จากทายาทรุ่น 2 สู่มืออาชีพ มนต์โลจิสติกส์กรุ๊ปก้าวสู่ความยั่งยืน - Forbes Thailand

จากทายาทรุ่น 2 สู่มืออาชีพ มนต์โลจิสติกส์กรุ๊ปก้าวสู่ความยั่งยืน

มนต์โลจิสติกส์กรุ๊ป ธุรกิจโลจิสติกส์ของคนไทย เริ่มก่อตั้งโดยธานินทร์ อู่ทรัพย์ และเขมิกา วิชญกานต์ โดยเริ่มต้นมาจากกิจการปั้มขนาดใหญ่ในประเทศไทย ทำให้มองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจขนส่ง และ โลจิสติกส์ ภายใต้การนำของทายาทรุ่นที่ 2 ที่ประกอบไปด้วย สิริมนต์ อู่ทรัพย์,อรวินทร์ อู่ทรัพย์ และธีรินทร์ อู่ทรัพย์ ที่มองการสร้างธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วยการให้มืออาชีพเข้ามาบริหาร กับการเตรียมพร้อมเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ


    Karsten Thrane ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มนต์โลจิสติกส์กรุ๊ป จำกัด คือบุคคลที่ถูกเลือกให้เข้ามาบริหารบริษัทในยุคของการเปลี่ยนผ่านไปสู่การดำเนินธุรกิจสมัยใหม่ ด้วยประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจโลจิสติกส์ในภูมิภาคอาเซียน ทั้งไทย เวียดนาม และลาว และได้เข้ามาร่วมงานกับมนต์โลจิสติกส์ กรุ๊ป ตั้งแต่ปี 2542 ถือว่าเป็นผู้ที่รู้จักธุรกิจในประเทศไทยและอาเซียนเป็นอย่างดี

    “ไทย เป็นประเทศที่มีศักยภาพมาก เพราะอยู่ในศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่สร้างโอกาสให้ธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ อย่างเช่น EEC หากมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โครงการเหล่านี้จะช่วยผลักดันอุตสาหกรรมในประเทศไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน” Karsten ให้มุมมองถึงโอกาสของธุรกิจโลจิสติกส์ในประเทศไทย


จากกิจการปั้มน้ำมันสูโลจิสติกส์สมัยใหม่

    มนต์โลจิสติกส์ เกิดจากการมีที่ดินในการทำกิจการปั้มน้ำมันและขนส่งน้ำมันทั่วประเทศ ทำให้มองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจด้านการขนส่งเพิ่มเติม โดยเริ่มเข้าสู่วงการขนส่งและโลจิสติกส์ ในปี 2539 ต่อมาได้มีการขยายธุรกิจให้เติบใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้มากขึ้น

    “สิ่งที่ทำให้มนต์ฯขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพราะยึดความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก และปรับเปลี่ยน ขยายธุรกิจให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้าอยู่ตลอดเวลา ทำให้เราสามารถเติบโตได้แม้จะผ่านช่วงวิกฤต เช่น น้ำท่วม หรือโควิด” Karsten กล่าว

    ปัจจุบัน ธุรกิจภายใต้การบริหารจัดการของ มนต์ โลจิสติคส์ กรุ๊ป ประกอบไปด้วย 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ บริการขนส่งสินค้า (Transport) โลจิสติกส์ และ คลังสินค้า ตู้คอนเทนเนอร์ (Container Depot) ธุรกิจของมนต์โลจิสติกส์กรุ๊ป จะเน้นไปที่การทำธุรกิจแบบ B2B เป็นหลัก ไม่ได้เน้น B2C ดังนั้นสัดส่วนรายได้ของบริษัทส่วนใหญ่ 70-75% จะมาจากกลุ่ม Transport รองลงมาคือกลุ่มโลจิสติกส์ และคอนเทนเนอร์

    สำหรับลูกค้าหลักของมนต์ โลจิสติกส์ จะมีทั้งกลุ่มน้ำมันและก๊าซ ธุรกิจนำเข้าและส่งออก โรงงานผลิตสินค้าต่าง ๆ ห้างค้าปลีก โดยมนต์ฯ มีบริการรถขนส่งระบบเย็นสำหรับกลุ่มของสดและอาหาร รวมไปถึงการขนส่งสินค้ายาและเวชภัณฑ์ โดยบริษัทได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากลทั้ง ISO 9001 และ OHSAS 18001

    Karsten กล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ธุรกิจของมนต์ฯ ได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากเน้นการขนส่งทางบกไปยังกลุ่มประเทศ AEC แต่จากการขยายธุรกิจไปสู่กลุ่มอื่น ๆ ถือเป็นโอกาสใหม่ที่ผลักดันให้บริษัทฯผ่านสถานการณ์ยากลำบากไปได้ และยังรักษาระดับการเติบโต 5 – 10% ต่อปี โดยมีรายได้รวม 2,500 – 3,000 ล้านบาท และบริษัทมีความพร้อมที่จะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่เหมาะสม



ก้าวสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

    นอกจากการพยายามขยายธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อรักษาการเติบโตของบริษัท สิ่งสำคัญที่มนต์ฯดำเนินการอย่างจริงจัง คือการพัฒนาบุคลากร เพิ่มพูนทักษะต่าง ๆ ให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อสามารถที่จะรองรับกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ และด้วยความเชื่อที่ว่าคุณภาพชีวิตที่ดีของพนักงานจะนำองค์กรไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

    “พนักงานของเรา มีประมาณ 2,000 คน เป็นผู้ขับรถขนส่งสินค้า ประมาณ 1,200 – 1,300 คน ถือเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการเติบโต บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะ เพิ่มพูนความรู้ให้กับพนักงานและคนขับรถอยู่เสมอ เพราะถือเป็นผู้ให้บริการที่มีส่วนสำคัญในการสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า พนักงานขนส่งที่ขับรถได้ดี ปฏิบัติตามกฎจราจรยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ดี และช่วยลดความเสี่ยงให้กับองค์กรอีกด้วย”

    Karsten กล่าวว่า การดูแล และการเพิ่มศักยภาพให้กับพนักงาน ถือเป็นหนึ่งในแผนสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กร ควบคู่ไปกับการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ ๆ ในธุรกิจโลจิสติกส์ เข้ามาตอบรับกับความต้องการของลูกค้า ตามนโยบาย “Sustainable Logistics” หรือการพัฒนาระบบการขนส่งแบบยั่งยืน ที่สามารถวัดผลในเรื่องสิ่งแวดล้อม การลดความเสี่ยงและความปลอดภัยในการขนส่ง ที่นอกจากจะส่งผลดีต่อมนต์ฯแล้ว จะส่งผลดีต่อสังคมและประเทศโดยรวม โดยตั้งงบลงทุนไว้ 65 ล้านบาท และตั้งเป้าความสำเร็จไว้ภายในระยะเวลาไม่เกินสามปี

    แผนเรื่องความยั่งยืนของมนต์โลจิสติกส์กรุ๊ป เริ่มตั้งแต่ปี 2564 นอกจากการพัฒนาบุคลากรที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ยังเริ่มทดลองทดสอบยานยนต์หัวลากไฟฟ้าเป็นรายแรก สำหรับนำไปใช้ในการขนส่งสินค้าทดแทนรถบรรทุกที่ใช้น้ำมันดีเซล ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จึงได้ต่อยอดให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นในปีนี้ และได้ขยายหัวลากพลังงานไฟฟ้ามาใช้งานในธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อลด Carbon Emission

    “เรามีความมุ่งมั่นที่จะค้นหากลุ่มลูกค้าที่มีอุดมการณ์เดียวกัน โดยปัจจุบันนี้มีลูกค้าที่มีความต้องการ และเห็นความสำคัญในเรื่องการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่กลุ่มหนึ่งแล้ว โดยเฉพาะลูกค้าที่มีฐานธุรกิจในประเทศกลุ่มยุโรป เรามีความเชื่อว่า Green Energy และ การลด Carbon Emission เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นนอน และจะช่วยทำให้มนต์โลจิสติกส์กรุ๊ปเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต” Karstenกล่าวทิ้งท้าย


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : The Attraction เผยผลสำรวจ คนไทยรู้จัก Soft Power แต่ยัง “งง” กับนโยบายภาครัฐ

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine