ทุกวันนี้โลกเราเปิดโอกาสให้ “ผู้หญิง” เข้ามามีบทบาทในสังคมมากขึ้น เราจึงเห็นผู้หญิงเก่งหลายคนที่ก้าวขึ้นมาบริหารองค์กรและปกครองบ้านเมือง แถมยังประสบความสำเร็จได้ไม่แพ้ผู้ชาย
อย่างในแวดวงการเงิน เช่น Janet Yellen ผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับตำแหน่งประธาน ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด หากเป็นแวดวงบันเทิงคงต้องยกให้เจ้าแม่ทอล์คโชว์ชื่อดังอย่าง Oprah Winfrey ซึ่งเธอได้รับการจัดอันดับจาก Forbes ให้เป็นหนึ่งในสตรีผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกมาแล้วด้วย หรือในระดับผู้นำประเทศที่เรารู้จักกันดี คงหนีไม่พ้น Indira Gandhi นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของอินเดีย ตามด้วย Margaret Thatcher นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของอังกฤษ ซึ่งถัดมาอีก 26 ปีหลังจาก Thatcher สิ้นสุดการดำรงตำแหน่ง อังกฤษก็ได้นายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สอง นั่นคือ Theresa May จริงๆ แล้วการที่ผู้หญิงก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำระดับแนวหน้าในทุกวงการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ส่วนหนึ่งเพราะผู้หญิงยุคใหม่มีระดับการศึกษาที่ดีและไม่แพ้ผู้ชาย แถมยังกล้าคิด กล้าทำ กล้าตัดสินใจมากกว่าในอดีต อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะอัตราส่วนแรงงานเพศหญิงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับสัดส่วนเพศชายที่ค่อยๆ ลดลง
ปัญหาความไม่เสมอภาค
แม้วันนี้ผู้หญิงจะตบเท้าเข้าสู่ตลาดแรงงานโลกและก้าวขึ้นเป็นผู้นำกันเป็นจำนวนไม่น้อย ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ความไม่เสมอภาคระหว่างหญิงและชาย (gender inequality) ยังคงเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างทางสังคมที่ทำให้ผู้หญิงยังคงถูก “เลือกปฏิบัติ” ในทุกมิติ นอกจากนี้ ช่องว่างค่าตอบแทนระหว่างเพศ (gender pay gap) ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความก้าวหน้าทางรายได้ของผู้หญิง แม้ว่าจะมีการนำวุฒิการศึกษา ประสบการณ์ และเชื้อชาติมาพิจารณาแล้วก็ตาม ข้อมูลจากรายงาน Women In Work Index 2017 ของ PwC น่าจะสะท้อนปัญหาดังกล่าวได้เป็นอย่างดี เพราะผู้หญิงในกลุ่มประเทศสมาชิก องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD จำนวน 33 ประเทศ ที่ทำการสำรวจ ยังคงได้รับค่าตอบแทนต่ำกว่าผู้ชายประมาณ 16% แม้ว่าจะมีคุณสมบัติในการทำงานดีกว่า ขณะที่ประเทศอย่าง เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และเยอรมนี มีช่องว่างค่าตอบแทนระหว่างเพศที่มากที่สุด
เตรียมรับมือ ผู้หญิงเจนวาย
ดังที่ทราบกันดีว่า กลุ่มเจนวาย (Generation Y) หรือผู้ที่เกิดระหว่างปี 2523-2538 จะกลายเป็นแรงงานส่วนใหญ่ขององค์กรในระยะถัดไป และด้วยสัดส่วนประชากรเพศหญิงที่ขยับเข้ามาใกล้เคียงกับเพศชายมากขึ้น ทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่า ผู้หญิงเจนวายจะกลายเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลกับตลาดแรงงานในอนาคตด้วยเช่นกัน
จากผลสำรวจ The Female Millennial ของ PwC ที่ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มธุรกิจบริการทางการเงิน ยุทโธปกรณ์ และ พลังงานและปิโตรเคมี เป็นอุตสาหกรรมที่ผู้หญิงเจนวายหลีกเลี่ยงที่จะทำงานด้วยมากที่สุด เนื่องจากมองว่าเป็นอุตสาหกรรมที่แข่งขันสูง โอกาสก้าวหน้าน้อยกว่าเมื่อเทียบกับผู้ชาย รวมถึงทำเลที่ตั้ง ระยะทางและระยะเวลาในการเดินทาง หรือความเสี่ยงในด้านต่างๆ ก็มีผลต่อการตัดสินใจทำงานของผู้หญิงเจนนี้ด้วย
นอกจากนั้น ความสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว (work-life balance) ยังเป็นสิ่งที่คนทำงานทุกเจนแสวงหา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้หญิงเจนวาย โดยถือเป็นลักษณะนิสัยและความต้องการของกลุ่มเจนวายที่ต้องการทำงานในรูปแบบ “Work Smart, Not Hard” และต้องการสร้างความพอดีในการใช้ชีวิตในทุกมิติ

อนุทัย ภูมิสุรกุล
หุ้นส่วนสายงานตรวจสอบบัญชี
บริษัท PwC ประเทศไทย
คลิกเพื่ออ่าน "ลดช่องว่าง บริหารความต่าง มัดใจผู้หญิงเก่ง" ฉบับเต็มได้ในรูปแบบ e-Magazine


