที่ดินของโรงไฟฟ้า Calaca ซึ่งจะกลายเป็นโรงไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุด โครงการนี้ถูกระงับไปในปี 2019 หลังเผชิญการแก้ไขกฎระเบียบและความล่าช้าในโครงการก่อสร้างเพื่อขยายกำลังการผลิตของบริษัทไฟฟ้าในการดูแลของรัฐ

    DMCI ริเริ่มแผนธุรกิจระยะ 5 ปี มูลค่า 2.91 แสนล้านเปโซ สำหรับการดำเนินธุรกิจถ่านหินไปจนถึงปี 2027 ซึ่งรวมถึงการพัฒนาเหมืองใหม่ (ติดกับเหมืองปัจจุบัน) และเพิ่มการผลิตถ่านหินจาก 16 เป็น 20 ล้านตัน คาดว่าปริมาณถ่านหินบนเกาะ Semirara จะหมดลงภายใน 12-15 ปีข้างหน้าตามการศึกษาล่าสุด


    ขณะเดียวกัน แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของ DMCI ก็ค่อนข้างมืดมน เนื่องจากที่อยู่อาศัยในเขตเมืองล้นตลาด อย่างใน Metro Manila มีคอนโดที่ขายไม่ออกถึง 70,000 ยูนิต ตามข้อมูลจาก Colliers Phillippines บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ระบุไว้ แต่ Consunji มองในแง่ดีว่าอสังหาฯ ของ DMCI Homes ในเมืองประมาณ 2,800 ยูนิต (ณ สิ้นเดือนมีนาคม) จะขายหมดภายใน 18 เดือน โดยจะได้ประโยชน์จากโครงการเช่าเพื่อซื้อที่จะทำให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น “มีผู้ซื้อจำนวนมากที่จ่ายค่างวดรายเดือนไหว แต่ไม่มีเงินก้อนพอจ่ายเงินดาวน์” เขากล่าว

    โครงการที่อยู่อาศัย 7 แห่งที่กำลังจะผุดขึ้นของ DMCI Homes รวมกว่า 3,000 ยูนิต ส่วนใหญ่ตั้งอยู่นอก Metro Manila หนึ่งในนั้นคือ Moriyama Nature Park โครงการ “บ้านรีสอร์ต” ที่ได้แรงบันดาลใจจากออนเซ็นญี่ปุ่น ครอบคลุมพื้นที่ 40 เฮกตาร์ใน Laguna จังหวัดทางตอนใต้ของ Manila ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องน้ำพุร้อน

    อีกด้านหนึ่ง DMCI เดิมพันกับความ ต้องการแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในระยะยาวจากบรรดาผู้ผลิต โดยลงทุนสร้างโรงงานแปรรูปนิกเกิลด้วยระบบชะละลายด้วยกรดแรงดันสูงมูลค่า 1.5 พันล้านเหรียญ ที่มีกำลังการผลิตปีละ 60,000 ตัน ซึ่งหุ้นส่วนโครงการนี้คือบริษัท Nickel Asia ของตระกูล Zamora “หวังว่าปัญหานิกเกิลล้นตลาดจะคลี่คลายลงแล้วเมื่อโรงงานพร้อมเปิดดำเนินการในอีก 3 ปีนับจากนี้” Consunji กล่าว

    เขายังเล็งเห็นกำไรงามๆ ที่จะเพิ่มขึ้นจาก Maynilad Water Services กิจการร่วมทุนกับ Metro Pacific Investments ที่ได้ Anthoni Salim เศรษฐีพันล้านชาวอินโดนีเซียและ Marubeni ยักษ์ใหญ่ด้านการลงทุนจากญี่ปุ่นมาหนุนหลัง Maynilad Water จ่ายน้ำให้ชาวเมืองกว่า 10 ล้านคนทางฝั่งตะวันตกของ Metro Manila ซึ่งกิจการสาธารณูปโภคแห่งนี้มีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในการสร้างกำไรให้ DMCI โดยในปี 2024 กำไรสุทธิของ Maynilad Water เพิ่มขึ้นเกือบ 60% เป็น 3.3 พันล้านเปโซ หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 17% ของกำไรสุทธิของ DMCI เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 9% เท่านั้น

    Maynilad กำลังเตรียม IPO ในเดือนตุลาคม โดยมีเป้าหมายระดมทุน 3.86 หมื่นล้านเปโซเพื่อใช้ยกเครื่องระบบต่างๆ ครั้งใหญ่ “มีอีกหลายสิ่งที่ควรทำเพื่อปรับปรุง Maynilad แต่มักเจอข้อจำกัดจากระบบราชการที่ต้องคอยขออนุญาตจากหน่วยงานท้องถิ่นเวลาจะเปลี่ยนท่อเก่าหรือเดินท่อใหม่ Consunji กล่าว

    กว่าทศวรรษมาแล้วที่ Consunji หันหลัง ให้กับงานบริหารรายวันและมอบหมายความรับผิดชอบให้สมาชิกในครอบครัวกับผู้บริหารมืออาชีพที่จ้างมา ปัจจุบัน Herbert ลูกพี่ลูกน้องของเขาซึ่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่การเงินของ DMCI ต้องดูแลกิจการ Concreat ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่และ CEO ด้วย ส่วนน้องสาวคือ Cristina ดูแล Semirara มาตั้งแต่ปี 2019 ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่และ CEO ขณะที่ Jorge น้องชายรับผิดชอบด้านก่อสร้าง ดูแลการประมูลสัญญาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล และน้องสาวอีก 2 คนคือ Edwina Laperal กับ Luz Consuelo Consunji นั่งเก้าอี้กรรมการบริหารบริษัท

    ปัจจุบันทายาทรุ่นที่ 3 ก็เริ่มก้าวเข้าสู่สังเวียนแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Tulsidas Reyes หลานชายของ Consunji ที่นั่งเก้าอี้กรรมการผู้จัดการใหญ่ DMCI Mining ส่วน Alexander Gotianun (ลูกชายของ Cristina และ Jonathan Gotianun ทายาทตระกูลเจ้าของ Filinvest Development) ก็กำลังดูแลโครงการพิเศษของ Concreat และ Victor ลูกชายของ Consunji เองที่เป็นวิศวกรโยธาเหมือนพ่อก็กำลังพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยสไตล์บูติกนอกเครือ DMCI เป็นของตัวเอง

    จนถึงตอนนี้ Consunji กล่าวว่า ยังไม่มีการพูดคุยกันจริงจังเรื่องการสืบทอดตำแหน่ง และเขาไม่อยากจะคาดเดาว่าประธานกรรมการคนต่อไปจะเป็นคนในตระกูลหรือเป็นคนนอกที่เชี่ยวชาญงานบริหารและได้รับการทาบทามมารับหน้าที่นี้ เขาพยายามเจริญรอยตามบทเรียนจากพ่อซึ่งยึดมั่นในการไม่บังคับให้ใครทำอะไร แต่จะส่งเสริมให้สมัครใจร่วมมือเองเสียมากกว่า ซึ่งหลักคิดของเขาก็คือ “ไม่มีใครในพวกเรา เก่งเท่ากับพวกเราทุกคนรวมกัน”




เรื่อง: IAN SAYSON และ JONATHAN BURGOS

เรียบเรียง: วินิจฐา จิตร์กรี



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : จากปัญหาค่าธรรมเนียม สู่ฟินเทคมูลค่า 6.2 พันล้านเหรียญ เส้นทางเดิมพันของ Lucy Liu ผู้พา Airwallex ขึ้นแท่นสตาร์ทอัพมาแรง!

อ่านเรื่องราวธุรกิจอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ที่นิตยสาร Forbes Thailand ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2568 ในรูปแบบ e-magazine