มีอาวุธอย่างหนึ่งที่รัฐบาลของประธานาธิบดี Donald Trump ควรนำมาใช้เพื่อริเริ่มการยกเครื่องธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญยิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการ กระทรวงการคลังควรออกพันธบัตรรัฐบาลที่ผูกกับทองคำ โดยหลักทรัพย์เหล่านี้จะเป็นตัวชี้วัดรายวันอย่างง่ายเพื่อประเมินว่า รัฐบาลกำลังบ่อนทำลายหรือรักษาค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ ของตน
ในหนังสือที่เป็นเหมือนคัมภีร์ด้านเศรษฐศาสตร์อย่าง Good as Gold: How to Unleash the Power of Sound Money ซึ่งเขียนโดยนักเศรษฐศาสตร์คนดังอย่าง Judy Shelton ได้ยกตัวอย่างที่น่าจะใช้ได้ผลดี นั่นก็คือให้รัฐบาลสหรัฐฯ ออกพันธบัตรที่ไม่มีการจ่ายดอกเบี้ย (zero-coupon bond) อายุ 5 ปี เป็นต้น นี่จะเป็นสิ่งกระตุ้นเชิงบวก และเมื่อพันธบัตรครบกำหนดอายุไถ่ถอนแล้ว นักลงทุนสามารถเลือกได้ว่าจะรับเงินต้นคืนเป็นเงินสดหรือทองคำก็ได้
ตัวอย่างเช่น ถ้าหากคุณซื้อพันธบัตรทองคำอายุ 5 ปีเป็นจำนวนเงิน 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อพันธบัตรครบกำหนดไถ่ถอน คุณสามารถเลือกรับเงินต้นคืนเป็นเงินสดหรือเป็นทองคำตามปริมาณที่กำหนดไว้ก็ได้ ในกรณีนี้คือประมาณ 280 ออนซ์ ในกรณีที่รัฐบาลสหรัฐฯ หรือ Fed ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างเช่นที่เกิดขึ้นในระยะหลังนี้ คุณอาจได้รับทองคำมูลค่า 1.5 ล้านเหรียญ โดยรัฐบาลจะต้องกันทองคำ 261 ล้านออนซ์แยกไว้เพื่อให้ครอบคลุมภาระหนี้ที่อาจเกิดขึ้นได้
ประโยชน์ของพันธบัตรแบบนี้ก็คือ ประชาชนสามารถประเมินได้ในทุกวันว่ารัฐบาลกำลังดำเนินงานอะไรที่ส่งผลเสียต่อค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ หรือไม่ ค่าเงินที่อ่อนตัวหมายความว่า รัฐบาลต้องสูญทองคำที่ถือไว้ โดยสัญชาตญาณแล้วคนส่วนใหญ่จะไม่ชอบการสูญเสียเช่นนั้น เนื่องจากเขารู้ว่านี่เป็นเค้าลางของปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ราคาของพันธบัตรทองคำจึงถือเป็นสุดยอดเครื่องมือชี้วัดสถานภาพทางการเงินของรัฐบาล
มีหลากหลายเหตุผลที่ทำให้ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่รักษามูลค่าที่แท้จริงของตัวเองได้ดีกว่าสินทรัพย์อื่นๆ บนโลกใบนี้ และเป็นเช่นนี้มานานหลายพันปีแล้ว ทองคำมีมูลค่าที่มั่นคงเฉกเช่นเดียวกับดาวเหนือที่นักเดินเรือใช้เป็นหลักในการกำหนดทิศทาง มันคือความแน่นอน เมื่อคุณเห็นว่าราคาทองคำคิดเป็นเงินเหรียญสหรัฐฯ มีความผันผวน โดยมากแล้วนั่นคือภาพสะท้อนของความเปลี่ยนแปลงที่มีต่อมูลค่าของเงินเหรียญสหรัฐฯ ไม่ใช่ต่อโลหะมีค่าสีเหลืองทอง
ทุกวันนี้บรรดานักลงทุนกระหายการป้องกันภาวะเงินเฟ้อ นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมพวกเขาจึงลงทุนในหลักทรัพย์อย่าง Treasury Inflation Protected Securities (TIPS) ที่มีมูลค่า 2.6 ล้านล้านเหรียญ ถึงแม้ว่าจะได้รับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำ (ตามชื่อที่บอกอยู่แล้วว่าเป็นหลักทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ) เมื่อเปรียบเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลปกติ
พันธบัตรทองคำยังเป็นอาวุธที่ใช้ต่อกรกับหลักปรัชญาบ่อนทำลายเศรษฐกิจซึ่งเป็นแนวทางการดำเนินนโยบายของธนาคารกลาง ซึ่งก็คือความเชื่อที่ว่าความเจริญรุ่งเรืองเป็นต้นเหตุของเงินเฟ้อ Fed หวาดหวั่นว่าเศรษฐกิจที่คึกคักจะส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการปรับตัวขึ้น ธนาคารกลางไม่ได้แยกแยะระหว่างรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นเพราะภัยธรรมชาติ การปิดเมืองเพื่อกักกันโรคระบาด หรือนโยบายรัฐบาล เช่น ภาษีขายและกฎระเบียบต่างๆ กับเงินเฟ้อแบบดั้งเดิมที่เกิดขึ้นเมื่อมูลค่าของเงินดอลลาร์ปรับลดลง
Shelton กล่าวถูกต้องแล้วที่ว่า เราจำเป็นต้องขัดขวางการที่ธนาคารกลางเข้าแทรกแซงราคาต้นทุน เพื่อหวังกระตุ้นหรือจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เราต้องช่วยกันต่อต้านแนวคิดแบบสังคมนิยมเช่นนี้
เงินทองเป็นตัววัดมูลค่า เช่นเดียวกับที่นาฬิกาเป็นเครื่องบอกเวลา ไม้บรรทัดเป็นตัววัดความยาว และตาชั่งเป็นเครื่องบอกน้ำหนัก พวกเราทุกคนรู้ดีว่ากลไกตลาดจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดร่วมกับมาตรวัดและมาตรการที่แน่นอน
Fed ควรให้ความสำคัญกับการดูแลค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ เพียงอย่างเดียว และไม่ควรพยายามแทรกแซงกิจกรรมทางเศรษฐกิจหรือยุ่งเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย เป็นเรื่องไร้เหตุผลที่ตั๋วเงินคลังให้ผลตอบแทน 4.3% ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดน่าจะอยู่ที่เพียงครึ่งหนึ่งของผลตอบแทนดังกล่าว
พันธบัตรทองคำจะช่วยชี้ชัดว่า Fed หลงทางไปไกลจากภารกิจที่แท้จริงของตนมากเพียงใด และยังจะเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปครั้งใหญ่อีกด้วย
เรื่อง: Steve Forbes, Editor-in-Chief เรียบเรียง: ริศา
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ถอดบทเรียนธุรกิจ ยุคไร้สูตรสำเร็จ



