KISS อิง ซอฟต์พาวเวอร์เกาหลี สยายปีกอาเซียน - Forbes Thailand

KISS อิง ซอฟต์พาวเวอร์เกาหลี สยายปีกอาเซียน

โรจูคิสฯ (KISS) เชื่อมั่นวัฒนธรรมเกาหลี สร้างการเติบโตยั่งยืนธุรกิจสุขภาพและความงาม เร่งแผนบุกอาเซียนหลังโควิด ประเดิมเวียดนาม ฟิลิปปินส์ หลังอินโดนีเซียรุ่ง พร้อมขยายแนวรุกธุรกิจกัญชง เล็งเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 10 รายการ ก้าวสู่ผู้นำตลาด หนุนแผน 5 ปี รายได้ 3,000 ล้านบาท

ธนายุส ลีรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ KISS กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจความงามหลังโควิดเชื่อว่าจะกลับมาเติบโตต่อเนื่อง แต่จะมีการปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ให้สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคหลังสถานการณ์โควิดที่ใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น ซึ่งบริษัทฯจะต้องปรับตัวให้สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ภายใต้แนวคิด Health and Beauty Convenience หรือ “รู้ใจ เข้าใจ ทันใจ” สำหรับโรจูคิสฯ เป็นบริษัทของคนไทยที่ใช้เทคโนโลยีเกาหลีในการผลิตสินค้า ภายใต้แบรนด์ “โรจูคิส” ก่อตั้งปี 2007 ปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งอันดับ 5 ในตลาดผลิตภัณฑ์ความงามในประเทศไทยที่มีมูลค่าหลักแสนล้านบาท และถือเป็นบริษัทไทยเพียงรายเดียว ใน 5 อันดับ ที่เหลือเป็นบริษัทข้ามชาติ และเป็นอันดับ 1 ในตลาดผลิตภัณฑ์เซรั่มกระชับรูขุมขน ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 15.9% “เราเป็นบริษัทไทยเพียงรายเดียว ที่ทำตลาดผลิตภัณฑ์จากเกาหลีก่อนที่จะเกิดเทรนด์เคป๊อบด้วยซ้ำ และเชื่อว่าปัจจุบันเกาหลีเทรนด์ก็ยังคงอยู่ เพราะนวัตกรรมเกาหลีเป็นแชริ่ง อีโคโนมี ที่ทำให้ราคาถูก และเข้าถึงได้ง่าย ประกอบกับซอฟต์พาวเวอร์ของเกาหลีเข้มแข็ง เพราะภาครัฐสนับสนุนทำให้เกิดเทรนด์ต่อเนื่อง” ธนายุสกล่าว เล็งสยายปีกตลาดอาเซียน ธนายุส กล่าวด้วยว่า สิ่งที่ทำให้โรจูคิสเป็นผลิตภัณฑ์ยังคงได้รับความนิยมตลอด 14 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากโรจูคิสนำเทคโนโลยีเกาหลีมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับคนไทย ซึ่งจะแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นที่นำเข้าเครื่องสำอางจากเกาหลีมาทำตลาด 100% แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะกับผิวคนไทย โดยโรจูคิสได้นำโมเดลเดียวกันนี้ไปขยายธุรกิจที่อินโดนีเซียเช่นเดียวกัน ด้วยการปรับสูตรให้ตอบโจทย์กับผู้บริโภคในแต่ละประเทศ สำหรับการดำเนินธุรกิจในอินโดนีเซีย ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตถึง 3 เท่า โดยเปิดตัวด้วยผลิตภัณฑ์โรจูคิส มาส์ก ปัจจุบันมีวางจำหน่ายกว่า 3 หมื่นสโตร์ในอินโดนีเซีย และเปิดตัวผลิตภัณฑ์เซรั่ม ซึ่งเป็นบริษัทเรือธง ปัจจุบันแบรนด์โรจูคิสติดอันดับ 1 ใน 5 ของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวในอินโดนีเซีย และมีแผนจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เหมาะกับผู้บริโภคในอินโดนีเซีย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มทำความสะอาดผิว โดยมีเป้าหมายครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในปี 2565 และมีแผนรุกตลาดเวียดนาม และฟิลิปปินส์เป็นลำดับต่อไป “เราจะใช้โมเดลเดียวกับอินโดนีเซียในการรุกตลาดเวียดนามและฟิลิปปินส์ โดยมองหาพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ซึ่งในอินโดนีเซียได้พันธมิตรที่เป็นผู้นำในช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ และมีแพลตฟอร์มออมนิแชนแนลของตัวเอง โดยในเวียดนามจะรุกธุรกิจผ่านระบบอีคอมเมิร์ซก่อน ซึ่งเป็นช่องทางที่เติบโตเร็ว ส่วนกัมพูชาและสปป.ลาว บริษัทมีการทำตลาดผ่านการค้าชายแดนอยู่แล้ว คาดว่าหลังโควิดแนวโน้มจะกลับมาดีขึ้น” ธนายุสกล่าว  เดินเครื่องธุรกิจกัญชง ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด โรจูคิสฯ กล่าวว่า ในปี 2565 บริษัทวางกลยุทธ์หลัก 4 ด้านที่ช่วยผลักดันการเติบโต ได้แก่ 1. การให้ความสำคัญกับแบรนด์หลัก “โรจูคิส” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ยังเติบโตได้ถึงร้อยละ 10 แม้ตลาดรวมผลิตภัณฑ์ดูแลผิวโดยรวมจะหดตัวลงเป็นตัวเลขสองหลัก ขณะที่ชะลอการเปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ที่มียอดขายลดลงในช่วงโควิด 2. เพิ่มช่องทางจำหน่ายผ่านออนไลน์ โซเชี่ยล คอมเมิร์ซ มีเดีย คอมเมิร์ซ ที่เติบโตกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ 3. ขยายธุรกิจส่งออก และ 4. ลดงบประมาณการตลาดในช่องทางออฟไลน์ นอกจากนี้ จะขยายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ช่วยผลักดันการเติบโต โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จากกัญชง ซึ่งจากข้อมูลของยูโร มอนิเตอร์ ในปี 2563 ผลิตภัณฑ์กัญชงในตลาดโลก มีมูลค่า 2.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตร้อยละ 32 ขณะที่ในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเติบโตร้อยละ 28 ปัจจุบันตลาดหลักของผลิตภัณฑ์กัญชงอยู่ในสหรัฐอเมริกา ร้อยละ 80 นอกสหรัฐร้อยละ 20 หรือประมาณ 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือเป็นมูลค่าตลาดที่น่าสนใจ ธนายุส กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากกัญชง 10 – 15 รายการ คาดว่าจะทยอยเปิดตัวตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปีนี้ จนถึงปี 2565 ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์บำรุงผิว “เราอยากเป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์จากกัญชง ซึ่งมีศักยภาพในแง่มูลค่าตลาดเท่ากับผลิตภัณฑ์จากวิตามินซี หรือ คอลลาเจน ที่มีมูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท ตลาดกัญชง ถ้าจะทำให้เกิดได้ต้องอาศัยหลายปัจจัย อันดับแรก ภาครัฐต้องผ่อนคลายกฎเกณฑ์การใช้ ปริมาณของวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน และเห็นผลได้จริง สุดท้ายต้องทำการสื่อสารกับผู้บริโภคให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงข้อดีของผลิตภัณฑ์จากกัญชง” สำหรับเป้าหมายระยะ 5 ปีของโรจูคิสฯ ยังคงเดินตามเป้าหมายเดิมที่ประกาศไว้ตอนเข้าตลาดหลักทรัพย์ คือจะมีรายได้ 3,000 ล้านบาท ซึ่งสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นอาจทำให้เป้าหมายชะลอไปเล็กน้อย แต่คาดว่าในปี 2565 การดำเนินธุรกิจน่าจะกลับมาเติบโตได้เหมือนปี 2562 รวมทั้งผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ จะกลับมาเติบโตมากขึ้น โดยการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรม จะเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยสร้างการเติบโตให้องค์กรในระยะยาว อ่านเพิ่มเติม: ‘ห้างเซ็นทรัลและโรบินสัน’ เตรียมก้าวสู่ระดับโลกด้วยยุทธศาสตร์ใหม่
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine