เปิดใจ “ศรินญา - วิภาวรรณ มหาดำรงค์กุล” ทิ้งโรงแรมในกรุงเทพฯ ปรับใหญ่พอร์ตนาฬิกาครั้งแรกในรอบ 60 กว่าปี ไม่ทำแล้ว Citizen ขอหยุดที่ 3 แบรนด์ ล่าสุดเตรียมทุ่ม 600 ล้านขยายเฟส 2 เรเนซองส์ พัทยา รีสอร์ท แอนด์ สปา ปลายปีนี้ ก่อนรุกคืบซื้อกิจการโรงแรมเก่าในสมุย-กระบี่-พังงา เสริมพอร์ต
“มหาดำรงค์กุล” ถือเป็นตระกูลที่จัดจำหน่ายนาฬิกาข้อมือนำเข้าจากต่างประเทศชั้นแนวหน้าแห่งหนึ่งในเมืองไทยเมื่อ 65 ปีก่อนและมีการเติบโตของยอดขายต่อเนื่อง แต่การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งได้รับอานิสงส์จากนโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” ของรัฐบาลของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ในช่วง พ.ศ. 2531-2534 ทำให้ ‘ดิลก มหาดำรงค์กุล’ ผู้ก่อตั้งบริษัท ศรีทองพาณิชย์ จำกัด เริ่มมาลงทุนสะสมที่ดินร่วมกับเพื่อนๆ ในวงการธุรกิจ และในนามส่วนตัวอยู่หลายแปลง และในเวลาต่อมา ดิลกได้ตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครั้งแรก ด้วยการลงทุนทำโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้ชื่อ “พัทยา คอนโดเทล”
ก่อนจะเข้าสู่ธุรกิจโรงแรมอย่างเป็นทางการ ด้วยการเปิด “Swissôtel Bangkok Ratchada” บนถนนรัชดาภิเษก เมื่อ 25 ปีก่อน ก่อนจะไปสร้างโรงแรมแห่งที่ 2 คือ “เรเนซองส์ พัทยา รีสอร์ท แอนด์ สปา” และซื้อโรงแรม “LIV Hotel Phuket Patong Beachfront” เข้าพอร์ตเป็นแห่งที่ 3
ธุรกิจโรงแรมของตระกูล “มหาดำรงค์กุล” ถึงจุดเปลี่ยน ภายหลังดิลก เสียชีวิตเมื่อ 5 ปีก่อน ทิศทางธุรกิจถูกกำหนดใหม่ เมื่อผู้บริหารต่างคนต่างต้องการแยกย้ายไปทำธุรกิจที่ตัวเองสนใจ ทุกคนจึงตกลงร่วมกันขายทิ้ง Swissotel Bangkok Ratchada ให้กับกลุ่ม Asset World Corporation (AWC) ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ไปเมื่อไม่นานมานี้
แม้ขายกิจการโรงแรมสวิสโซเทลไปแล้ว แต่เส้นทางในธุรกิจโรงแรมของมหาดำรงค์กุลยังเดินหน้าต่อ ภายใต้การดูแลของครอบครัวของกฤษฎา บุตรชายของดิลก และวิภาวรรณ ผู้เป็นภรรยาของกฤษฎา ซึ่งจะเน้นในต่างจังหวัดมากขึ้น โดยใช้ความสามารถและความเชี่ยวชาญที่เห็นได้จากความสำเร็จของโรงแรม “เรเนซองส์ พัทยา รีสอร์ท แอนด์ สปา” บนหาดจอมเทียน ซึ่งสร้างมา 8 ปี ที่เรียกได้ว่ากำลังไปได้สวย ไม่เคยปิดบริการเลยแม้กระทั่งช่วงโควิด และมีอัตราเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ระดับกว่า 70%
ขณะที่ “LIV Hotel Phuket Patong Beachfront” บูติกโฮเทล จำนวน 35 ห้อง ขนาด 40 ตารางเมตรต่อห้อง ที่ดิลกได้ใช้เงิน 200 ล้านบาทซื้อต่อมาจากเพื่อน ปัจจุบันมีอัตราเข้าพักเกือบ 100% และราคาค่าห้องอยู่ระหว่าง 4,000-5000 ต่อคืน ทั้งที่เป็น white label

ด้วย Passion ที่มีในเรื่องท่องเที่ยว อาหารการกิน ของทั้งวิภาวรรณและศรินญา ลูกสาวคนโต ประกอบกับอนาคตของธุรกิจนาฬิการะดับกลางราคา 10,000 ถึง 30,000 บาทต่อเรือนอยู่ในช่วงขาลง เพราะถูกแย่งตลาดจากนาฬิกาสมาร์ทวอทช์ที่ติดมากับมือถือ วิภาวรรณตัดสินใจลดความสำคัญของธุรกิจนาฬิกาที่มีอยู่ลง จำนวนแบรนด์นาฬิกาที่เคยมีอยู่ในพอร์ตจัดจำหน่ายถึง 8 แบรนด์ รวมทั้งแบรนด์ Citizen ซึ่งเคยทำรายได้ถึง 60% ของรายได้ทั้งหมด ถูกตัดเหลือเพียง 3 แบรนด์เท่านั้น ได้แก่ Casio, Luminox และ Frederique Constant
“ทำธุรกิจนาฬิกายังไปได้ แต่เหนื่อยเพราะต้องสั่งสต็อกสินค้าตามยอดของบริษัทแม่ และสมาร์ทวอทช์ที่มากับนาฬิกา Apple และ Samsung มาแทนที่นาฬิการะดับกลางถึงล่าง” วิภาวรรณบอก

สาเหตุที่บริษัทยังเลือกทำแบรนด์ Luminox ต่อไป เพราะเป็นนาฬิกาที่มีจุดแข็งและจุดขายชัดเจน เหมาะสำหรับคนสมบุกสมบัน มียอดขายเติบโตได้ถึงปีละ 8-10% และปัจจุบันนาฬิกา Luminox ทำรายได้ถึง 50% ของพอร์ตนาฬิกาของศรีทองพาณิชย์ทั้งหมด
ในเดือนธันวาคมปีนี้ Luminox จะนำสินค้ารุ่นพิเศษคือรุ่น “ประเทศไทย” มาวางตลาด พร้อมกับรุ่น “ทะเลทราย” ราคาขายอยู่ที่เรือนละ 18,500 บาท ใส่ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
“หลังปรับพอร์ตนาฬิกาแล้ว เราจะเริ่มขยายเฟส 2 ของเรเนซองส์ พัทยา รีสอร์ท แอนด์ สปา ในปลายเดือนตุลาคมนี้ และคาดว่าจะเสร็จในเดือนตุลาคมปีหน้า ใช้เงินลงทุน 600 ล้านบาท เป็นเงินจากกระแสเงินสดและเงินกู้อีกบางส่วน” ศรินญา มหาดำรงค์กุล กรรมการบริหาร บริษัท เดอะไนน์โซเทล จำกัด กล่าว

เธออธิบายเพิ่มว่า ในเฟสส่วนต่อขยายที่พัทยานี้ บริษัทได้เช่าพื้นที่ด้านข้างโรงแรมเรเนซองส์ พัทยา รีสอร์ท แอนด์ สปา เพิ่มอีก 8 ไร่ เพื่อสร้างห้องพักแบบวิลล่าเพิ่มอีก 22 หลัง เพื่อมาเติมเต็มกลุ่มครอบครัวที่มาเที่ยวพร้อมกัน 3 เจนเนอเรชั่น พร้อมทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางที่เดินทางเข้ามายังพัทยามากขึ้น ซึ่งกลุ่มนี้ชอบความลักชัวรี่เป็นส่วนตัว
โดยเรเนซองส์ พัทยา รีสอร์ท แอนด์ สปา เฟส 2 จะมีทั้งวิลล่าขนาดตั้งแต่ 1 ห้องนอน ถึง 3 ห้องนอน ราคา 20,000 บาทต่อคืน นอกจากนั้นจะเป็นพื้นที่ของ all day dining รวมทั้งห้องอาหารญี่ปุ่น คาดว่าจะรองรับลูกค้าคนไทยราว 80% ที่เหลือเป็นต่างชาติ ส่วนเรเนซองส์เฟสแรกลูกค้าเป็นคนไทย 70% และต่างชาติ 30% ตลาดหลักคืออเมริกาและจีน

“แม้นักท่องเที่ยวที่พัทยาจะลดลง ธุรกิจของเรเนซองส์ พัทยา รีสอร์ทฯ มีอัตราเข้าพักประมาณ 72% เพราะส่วนใหญ่ลูกค้าของเราเป็นครอบครัวคนไทยและคนรุ่นใหม่ กลุ่มอายุ 35-45 ปี ตอนนี้นักท่องเที่ยวจีนเริ่มกลับมาแล้วและส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวแบบ FIT เราคาดว่าวิลล่าเฟสใหม่จะมีอัตราเข้าพักได้ถึง 70% เช่นเดียวกับเรเนซองส์เฟสแรก เพราะการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้มีกิจกรรมต่างๆ เพื่อโปรโมตพัทยาอย่างต่อเนื่อง และ ททท.มองว่าจะโปรโมตให้พัทยาเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางมากขึ้น ถ้าดึงนักท่องเที่ยวซาอุดีอาระเบียมามากขึ้น การฟื้นตัวของพัทยาจะเร็วมาก” วิภาวรรณกล่าวเสริม
เธอบอกว่ายังมั่นใจการท่องเที่ยวในพัทยา ตลาดยังมีโอกาสโตอีกมากโดยเฉพาะโซนนาจอมเทียน บางเสร่ และสัตหีบ เพราะเมืองขยายและมีการฟื้นฟูเศรษฐกิจในย่านอู่ตะเภา ที่ในอนาคตจะมีโรงเรียนการบินมาตั้งในย่านนี้ พร้อมศูนย์ซ่อมใหญ่ของสายการบินบางราย
นอกจากส่วนต่อขยายเฟส 2 แล้ว วิภาวรรณบอกว่า บริษัทมีแผนปรับโฉมของเรเนซองส์ พัทยา รีสอร์ทฯ เฟสแรก ตั้งแต่บริเวณล็อบบี้ส่วนกลาง การปรับห้องห้องดีลักซ์ธรรมดาให้ตอบโจทย์ลูกค้าครอบครัวมากขึ้น และปรับวิลล่าเดิมอีก 8 หลังให้กลับมามีความทันสมัยมากขึ้น ทั้งการปรับโฉมเฟสแรกและการสร้างวิลล่าใหม่ในเฟส 2 จะเริ่มดำเนินการในปลายปีนี้และเสร็จในกลางปีหน้า

เรเนซองส์พัทยา รีสอร์ทฯ เริ่มเปิดบริการในปี 2560 บนพื้นที่ 17 ไร่ บนหาดจอมเทียน ปัจจุบันโรงแรมนี้บริหารงานโดยวิภาวรรณ, ศรินญา ลูกสาวคนโต และศุภกฤต ลูกชายคนกลาง แม้ตระกูลมหาดำรงค์กุล จะไม่ใช่ผู้พัฒนาโรงแรมรายใหญ่ในปัจจุบัน แต่แบ็กกราวน์การศึกษาของวิภาวรรณ ด้าน Speech Communications และศรินญา ที่จบปริญญาโท การโรงเเรมที่ Les Roches University Switzerland รวมทั้งศุภกฤตที่จบปริญญาโท สาขา Travel and Tourism ที่ Coventry University London กับประสบการณ์กว่า 5 ปีของลูกๆ ในแวดวงโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ เครือข่ายคอนเน็กชั่นและองค์ความรู้ คนในวงการโรงแรมไม่ควรมองข้าม
วิภาวรรณเล่าว่า เธอให้อิสระลูกทุกคนเลือกเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ ไม่เคยกำหนดว่าต้องเรียนอะไร มีอย่างเดียวที่ขอให้ลูกทั้ง 2 คนทำคือ เมื่อเรียนจบเเล้ว ทุกคนต้องทำงานข้างนอก เพื่อหาประสบการณ์อย่างน้อย 5 ปี
“พี่อยากให้เขารู้จักชีวิตการเป็นลูกจ้าง เป็นพนักงาน มีเพื่อนร่วมงาน ปฏิบัติตามกฎระเบียบของบริษัทให้ได้ ก่อนจะมาทำงานของครอบครัว พี่คิดว่าความรับผิดชอบเป็นสิ่งสำคัญ ต้องรับผิดชอบต่อตนเองเเละผู้อื่น ในทุกบทบาทที่ได้รับ” วิภาวรรณเล่า

ศรินญาผ่านงานด้าน Sales & Marketing ที่โรงแรมระดับ 5 ดาวมาหลายเชน ตั้งแต่แมริออททองหล่อ 57 เลอเมอริเดียน สุรวงศ์ และอื่นๆ ขณะที่ศุภกฤตก็มีประสบการณ์ทำงานด้านอสังหาริมทรัพย์จาก CBRE มา 6 ปี และได้กลับมาช่วยงานที่โรงแรมตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว โดยดูแลด้าน Business Development เป็นหลัก ส่วนลูกสาวคนเล็กคือ ภูริษา มหาดำรงค์กุล เพิ่งจะจบปริญญาตรีสาขา Communications ที่ University of the Arts London(UAL) เมื่อจบปริญญาโท ก็คงจะมาเสริมทัพอีกคน
ศรินญาเสริมว่า นอกจากพัทยาและภูเก็ตแล้ว บริษัทยังสนใจลงทุนโรงแรมที่เกาะสมุย กระบี่ และพังงา ในอนาคตอาจจะลงทุนเองหรือซื้อโรงแรมเก่าขนาด 150-200 ห้อง และใช้เงินลงทุนราว 500 ล้านบาท
“เราไปดูที่ดินสมุยมา 4-5 ครั้งแล้ว แต่ยังไม่ตัดสินใจ ขณะนี้เรามีดีลอยู่ 2-3 ดีล ค่อยๆ ตัดสินใจ ส่วนภูเก็ตลงทุนตอนนี้ไม่รู้จะคืนทุนตอนไหน น่าจะต้องมีถึง 10 ปีขึ้นไป อาจจะมาพิจารณาอีกครั้งหนึ่งหากจะตัดสินใจทำ Branded Residence การลงทุนโรงแรมยุคนี้ปิดความเสี่ยงยาก ดังนั้นเราจะไม่ลงทุนเกินตัว เราชอบซื้อโรงแรมเก่าเพราะได้ capital gain การลงทุนในภาคใต้จะเกิดขึ้นหลังจากจบการขยายเฟส 2 ที่พัทยา เราไม่มองกรุงเทพฯ ตอนนี้ เพราะเรายังใหญ่ไม่พอ ส่วนที่เชียงใหม่แอบยากในเชิงลูกค้า การท่องเที่ยวยังเป็นฤดูกาลค่อนข้างเยอะ แต่ภาคใต้อยู่ในภาพจำของนักท่องเที่ยวเรียบร้อยแล้ว” ศรินญาบอก

เธอสนใจขยายธุรกิจโรงแรมมากกว่าอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่น เพราะคลุกคลีในวงการโรงแรมมาหลายแห่ง แต่หากจะต้องมองอสังหาฯ ประเภทอื่นๆ ในอนาคต ก็คงสนใจทำวิลล่าเป็นหลังๆ ขายในระยะยาว เพราะมีการบริหารจัดการคล้ายๆ กับโรงแรม
นอกจากจะซื้อโรงแรมเก่าแล้ว วิภาวรรณเสริมว่า บริษัทยังมีที่ดินที่ดิลกซื้อไว้อีกหลายแปลง ที่รอการพัฒนาทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดในอนาคต
ศรินญาบอกว่า การทำโรงแรมจะประสบความสำเร็จได้หรือไม่ได้ ไม่ได้ขึ้นกับขนาดว่าเล็กหรือใหญ่ แต่อยู่ที่ว่า “เราเริ่มต้นธุรกิจวันแรกอย่างไรและถูกต้องหรือเปล่า” และ “passion” ก็เป็นอีกสิ่งสำคัญในการนำมาซึ่งความสำเร็จของการทำโรงแรม เธอไม่รู้ว่าก้าวย่างต่อไปของการทำโรงแรมในภาคใต้จะสำเร็จมากน้อยแค่ไหน สิ่งที่รู้อย่างเดียวในตอนนี้คือทั้งคุณปู่ดิลก คุณแม่วิภาวรรณ และเธอ มี Passion กับเรื่องท่องเที่ยวและโรงแรมเต็ม 100%
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : AWC ทุ่ม 8,704 ล้าน เข้าซื้อและปรับโฉม ‘สวิสโซเทล กรุงเทพ รัชดา’ เตรียมรีแบรนด์เป็น JW Marriott
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine